ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

KOKUHO ปรมาจารย์แห่งคาบูกิ &  KABUKI Otokodate Hana No Yoshiwara By Ichikawa Danjuro XIII in Bangkok

5
พฤศจิกายน
2568

 

KOKUHO  ปรมาจารย์แห่ง KABUKI

ด้วยเจตจำนงเสริมส่งนโยบาย Soft Power ของ THACCA ทางคณะผู้จัดงานและกรรมการคัดเลือกภาพยนตร์ของ BKKIFF 2025 นำโดย ดรสะรณ โกวิทวณิชชา อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน และ ผู้อำนวยการ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2568 มุ่งมั่นตั้งเป้าหมายให้ BKKIFF 2025 เป็น “ จุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยง ” ตอกย้ำภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ และประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรมและภาพยนตร์ของเอเชีย ที่เชื่อมโยงสู่วงการโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับ ‘ มาตรฐาน ’ สู่ระดับเดียว กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติชั้นนำของโลก จึงเป็นแนวคิดของการคัดเลือกภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมถึงภาพยนตร์ปิดเทศกาลปีนี้ด้วย

ท่ามกลางภาพยนตร์กว่า 200 เรื่อง ที่ถูกคัดเลือกมาฉายในงาน “ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568 ” (BKKIFF 2025) เหนือการประกวดในทุกสาขาคือการให้เกียรติกับภาพยนตร์ที่ถูกคัดเลือกสำหรับฉายในพิธีปิดเมื่อ วันที่ 15 ตุลาคม 2568 ด้วยภาพยนตร์แห่งปีจากญี่ปุ่น “ KOKUHO ” ( 国宝 ) หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘ สมบัติของชาติ ’ ภาพยนตร์ Live Action ปี 2025 กำกับโดย อี ซังอิล ดัดแปลงมาจาก “ KOKUHO ” ( 国宝 )   นิยายชื่อดังของ โยชิดะ ชูอิจิ ( 吉田 修 ) ตีพิมพ์ปี 2018 เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ลี ซังอิล (Lee Sang-Il   ) [1] ผู้กำกับเชื้อสายเกาหลีชาวญี่ปุ่น นำแสดงโดย เรียว โยชิซาวะ, ริวเซย์ โยโกฮามะ, เคน วาตานาเบะ, มิน ทานากะ, นานะ โมริ และนักแสดงชื่อดังอีกมากมาย ได้นำศาสตร์การแสดง ‘ KABUKI ’ มาถ่ายทอดเรื่องราวเข้มข้น สะท้อนวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของศิลปินญี่ปุ่นสู่สายตาชาวโลก ทั้งในฐานะทูตทางวัฒนธรรมและวรรณกรรมภาพยนตร์ ที่ให้ความบันเทิงเชิงสารคดีในเรื่องแต่งที่แฝงองค์ความรู้เรื่องศิลปะการแสดงประจำชาติของญี่ปุ่นได้อย่างงดงาม บอกถึงความเป็นชาติที่มีอารยประเพณี แม้ปัจจุบันนี้จะได้รับความนิยมน้อยลงตามกาลเวลาและความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยในวิถีสากล การฟื้นคืนได้ในยุคนี้มียุทธศาสตร์ชาติเข้มแข็งด้วยเรี่ยวแรงของศิลปะร่วมสมัย และศิลปะสมัยใหม่เข้ามาเป็นกำลังสำคัญ ร่วมสร้างสรรค์อย่างเป็นกระบวนการ เสริมประสานได้อย่างน่าสนใจในวิธีคิด ทั้งจังหวะ เวลา ฯลฯ เพราะว่าไม่ใช่ความบังเอิญแบบขาดการวางแผนร่วมกัน

“ Kokuho ” เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกที่ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2025 เมื่อวันที่  18 พฤษภาคม 2568 ในสาย Director’s Fortnight เป็นหน่วยเสริมที่มีอิสระในการบริหารงานของ Cannes Film Festival มุ่งเน้นคัดสรรภาพยนตร์ร่วมสมัยที่มีรูปแบบแปลกใหม่ มีหลักการชี้นำการคัดเลือกคือ รวบรวมผู้สร้างภาพยนตร์หลากรุ่นหลายขนาดการผลิตไว้ในการคัดเลือกครั้งเดียวกัน คัดเลือกภาพยนตร์ที่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบศิลป์เป็นพิเศษ ทั้งฉาก วิธีการแสดงออกทางศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ รวมถึงให้ความสำคัญกับการนำเสนอที่พลิกโฉมแนวภาพยนตร์ (แหวกกรอบทฤษฎีที่เคยมีมา) โดยให้ความสำคัญกับเสรีภาพทางความคิด การคิดค้นรูปแบบใหม่ ๆ ของบทสนทนา การเล่าเรื่อง และการตัดต่อ The Fortnight โดดเด่นในเรื่องความเปิดกว้างต่อผู้ชมที่ไม่ใช่นักวิจารณ์ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้สร้างภาพยนตร์หลังฉายในบรรยากาศที่เป็นมิตรอีกด้วย

จากการฉายรอบปฐมทัศน์ที่เมืองคานส์ “ Kokuho ” ได้รับเสียงยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็น “ ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ” และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้ชมชาวญี่ปุ่นหลังเข้าฉายในญี่ปุ่นเมื่อ วันที่ 6 มิถุนายน 2568 โดย โตโฮ (TOHO CINEMAS เป็นบริษัทบันเทิงของญี่ปุ่นดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และจัดแสดงละครเวที มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตชิโยดะ โตเกียว) สร้างปรากฏการณ์ในรอบ 22 ปี ทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้ ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยรายได้ 346 ล้านเยนในสุดสัปดาห์แรก จัดเป็นอันดับ 3 และไต่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์ที่สาม ภายในหนึ่งเดือนทำรายได้มากกว่า 5 พันล้านเยน (ประมาณ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากยอดผู้ชม 3.57 ล้านคน และทำรายได้ทะลุ กว่า 10,000 ล้านเยน (2,150 ล้านบาท) กลายเป็นภาพยนตร์ Live-Action ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น จนได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศญี่ปุ่นเข้าชิง รางวัลออสการ์ครั้งที่ 98 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม มีกำหนดการสำคัญตามลำดับ

  • ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิง : วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2569
  • โหวตรอบสุดท้ายสิ้นสุด : วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2569
  • จัดงานประกาศผลรางวัล : วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2569

 

 

ละคร  “ KABUKI ” มรดกทางวัฒนธรรม

การแสดงละครแนวประเพณีของประเทศญี่ปุ่น (Traditional Performing Arts in Japan) มี 4 แขนง คือ ละครโนห์ (NOH) , เคียวเง็น (KYUGEN) , บุนรากุ (BUNRAKU) และ คาบุกิ (KABUKI) คำว่า “ KABUKI ” ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายตามตัวอักษรว่า ‘ 歌 (คา) เพลง ’  - ‘ 舞 (บุ) ระบำ ’ -  ‘ 伎 (กิ) ทักษะการแสดง ’  KABUKI เป็นศิลปะการแสดงละครเวทีแนวประเพณีของญี่ปุ่น ที่มีมานานกว่า 400 ปี ตั้งแต่สมัยเอโดะ ค.ศ. 1603–1868 เดิมเคยเป็นการแสดงยอดนิยมสำหรับชาวบ้านทั่วไป และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกเมื่อปี 2008 ตระกูล ‘ อิชิกาวะ ’ เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน ‘ ละครคาบูกิ ’ ในบทบาท ‘ อาราโกโตะ ’ ตั้งแต่ยุคเก็นโรคุ (ปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18) และตระกูลนี้ถือเป็นผู้นำของละคร ‘ คาบูกิเอโดะ ’  ในปี ค.ศ. 1832 อิชิกาวะ ดันจูโร ที่ 7 ได้สืบทอดนามสกุลให้กับบุตรชาย [2]

