
เตียง ศิริขันธ์ “ขุนพลภูพาน” (พ.ศ. 2452–2495) ครูสามัญชนผู้ที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเป็นอีกกำลังสำคัญของขบวนการเสรีไทยสกลนคร

ศาสตราจารย์ วิสุทธิ์ บุษยกุล (พ.ศ. 2462-2554) ผู้เขียน อดีตสมาชิกขบวนการเสรีไทยผู้ทำหน้าที่ถอดรหัสและรายงานทางวิทยุโทรเลขเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยเสรีไทยสกลนครกับกองกำลัง 136 (Force 136) ในประเทศอินเดีย
ที่มา : มูลนิธิพระไตรปิฎกสากล - World Tipiṭaka Foundation
นายเตียง ศิริขันธ์ เป็นชาวสกลนครโดยกำเนิด เกิด พ.ศ. 2452 บิดาชื่อขุนนิเทศพาณิชย์ (บุดดี ศิริขันธ์) มารดาชื่อ นางอ้ม ศิริขันธ์ นายบุดดี ศิริขันธ์เป็นนักธุรกิจที่มีคนนับหน้าถือตามาก และอยู่ในระดับผู้นำในจังหวัดสกลนครสมัยก่อน ท่านเป็นพ่อค้าผู้นำที่คุมกองเกวียนส่งของออกไปขายต่างจังหวัดและซื้อของจากต่างจังหวัดมาขายในเมือง แต่ละครั้งจะมีพ่อค้าร่วมไปด้วยจำนวนยี่สิบหรือสามสิบคนขึ้นไป สินค้าที่นำไปขายส่วนใหญ่เป็นของป่า หรืออาจเป็นสินค้าประเภทฝีมือของชาวพื้นเมือง เมืองที่ไปติดต่อด้วยอาจเพียงแค่จังหวัดนครพนมหรืออุดรธานี ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางทั้งไปกลับ ดำเนินการเจรจาซื้อขายและพักผ่อนรวมทั้งหมดประมาณสิบห้าถึงยี่สิบวัน ถ้าเดินทางไกลกว่านั้น เช่น ไปถึงจังหวัดขอนแก่น หรือนครราชสีมา หรือกรุงเทพฯ ก็อาจต้องใช้เวลาสองหรือสามเดือนขึ้นไป ถ้าเป็นสมัยนี้ กองเกวียนที่เดินทางไปเพื่อการค้าเช่นนี้ก็คงจะเรียกว่า กองคาราวาน ผู้นำหรือกัปตันของกองเกวียนที่ดูแลผลประโยชน์ความเรียบร้อยและความปลอดภัยนี้ เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองอีสานว่า "นายฮ้อย" เพราะคนที่ไปด้วยจะมีหลายสิบคนขึ้นไปจนถึงร่วมร้อย
กองคาราวานของนักธุรกิจที่นับว่ามีชื่ออีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การต้อนวัวไปขายต่างแดน นายบุดดีมีชื่อมากในการคุมพ่อค้าวัวนำวัวไปขายในประเทศพม่า ใคร ๆ ในจังหวัดแถบนั้นเรียกชื่อท่านว่า "นายฮ้อยบุดดี" ถิ่นที่ไปบ่อยได้แก่มระแหม่ง (หงสาวดี Moulmein) แต่บางครั้งก็ไปถึงย่างกุ้ง นายฮ้อยบุดดีเป็นผู้นำที่พ่อค้าทั่วไปเชื่อถือและยอมรับ เพราะเป็นคนที่มีไหวพริบ เด็ดขาดและเข้มแข็ง สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี พูดภาษาพม่าพอที่จะดำเนินธุรกิจซื้อขายได้ แม้ว่านายอ้อยบุดดีไม่ได้เข้ารับราชการ แต่ก็ได้รับแต่งตั้งจากทางราชการให้เป็นขุนนิเทศพาณิชย์ เป็นคหบดีผู้มีฐานะดีมากผู้หนึ่งในจังหวัดสกลนครสมัยนั้น

ขุนนิเทศพานิช (บุดดี ศิริขันธ์) บิดาของนายเตียง
นายฮ้อยบุดดีรู้จักข้าราชการในจังหวัดเกือบทุกคนดี ข้าราชการผู้หนึ่งที่นายฮ้อยบุดดีรู้จักใกล้ชิดได้แก่ขุนศรีธนานนท์ (เลี่ยม สิงห์สุวรรณ) ชาวจังหวัดอุดรธานีซึ่งย้ายไปเป็นคลังจังหวัดสกลนครอยู่สมัยหนึ่ง ขุนศรีธนานนท์และนายฮ้อยบุดดีสนิทสนมกันมาก นายพิมพ์ สิงห์สุวรรณ ลูกของขุนศรีธนานนท์ก็ใกล้ชิดกับนายฮ้อยบุดดี เคยชื้อวัวและต้อนวัวไปขายยังประเทศพม่าในกองคาราวานของนายฮ้อยบุดดีด้วย
ภรรยาของขุนนิเทศพาณิชย์หรือนายฮ้อยบุดดี ชื่อนางอ้ม มีลูกด้วยกัน 9 คน คือ
1. นางเนียม
2. นายเจียม ศิริขันธ์
3. นางบุญเทียม บำเพ็ญสิทธิ์
4. นางเถียง
5. นางเที่ยง
6. นายเตียง ศิริขันธ์
7. นางคำเปลว ชื่นสำราญ
8. นายนุ่ม
9. นายนวม (พีระ ศิริขันธ์)
นายเตียง ศิริขันธ์เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนชายประจำจังหวัดสกลนคร เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง เมื่อเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนประจำจังหวัดแล้ว นายฮ้อยบุดดีตัดสินใจส่งนายเตียง ศิริขันธ์ มาเรียนต่อที่จังหวัดอุดรธานีที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำมณฑลและมีการสอนถึงชั้นมัธยมปีที่หก สูงกว่าโรงเรียนประจำจังหวัดอื่นๆของมณฑลอุดรในสมัยนั้น[1]
การไปเรียนหนังสือต่างจังหวัดในภาคอีสานสมัยนั้น นักเรียนต้องไปอาศัยอยู่กับญาติหรือกับคหบดีคนใดคนหนึ่งในจังหวัดนั้น จะหาบ้านเช่าเองหรืออยู่ตามลำพังไม่ได้ เพราะนักเรียนต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลรับรองความประพฤติและรายงานให้โรงเรียนทราบทุกภาคการศึกษา นักเรียนที่ไม่มีญาติหรือไม่สามารถหาผู้ปกครอง มักจะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัด และขอร้องให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้ปกครอง ส่วนที่ไปอยู่วัดเพราะความจำเป็นในทางฐานะก็มีเป็นธรรมดา
