ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

“อาคันตุกะจากกรุงสยาม” : เมื่อปรีดี พนมยงค์ เยือนประเทศอังกฤษ

22
ตุลาคม
2568

 

ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเชิญจาก Lord Mountbatten ให้ไปพำนัก ณ คฤหาสน์ Broadlands 
ประเทศอังกฤษ (มิถุนายน 2513)

 

ในระหว่างที่ท่านปรีดี พักอยู่ในฝรั่งเศส มิตรเก่าของท่านคนหนึ่งคือลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน เอิร์ล ออฟ เบอร์ม่า อดีตแม่ทัพใหญ่ภาคเอเซียอาคเณย์ของสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง และอดีตอุปราชแห่งอินเดียคนสุดท้าย ได้เชิญท่านปรีดี พร้อมด้วยท่านผู้หญิงพูนศุข ให้ไปเยือนประเทศอังกฤษ

ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน ผู้นี้เป็นพระญาติใกล้ชิดชั้นผู้ใหญ่ของควีนเอลิซาเบธ ราชินีแห่งกรุงอังกฤษและพระสวามี ซึ่งมีความศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตยกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับท่านปรีดี พนมยงค์ ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน จึงได้ให้ความเคารพรักและเห็นใจในเคราะห์กรรมของท่านปรีดี เป็นอย่างยิ่งที่ถูกนักการเมืองผู้ไม่อายต่อบาปหยิบยกเอากรณีสวรรคตของเยาวกษัตริย์ผู้อาภัพมาใส่ไคล้ท่านให้มัวหมอง

ดังนั้นเมื่อได้โอกาส ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน จึงได้เชิญท่านปรีดี ไปเยือนอังกฤษเป็นการรับขวัญและเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของท่านปรีดี ในกรณีที่ถูกใส่ไคล้ โดยมีเกียรติยศและความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์อังกฤษของลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน เองเป็นประกัน

เพราะถ้าท่านปรีดี มีความคิดชั่วต่อสถาบันกษัตริย์แล้วไซร้ ลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบตเตน ผู้เป็นพระญาติแห่งราชวงศ์อังกฤษคงจะไม่สนใจที่จะพบกับ ท่านปรีดี อย่างแน่นอน

ลอร์ดหลุยส์ ได้เคยให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ไทม์เกี่ยวกับท่านปรีดีก่อนหน้าที่ท่านปรีดีจะไปเยือนประเทศอังกฤษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปีพ.ศ. ๒๔๘๘ ดังมีข้อความตอนหนึ่งซึ่ง เซอร์แอนดรู กิลครีสท์ ได้นำมาลงไว้ในหนังสือที่ท่าน เซอร์ ประพันธ์ขึ้นชื่อ “บางกอกท็อปซีเคร็ต” มีข้อความ ดังนี้

 

อาคันตุกะจากกรุงสยาม
การรณรงค์ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
จากการเปิดเผยของท่านลอร์ดเมานท์แบตเตน

ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศสยาม (ตามคำบอกเล่าของท่านลอร์ดเมานท์แบตเตน) เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปมักจะรู้จักในนามของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม และพวกเราหลายคนที่เคยอยู่ในกองบัญชาการซีแอค (SEAC) มักจะรู้จักท่านในนาม “รู๊ธ” ซึ่งเป็นชื่อรหัสของท่าน ท่านกำลังจะมาเยือนประเทศนี้ในระยะสั้นเพื่อสันถวไมตรีโดยเป็นแขกของรัฐบาล ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราคงจะถือโอกาสนี้ให้การต้อนรับอันอบอุ่นแก่ท่าน เพราะเหตุว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นบุคคลที่มีบทบาทอันสำคัญคนหนึ่งในสงครามภาคพื้นอาเซียอาคเณย์ ในระหว่างสงคราม แน่นอนทีเดียว การกล่าวขวัญถึงชื่อของท่านจะกระทำได้เพียงการกระซิบกระชาบ และเรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวกับตัวท่านทั้งหมดเป็นเรื่องที่ “ลับสุดยอด” ถึงแม้ในขณะนี้ประชาชนอังกฤษ ส่วนมากก็ไม่ทราบถึงการกระทำอันกล้าหาญและเสี่ยงภัยของท่าน

“ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”

ข้าพเจ้า ตระหนักดีถึงความยากลำบากในการที่ท่านต้องควบคุมกองกำลัง แต่ข้าพเจ้าก็ต้องจำใส่ใจว่าการลงมือกระทำการก่อนถึงเวลาอันสมควร (.หมายถึงการที่เสรีไทยจะลุกขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นโดยเปิดเผย,) จะเกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงเพราะจะทำให้ญี่ปุ่นใช้กำลังตอบโต้และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์ของข้าพเจ้าที่จะเปิดฉากสงครามอย่างกว้างขวางต้องเสียไป ความเคร่งเครียดของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมและการเสี่ยงภัยที่ท่านต้องเผชิญอยู่มากกว่า ๓ ปีเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แต่ความมีวินัยของท่านเองและสานุศิษย์ของท่านซึ่งเกิดจากแรงดลใจของท่านทำให้ท่านสามารถประสบความสำเร็จ ท่านไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