คาบูกิ โดดเด่นด้านการแสดงที่ประณีตงามตามประเพณี มีโชว์ฉากและการใช้เทคนิคพิเศษเช่น ฉากพายุหิมะ หรือฟ้าร้อง เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้ชมนิยม มีช่วงแสดงการเปลี่ยนชุดออย่างบรรจงคงลีลาสง่างาม เพื่อนำเสนอเครื่องแต่งกายที่วิจิตรบรรจง การแต่งหน้าแบบ คุมาโดริ (เส้นใบหน้าที่เกินจริงเพื่อสื่อถึงอารมณ์) วิกผมที่แปลกตา และท่าทางแบบ ‘ มิเอะ ’ ซึ่งเป็นแนวการแสดงที่ ‘เนิบนิ่ง’ แต่เปี่ยมพลังในการสื่อสารทุกการขยับ สอดรับกับการเต้น ดนตรี และบทสนทนา ซึ่งมักได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิทานอิงประวัติศาสตร์ นิยายรัก หรือปัญหาทางศีลธรรม คาบูกิแตกต่างจาก ‘ ละครโนห์ ’ ตรงที่ NOH  เน้นความเรียบง่าย มีชีวิตชีวา สามารถเข้าถึงง่าย สะท้อนถึงวัฒนธรรม ‘ สมัยนิยมใหม่ ’ ในยุคเอโดะ

 

 

ลักษณะเด่นของคาบูกิ

การแต่งหน้าและการแต่งกาย

  • การแต่งหน้าแบบคุมะโดริ: ลวดลายและสีบนใบหน้าของนักแสดงจะช่วยบ่งบอกลักษณะเฉพาะของตัวละคร เช่น สีแดง (เบนิกุมะ) หมายถึงความกล้าหาญและความโกรธ สีน้ำเงิน (ไอกุมะ) หมายถึงความโหดเหี้ยม และสีน้ำตาล (ฉะกุมะ) ใช้สำหรับตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ปีศาจ
  • เครื่องแต่งกายและวิกผม: เครื่องแต่งกายมีความหรูหราและมีสีสันสดใส มักทำจากวัสดุชั้นดี และสวมวิกผมที่มีลักษณะเฉพาะตัว

การแสดง

  • นักแสดง: นักแสดงชายจะรับบทเป็นทั้งตัวละครชายและหญิง โดยบทบาทหญิงจะมี "อนนะงะตะ" หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่รับบทเป็นตัวละครหญิง
  • การเคลื่อนไหว: นักแสดงจะเคลื่อนไหวและแสดงอารมณ์เกินจริงเพื่อสื่อสารเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละคร
  • การเต้นและการแสดงออกทางร่างกาย: การเต้นที่พลิ้วไหวและท่าทางที่ทรงพลังเป็นส่วนสำคัญของการแสดง
  • ดนตรี: ใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองญี่ปุ่นในการบรรเลงประกอบการแสดงสดง
  • ฉากและเวที: มีการจัดฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น การใช้แพลตฟอร์มหมุนและทางเดินฮานามิจิที่ทอดผ่านผู้ชมเพื่อเพิ่มความน่าตื่นใจ
  • บทละคร: มีการหยิบยกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สังคมซามูไร หรือชีวิตประจำวันของชาวเมือง มาแสดง และมักจะเน้นส่วนที่น่าตื่นเต้นหรือดราม่าที่สุดของเรื่อง

 

 

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริม ‘ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ’ (Intangible Cultural Heritage) ‘ KABUKI ’ เป็นตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ประกาศขึ้นทะเบียนเมื่อปี  2008/2551 (คณะกรรมการสมัยที่ 3) มีต้นกำเนิดในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่เมืองเกียวโต จากการร่ายรำที่สนุกสนานของผู้หญิงริมแม่น้ำคาโมะ หลังจากที่ผู้หญิงถูกห้ามแสดงในปี ค.ศ. 1629 เนื่องจากความกังวลด้านศีลธรรม คาบูกิจึงได้พัฒนาเป็นศิลปะการแสดงที่ใช้ผู้ชายแสดงล้วน โดยมีนักแสดงชาย (อนนะงาตะ) ที่เชี่ยวชาญในบทบาทหญิงแสดงแทน เนื้อเรื่องแบ่งเป็น 2 แนวหลัก คือเรื่องเกี่ยวกับสังคมซามูไรและเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเมือง

ผู้กำกับภาพยนตร์ ลี ซังอิล เคยดัดแปลงผลงานวรรณกรรมของ ของ ชูอิจิ โยชิดะ มาสร้างเป็นภาพยนตร์มาก่อนแล้ว เรื่อง “ Villain ” ฉายปี 2010 และ “ Rage ” ฉายปี 2016 ครั้งนี้กลับมาสู่แนวทางที่ถนัดอีกครั้งในเรื่อง “ Kokuho ”  ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีประจำปี 2018 ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความภาคภูมิใจและวินัยทางสุนทรียะศิลปการแสดงของญี่ปุ่น เล่าเรื่องราวชีวิตและการต่อสู้ของเด็กน้อยกำพร้าลูกของยากูซ่าที่ได้รับการอุปการะโดยปรมาจารย์ราชนิกูลคาบูกิครอบครัว นินเกียว ที่อุทิศชีวิตให้กับคาบูกิ จนเติบโตได้เป็น นิงเง็น โคคุโฮ [Ningen Kokuhō, 人間国宝) เป็นคำเรียกบุคคลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการว่าเป็น "ผู้ดูแลมรดกสำคัญทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้" (Jūyō Mukei Bunkazai Hojisha) โดยรัฐบาลญี่ปุ่น คำนี้แปลตรงตัวว่า "สมบัติประจำชาติที่มีชีวิต"] ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลญี่ปุ่น ผู้ที่ได้รับเลือกต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูงในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องเขิน การแสดงละครโนห์ หรือ คาบูกิ และศิลปะดั้งเดิมอื่น ๆ โคคุโฮ (Kokuhō) เป็นชื่อเรียกผลงานของศิลปินในสาขาที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม เช่น คาบูกิเครื่องปั้นดินเผา และพิธีชงชา ถือเป็นเกียรติทั้งส่วนบุคคลและสัญลักษณ์ทางสังคม

 

 

เค้าโครงเรื่อง “ Kokuho - ปรมาจารย์แห่งคาบูกิ ”

“ แกเกิดมาเป็นลูกของนักแสดงคาบูกิ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 
สายเลือดของแกจะปกป้องแกเอง ”