นายฮ้อยบุดดี ได้ขอให้ขุนศรีธนานนท์ช่วยรับภาระหาที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานีให้แก่นายเตียง ขุนศรีธนานนท์พานายเตียงไปอยู่ที่บ้านนายร้อยตำรวจเอก ขุนรักษ์นิกร (เกิด ตราชู) บุตรเขยของขุนศรีธนานนท์เอง ณ ที่นี้นายเตียงได้รู้จักสนิทสนมกับนายสวาสดิ์ และนายสวัสดิ์ ตราชู สองพี่น้องลูกชายของขุนรักษ์นิกร ความสัมพันธ์นี้ได้มั่นคงอยู่ต่อมาและทำให้นายสวาสดิ์และนายสวัสดิ์เข้าร่วมงานเสรีไทยสายของนายเตียง ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเสียสละทำนองเดียวกับนายเตียงด้วย
เมื่อนายเตียงเรียนจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลแล้ว นายฮ้อยบุดดีได้ให้นายเตียงเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศในกรุงเทพฯ และได้ประกาศนียบัตรประโยคครูประถมจากโรงเรียนนี้ในปี พ.ศ. 2470 คือเมื่ออายุได้ 18 ปี ถ้าเทียบระดับการศึกษาแล้ว ประกาศนียบัตรประโยคครูประถมนั้นเทียบเท่ากับขั้นมัธยมปีที่แปด[2] ต่อจากนั้นนายเตียงได้สมัครเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อ และเลือกสายอักษรศาสตร์เป็นวิชาเอก และเป็นนิสิตรุ่นแรกของคณะด้วย ในสมัยนั้นคณะอักษรศาสตร์ฯ ยังไม่เปิดสอนถึงระดับปริญญา เมื่อเรียนจบปีที่สามจะได้รับประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม (ป.ม.) ซึ่งนับว่าเป็นประกาศนียบัตรสูงสุดในสายนั้น นายเตียงได้รับประกาศนียบัตรเป็นครู ป.ม. นี้ใน พ.ศ. 2473[3]
นายเตียงได้เข้าเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยมหอวัง (อาคารเดิมของโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นกรีฑาสถานแห่งชาติ บัดนี้รื้อไปแล้ว) อีกสี่ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2477 ทางการได้ย้ายนายเตียงไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของนายเตียงเอง
ในระยะนั้น คณะอักษรศาสตร์ฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขยายการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี และเปิดรับนิสิตที่เป็นครูประโยคมัธยมให้มาศึกษาต่ออีกสองปีเพื่อรับปริญญาตรี อ.บ. ด้วย นายเตียงเองตั้งใจว่าจะต้องหาทางย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเรียน อ.บ. ต่อ แต่ปรากฏว่าชีวิตของนายเตียงต้องไปผูกพันกับเรื่องอื่นจนทำให้ความตั้งใจนี้ไม่เป็นไปตามที่คิด
ในต้นปีการศึกษา พ.ศ. 2477 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล มี ม.ล. มานิจ ชุมสาย เป็นอาจารย์ใหญ่ โดยที่ ม.ล. มานิจดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการศึกษาภาคอยู่ด้วย จึงสามารถเปิดชั้นมัธยมตอนปลายขึ้นที่โรงเรียนนี้ได้ในต้นปี พ.ศ. 2477 เป็นโรงเรียนแห่งแรกในภาคอีสานที่มีการสอนถึงระดับชั้นมัธยมเจ็ดและแปด (แม้แต่โรงเรียนจังหวัดนครราชสีมาซึ่งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ กว่า ก็สอนเพียงชั้นมัธยมปีที่หก)
เพราะว่า ม.ล.มานิจ ชุมสาย อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการศึกษาภาคงานด้านธุรการและงานปกครอง ตลอดจนการบริหารงานทั่วไปส่วนใหญ่จึงตกเป็นของนายเตียง ผู้ซึ่งได้ทำงานในหน้าที่นี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องสอนแทนครูอื่นด้วยเมื่อครูขาด วิชาที่นายเตียงต้องสอนมีทั้งวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และประวัติศาสตร์ ได้ชื่อว่าเป็นครูเก่ง รักษาระเบียบวินัยเคร่งครัด แต่ก็เป็นครูที่เห็นใจนักเรียนที่ตั้งใจเรียน เป็นคนพูดเก่งและขยันทำงานทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านพัก นายเตียงจะเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านพักจนประมาณตีสองหรือตีสามแทบทุกคืน