ข้าพเจ้าทราบว่ามีหลายคนที่เคยเป็นเชลยศึกในประเทศสยามซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีเหตุผลที่จะขอบคุณสำหรับไมตรีจิตที่ท่านได้ให้แก่เรา ดังนั้น ขอให้เราให้เกียรติแก่คน ๆ หนึ่งซึ่งได้ให้บริการอันใหญ่หลวงแก่สัมพันธมิตรและประเทศชาติของเขาเอง และตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบมาเป็นส่วนตัว ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่เสริมสร้างมิตรภาพระหว่างคนอังกฤษและคนสยาม ลูกโซ่แห่งการต่อต้านญี่ปุ่นของคนท้องถิ่นบนผืนแผ่นดินที่ถูกยึดครองในอาเซียอาคเณย์มีช่องว่างอยู่เพียง ๒ - ๓ แห่ง และช่องว่างแห่งหนึ่งก็ได้ถูกเชื่อมโยงโดยการบุกบั่นของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (เสียงโห่ร้องแสดงความชื่นชมดังสนั่นและติดต่อกันเป็นเวลานาน)

 

ในขณะที่ ท่านปรีดี พักอยู่กับลอร์ดหลุยส์ในอังกฤษนั้น นักเรียนไทยในประเทศอังกฤษได้เชิญ ท่านปรีดี เพื่อไปพบปะกับนักเรียนไทยในอังกฤษ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๓ ณ สมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “สามัคคีสมาคม” ดังข้อความบันทึกของนายไพฑูรย์ สายสว่าง ที่ได้นำลงในหนังสือพิมพ์จตุรัสฉบับที่ ๔ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓ ภายใต้หัวเรื่องว่า “นายปรีดี พนมยงค์ กับคนไทยในลอนดอน” บทบันทึกได้ขึ้นต้นว่า

 

เมื่อสองวันก่อนได้ทราบว่า นายปรีดีได้มาลอนดอนและจะไปพูดกับนักเรียนไทย ด้วยความรู้สึกในวินาทีแรกที่ได้ยินคำบอกเล่า ออกจะฉงนแกมตื่นเต้น ด้วยว่าเป็นครั้งแรกที่จะได้มีโอกาสพบ และฟังคำปราศรัยของรัฐบุรุษคนสำคัญ ซึ่งกำลังถูกกล่าวขวัญติชมมากที่สุดในสังคมไทยปัจจุบันยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังรู้สึกสงสัยในการเดินทางมาของท่านด้วย ความเคลื่อนไหวล่าสุดทราบว่า ท่านเดินทางออกจากกวางตุ้งแล้วมาพำนักอยู่ที่ปารีส และเริ่มมีบทบาทแสดงออกเพื่อเป็นที่รู้จักอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการมีคดีความกับท่านเอกอัครราชทูตไทยที่นั่น ต่อจากนั้นได้ทราบอีกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางท่าน เสนอให้เชื้อเชิญนายปรีดีเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทย เพื่อแผ้วถางวิถีทางในอันที่จะเปิดการเจรจากับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน

ในฐานะที่ท่านเป็น นายปรีดี พนมยงค์ อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใด ที่จะต้องโฆษณาป่าวร้องเพื่อให้ได้คนไทยกลุ่มใหญ่มาฟังการปราศรัยครั้งนี้ และก็คงจะมีอยู่บ้างที่มาเพื่ออยากจะดูว่า หน้าตาของท่านเป็นอย่างไร แต่ส่วนมากนอกจากอยากดูและอยากฟังว่าจะพูดเข้าท่าแค่ไหนแล้ว ก็คงจะมาเพราะมีข้อสงสัยอยู่ในใจหลายข้อ ว่าท่านมาอังกฤษทำไม มาเที่ยวหรือว่ามีจุดประสงค์และที่จะมาพูดกับนักศึกษานั้น ในทางด้านการเมืองท่านจะได้อะไรบ้าง จากการปรากฏตัวครั้งนี้ ปฏิกิริยาของผู้คนที่หวาด ๆ ต่อการมาพบและร่วมหัวกับนายปรีดีเป็นอย่างไร และในที่สุดก็คงอยากจะทราบว่า ท่านจะเข้าถึงนักศึกษาได้แค่ไหน นักศึกษาบางคนนั้นยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำในตอนที่ท่านต้องเดินทางออกนอกประเทศเมื่อ ๒๐ ปีก่อน

วิถีทางการเมืองของนายปรีดี พนมยงค์ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เชี่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย และภูมิภาคเอเซียอาคเนย์สรุปได้ดังนี้