KOKUHO เล่าเรื่องราวชีวิต 50 ปี ของ คิคุโอะ ทาจิบานะคิคุโอะ (โยชิซาวา เรียว) เกิดในตระกูลผู้ทรงอิทธิพลแก๊งยากูซ่า ในปี 1964 ญี่ปุ่นผ่านพ้นวิกฤตแห่งสงครามและเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟูเติบโตอย่างรวดเร็ว ณ เมืองนางาซากิ หลังจากการเสียชีวิตของบิดา หัวหน้าแก๊งยากูซ่า คิคุโอะวัย 14 ปี ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า แต่ด้วยพรสวรรค์ของเขาถูกค้นพบ จึงได้รับการอุปการะจากนักแสดง  ฮันจิโร ฮานะอิ ปรมาจารย์ละครคาบูกิที่ฟูมฟักฝึกสอนเคี่ยวเข็นการแสดงให้เขาพร้อม ๆ กับ ชุนสุเกะ  โองะกิ ลูกชายผู้เป็นทายาทสายเลือดตรงที่เป็นผู้สืบทอด  ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทที่อุทิศชีวิตเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ปฏิบัติศึกษา พัฒนาการแสดงไปด้วยกัน ตั้งแต่โรงเรียนสอนการแสดงไปจนถึงเวทีใหญ่

 

 

“ ทุกคนคิดว่านายขโมยนามสกุลของฮันจิโรมาแบบไม่ถูกต้อง ” 
“ เพราะฉันไม่มีสายเลือดที่ปกป้องตัวเองไงล่ะ ” 
“ ก็มีศิลปะอยู่ในตัวไม่ใช่เหรอ 
นักแสดงที่แท้จริงแข็งแกร่งยิ่งกว่าดาบหรือปืนเสียอีก ”

ในครรลองของมิตรภาพทั้งคู่ต่างต้องต่อสู้และแย่งชิง เพื่อตำแหน่งสูงสุดของนักแสดงคาบุกิ จากเพื่อนจึงกลายเป็นทั้งศรัตรู คู่แข่ง และแรงพลังใจให้กันและกัน ในความผูกพันเต็มไปด้วยความซับซ้อน ทั้งรัก ทั้งเกลียด และเคารพ ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาว ชื่อเสียง ความเป็นพี่น้อง และการทรยศหักหลัง... หนึ่งในทั้งสองต้องเป็นปรมาจารย์ศิลปะคาบูกิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แต่คิคุโอะต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อมีวันขึ้นสูงสุดก็ย่อมมีห้วงเวลาดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด แต่พรสวรรค์ทางการแสดงกับปณิธานที่ต้องการเป็นนักแสดงคาบูกิแถวหน้าของวงการ คือแรงบันดาลจิตวิญญาณให้ทะยานไม่หยุดยั้ง ใครจะครองบัลลังก์สำเร็จ สายเลือดหรือพรสวรรค์ PASSION & LESSON คือคำตอบ

“ โคคุโฮ - ปรมาจารย์แห่งคาบูกิ ” กำกับโดย ซังอิล ลี บทภาพยนตร์ Satoko Okudera อิงจากหนังสือ “ KOKUHO” โดย Shuischi Yoshida ตัดต่อภาพยนตร์ สึโยชิ อิมาอิ บทภาพยนตร์ Satoko Okudera อิงจากหนังสือ ”KOKUHO” โดย Shuischi Yoshida เพลงประกอบภาพยนตร์มาริฮิโกะ ฮาระ กำกับภาพ โซเฟียน เอล ฟานี เสียง มิซึกุ ชิราโทริ เครื่องแต่งกาย คุมิโกะ โอกาวะ การผลิต ชินโซ มัตสึฮาชิ runtime 175 นาที 

นักแสดง

  • ชิซาวะ รับบท คิคุโอะ ทาชิบานะ
  • ริวเซย์ โยโกฮามะ รับบท ชุนสุเกะ โองะกิ
  • เคน วาตะนาเบะ รับบท ฮันจิโร ฮานะอิ
  • มิสึกิ ทากะฮาตะ รับบท ฮารุเอะ ฟูกุดะ
  • ชิโนบุ เทระจิมะ รับบท ซาจิโกะ โองะกิ
  • นานา โมริ รับบท อะกิโกะ
  • ไอ มิกะมิ รับบท ฟูจิโกะมะ
  • ทากะฮิโระ มิอุระ รับบท เทปเปย์ ทาเกะโนะ
  • คิวซะกุ ชิมาดะ รับบท อูเมกิ
  • มิน ทานากะ รับบท มังงิกุ โอโนะกะวะ
  • โซยะ คูโระคาวะ รับบท คิคุโอ (วัยเด็ก)
  • เคอิทัตสึ โคชิยามะ รับบท ชุนสุเกะ (วัยเด็ก)

 

สื่อมวลชนรายงาน ผลการกลับมาของ ‘ KABUKI ’

 

 

ผลกระทบทางวัฒนธรรม : การเชื่อมโยงระหว่างรุ่นและพรมแดน [3]

ชัยชนะของ KOKUHO เป็นสัญญาณการกลับมาของภาพยนตร์แนว live Action ของญี่ปุ่น ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดประจำปี 2025 ในสาขานี้ และเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยกย่อง “ สมบัติล้ำค่าของชาติ ” ผู้พิทักษ์ศิลปะในชีวิตจริงอย่างคาบูกิ ย้ำเตือนผู้ชมถึงความมุ่งมั่นของญี่ปุ่นในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมท่ามกลางความทันสมัย ​​สำหรับผู้ชมที่ไม่ใช่คนพื้นเมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอมุมมองสู่ตำนานยากูซ่า การฟื้นตัวหลังสงคราม และความเข้มงวดทางศิลปะ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้

ในระดับโลก เมื่อสื่อญี่ปุ่นอย่าง ‘ อนิเมะ ’ ได้รับความนิยมมากขึ้น โคคุโฮะสามารถแนะนำคาบูกิให้กับแฟนๆ กลุ่มใหม่ได้ เช่นเดียวกับที่ Memoirs of a Geisha เคยทำกับวัฒนธรรมเกอิชา ความสำเร็จของโคคุโฮะท่ามกลางผู้ชมละครเวทีที่หลากหลาย ทั้งวัยและเพศพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังแห่งศิลปะในการรวมเป็นหนึ่งเดียว

 

 

บทสดุดีจิตวิญญาณแห่งคาบูกิและนินเคียว ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

“ Kokuho ” เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยดูมาในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลงานที่งดงามที่ผสมผสานศิลปะแบบดั้งเดิม ความเข้มงวด ตึงเครีดทางศีลธรรม และความลึกซึ้งทางอารมณ์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว การออกแบบเสียงนั้นน่าหลงใหลเป็นพิเศษ เนื่องจากคาบูกิมีความเชื่อมโยงกับองค์ประกอบจังหวะ และเครื่องเคาะจังหวะอย่างไทโกะ เสียงจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ดึงผู้ชมเข้าสู่โลกของมันในทุกจังหวะและทุกลมหายใจ แม้บางช่วงให้ความรู้สึกเกินจริงไปบ้างเล็กน้อย