ในระยะนั้น มีการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในจังหวัดอุดร มีการแจกใบปลิวตามตลาดและที่อื่น ๆ ทั่วทั้งเมือง แม้แต่ที่เสาธงของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลเองก็มีคนแอบไปชักธงแดงตราค้อนกับเคียวขึ้นยอดเสาในเวลากลางคืน นายเตียง ศิริขันธ์นายญวง เอี่ยมศิลา และ นายปั่น แก้วมาตย์ ครูสามคนของโรงเรียนถูกจับในข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในกรุงเทพฯ เป็นเวลาร่วมปีเต็ม ศาลพิพากษายกฟ้องนายเตียงและนายปั่น ส่วน นายญวง เอี่ยมศิลา ถูกศาลตัดสิน พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 10 ปี
นายเตียงเป็นนักอ่านหนังสือ หนังสือของนายเตียงมีมาก เป็นห้องสมุดที่น่านับถือแห่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่นายเตียงเรียนภาษาไทยและภาษาบาลีอยู่เมื่อแรกเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ นายเตียงก็มิได้สะสมหนังสือในสองสาขาวิชานี้มากนัก คงมีเพียงสองสามเล่มเท่านั้น ที่นับว่ามีมากได้แก่หนังสือวรรณคดีอังกฤษซึ่งมีหลายร้อยเล่ม นอกนั้นเป็นประวัติศาสตร์และการเมืองยุโรป วิชาการศึกษาและจิตวิทยา มีสารานุกรมภาษาอังกฤษอยู่ 4 ชุด ทั้งชุดเล็กและใหญ่ ที่นายเตียงภูมิใจและอ่านประกอบการค้นคว้าอยู่เสมอได้แก่ชุดบริตันนิก้าและชุด Social Sciences
นายเตียงมีความรู้ความสามารถในด้านภาษาอังกฤษดี คล่องทั้งในการอ่าน พูดและการเขียน นายเตียงเล่าให้นักเรียนฟังว่า เมื่อยังเรียนอยู่ปีที่สองในคณะอักษรศาสตร์ นายเตียงอ่านหนังสือชุด Everyman's classics เฉลี่ยแล้วเดือนละสามเล่ม ถ้างานหนักก็จะไม่น้อยกว่าเดือนละสองเล่ม ที่อ่านได้เดือนละสี่เล่มก็มีบ้าง แต่เพียงเดือนเดียวหรือสองเดือนเท่านั้น
ในด้านการเขียน นายเตียงเขียนหนังสือไว้น้อย แต่ถ้าคิดถึงระยะเวลาแล้ว ก็อาจพูดได้ว่าเป็นงานใหญ่ชุดหนึ่ง นายเตียงรู้จักกับนายสหัส กาญจนะพังคะ ตั้งแต่เมื่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศ และต่อมาก็ได้เข้าเรียนต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยกัน ทั้งสองคนเป็นหนอนหนังสือเหมือนๆ กัน และได้ร่วมมือกันแต่งหนังสือคู่มือครูหรือหนังสือ "วิชาครู" สำหรับใช้ในการเตรียมสอบวิชาชุดประโยคครูประถมและครูมัธยมขึ้นชุดหนึ่ง ชื่อว่า "เพื่อนครู" มีห้าเล่ม เป็นหนังสือชุดริเริ่มในเมืองไทยชุดหนึ่ง รู้จักกันแพร่หลายในวงการครู เพราะได้ทำให้ครูที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนประชาบาลต่างจังหวัด ได้ใช้เป็นคู่มือสอบเลื่อนวิทยฐานะและสอบได้เป็นจำนวนมาก[4]

หนังสือ “เพื่อนครู” หนึ่งในห้าเล่ม โดย เตียง ศิริขันธ์ สำหรับใช้ในการเตรียมสอบวิชาชุดประโยคครูประถมและครูมัธยม
ที่มา : สำนักพิมพ์อ่าน
นายเตียงมีความจำดีมากคนหนึ่ง สนใจวิชาประวัติศาสตร์มากตั้งแต่เมื่อยังเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ เข้าใจความคิดทางการเมืองต่าง ๆ ดี เมื่อนายเตียงถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในกรุงเทพฯ ด้วยข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ในปลาย พ.ศ. 2477 นั้น ความคิดในทางการเมืองของไทยยังค่อนข้างจำกัด ความเข้าใจในเรื่องสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ยังค่อนข้างคลุมเครือ ในการพิจารณาคดีที่นายเตียงเป็นจำเลย อัยการฟ้องนายเตียงด้วยข้อหาว่าเป็น "คอมมิวนิสต์" ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติ ส่วนนายเตียงต่อสู้คดีทั้งที่ไม่เคยเรียนกฎหมายมาก่อน แต่เข้าใจความหมายและรู้ประวัติความเป็นมาของลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี ได้ใช้ความสามารถในการพูดและความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่เคยศึกษามาอธิบายต่อศาล นายเตียงรับว่าตัวเองมีแนวคิดไปในทางสังคมนิยม (Socialist) ตามแนวที่รัฐบาลต่างประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ปกครองประเทศ ซึ่งต้องการจะลดความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจระหว่างชั้นบุคคล นายเตียงไม่เคยสนับสนุนความคิดที่จะให้รัฐเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ไม่เคยสนับสนุนให้รัฐกำหนดการใช้แรงงานของบุคคลในลักษณะที่เป็นการบังคับ ไม่เคย มีการกระทำใด ๆ หรือแสดงออกอย่างใด ๆ เป็นการชี้นำว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นวิถีทางการปกครองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในประเทศไทย และไม่เคยเผยแพร่หรือพยายามเผยแพร่ลัทธินี้ในลักษณะใดเลย นายเตียงอ้างงานเขียนชุด "เพื่อนครู" และหนังสือ "เอมิล หรือการศึกษา" (ของรุสโช ที่นายเตียงแปลออกจำหน่าย) ว่าไม่มีข้อความที่เน้นหรือสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองหรือเศรษฐกิจที่เป็นคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่เพียงเอนเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ก็ไม่มี ในที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องให้นายเตียงพ้นข้อหาไป