ก. นอกจากจะมาพบเพื่อน ๆ และผู้คุ้นเคยในวงการแล้ว ก็คงจะมาอังกฤษ เพื่อเริ่มสร้างเกียรติคุณอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ในฐานะรัฐบุรุษก็ในฐานะของผู้บริสุทธิ์ ที่สูญเสียศักดิ์ศรีจากเคราะห์กรรม และจากความผิดพลาดทางการเมือง และเรียกร้องความเห็นใจ เฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ท่านจึงใช้โอกาสนี้เผยเรื่องกับนักศึกษาไทยที่อังกฤษ ด้วยหวังว่าจะซึมไปถึงประเทศไทย ในกรณีนี้ต้องนับว่าท่านโชคดีอยู่บ้าง ที่ฝ่ายตรงข้ามคอยกระตุ้นให้เป็นข่าวอยู่เสมอ และในคดีที่ฟ้องหนังสือพิมพ์สยามรัฐนั้น ก็เป็นการขอความเห็นใจจากประชาชน และเป็นโอกาสที่จะเปิดเผยเรื่องราวที่แล้วมา โดยไม่เคยมีโอกาสกระทำมาก่อน ทั้งนี้ออกจะเสี่ยงอยู่บ้างแต่มันก็เป็นช่องทางเดียวที่เหลืออยู่

ข. ต่อปัญหาที่ว่า จะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้น อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่า คนอย่างท่านนั้นย่อมดึงดูดคนฟังได้มาก และเป็นผู้ฟังที่มีความสนใจแทบทั้งสิ้น ส่วนเขาจะเชื่อและเห็นใจหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าท่านจะพูดได้ดีแค่ไหน ยังคล่องแคล้วและปราดเปรียวเหมือนเดิมหรือไม่ นอกเหนือไปจากนั้น ท่านจะต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้รักชาติอย่างแท้จริง เพราะเรื่องนี้ยังคลุมเครืออยู่ในใจของผู้ฟังทุกคน

ค. ความรู้สึกโดยทั่วไปของผู้ฟังก่อนที่จะได้พบกับท่านปรีดีนั้น เห็นได้ชัดในกลุ่มนักศึกษาที่กระตือรือร้นในกิจการบ้านเมือง เฉพาะพวกที่หนักไปทางการเมือง ออกจะดูมีความหมายอยูบ้าง ในจุดประสงค์แห่งการมาของท่านและไม่สู้จะเต็มใจนักที่จะเจาะจงการจัดประชุมในสามัคคีสมาคม เพราะกังวลไปว่า การปราศรัยและการปรากฏตัวของนายปรีดี พนมยงค์ จะทำให้พวกเขาเป็นที่สงสัยของตำรวจ ผู้ดูแลนักเรียนก็จะไม่ค่อยสบายใจนักแต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด ท่านทูตก็ร่วมอยู่ในที่นั้นด้วย แต่ก็ยากที่จะพูดถึงปฏิกิริยาของท่าน คนฟังส่วนมากก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยมาฟังการพูดของคนสำคัญ ๆ อื่น ๆ จากประเทศไทย จึงไม่มีใครหวาดระแวงกันนัก ด้วยกลุ่มผู้ฟังเช่นนี้เอง ผู้เขียนจึงคิดว่าการพูดคงจะมีผลอยู่บ้าง แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายปรีดี ว่าท่านจะพูดได้ประทับใจเพียงใด

ง. ต่อปัญหาของความแตกต่างแห่งวัยจะเป็นปัญหาหรือไม่นั้น ก็ยังเป็นสิ่งสงสัยกันอยู่บ้างว่าคนวัยปูนท่านนั้น (๗๐ ปี) ยังจะสามารถพูดถึงปัญหาในระดับเดียวกันกับคนหนุ่มรุ่นนี้ได้อยู่หรือ ถึงแม้ว่าท่านจะเคยอยู่ระดับแนวหน้าในยุคที่แล้วมา แต่เมื่อมาคิดอีกทีว่า ประสพการณ์ของท่านในต่างประเทศ น่าจะช่วยให้ท่านปราดเปรียวและรุดหน้าอยู่ และถ้าจะดูจากการเคลื่อนไหวที่แล้ว ๆ มา ก็พอจะคาดได้ว่าท่านคงทำได้ไม่ยาก แม้ในกรณีที่ท่านไม่อาจตอบคำถามบางข้อในที่ประชุมได้ ก็ยังสนใจต่อไปว่าท่านจะอ้อมคารมได้ดีเพียงใดและที่น่าคิดอย่างยิ่งนั้นก็คือว่า หลังจากที่ได้พำนักอยู่ในประเทศจีนมานาน หลักการและความคิดของท่านจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร จะยังเหลือแก่นสารแห่งความคิดอะไรไว้บ้าง ถึงแม้ว่าตอนนี้ ท่านอาจจะไม่มีโอกาสเข้าสู่วงการเมืองอีกแต่ท่านก็อาจจะจูงใจคนรุ่นเยาว์ได้บ้าง แม้จะไม่ถึงเป็นผู้ให้แนวทัศนะอุดมการณ์อะไร