การเล่าเรื่องนั้นน่าสนใจ ตัวเอกทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกทดสอบด้วยภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่มีค่านิยมหลักร่วมกัน นั่นคือ ‘ นินเคียว ’ หรือหลักปฏิบัติของอัศวินญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หลักการร่วมกันนี้ซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีน้ำหนักทางอารมณ์และสะท้อนถึงวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม บางครั้งการเล่าเรื่องก็ข้ามผ่านกาลเวลาไปโดยแทบไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้อาจทำให้สับสน และบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในด้านภาพแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าทึ่งมาก แม้ว่าปกติผู้เขียนจะชอบผลงานการจัดองค์ประกอบภาพที่สมดุลและนิ่งสงบอย่าง สแตนลีย์ คูบริก และ อากิระ คุโรซาวะ แต่กลับหลงใหลในวิธีการถ่ายทำฉากคาบูกิ โฟกัสมุมแคบและการทำงานของกล้องที่ไดนามิก ทำให้ฉาก ดาเซดู มีชีวิตชีวาด้วยความสง่างามและความเข้มข้น เน้นย้ำถึงความงามและพลังของฉากเหล่านั้น

ใน Kokuho ศิลปการแสดง คาบูกิ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฉากหลังของภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าประเพณีเก่าแก่ 400 ปีนี้ ต้องการงานที่ทุ่มเททั้งชีวิต ฉากที่ชวนดื่มด่ำของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่หาชมยาก ได้ปลุกความซาบซึ้งที่มีต่อภาพยนตร์ญี่ปุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นผ่านศิลปะภาพยนตร์ที่ทรงพลัง อาจมีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมได้สำรวจคาบูกิที่จัดแสดงในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงละครคาบูกิซะในโตเกียว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี

 

 

“KOKUHO” เป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเพณีและความทันสมัย [4]

คาบูกิ ศิลปะอายุกว่า 400 ปี เปรียบเสมือนแก่นแท้ทางจิตวิญญาณและสุนทรียศาสตร์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ใน “โคคุโฮ” เส้นแบ่งระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริงกลายเป็นแก่นสำคัญ การแสดงของตัวเอกบนเวทีไม่ใช่แค่การแสดงธรรมดา แต่เป็นหนทางในการเผชิญหน้าและชำระล้างความขัดแย้งภายใน ความแตกต่างระหว่างเวทีอันตระการตากับความเข้มงวดกวดขันเบื้องหลังเวที สื่อถึงความเป็นสองขั้วของธรรมชาติในตัวตน คาบูกิ จึงเสมือนกระจกสะท้อนความปรารถนาของผู้คน “ KOKUHO ” สะเทือนใจผู้ชมทั่วโลก เพราะไม่ได้พูดถึงแค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังพูดถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจความภาคภูมิใจ การให้อภัย และการเกิดใหม่ ผ่านบทละครนินเกียวและคาบูกิ ซึ่งเป็นแก่นเรื่องที่อยู่เหนือภาษาและศาสนา

ในสังคมปัจจุบัน วัฒนธรรมดั้งเดิมมักอยู่รอดแม้เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่กลับสูญเสียหัวใจไป “ KOKUHO ” ท้าทายแนวคิดนี้ด้วยการย้ำเตือนเราว่าประเพณีไม่ได้หมายถึงการอนุรักษ์ แต่หมายถึงการสืบสานผ่านการแสดงออกที่มีชีวิตชีวา 
ความมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มที่ของตัวเอกในงานฝีมือของเขากระตุ้นให้ผู้ชมทบทวนความหมายของความแท้จริง ในยุคสมัยที่ความสะดวกสบายและความเร็วครอบงำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าความรุ่มรวยที่แท้จริงนั้นอยู่ในสิ่งที่เร่งรีบไม่ได้ ตอนจบที่เงียบงันแต่ทรงพลังทำให้ผู้ชมครุ่นคิดถึงคำถามสากลที่ว่า ความงามคืออะไร? การมีชีวิตอยู่มีความหมายอย่างไร?

 

คำบรรยายภาพ(ถ้ามี)

 

ภาพยนตร์ ‘ โคคุโฮ ’ แหวกกระแสแอนิเมชันที่ครองตลาดหนังญี่ปุ่น [5]

  • ภาพยนต์โคคุโฮ ทำรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านเยน เร็วที่สุดรองจากภาพยยนตร์ในปี 2003
  • ตลาดหนังญี่ปุ่น 10 อันดับแรกมีภาพยนตร์เพียง 3 เรื่อง ที่เหลือเป็นแอนิเมชัน
  • ภาพยนตร์กระตุ้นความสนใจต่อคาบูกิให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

ภาพยนตร์ “ โคคุโฮ ” (Kokuho) สร้างปรากฏการณ์ในวงการหนังญี่ปุ่น ด้วยการทำรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านเยน (67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กลายเป็นภาพยนตร์ของญี่ปุ่นที่ทำรายได้เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ‘ เบย์ไซด์ เชคดาวน์ 2 ’ ในปี 2003 ท่ามกลางหนังแอนิเมชั่นที่ครองตลาด ภาพยนตร์ยาวเกือบ 3 ชั่วโมงของผู้กำกับ อี ซัง-อิล เล่าเรื่องราวมิตรภาพและการแข่งขันระหว่างนักแสดงคาบูกิชาย 2 คน ที่เรียกว่า ‘ อนนางาตะ ’ โดยมีฉากหลังเป็นลูกชายของพ่อค้ายากูซ่าและเด็กชายที่เกิดในครอบครัวคาบูกิ ถ่ายทำโดยผู้กำกับภาพชาวตูนิเซีย โซเฟียน เอล ฟาน

แอนิเมชันยังคงครองตลาดภาพยนตร์ญี่ปุ่น จากหนัง 10 อันดับแรก มีหนังที่คนแสดงเพียง 3 เรื่อง และมีหนังญี่ปุ่นเพียงเรื่องเดียวคือ “ เบย์ไซด์ เชคดาวน์ 2 ” ส่วนที่เหลือเป็น “ ไททานิก ” และ “ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ” ภาคแรก

แนวโน้มนี้กำลังขยายไปทั่วโลก หนังแอนิเมชันจีน “ นาจา 2 ” กลายเป็นหนังทำรายได้สูงสุดของปี 2025 ขณะที่เน็ตฟลิกซ์ รายงานว่าผู้ชมดูแอนิเมชันกว่าพันล้านครั้งในปี 2024 ความสำเร็จของ ‘ โคคุโฮ ’ มาจากนักแสดงนำ เรียว โยชิซาวะ และ เรียวเซ โยโคฮามะ ที่เป็นดาราดังในญี่ปุ่น โทโยโกะ อุเมมุระ วัย 65 ปี ที่มาดูหนังกับลูกสาว กล่าวชื่นชมว่า เรียว โยชิซาวะ มีใบหน้าที่สวยงาม การแสดงก็ยอดเยี่ยม บริษัท โชชิกุ ผู้บริหารโรงละครคาบูกิในย่านกินซ่ายืนยันว่า ภาพยนตร์ KOKUHO ช่วยฟื้นความสนใจในศิลปะคาบูกิที่เริ่มจะเสื่อมถอยให้คล้อยคืน

 