แม้ศาลจะได้พิพากษายกฟ้องคดีที่นายเตียงถูกจับแล้วก็ตาม การที่ต้องถูกกล่าวหาและต้องพัวพันกับคดีอยู่เป็นเวลานาน ได้มีผลให้นายเตียงตัดสินใจเปลี่ยนวิถีทางการดำเนินชีวิตหันเข้ามาเล่นการเมือง การเลือกตั้งในประเทศไทยครั้งแรกมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 เป็นการเลือกตั้งโดยทางอ้อม ส่วนการเลือกตั้งโดยทางตรงของไทยครั้งแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 นายเตียงได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งในจังหวัดสกลนครในปีนั้น และได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดสกลนครเรื่อยมาทุกสมัย จนต้องเสียชีวิตไปเพราะปฏิปักษ์ทางการเมืองที่มีอำนาจ
นายเตียงมีรูปร่างสูงโปร่ง แข็งแรง แต่เดินขาเขยกเล็กน้อย เพราะกล้ามเนื้อขาช้ายช่วงล่างบางส่วนไม่ทำงาน พูดเก่ง มีความจำดี สามารถจำชื่อเพื่อนนักเรียนในสมัยเด็กได้แทบทุกคน และที่เป็นพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือรู้จักเอาใจผู้หญิง นายเตียงเริ่มมี "ศัตรู" เป็นครั้งแรกเมื่อนางงามแห่งจังหวัดอุดรธานีคนแรก (ในการประกวดนางสาวอุดรธานีในเดือนธันวาคม ปี 2477) ได้แสดงความเอาใจใส่ในตัวนายเตียงมากกว่าคนอื่น ๆ หลายคน มีคนว่ากันว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นายเตียงถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นั้น เนื่องมาจากความอิจฉาริษยาเกี่ยวกับนางงามชาวอุดรคนนี้ด้วย

นางนิวาศน์กับนายเตียง ศิริขันธ์
ในด้านความรัก นายเตียงเริ่มมีความผูกพันกับผู้หญิงอย่างจริงจังก็ในระยะนี้ แต่ไม่ใช่กับนางงามที่กล่าวถึง ผู้หญิงที่นายเตียงรักกลับชื่อนางสาวนิวาศน์ หลานสาวคนหนึ่งของจอมพลผิน ชุณหวัณ นางสาวนิวาศน์เป็นชาวกรุงเทพฯ แท้ ๆ ที่ได้ติดตามบิดาซึ่งเป็นนายทหารประจำการอยู่ที่กรมทหารฯ ในจังหวัดอุดรฯ ในระยะนั้น นายเตียงรู้จักกับนางสาวนิวาศน์ก่อนที่จะไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และได้ติดต่อกับนางสาวนิวาศน์เรื่อยมาจนกระทั่งได้แต่งงานกันในปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่ได้รู้จักกันมาแล้วประมาณ 5 ปี
ชีวิตการเมืองของนายเตียงนับว่ารุ่งโรจน์พอสมควร นายเตียงเข้าสู่วงการเมืองด้วยการสมัครเข้ารับเลือกตั้งใน พ.ศ. 2480 และได้แสดงฝีไม้ลายมือในฐานะนักประวัติศาสตร์การเมือง เป็นนักพูดนักคิด และเป็นผู้มีอุดมการณ์ นายเตียงรู้จักผู้แทนราษฎรจากภาคอีสานดีทุกคน ที่นับว่าสนิทกันมากมีอยู่สามคน คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (อุบล) นายถวิล อุดล (ร้อยเอ็ด) และนายจำลอง ดาวเรือง (มหาสารคาม) นักการเมืองชาวอีสานสี่คนนี้รวมกันวางแผนในการทำงานการเมืองด้วยกันเสมอมา นายทองอินทร์ พี่ใหญ่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า นายถวิล อุดล เจ้าระเบียบเป็นเลขาธิการ นายจำลอง ซึ่งเข้ากับคนได้ทุกชั้น (ถ้าใช้ภาษาปากก็ต้องเรียกว่า "เป็นนักเลง") ทำหน้าที่ปฏิคม ส่วนนายเตียงเป็น "เสนาธิการ" ผู้วางแผนการดำเนินการของคณะ กล่าวโดยอาชีพก่อนหน้าเข้ามาเป็นนักการเมือง นายเตียงมาจากความเป็นครู ส่วนอีกสามคนนั้นมาจากการเป็นทนายความ

ถวิล อุดล, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และจำลอง ดาวเรือง
การเมืองไทยในสมัยนั้นยังไม่มีพรรคการเมือง คะแนนเสียงที่มีในสภาผู้แทนราษฎรแยกออกเป็นกลุ่มโดยไม่มีพันธะกรณีต่อกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงได้ตามใจชอบ กลุ่มของนายเตียงได้ศึกษาความคิดเรื่องพรรคการเมืองมาตั้งแต่เริ่มรู้จักกันในสภาผู้แทนราษฎร และวางแนวทางของพรรคของตนไว้แล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้น และต่อมาได้ตั้งชื่อว่า พรรคสหชีพ พรรคนี้ นอกจากจะมีนโยบายในการทะนุบำรุงบ้านเมืองทั่วไปตามปรกติแล้ว ถือว่าเกษตรกรรมเป็นอาชีพสำคัญที่สุดของประชาชน และเห็นว่าการขยายความช่วยเหลือไปสู่เกษตกรที่ดีที่สุดนั้น ต้องอาศัยการร่วมมือกันในรูปสหกรณ์ งานสหกรณ์ในจังหวัดของผู้แทนราษฎรทั้งสี่จึงนับว่าก้าวหน้ามาก และได้ถือเป็นแนวความคิดหลักของคณะตั้งแต่ครั้งนั้น