การพูดดำเนินไปอย่างที่ควร ผู้ฟังมีจำนวนมากมายจนล้นหลามออกมานอกประตู มีคำถามหลายข้อจากคนถามกลุ่มเดียวกัน ซึ่งรู้สึกว่าจะจงใจเลือกเฟ้นคำถามกันมาก่อน แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวัง และมีความเคารพต่อผู้พูดด้วย ไม่มีคำถามที่ก้าวร้าวและเสียดสีเหมือนอย่างที่เคยมักจะมี ผู้คนส่วนมากดูตั้งใจฟังและรับฟังด้วยดี ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะยังไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของนายปรีดีมาก่อน หรือบางทีอาจเป็นเพราะลักษณะการวางตัวเข้มของท่าน เมื่อคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าออกจะเป็นการยากที่ผู้พูดจะเผยความในใจในบรรยากาศเช่นนั้น

ครั้งแรกที่ได้เห็นนายปรีดี ผู้เขียนเองรู้สึกประหลาดใจ ที่เห็นท่านไม่แก่อย่างที่คาดไว้ แต่งกายด้วยชุดสากลสีเทา ท่านนั่งอย่างสำรวมและยิ้มอ่อนโยนในบางครั้ง พูดอย่างธรรมดา ๆ ด้วยเสียงค่อนข้างเบาแต่ชัดเจนดี สายตาเหม่อมองเพดานบ่อยครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่แล้วมาและบางครั้งเมื่อพยายามลำดับข้อเท็จจริง เมื่อถูกถามก็หันไปถามท่านผู้หญิงพูนศุขเพื่อความแน่ใจ ท่านตอบคำถามอย่างตั้งใจและด้วยความระมัดระวัง แต่ก็มิได้เน้นถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ และถ่อมตัวด้วยการตำหนิตนเองในความแข็งทื่อถือดีในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ แต่เมื่อพูดถึงมิตรและศัตรูท่านเอ่ยถึงโดยใช้ตำแหน่งเต็ม และไม่ปรากฏว่าได้ใช้ถ้อยคำที่ไม่บังควรแม้แต่ครั้งเดียว ท่านกล่าวถึงหลักการแต่พอเป็นเค้าและยึดอยู่ในหลักความเป็นอนิจจังของพระพุทธเจ้า ที่กล่าวถึงวิถีแห่งความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของสากลโลก ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาวะการเอาเปรียบ (Exploitation) นั้น ท่านถือเป็นเพียงหมายเหตุเท่านั้น และไม่พยายามที่จะโยงเข้ากับลัทธิชาตินิยมแต่อย่างใด การปราศรัยจบลงอย่างเรียบ ๆ รู้สึกว่าผู้ฟังต่างพอใจ และชื่นชมยินดีอย่างเห็นได้ชัด

การที่ท่านพูดอย่างตั้งใจและถ่อมตัว ก่อให้เกิดความนิยมนับถือ ถึงแม้จะเหินห่างไปบ้าง แต่ที่ท่านยังสามารถให้ข้อคิดเห็นอย่างเฉียบแหลมอยู่ทั้งในทางการเมืองและสังคม ทำให้ผู้ฟังต่างตระหนักว่า ท่านยังไม่ถึงกับหลงลืมหรือฟั่นเฟือน ที่ประทับใจมากที่สุด ก็คือการนับถือในตัวบุคคล ที่ท่านมีต่อมิตรและศัตรู นับแต่ ท่านประธานเหมา หม่อมราชวงศ์เสนีย์ และ คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐ และมิตรผู้ร่วมก่อการ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕

การปรบมือตอบรับอย่างยาวนาน แสดงว่าท่านได้ชนะจิตใจของผู้ฟังกลุ่มใหญ่อย่างแท้จริง

การที่จะลำดับสาระแก่นสารคำปราศรัยของท่าน ทำไม่ได้ง่ายนักและก็ยากที่จะตัดสินความคิดทฤษฎีต่าง ๆ ในการบรรยายอย่างไม่เป็นกิจลักษณะในชั่วเวลาเพียง ๙๐ นาที ยิ่งกว่านั้นยังดูจะไม่เป็นธรรมต่อผู้พูดเองด้วย แม้ว่าจะไม่ถึงกับเป็นการกระทบกระเทียบอะไรจากสาระในคำปราศรัย นายปรีดี พนมยงค์ อยากให้ประชาชนได้ประจักษ์เรื่องราวทางด้านของท่านบ้าง และขจัดความคลุมเครือในความบริสุทธิ์ในคดีการลอบปลงพระชนม์ เพื่อที่คนจะได้เห็นว่าท่านเป็นผู้รักชาติอย่างแท้จริง ในกรณีนี้ไม่มีส่วนด้วยเลยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น การที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐกล่าวหาว่าท่านจะตั้งสาธารณรัฐขึ้นนั้น ถ้าอยากจะทำก็สามารถกระทำได้โดยรัฐสภาเพราะขณะนั้นทั้งสองสภาเข้ากับท่านอยู่แล้ว นอกจากนั้น ท่านยังเป็นคนแรกที่เสนออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันขึ้นสู่ราชบัลลังก์ การออกนอกประเทศของท่านไม่ใช่เป็นการหลีกเลียงคดีนี้ เพราะไม่มีการฟ้องกล่าวหาในครั้งนั้น หากเพื่อเลี่ยงจากการให้ร้ายป้ายสีและลี้ภัยทางการเมืองจากการรัฐประหาร ท่านขอให้ประชาชนตัดสินในฐานะลูกขุน ในกรณีที่จะต้องพิจารณาโดยประชามติ

หลักการของท่าน พอที่จะเข้าถึงได้ไม่ยาก แม้ว่าท่านจะได้พูดอย่างระมัดระวังถึงผลกระทบกระเทือนทางการเมือง ข้อคิดอุดมคติทางสังคมและการคาดหมายถึงลักษณะของสังคมยังไม่แน่ชัดนัก พอจะจับได้ว่าเป็นสังคมที่มีความเป็นธรรมเป็นหลัก โดยกล่าวว่า สังคมที่เป็นธรรมคือสังคมที่ปราศจากการเอาเปรียบ (Exploitation) ซึ่งหมายถึงว่าบุคคลได้รับประโยชน์เป็นส่วนเหมาะสมกับแรงงานของคนนั้น ท่านเชื่อว่าสภาพการเปลี่ยนแปลงย่อมมีขึ้นเสมอ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น จะเป็นไปเพื่อก่อให้เกิดมีลักษณะการเอารัดเอาเปรียบให้มากขึ้นหรือน้อยลง และว่าการโกงกินกันนั้นเป็นการเอาเปรียบที่น่าอับอายและเห็นได้ชัดมากที่สุด ท่านไม่ได้กล่าวสิ่งใดนอกเหนือไปกว่านี้

การประชุมปราศรัยเช่นนี้ ควรแก่การต้อนรับด้วยดีจากบุคคลทั่วไปและไม่น่าจะเป็นโทษเป็นภัยแก่ใครเลย นอกจากบางที่บุคคลฝ่ายตรงกันข้ามสองสามคน แต่ท่านเหล่านั้นก็มีโอกาสเสนอเรื่องราวทำนองนี้อยู่แล้ว ส่วนเราผู้ฟังส่วนมาก นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ตัดความรำคาญ อย่างน้อยที่สุดก็ได้รับฟังและพบกับบุคคลสำคัญผู้ได้รับการติชมโต้เถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ปัจจุบันของไทย สำหรับนายปรีดีเองก็เป็นโอกาสที่จะได้เปิดเผยความนัยด้านของท่านบ้าง และได้พบปะสังสรรค์กับคนไทย ซึ่งขาดการติดต่อมานานอีกครั้งหนึ่ง สำหรับฝ่ายรัฐบาลนั้น เอเย่นต์ที่เข้าร่วมฟัง ก็คงจะได้ทราบถึงฐานะของนายปรีดีและรู้เห็นถึงผู้ใกล้ชิดมิตรสหายของท่านว่ามีใครบ้าง

ส่วนผู้ที่ร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ก็คงจะได้รู้ว่า ตนได้ตั้งราคาให้แก่ความมั่นคงและฐานะทางการเมืองของตนสูงเกินไป

 

บันทึกจบลงเพียงแค่นี้ และนอกจากบทความเห็นเกี่ยวกับท่านปรีดีในลอนตอนที่เสนอโดย P. SANSWANG ที่นำเสนอในนิตยสารจตุรัสแล้ว ก็ได้มีบันทึกอีกฉบับหนึ่งที่ได้บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยผู้ใช้นามปากกาว่า “คนไทยในอังกฤษ” ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างจะละเอียดพอสมควร ดังต่อไปนี้

 

บันทึก

“คนไทยในอังกฤษ” ที่ร่วมสนทนากับนายปรีดี พนมยงค์ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๓

หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาแนะนำให้ผู้ที่มาร่วมสนทนาทราบประวัตินายปรีดีตลอดจนการเป็นหัวหน้าเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วเชิญนายปรีดีขึ้นพูด

นายปรีดีฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของตนที่เดินทางมายังประเทศอังกฤษว่า มีเจตนาที่จะมาเยี่ยมเยียนและนมัสการวัดพุทธปทีป เพราะตนเองกำลังดำเนินการสร้างสำนักสงฆ์ไทยขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ในการเดินทางมาครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนชาวอังกฤษที่เคยนับถือ และชอบพอกันอำนวยความสะดวก อาทิเช่น การขอวีซ่าจากสถานทูตอังกฤษในฝรั่งเศส การให้การรับรองในอังกฤษ และมีความยินดีที่กลุ่มนักศึกษาภาวะประเทศไทยเชิญมาพบปะกับคนไทยในประเทศอังกฤษ ในการมาพบปะครั้งนี้ มิได้มุ่งหมายจะมาโฆษณาชวนเชื่อหรือล้างสมองคนไทยในอังกฤษ และที่มาครั้งนี้ก็ไม่มีหัวข้อที่จะพูด หากแต่ว่าใครประสงค์จะถามปัญหาอะไร ก็ยินดีตอบให้ทราบโดยขอทำตัวเป็นจำเลยให้ผู้ที่มาพักซักถามเอาเอง

ได้มีผู้ถามปัญหาและเรื่องราวต่าง ๆ สรุปคือ

๑. ชีวิตในระหว่างที่อยู่ในประเทศจีน

นายปรีดีฯ เล่าให้ฟังว่า ได้ไปอยู่ในประเทศจีนครั้งแรกสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋งยังมีอำนาจอยู่ ครั้งหลังได้ไปอยู่ในกรุงปักกิ่ง ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ในเมืองกวางตุ้ง เพราะทนอากาศหนาวไม่ไหว การอยู่ในประเทศจีนอยู่อย่างคนไทยซึ่งเป็นคนต่างด้าวของประเทศจีน ต้องทำบัตรต่างด้าว มิได้มีเอกสิทธิแต่อย่างใด ชีวิตประจำวันก็ได้แก่การฟังวิทยุจากสถานีของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศไทย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และของจีน กับอ่านหนังสือพิมพ์และหนังสือและตำราต่าง ๆ ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ใด ๆ เคยพบกับประธานเหมาและนายกรัฐมนตรีจูเอินหลายในงานฉลองวันชาติจีน ทั้งสองคนแสดงความเห็นใจที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน

เมื่อจะเดินทางออกจากประเทศจีนมายังฝรั่งเศส ตนได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและทางการจีนจัดเอกสารการเดินทางสำหรับคนต่างต้าวให้ เพราะหนังสือเดินทางที่มีอยู่ขาดอายุและต่อไม่ได้ เพราะไม่มีสถานทูตหรือกงสุลไทยในประเทศจีน ในที่สุดก็ได้เดินทางออกมาพำนักในประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่เดือนพฤษภาคมศกนี้ อยากจะเดินทางมาประเทศอังกฤษตามความตั้งใจดังกล่าวแล้วตั้งแต่มาถึงฝรั่งเศส แต่มาไม่ได้เพราะไม่มีหนังสือเดินทาง ได้ขอหนังสือเดินทางจากสถานทูตไทยในปารีส แต่สถานทูตไทยไม่ยอมออกให้ ตนจึงต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลไทย ในที่สุดศาลได้ไกล่เกลียและรัฐบาลไทยได้สั่งให้สถานทูตไทยในปารีสออกหนังสือเดินทางให้

๒. บทบาทของการเมืองระหว่างประเทศของจีน

มีผู้ถามว่านโยบายของจีนจะรุกรานประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยนั้น มีความจริงประการใด

นายปรีดีฯ กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายของเขาอย่างชัดแจ้งที่จะปฏิบัติตามหลักแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ๕ ข้อ ที่ตกลงกับบางประเทศและที่บันดง และเขาได้ประกาศยืนยันในนโยบายนี้ตลอดมา มีผู้ถามกรณีขัดแย้งระหว่างประเทศจีนกับประเทศต่าง ๆ เช่น กรณีอินเดียก็ดี กับอินโดนีเซียก็ดี ก็เป็นเรื่องต้องวินิจฉัยว่า ใครผิดใครถูก ส่วนที่มีกรณีพิพาทในท้องที่ต่าง ๆ เช่น พม่า, ลาว ก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและธรรมดา สำหรับประเทศที่มีอาณาเขตต่อต่อกัน ก็อาจจะกระทบกระทั่งกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นโยบางของรัฐบาลเขายืดหลัก ๕ ข้อนั้นอย่างแน่นแฟ้น

๓. บทบาทของคนไทยในประเทศจีน

มีผู้ถามถึงเรื่องกระบวนการของคนไทยที่เรียกว่าแนวร่วมรักชาติ และวิทยุไทยในปักกิ่งซึ่งแสดงท่าทีคุกคามประเทศไทย

นายปรีดีฯ กล่าวว่า กระบวนการดังกล่าวนั้น เขาดำเนินการโดยเปิดเผย คือ พ.ท.โพยม จุฬานนท์ รวมทั้งคนไทยอื่น ๆ ซึ่งเขาเป็นผู้รับผิดชอบในกระบวนการนั้น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