กลยุทธ์การตลาดแบบแอนิเมชัน

บริษัทโทโฮ และโซนี่ คาดการณ์รายได้เริ่มแรกเพียงไม่กี่พันล้านเยน จนกระทั่งภาพยนตร์เปิดตัวที่งานเทศกาลคานส์ เมื่อเดือน พฤษภาคม 2568 หลังจากนั้น บริษัทโทโฮได้ใช้การตลาดแบบเดียวกับหนังแอนิเมชันฮิตอย่าง ‘ เดมอน สเลเยอร์ ’ สร้างกระแสทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขยายรอบฉายและพึ่งการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้หลายคนไปดูซ้ำ ดักลาส มอนต์โกเมอรี อดีตผู้บริหารของ วอร์เนอร์ และศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเทมเปิ้ล วิเคราะห์ว่า แอนิเมชั่นให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่า โดยเฉพาะจากการขายสินค้า ส่วนภาพยนตร์ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือการตลาดนำไปสู่ทรัพย์สินทางปัญญาที่จะสร้างรายได้จริงภายหลัง ทำให้หนังจริงลำบากกว่าเพราะแหล่งรายได้น้อยกว่าและสั้นกว่า บทเรียนจาก ‘ โคคุโฮ ’ สำหรับอุตสาหกรรมหนังญี่ปุ่นคือการลงทุนกับสิ่งที่แตกต่างอาจได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

 

 

โคคุโฮฉายแสงไปที่คนนอกของคาบูกิ [6]

ความสำเร็จของละครเวที KOKUHO ซึ่งสะท้อนผ่านเรื่องราวของ คิคุโอะ ทำให้นักแสดงจากนอกวงการละครเวที ( มงบัตสึไก , 門閥外) เป็นที่รู้จักมากขึ้น ก่อนหน้านี้ในเดือน สิงหาคม 2568 เหล่านักแสดงที่สำเร็จการศึกษาจาก สถาบันฝึกอบรมการละครแห่งชาติ ได้ขึ้นแสดงที่ หอประชุมสาธารณะอาซากุสะ ในโตเกียว การแสดงสี่วันของพวกเขาได้แสดงต่อหน้าผู้ชมเกือบเต็มโรง คำถามตอนนี้คือ คิคุโอะคนต่อไปจะปรากฏตัวที่ไหน ความสำเร็จของ KOKUHO ยังช่วยกระตุ้นยอดขายตั๋วที่ โรงละครคาบูกิซะ ​​ซึ่งเป็นโรงละครคาบูกิศักดิ์สิทธิ์ในโตเกียวอีกด้วย โชจิกุ ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงละครแห่งนี้ รายงานว่า “ นับตั้งแต่ภาพยนตร์ออกฉายในเดือนมิถุนายน ยอดขายตั๋วก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรายังเห็นโพสต์มากมายจากผู้คนที่บอกว่า ตอนนี้อยากสัมผัสประสบการณ์คาบูกิของจริง แสดงให้เห็นว่ากระแสตอบรับดีแค่ไหน ”

สองเส้นทางสู่คาบูกิ

สำหรับนักแสดงคาบูกิที่มาจากครอบครัวธรรมดา มีสองเส้นทางหลัก

  • เส้นทางแรกคือเริ่มต้นเป็นนักแสดงเด็ก และฝึกหัดภายใต้การดูแลของนักแสดงรุ่นพี่
  • อีกเส้นทางคือฝึกฝนที่สถาบันฝึกอบรม โรงละครแห่งชาติ ก่อนที่จะเข้ารับการฝึกหัด

การพัฒนาทักษะใหม่

โรงละครแห่งชาติ ได้ฝึกอบรมนักแสดงคาบูกิมาตั้งแต่ปี 2513 เมื่อเดือนเมษายน 2567 บัณฑิตจากสถาบันได้คิดเป็น 99 รายจากนักแสดงคาบูกิที่ยังแสดงอยู่ทั้งหมด 293 รายในญี่ปุ่น ทำให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในการแสดงบนเวที

ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม 4 คน แบ่งเป็นรุ่น 29 และ 30 คนละ 2 คน พวกเขาจะเรียนทุกวันตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 18.00 น. ภายใต้การดูแลของอาจารย์ชั้นนำอย่าง นากามูระ มันจู พวกเขาใช้เวลาเรียนรู้การแสดง สวดมนต์ และกิดายุ เป็นเวลา 2 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวในฐานะนักแสดงคาบูกิมืออาชีพ โดยทั่วไปผู้สมัครต้องมีอายุต่ำกว่า 23 ปี และเรียนฟรี การรับสมัครนักเรียนรุ่นต่อไปจะเริ่มในเดือนตุลาคม และอาจมีนักเรียนใหม่อีกคนคือ คิคุโอะ

คาบูกิ ศิลปะการละครอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี ได้รับการหล่อเลี้ยงมาจนถึงปัจจุบันโดย โชจิกุ และ โรงละครแห่งชาติ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติที่หาได้ยากยิ่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วต้องพึ่งพาบริษัทเอกชน การจัดวางโครงสร้างแบบนี้ทำให้คาบูกิมีเอกลักษณ์สองด้าน คือ การอนุรักษ์ประเพณีอันเก่าแก่หลายศตวรรษ ควบคู่ไปกับการเฟื่องฟูในฐานะความบันเทิงเชิงพาณิชย์ การผลิตผลงานใหม่ๆ และสร้างดาราดังในยุคปัจจุบัน

เวทียังคงเต็มไปด้วยทายาทและบุตรบุญธรรมของบรรพบุรุษผู้สืบเชื้อสายมาอย่างยาวนาน เช่น อิชิกาวะ ดันจูโร และโอโนเอะ คิคุโกโร อย่างไรก็ตามปัจจุบันบัณฑิตจากสถาบันต่าง ๆ คิดเป็นประมาณ 30% ของนักแสดง และในวงการดนตรีคาบูกิ ( ทาเคโมโตะ ) พวกเขามีมากถึง 90% ซึ่งเป็นรากฐานของการผลิตผลงานมากมายทั่วประเทศ การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้มั่นใจได้ว่า พรสวรรค์ของ “ คนนอก ” จะยังคงหล่อเลี้ยงชีวิตใหม่ให้กับโลกที่สืบทอดกันมา

 

 

 

การต่อสู้เบื้องหลังม่าน สำรวจจิตวิญญาณศิลปิน

ในพิธีปิด เทศกาลาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568  BKKIFF 2025 รายงานจากวงเสวนาที่จัดฉาย “ Kokuho ” โดยได้รับเกียรติจากผู้กำกับ Lee Sang-il มาร่วมเปิดเผยถึงเบื้องหลัง แรงจูงใจ และความท้าทายในการนำศาสตร์การแสดง ‘ คาบูกิ ’ ที่มีอายุยาวนานกว่า 400 ปี มาสู่จอภาพยนตร์อย่างเข้มขลังอลังการตลอดความยาว 2 ชั่วโมง 55 นาที ที่ตราตรึงใจ สมกับเป็นโปรเจกต์ที่อยู่ในใจมุ่งมั่นปั้นให้เป็นมหากาพย์ภาพยนตร์บนศิลปะ KABUKI เพื่อให้คาบูกิเป็นที่รู้จักของชาวโลกอีกครั้ง Kokuho [7] จึงไม่ได้เป็นเพียงการดัดแปลงนวนิยายขายดีของ Shuichi Yoshida เท่านั้น แต่เป็นโปรเจกต์ที่ Lee Sang-il ต้องบ่มเพาะกระบวนการมานานกว่า 15 ปี