นายเตียงได้สมัครเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (เป็นชื่อของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ใช้ชื่อย่อว่า ม.ธ.ก.) แต่ได้เข้าสอบเพียงไม่กี่ครั้งและยังไม่ได้แม้แต่อนุปริญญา (แต่นายเตียงก็ได้เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลายของสภาผู้แทนราษฎรด้วยคนหนึ่ง)
นายเตียงมีความเคารพท่านปรีดี พนมยงค์ ได้ศึกษาความคิดทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของท่านปรีดี มาตั้งแต่เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองและมีความชื่นชมในความสามารถของท่านปรีดี มาแต่แรก แม้ว่านายเตียงจะได้เป็นผู้แทนราษฎรเพียงไม่กี่ปี ก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดท่านปรีดี และได้เคยแสดงความคิดเห็นให้ท่านปรีดีทราบว่าแนวคิดของนายเตียงเองเป็นอย่างไร
หลังจากที่ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย (8 ธันวาคม 2484) และประเทศไทยได้ตกลงทำสัญญาร่วมรบและร่วมรุกกับญี่ปุ่นแล้ว ทางการทหารญี่ปุ่นได้แจ้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีทราบว่าญี่ปุ่นไม่พอใจในท่าทีของท่านปรีดีที่มีแนวโน้มเอียงไปทางฝ่ายสัมพันธมิตร และเสนอให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม หาทางผลักท่านปรีดีให้ขึ้นไปอยู่ในฐานะเหนือการเมือง โดยแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะได้ไม่สามารถดำเนินการทางบริหารได้โดยตรง เพราะฉะนั้นเพียงไม่ถึงสิบวันหลังจากที่ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย ท่านปรีดีก็ต้องพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2484 ให้ท่านปรีดีดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามข้อเสนอของรัฐบาล
แต่แม้ท่านปรีดีต้องรับตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองทุกประเภท แต่ท่านไม่ยอมสละตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยอ้างว่าตำแหน่งผู้ประศาสน์การที่ว่านี้มิใช่ตำแหน่งประจำ ไม่มีเงินเดือนหรือเงินสมมนาคุณใด ๆ ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจึงได้เป็นที่คุมขังอาชญากรสงคราม สามารถดึงตัวชาวอังกฤษ อเมริกัน และชาวตะวันตกอื่น ๆ ที่อยู่ในข่ายที่จะถูกญี่ปุ่นจับมาอยู่รวมกันในมหาวิทยาลัย พ้นจากการถูกฝ่ายกองทหารญี่ปุ่นจับส่งไปทำงานหนักในป่าเพื่อทำทางรถไฟไปยังพม่า ทั้งนี้เป็นผลดีต่อประเทศไทยหลังสงครามอย่างยิ่ง เพราะหลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รู้ดีว่าเขาได้มีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะความคิดของท่านปรีดี
แม้ว่าท่านปรีดีจะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และอยู่ในฐานะเหนือการเมือง แต่นายเตียงก็คงไปพบท่านปรีดีอยู่เสมอ และได้เคยออกความคิดเห็นตามแนวความคิดของท่านปรีดีที่จะต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ที่ไทยต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่นขณะนั้น
ท่านปรีดีคิดว่าจะต้องหาทางติดต่อกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะอังกฤษและอเมริกา แสดงให้รัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงว่า การที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นทำให้เราเสียอิสรภาพโดยข้อเท็จจริง และแม้ว่าท่าทีของรัฐบาลจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเข้ากับฝ่ายอักษประเทศ แต่ที่จริงแล้วคนไทยโดยทั่วไปเกือบทุกคนต่างรู้สึกขมขื่นที่ต้องอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ท่านปรีดีเริ่มวางแผนการที่จะตั้งหน่วยงานที่จะกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมาและกำหนดชื่อหน่วยงานนี้ว่าหน่วยเสรีไทย (Free Thai Movement) ในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามตั้งหน่วยต่อต้านภายในประเทศเพื่อสลัดแอกที่ทับคออยู่ นายเตียงได้มีส่วนรับรู้เรื่องแผนการตั้งหน่วยเสรีไทยนี้มาตั้งแต่แรกและยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้งานนี้บรรลุผล