มีผู้ถามว่า ในประเทศจีนมีคนไทยมากน้อยอย่างใด

นายปรีดีฯ ตอบว่า เป็นลูกหลานจีนที่เกิดในเมืองไทยอยู่มากมาย ตนเองโดยปกติไม่มีโอกาสพบปะกับคนไทยมากนัก นอกจากบางครั้งมีคนไทยผ่านไปทางเมืองกวางตุ้ง ก็ได้พบปะกันบางโอกาสเท่านั้น สำหรับวิทยุไทยในปักกิ่งนั้น ก็เป็นเรื่องของกระบวนการดังกล่าว ตนไม่มีส่วนรู้และทราบเรื่องทั้งไม่เคยส่งข้อความไปร่วมกระจายเสียงด้วยเลย

๔. กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘

มีผู้ถามถึงกรณีสวรรคต ซึ่งมีการกล่าวว่านายปรีดีฯ มีส่วนร่วมในกรณีนั้นด้วย ข้อเท็จจริงเป็นประการใด

นายปรีดีฯ กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้ตนกำลังเป็นโจทก์ฟ้องหนังสือพิมพ์สยามรัฐและพวกมี ม.ร.ว.ศึกฤทธ์ ปราโมช และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งลงข่าวหมิ่นประมาทตน หาว่าตนเป็นผู้ต้องหาคดีลอบปลงพระชนม์และหลบหนีดีนั้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง จึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความ คดีเพิ่งจะเริ่มฟ้อง และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ตนจึงไม่อาจชี้แจงนอกเหนือไปจากคำฟ้องได้ เพราะจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล จึงอยากจะเพียงสรุปจากคำฟ้องของตนให้ฟัง กล่าวคือที่กล่าวหาว่าตนร่วมในกรณีปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ นั้น เป็นข้อกล่าวหาของบุคคลในรัฐบาลสมัยที่ร่วมทำรัฐประหารรัฐบาลธำรง เมื่อหลังวันที่ ๘ พฤจิกายน ๒๔๙๐ ข้อเท็จจริงมีว่า ในขณะที่รัชกาลที่ ๘ สวรรคตนั้น ตนเป็นนายกรัฐมนตรี และมีเสียงข้างมากในพฤฒสภาและสภาผู้แทน เมื่อรัชกาลที่ ๘ สวรรคตตนได้ปรึกษากับจ้าวนายประธานสภาทั้งสอง และคณะรัฐมนตรีอัญเชิญทูลพระอนุชาคือรัชกาลปัจจุบันขึ้นทรงราชย์ต่อไป และได้เสนอต่อรัฐสภาเพื่อรับความเห็นชอบตามวิถีทางรัฐธรรมนูญทุกประการ หากตนมีเจตนามุ่งหมายจะทำลายสถาบันกษัตริย์ ก็ย่อมกระทำได้โดยไม่ยากและที่กล่าวว่าตนหลบหนีคดีสวรรคต ก็ไม่เป็นความจริง เหตุที่ตนต้องหลบหนีจากประเทศไทย ก็เพราะคณะรัฐประหารสมัยนั้นตามจับตัวและลูกเมียเพื่อจะฆ่า แต่ตนหนีรอดออกมาได้ เพราะความช่วยเหลือของผู้ช่วยทูตทหารเรืออังกฤษและอเมริกาที่ประจำอยู่ในประเทศไทย และได้ออกมาจากประเทศไทยภายหลังรัฐประหาร การดำเนินการสอบสวนกรณีสวรรคตกระทำภายหลังเมื่อตนได้ออกมาจากประเทศไทยแล้ว จะกล่าวว่าตนหลบหนีกรณีสวรรคตได้อย่างไรแม้เมื่อตอนหนีออกไปพำนักอยู่ที่สิงคโปร์ในระยะแรก ทางคณะรัฐบาลรัฐประหารได้พยายามหาความกับบุคคลที่ติดตามตนไป เพื่อขอให้ทางสิงคโปร์จัดส่งตัวตามวิธีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ศาลสิงคโปร์ก็ตัดสินว่าไม่มีมูลไม่ยอมให้ส่งตัวและให้ปล่อยบุคคลที่ติดตามนั้นเสีย แม้เมื่อตนได้ไปอยู่ในประเทศจีนซึ่งขณะนั้นคณะก๊กมินตั๋งยังครองอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่ และมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย ก็ไม่ปรากฏว่าทางการรัฐบาลไทยสมัยนั้นได้ดำเนินการเรียกร้องขอให้รัฐบาลจีนส่งตัวตามวิธีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่ประการใด การดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีก็ปรากฏว่ามีการบังคับขู่เข็ญพยาน ดังกรณีพระยาศรยุทธเสนีซึ่งได้ให้การไว้ต่อศาลเป็นต้น ฉะนั้นข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์กล่าวหาว่าตนต้องหาในกรณีสวรรคต กับหลบหนีคดีจึงเป็นความเท็จมุ่งหมายใส่ความตนรายละเอียดปรากฏอยู่ในคำฟ้องแล้ว การดำเนินคดีจะมีผลประการใดขอให้ติดตามฟังผลเอาเองตนไม่อาจชี้แจงนอกเหนือไปกว่านี้ได้