ผู้กำกับ  Lee Sang-il  ชี้ว่า คาบูกิ เป็นศิลปะที่ถูกมองว่าเป็น ‘ สิ่งที่ยากอย่างยิ่ง ’ ที่จะถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น แทบจะไม่มีเรื่องใดที่เน้นศิลปะนี้เป็นแกนหลักเลย โดยเขารู้สึกว่าศิลปะเก่าแก่นี้ สมควรได้รับการถ่ายทอดในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเข้าถึงผู้ชมวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมชาวญี่ปุ่นเองก็เริ่มห่างเหินจากความเข้าใจในคาบูกิ

การต่อสู้เบื้องหลังม่าน สำรวจจิตวิญญาณของศิลปิน

สำหรับคุณ Lee Sang-il ความน่าสนใจของคาบูกิไม่ได้อยู่ที่ความวิจิตรตระการตาภายนอก แต่คือเรื่องราวของนักแสดงผู้สร้างสรรค์ศิลปะ ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในโลกที่เต็มไปด้วยสายสัมพันธ์ทางครอบครัว, ลำดับชั้นทางสังคม, และการสืบทอดทางสายเลือด

ภาพยนตร์พยายามสำรวจว่า ความรู้สึกของนักแสดงเป็นอย่างไรในขณะที่กำลังแสดง พวกเขาอยู่ภายใต้ความกดดัน หรือมีความขัดแย้งบางอย่างซ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งทำให้ Kokuho เจาะลึกจิตวิญญาณของศิลปินอย่างแท้จริง

จากนวนิยายสู่ภาพยนตร์ ความร่วมมืออันเป็นหัวใจ

ความร่วมมือทางศิลปะระหว่าง Lee Sang-il และนักเขียน Shuichi Yoshida คือหัวใจสำคัญของการสร้าง Kokuho

ความฝันของ Lee Sang-il เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อเขาได้พูดคุยกับ Shuichi Yoshida นักเขียนนวนิยายที่เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Villain (2010) และ Rage (2016) คุณ Lee Sang-il บอกกับ Shuichi Yoshida ถึงความคิดที่จะทำหนังเกี่ยวกับคาบูกิ

ซึ่งในช่วงระหว่างนั้น Shuichi Yoshida ก็ได้สนใจในแนวคิดนี้อยู่แล้ว และได้มีการทำการวิจัยเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับคาบูกิด้วยตนเอง ซึ่งรวมถึงการทำงานเป็นผู้ช่วยบนเวทีเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะเขียนนวนิยายเรื่อง Kokuho ออกมาในที่สุด ด้านผู้กำกับ Lee Sang-il จึงมองเห็นนวนิยายเรื่องนี้ว่าเป็น ‘ ผืนผ้าใบภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ ’ (เสมือนผืนผ้าที่เป็น Canvas ถ่ายทอดจิตวิญญาณของจิตรกร) ที่จะถักทอเรื่องราวที่ไม่อาจถูกแทนที่ได้ของมรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติ

เต้นรำด้วยบาดแผล การกำกับที่เน้นอารมณ์ความสมจริงในการแสดงคาบูกิคือความท้าทายสูงสุด เนื่องจากนักแสดงนำ Ryo Yoshizawa และ Ryusei Yokohama ไม่ใช่นักแสดงคาบูกิอาชีพ ทั้งสองต้องทุ่มเทเวลาอยู่เป็นปี เพื่อเข้ารับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นภายใต้การดูแลของปรมาจารย์คาบูกิ

Lee Sang-il เข้าใจว่าการฝึกฝนเพียงหนึ่งปีกว่าไม่สามารถเทียบได้กับการฝึกฝนของนักแสดงตระกูลสืบทอด ดังนั้นเขาจึงปรับทิศทางการกำกับ โดยให้นักแสดง ‘ เต้นในแบบที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละคร ’ การตัดสินใจแบบนี้ทำให้ภาพยนตร์สามารถถ่ายทอด ความรู้สึก, ความทรมาน, และบาดแผลที่ซ่อนอยู่ของตัวละคร ผ่านการร่ายรำได้อย่างน่าเชื่อถือทางอารมณ์ และเติมความเข้มข้นให้บทละครมากขึ้น

 

     

สืบทอด ต่อยอด ดำรงอยู่

“ KOKUHO ” กับความเป็นภาพยนตร์ ที่มีตัวตนของศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมในแนวประเพณีของเอเชียเป็น ‘ ตัวเอก ’ ของเรื่อง ชวนให้เชื่อมใจกับภาพยนตร์ในอดีตได้อีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะ “ Farewell My Concubine ” ภาพยนตร์ drama อิงประวัติศาสตร์ของจีนปี 1993 “ อำลาพระสนมของฉัน ” ( 霸王別姬 ) เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอ่อนไหวระหว่างนักแสดงงิ้วปักกิ่งสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในประเทศจีน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของผู้กำกับ เฉินข่ายเก๋อ นักแสดงนำระดับแถวหน้าของเอเชียในขณะนั้น : เลสลี่ จาง, กงลี่ และ จางเฟิงอี้ ที่เล่าถึงความรักสามเส้าของนักแสดงงิ้วสองคนคือ เฉิง เตียวอี้ (เลสลี่ จาง) และ ต้วน เสี่ยวโหลว (จางเฟิงอี้) กับ จู๋เซียน (กงลี่) ภรรยาของเสี่ยวโหลว

 Farewell My Concubine ” เป็นภาพยนตร์จีนเรื่องแรกที่ได้รับ รางวัลปาล์มทองคำ จาก เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2536 และได้รับการเสนอชื่ออีกหลายรางวัลระดับโลกในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อปี 2548 และนิตยสาร TIME  ได้คัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน “ 100 ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ”

เมื่อนำสองเรื่องมาเทียบเคียง ทั้งคู่มีความเหมือนที่เป็นทั้ง ‘ จุดเด่นและจุดร่วม ’ คือการเชิดชูศิลปะที่เป็นอัตลักษณ์ของชาติได้อย่างสมเกียรติภูมิผ่านภาษาภาพยนตร์อันวิจิตร แต่จุดที่ทำให้ “ KIKUHO ” ทั้งดูด้อยและเด่นในขณะเดียวกันคือความ ‘ ขลัง ’ ของภาพรวมแต่ไม่มีผลต่อเนื้อหาในภาพยนตร์ เพียงต้องการสร้างจุดขาย หมายนำเสนอให้เห็นความร่วมสมัยในเนื้อเรื่อง ด้วยภาพโฆษณาที่ออกมามีกลิ่นอายสาย Y เหมือน Concubine กลับมาเกิดใหม่ ทั้งที่เนื้อในทำให้เห็นการต่อสู้ของคาบูกิรุ่นใหม่ และวิถีของ ‘ คนวัยห่าม ’ ซึ่งเติบไต่ในสนาม ‘ อำนาจ ’ ขาดวุฒิภาวะที่จะควบคุมความทะเยอทะยานอย่างผิดทิศ ก่อนชีวิตจะให้บทเรียนเพื่อล่วงผ่านบททดสอบสู่ความความสำเร็จ ตามธรรมชาติวิถีของความเป็นมนุษย์

 

 