ภาพถ่ายสุดท้ายของจำกัด พลางกูร ถ่ายที่กุ้ยหลิน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2486
ที่มา : หนังสือ "เพื่อชาติ เพื่อ humanity : ภารกิจของวีรบุรุษเสรีไทย จำกัด พลางกูร ในการเจรจากับพันธมิตร" โดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา
ท่านปรีดีเองหาทางติดต่อกับรัฐบาลต่างประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นการยากแสนยากสำหรับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยในขณะนั้น ในที่สุดในต้นปี พ.ศ. 2486 ท่านปรีดีตกลงให้นายจำกัด พลางกูร ออกเดินทางไปประเทศจีน เพื่อหาหนทางที่จะเดินทางต่อไปยังอเมริกาอีกทีหนึ่ง นายเตียงรู้จักนายจำกัดดี ได้รับเป็นผู้พานายจำกัดไปจังหวัดนครพนม เพื่อข้ามไปยังเมืองท่าแขกทางฝั่งลาวและเดินทาง (ด้วยเท้า) ขึ้นไปยังประเทศจีน โดยกะว่าต้องไปให้ถึงคุนหมิงก่อน ก่อนที่จะจากกัน เมื่อนายจำกัดจะลงเรือข้ามน้ำโขงไปยังฝั่งท่าแขก นายเตียงถอดแหวนนามสกุล "ศิริขันธ์" ที่เขาสวมอยู่ให้นายจำกัด เพราะไม่ทราบว่าเงินทองที่นายจำกัดมีติดตัวไปจะเพียงพอหรือไม่กับการใช้จ่ายที่ไม่มีใครคาดไว้ล่วงหน้า นอกจากนั้น นายเตียงยังขอยืมกำไลและสร้อยล็อกเกตฝังเพชรของนางนิวาศน์ให้นายจำกัดนำติดตัวไปด้วย
นายเตียงเองรับหน้าที่จัดตั้งหน่วยเสรีไทยขึ้นทางภาคอีสาน โดยกะให้หน่วยเสรีไทยเหล่านี้มีกำลังพลและความสามารถที่จะเข้าต่อสู้กับฝ่ายญี่ปุ่นได้ กำลังพลและการบริหารเป็นหน้าที่ของนายเตียง ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นต้องหวังพึ่งทางอังกฤษและอเมริกา ซึ่งทุกคนจะต้องคอยด้วยความหวังว่าหน่วยเสรีไทยจะสามารถติดต่อกับรัฐบาลอังกฤษและอเมริกาได้ และสามารถแสดงให้เขาเชื่อว่าเรามีกำลังคนที่พร้อมจะเข้าต่อสู้และมีการบริหารบังคับบัญชาดีพอ
การมีหน่วยเสรีไทยขนาดใหญ่ มีกำลังคนพอที่จะสามารถเข้าต่อสู้กับญี่ปุ่นที่ยึดครองนั้นจะทำในกรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะอยู่ใกล้หูใกล้ตาของญี่ปุ่น นายเตียงวางแผนตั้งหน่วยเสรีไทยขึ้นในเขตแดนที่เขารู้จักดีที่สุด คือในบริเวณจังหวัดสกลนคร นายเตียงได้เคยเดินทางออกหาคะแนนเสียงมาแล้วทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน รู้จักทำเลภูมิประเทศแทบทุกกระเบียดนิ้ว นายเตียงเริ่มออกเยี่ยมเยือนราษฎรอีก เริ่มหยั่งเสียงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและครูประชาบาลในแต่ละท้องที่ ศรัทธาของชาวบ้านของกำนันผู้ใหญ่บ้านและครูประชาบาลในท้องที่เหล่านี้มีมากสำหรับนายเตียงอยู่แล้ว นายเตียงจึงได้รับความร่วมมืออย่างท้วมท้น ได้เริ่มเลือกสถานที่ในเขตสกลนครสามแห่งเพื่อจัดหน่วยเสรีไทยขึ้นที่บ้านโนนหอม บ้านเต่างอย และบ้านตาดภูวง
หน่วยแรกที่จัดสร้างขึ้นคือหน่วยบ้านโนนหอม อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวจังหวัดสกลนคร ประมาณ 15 กิโลเมตร บ้านเต่างอยอยู่ห่างไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตรทางทิศใต้ของบ้านโนนหอม ส่วนบ้านตาดภูวงอยู่ในเขตกิ่งอำเภอวาริชภูมิ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโนนหอมมาทางทิศตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร หน่วยบ้านตาดภูวงนี้จัดตั้งขึ้นหลังจากที่สามารถติดต่อกับสายอเมริกาได้แล้ว
นอกจากที่สกลนครแล้ว นายเตียงในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากท่านปรีดีให้จัดตั้งกองทัพภาคอีสาน ได้ร่วมมือกับนายจำลองจัดสร้างค่ายเสรีไทยขึ้นอีก ค่ายหนึ่งที่บ้านชาดนาคู[5] ค่ายนี้อยู่ห่างไปประมาณ 21 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (210 องศา) ของค่ายบ้านเต่างอยซึ่งเป็นค่ายใหญ่ของสกลนคร ค่ายบ้านชาด นาคู มีอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างสูง มีภูเขาเป็นวงล้อมรอบห่าง ๆ ที่ดินเป็นหินลูกรังแข็ง และเมื่อไปเลือกสถานที่ ทั้งนายเตียงและนายจำลอง เชื่อว่าที่ดินน่าจะรับน้ำหนักเครื่องบินสมัยใหม่ได้ จึงเริ่มพิจารณาสร้างทางวิ่งสำหรับให้เครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรมาร่อนลง ซึ่งก็ทำได้เหมาะเพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขวางทิศทางวิ่งของเครื่องบิน แต่การถากถางและการปรับพื้นที่ค่อนข้างแข็งมากอยู่แล้วให้เรียบนั้นลำบาก เพราะไม่อาจจะหารถขุดหรือรถบดถนนมาช่วยแรงงานได้ ต้องอาศัยแรงพลพรรคเสรีไทยของหน่วยนี้ตั้งแต่เริ่มแรก