๕. แผนการเศรษฐกิจ

มีผู้ถามถึงแผนการเศรษฐกิจที่นายปรีดีฯ เคยจัดทำว่ามีเบื้องหลังและเจตนาอย่างไร

นายปรีดีฯ กล่าวว่า แผนเศรษฐกิจที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อปี ๒๔๗๕ นั้น จัดทำขึ้นก็เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทย ได้เป็นไปโดยเหมาะสมแก่สภาพของประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เพราะตนเองเป็นคนเกิดในชนบทได้พบเห็นภาวะและความเป็นอยู่ของชาวนา ซึ่งได้รับความบีบคั้นและเดือดร้อนเป็นอันมาก แต่บังเอิญการจัดทำและเสนอแผนเศรษฐกิจในขณะนั้นยังไม่ทันได้มีโอกาสชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกันเสียก่อน (พระยามโนฯ ยึดอำนาจการปกครองด้วยการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา - ผู้เขียน) ข้อสำคัญอย่างยิ่งก็คือ การดำเนินงานใด ๆ ถ้าไม่มีแผนการ ก็ย่อมจะดำเนินไปด้วยดีไม่ได้ ความประสงค์ที่วางแผนการขึ้นก็เพื่อให้เป็นแนวทางดำเนินงานตามความเหมาะสมแก่สภาพของสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดการเบียดเบียนระหว่างประชาชน เพราะตราบใดที่ยังมีการเบียดเบียนระหว่างประชาชน สังคมนั้นก็ย่อมไม่มีความยุติธรรม และสังคมที่ไม่มีความยุติธรรม ย่อมจะหาความสงบเรียบร้อยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นการวางแผนใด ๆ ก็จะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วย กล่าวง่าย ๆ แผนการนั้นคิดขึ้นเมื่อเกือบ ๔๐ ปีแล้ว เมื่อถึงบัดนี้ภาวะต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป รายละเอียดหลายอย่างที่วางไว้ตามแผนนั้น ก็นับว่าล้าสมัยไปแล้ว

๖. การกลับประเทศไทยและการช่วยประเทศชาติ

มีผู้ถามว่ามีเจตนาจะกลับประเทศไทยหรือไม่ และถ้ามีโอกาสได้รับใช้บ้านเมืองจะดำเนินการเศรษฐกิจอย่างไร ในประเทศไทยควรทำตัวอย่างไร

นายปรีดีฯ กล่าวว่า การกลับประเทศไทยเป็นเจตนาอันใหญ่ยิ่ง เพราะเป็นคนไทยก็ต้องรักบ้านเมืองไทย แม้คดีที่ถูกกล่าวหาจะหมดอายุความแล้ว ตามสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังขัดขวางการกลับอยู่ จะต้องรอดูสภาพการไปก่อน ถ้าหากกลับประเทศไทยและมีโอกาสรับใช้บ้านเมือง ก็ยินดีและจะรับใช้โดยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประชาชนคนไทย สำหรับในทางเศรษฐกิจนั้น มีความคิดเห็นว่าจะต้องปรับปรุง โดยยึดหลักความยุติธรรมของสังคมตัดรอนการเบียดเบียนกัน เฉพาะอย่างยิ่งการคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นการเบียดเบียน ที่ร้ายแรงที่สุด ในการดำเนินการจะต้องพิจารณา ทั้งด้านสัปเยกตีพและอ๊อปเยกตีพ จะเอาด้านใดด้านเดียวไม่ได้ เพราะได้กล่าวแล้วว่า สังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นอนิจจัง การดำเนินการใด ๆ ก็จะต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมเป็นประมาณ

สำหรับท่าทีของประเทศไทยนั้น ย่อมทราบอยู่แล้วว่า โลกเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ข้อสำคัญอยู่ที่ความเป็นเอกราชของชาติ ฉะนั้นนโยบายอันใหญ่ยิ่งของเราก็คือ จะต้องรักษาเอกราชที่เป็นประชาธิปไตยและวางตัวเป็นกลาง จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด

 

หมายเหตุ :

  • ปรับคำใหม่และแก้ไขคำผิดโดยกองบรรณาธิการ
  • ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ

บรรณานุกรม :

  • สุพจน์ ด่านตระกูล, เยือนอังกฤษ, ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ : ประจักษ์การพิมพ์, ๒๕๑๔), น. ๔๙๑-๕๐๙.