KOKUHO มีจุดเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อประวัติศาสตร์การแสดง ทำให้ประจักษ์ในการอุทิศทั้งชีวิตเพื่อแลกกับฝึกฝนให้มีตัวตนที่เติบโตมาพร้อมกับจิตวิญญาณของนักสู้ผู้ทรนง และองอาจด้วยศาสตร์ของคาบูกิอันทรงเกียรติ ซึ่งมีรากมาจากวัฒนธรรมของ ‘ เลือดบูชิโด ’ (จิตวิญญาณที่เข้มแข็ง  กล้าหาญ และเสียสละ ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังสงครามโลก แม้จะพ่ายแพ้ต่อมหาอำนาจทางตะวันตก) ในขณะที่ “ Farewell My Concubine ” ก็โดดเด่นด้านเดียวกัน แม้ต่างยุคสมัยกันเกือบครึ่งศตวรรษ แต่สิ่งที่ศิลปะแนวประเพณีของทั้งสองเรื่องต้องต่อสู้ร่วมกันคือ ‘ กระแสใหม่ ’ ของโลกบันเทิงซึ่งเต็มไปด้วย Pop Culture ที่ฉาบฉวยและสวยงาม

ภาพยนตร์สองเรื่อง “ KOKUHO ” มีความต่างระหว่างธรรมชาติของปัจเจก ตรงการต่อสู้ของพระเอกทั้งสองที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาซึ่งมาพร้อมกับสิ่งที่เหนือการควบคุม ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน แต่ “ Farewell My Concubine ” ตัวละครเอกฆ่าตัวตายเพราะความเปราะบางของจิตใจที่ต้องสู้กับปัญหารักสามเส้า ทำให้หนังเพิ่มความขลังในมิติของความรักที่ต้อง ‘ ต่อสู้กับหัวใจ ’ ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่เกินจะรับไหว เสมือนนัยของการดำรงอยู่ ที่ต้องต่อสู้เพื่อการหยัดยืนอย่างสง่างามในความผันผวนรบกวนปัจจุบัน อาวุธสำคัญคือการปรับตัวรับกับ ‘ คลื่นรบกวน ’ จาก ‘ คลื่นลูกใหม่ ’ ทั้งภายนอกภายในที่ทำยังไงถึงจะไม่ให้อุปสรรค ‘ สะเทือน บัลลังก์ ’ ไม่ต่างจากศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของทุกชนชาติ ที่ต้องไม่ขาดการหลอมรวมร่วมสมัยเพื่อให้เกิด ‘ พลังใหม่ ’ ก่อนก้าวไปพร้อมกัน.

 

 

“ KABUKI Otokodate Hana No Yoshiwara 
By Ichikawa Danjuro XIII in Bangkok ”

 

 

นับเป็นการต่อเนื่องเรื่อง KABUKI ที่น่าสนใจในการวางแผนงาน แม้คนละโครงการและผู้จัดกับ “ KOKUHO ” แต่ได้จังหวะลงตัวเมื่อ Sync Circle และ 3 Top ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ สมาคมญี่ปุ่นในประเทศไทย พร้อมความร่วมมือจาก Shochiku และ Kinki Nippon Tourist ได้จัดสุดยอดการแสดงคาบูกิเต็มรูปแบบจากญี่ปุ่นมาเปิดฉากการแสดงบนเวทีประเทศไทยอีกครั้งในรอบ 29 ปี งานนี้ผู้ชมชาวไทยจะได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ของการแสดงคาบูกิ ในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์  โดย อิจิคาวะ ดันจูโระ ‘ ฮาคุเอ็น ’ รุ่นที่ 13 ผู้เคยสร้างความประทับใจให้ผู้ชมทั่วโลกในพิธีเปิดโอลิมปิก โตเกียว 2021 (ขณะนั้นยังใช้ชื่อ อิจิคาวะ เอบิโซ รุ่นที่ 11) ปีนี้ 2025 เขาจะนำศิลปะการแสดง KABUKI อันทรงคุณค่าของญี่ปุ่นมาสู่ประเทศไทย สร้างสรรค์การแสดงที่ตราตรึงใจและสะเทือนอารมณ์ไม่รู้ลืม ให้กับผู้ชมจากทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้

 

 

‘ นาริตะยะ ’ ( 成田屋  Naritaya) เป็นชื่อสกุลทางศิลปะที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในวงการคาบูกิ (Kabuki) ของญี่ปุ่น ที่ได้รับการสืบทอดกันมาในสายตระกูลของนักแสดงคาบูกิชั้นนำนานกว่า 400 ปี และถือเป็นสัญลักษณ์แห่งศิลปะการแสดง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักแสดงที่มีบทบาทสำคัญในการแสดงประเภท ‘ อารากาโตะ ’ (Aragoto - รูปแบบการแสดงที่เน้นความแข็งแกร่งและท่าทางที่เกินจริง) ปัจจุบันนักแสดงชื่อดังที่ได้ใช้ชื่อสกุล ‘ นาริตะยะ - Naritaya ’ คือ อิจิคาวะ ดันจูโร่ (Ichikawa Danjuro) ซึ่งเป็นชื่อที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน และถือเป็นชื่อตำแหน่งสูงสุดของนักแสดงคาบูกิในตระกูลนี้

อิจิคาวะ ดันจูโร่ รุ่นที่ 13 ผู้สืบทอดนามอันทรงเกียรตินี้ ไม่เพียงรับช่วงต่อมรดกด้านฝีมือและจิตวิญญาณจากรุ่นก่อนเท่านั้น แต่ยังนำคาบูกิมาตีความใหม่ให้ร่วมสมัยและมีชีวิตชีวาในยุคปัจจุบัน การกลับมาครั้งนี้เป็นการขึ้นเวทีการแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งแรก ในนามตำแหน่งใหม่นี้ ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย จึงเป็นโอกาสสำคัญในการร่วมเป็นประจักษ์พยานในค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ ที่จะอยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล

 

 

ที่ญี่ปุ่นมีโรงละครหลายแห่งเปิดการแสดงคาบูกิ เช่นที่ โรงละครคาบูกิซะ (Kabukiza Theatre) อยู่ย่านกินซ่าในโตเกียว เปิดการแสดงทุกวันตลอดทั้งปี หรือที่ โรงละครแห่งชาติ (National Theatre) ในโตเกียว และอีกหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น เพราะคาบูกิเป็นศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และยังคงมีชีวิตชีวาในศตวรรษที่ 21 แม้จะผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย คาบูกิไม่เพียงแต่คงอยู่ แต่ยังพัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีและความนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ชม แม้ว่าคาบูกิจะมีบทละครดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ แต่ในปัจจุบัน ก็มีการสร้างสรรค์บทละครใหม่ที่นำเรื่องราวร่วมสมัยมาผสมผสาน เช่น การดัดแปลงอนิเมะ (アニメ: Animeหรือวิดีโอเกมชื่อดังให้อยู่ในรูปแบบคาบูกิ (Animated media) เพื่อดึงดูดผู้ชมรุ่นใหม่ให้เข้ามาสัมผัสศิลปะการแสดงแขนงนี้ นับเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมผ่านการเล่นเสริมความบันเทิง (Learning by playing หรือ Play-based learning) อย่างมีกลยุทธทางการตลาด ที่สามารถช่วยเรื่อง ปัญญา พัฒนาการ ฯลฯ ได้อย่างเข้าใจและเข้าถึงผู้ชมทุกวัยในหมู่คนยุคใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม

 

 