นายเตียงเดินทางไปมาระหว่างหน่วยที่ตั้งหน่วยเสรีไทยต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประจำ และในระยะที่กำลังเตรียมสร้างค่ายเหล่านี้ กองกำลัง 136 ในอินเดีย[6] ได้ส่งนายกฤษณ์ โตษยานนท์ โดดร่มลงมาที่ชายทะเลบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และต่อมาก็ได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปประจำอยู่ที่หน่วยของนายเตียงที่ค่ายบ้านโนนหอม ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกอาวุธ ฝึกวิชากองโจรและทำหน้าที่รับส่งวิทยุโทรเลขสื่อสารติดต่อกับกองกำลัง 136
เหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นนัก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย มีอุบัติเหตุจนพลพรรคเสรีไทยถึงแก่ชีวิตระหว่างการฝึกซ้อมอาวุธบ้าง จับสายสืบของญี่ปุ่นซึ่งติดยาฝิ่นได้หลายคนในระยะแรกที่ผู้ที่ทำหน้าที่ประหารสายลับของ ญี่ปุ่นเหล่านี้คือนายเตียง และนายกฤษณ์เอง ทั้งที่ทั้งสองคนนี้โดยปกติแล้วเป็นคนที่นิ่มนวล ที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประหารสายลับเหล่านี้เองก็เพื่อแสดงถึงความเด็ดขาดในองค์การเสรีไทย
ในกรุงเทพฯ นายเตียงและคณะแสดงตนเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย และชัยชนะทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองสี่คนนี้ในรัฐสภา ได้แก่การอภิปรายคัดค้านรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสองฉบับของรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม คือร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ พุทธศักราช 2487 ฉบับหนึ่ง และ ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดสร้างพุทธบุรีมณฑลในบริเวณรอบพระพุทธบาท พุทธศักราช 2487 อีกฉบับหนึ่ง
การอภิปรายได้เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน นักการเมืองอีสานสี่คนกลุ่มนี้อ้างเหตุผลว่า ราษฎรได้รับความทุกข์ยากจากพระราชกำหนดนี้มากนัก เฉพาะกรณีเกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ราษฎรถูกเกณฑ์ไปทำงาน 127,281 คน ล้มป่วยมากกว่า 15,000 คน และเสียชีวิตไปมากกว่า 4,000 คน โรคที่ป่วยส่วนใหญ่เป็นไข้จับสั่น (ซึ่งไม่มียารักษา แม้แต่ควินินก็ไม่มี) นอกจากนั้นก็มีโรคท้องร่วงและโรคบิด ซึ่งใช้ยาพื้นเมืองเป็นหลักตามบุญตามกรรม และอาหารก็ขาดแคลน
ถ้าหากร่างพระราชบัญญัตินี้ผ่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็จะต้องย้ายไปอยู่เพชรบูรณ์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฐายี) สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นเมื่อทรงทราบ ได้ทรงแสดงความปริวิตกว่า "จะพานิสิตให้ไปตายด้วยหรือ"
นักการเมืองสี่คนนี้อภิปรายเป็นฝ่ายค้าน และทั้งที่ผู้แทนราษฎรเกือบทั้งหมดเป็นคนของฝ่ายรัฐบาล แต่นักการเมืองสี่คนก็สามารถโน้มน้าวความคิดของผู้ที่เคยเห็นคล้อยตาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม มาก่อน ให้มองเห็นภาพอันขมขื่นของประชาชนคนไทยที่ต้องถูกเกณฑ์ไปทำงานในป่าดงที่แสนจะอดอยากและแร้นแค้น ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใด ๆ และมียุงชุม คนงานเหล่านี้อยู่ในสภาพที่เสี่ยงกับความตายหรือรอความตายอยู่แทบทุกวัน ในวันลงคะแนน (20 กรกฎาคม 2487) ผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านสี่คนนี้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติลับ เพราะทราบดีว่าหากมีการลงคะแนนโดยวิธียกมือหรือโดยวิธีขานชื่อ ผู้แทนราษฎรซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาล จะ "เกรงใจ" ฝ่ายรัฐบาลและจะไม่กล้าลงคะแนนเสียงให้ฝ่ายค้าน สภาฯ มีมติให้ลงคะแนนลับ และปรากฏว่ารัฐบาลแพ้คะแนนเสียง 36 ต่อ 48 ต่อมาอีกสองวันมีการลงคะแนนเสียงร่างพระราชบัญญัติฉบับที่สองที่เกี่ยวกับการสร้างพุทธบุรีมณฑล รัฐบาลก็แพ้อีก