“ Otokodate Hanakurabe ”

“ Otokodate Hanakurabe ” (男伊達 花くらべ) [8] เป็นการแสดงคาบูกิแนวระบำ ที่ใช้ฉากหลังเป็นนากาโนะมาจิ แห่งย่านโยชิวาระในยุคเอโดะ (ต้นกำเนิดของ คาบุกิ) การแสดงแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะมีการร่ายรำอันงดงามของเหล่า ‘ ชินโซ ’ (新造) หรือหญิงสาวผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่ ‘ โยชิวาระ ’ (สถานที่อโคจรเพื่อความบันเทิงของผู้ชาย และแหล่งพักอาศัยของนางโลมจะถูกเรียกว่า ‘ยูคาคุ’ โดยยูคาคุดัง ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมีอยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือ ชิมาบาระ ในจังหวัดเกียวโต ชินมาจิ ในจังหวัดโอซาก้า และ โยชิวาระ ในเอโดะ ปัจจุบันคือจังหวัดโตเกียวที่โยชิวาระจะเป็นที่รู้จักของคนยุคหลังมากกว่าซ่องอีกสองแห่ง)   ส่วนที่สองจะเป็นการปรากฏตัวของตัวละคร ‘ โกะโชะ โกะโรโซ ’ (御所五郎蔵) 

“ KABUKI Otokodate Hana No Yoshiwara By Ichikawa Danjuro XIII in Bangkok ” เปิดม่านด้วยการร่ายรำอันวิจิตรของเหล่า ‘ นางใหม่ ’ (ชินโซ — หญิงสาวผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่ ‘ โยชิวาระ ’ สัญลักษณ์แห่งพรหมจรรย์ ความสดใหม่ และเสน่ห์ที่เพิ่งผลิบาน) ก่อนที่ครึ่งหลังจะเป็นการปรากฏตัวของ โกะโช โกโรโซ รับบทโดย อิชิคาวะ ดันจูโร ฮาคุเอ็น รุ่นที่ 13 ถ่ายทอดฉากการปราบเหล่าร้ายอย่างสง่างาม โกะโช โกโรโซ — จากซามูไรผู้ละทิ้งยศศักดิ์มาใช้ชีวิตแบบชาวเมือง เขาคือ ‘ โอโตโกะดาเตะ ’ ผู้เปี่ยมด้วยใจนักเลงและจิตวิญญาณแห่งการต่อต้าน ปราบผู้มีอำนาจที่กดขี่ และช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ จนกลายเป็นวีรบุรุษที่ครองใจชาวเอโดะ และสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญบนเวทีคาบูกิ

 

 

ในปัจจุบัน มีการเปิดกว้างให้ผู้หญิงและนักแสดงจากนอกวงการคาบูกิเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้เกิดความหลากหลายทางศิลปะและช่วยให้คาบูกิยังคงเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ และแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่คาบูกิยังคงเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่น เทคนิคการแสดงของคาบูกิเป็นงานละเอียด ‘ มิเอะ ’ คือท่วงท่าหยุดนิ่งอันทรงพลังของคาบูกิ ทุกการหยุดนิ่ง ทุกสายตา คือการเล่าเรื่องด้วยพลังที่เกินกว่าคำพูด และ “ อิจิคาวะ ดันจูโร ฮาคุเอ็น รุ่นที่ 13 ” คือผู้สืบทอดที่ทำให้ ‘ ท่วงท่า ’ เสมือนมีมนตร์มายา แสดงถึงพลังอารมณ์ของตัวละครที่ขับเน้นความมีชีวิตชีวาบนเวที ทำให้คาบูกิเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เพื่อถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบของคาบูกิยังคงช่วยส่งผลและดึงดูดไม่เพียงแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลายส่วนทั่วโลก ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่ ทำให้คาบูกิไม่ใช่เพียงแค่การแสดงแนวประเพณีที่เก่าแก่เท่านั้น แต่ยังเป็นศิลปะร่วมสมัยและสามารถอยู่รอดมาได้ในทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน

 

 

ศตวรรษที่ 21 อาจเป็นยุคทองของเทคโนโลยี แต่คาบูกิยังคงมีเสน่ห์และมนต์ขลังที่ยังไม่จางหาย เป็นศิลปะที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน และยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป สัมผัสเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นไม่ต้องเดินทางไกล กลับมาให้คนไทยได้ชมอีกครั้งในรอบ 29 ปี กับ “ KABUKI OtokodateHana No Yoshiwara By Ichikawa Danjuro XIII in Bangkok 2025 ” สุดยอดการแสดงคาบูกิเต็มรูปแบบจากญี่ปุ่น ผู้จัดภูมิใจนำเสนอสุดยอดการแสดงแห่งยุค ที่พร้อมจะไปพาผู้ชมไปพบกับศาสตร์การแสดงที่สุดประทับใจ จัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์

 

ความพิเศษคือ “โอโตโกะ ดาเตะ ฮานากาคุระ” เป็นคาบูกิที่สามารถชมได้เพียงสายสกุล ‘ นาริตะยะ ’ เท่านั้น คือโอกาสหายากที่จะได้สัมผัสการแสดงอันทรงคุณค่านี้ในประเทศไทย

จองบัตรชมการแสดง “ KABUKI Otokodate Hana No Yoshiwara By Ichikawa Danjuro XIII in Bangkok 2025 ”  3 รอบการแสดง

วันที่ 13 ธันวาคม 2025 เวลา 15.00-17.00 และ 19.00-21.00

วันที่ 14 ธันวาคม 2025 เวลา 16:00 – 18:00

บัตรราคา: 5,000 / 4,000 / 3,000 / 2,000 บาท 

ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา หรือ www.thaiticketmajor.com และ Call center โทร 0-2262-3456

 

ติดตามข่าวสารอัพเดทเพิ่มเติมได้ที่ Facebook / Instagram / X (Twitter): Sync Circle และ For more info : [email protected]

 

 

ขอบพระคุณภาพและข้อมูลข่าว โดย BKKIFF 2025 และ Sync Circle


 


[1] About the Directors’ Fortnight https://www.quinzaine-cineastes.fr/en/who-we-are

[2] ระยะเวลาการพัฒนของ KABUKI https://www2.ntj.jac.go.jp/unesco/kabuki/en/history/history3.html

[3] ผลกระทบทางวัฒนธรรม: การเชื่อมโยงระหว่างรุ่นและพรมแดน https://thisis-japan.com/kokuho-movie-a-monumental-box-office-triumph-reviving-kabukis-timeless-charm/

[4] “KOKUHO” – อารมณ์สากลที่ไร้ขอบเขต เหตุใด Ninkyō และ Kabuki จึงสะท้อนถึงโลก?   https://niche-japan.com/content/3590/

[5] ภาพยนตร์ 'โคคุโฮ' โกยรายได้และแหวกกระแสแอนิเมชั่นที่กำลังครองตลาดหนังญี่ปุ่น, spacebar.th https://spacebar.th/business/kokuho-live-action-film-challenges-anime-dominance-japan

[7] เปิดม่าน "Kokuho" ผู้กำกับ Lee Sang-il ,  https://www.facebook.com/share/p/1Bd9FFSBFM/

[8] Otokodate Hanakurabe ” (男伊達 花くらべ    https://www.unlockmen.com/nihon-stories-yoshiwara/