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เสนอความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าจะยุบสภาฯ แต่รัฐมนตรีส่วนใหญ่เห็นว่าควรรักษาประเพณีและบรรทัดฐานประชาธิปไตยทั่วโลกไว้ ยืนยันว่าเมื่อแพ้คะแนนเสียงแล้วรัฐบาลก็ควรลาออก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยอมลาออกในวันที่ 1 สิงหาคม 2487 ก่อนหน้าญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามเพียงไม่กี่วัน

ภาพการสวนสนามของพลพรรคเสรีไทยบนถนนราชดำเนิน วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2488
ในงานเสรีไทยระหว่างสงคราม นายเตียงเป็นหัวหน้าหน่วยเสรีไทยภายในประเทศสายอีสาน สามารถระดมครูประชาบาลและราษฎรจัดตั้งเป็นกองทัพพลเรือนอย่างได้ผล หลังจากสงครามสงบได้มีการสวนสนามเสรีไทยในต้นเดือนพฤศจิกายน 2489 ต่อจากนั้นได้มีการเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยเสรีไทย และเลิกงานเสรีไทยเป็นทางการ มีการส่งอาวุธต่างๆ ของหน่วยเสรีไทยให้แก่ทางการทหารของไทยเป็นขั้นตอน
ในคณะรัฐบาลหลังสงคราม นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายเตียง ศิริขันธ์ และนายจำลอง ดาวเรือง ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายเตียงได้เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลสามครั้ง ครั้งแรกระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 17 กันยายน 2488 ในสมัยของรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ ครั้งที่สองในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2488 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2489 ครั้งที่สามในคณะรัฐบาลพลเรือเอกถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2489 แต่ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน 2490 นายเตียงได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อต้องเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะเป็นรองตัวแทนในการเจรจาประนีประนอมระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส
ตลอดเวลา นายเตียงคงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดสกลนครเรื่อยมา เมื่อเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2491 นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลองที่อยู่ในกรุงเทพฯ ถูกจับทั้งสามคน ส่วนนายเตียงอยู่ที่จังหวัดสกลนคร จึงรอดไปได้
หลังจากนั้นอีกสามเดือนเศษ นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลอง ถูกประหารอย่างทารุณ นายเตียงได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนนักการเมืองทั้งสามด้วยความสลดใจ และโดยเฉพาะเมื่อได้อ่านบทความจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์แล้ว นายเตียงรู้ว่าไว้ใจสถานการณ์การเมืองไม่ได้ ตัดสินใจหนีขึ้นเขา "ภูพาน" และสามารถหลีกเลี่ยงการถูกล่าและจับกุม จนได้ฉายาว่าเป็นขุนพลภูพาน ทั้งที่นายเตียงและลูกน้องเพียงหยิบมือเดียวและมีปืนไม่กี่กระบอก ก็ถูกหาว่าส้องสุมผู้คนเป็นกองทัพ เป็นกบฏที่พยายามแบ่งแยกดินแดน
ทางการก็ทราบดีว่านายเตียงไม่เคยมีกองทัพและไม่อาจจะ "แบ่งแยกดินแดน" ได้ แต่การป้ายสีเช่นนั้นเป็นวิธีการที่ต้องการทำให้ผู้ที่ไม่ทราบความจริงเกลียดชังนายเตียง นายเตียงต้องยอมทน เพราะไม่มีอะไรที่จะประกันความปลอดภัยได้ในระยะนั้น กองทหารพยายามล้อมจับนายเตียง แต่ไม่สามารถทราบที่อยู่ที่แท้จริงของนายเตียงได้ กำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านไม่ยอมเปิดเผยที่ซ่อนตัวของนายเตียง และวิธีการของทางการในระยะหลังก็คือ กำนันถูกกระทำทารุณกรรมจนบาดเจ็บถึงทุพพลภาพด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมหารุณอย่างยิ่ง
นายเตียงทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นต้องบาดเจ็บทุพพลภาพเพราะตัวเองได้ให้ญาติติดต่อกับทางการขอมอบตัว แล้วนายเตียงก็ออกจากป่าเข้ามากรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง
มีผู้เข้าใจว่า การที่นางนิวาศน์ ภรรยาของนายเตียงมีความเกี่ยวพันเป็นญาติกับภรรยาของ "ผู้มีอำนาจผู้หนึ่ง" ในสมัยนั้น ทำให้นายเตียงเป็นคนแข็งจนเกินไป และกล้าแสดงตนเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับฝ่ายผู้มีอำนาจในขณะนั้นอย่างเปิดเผย โดยไม่กลัวว่าจะถูก "เก็บ" แต่ทั้งนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ไม่ทราบว่านายเตียงคิดเช่นนั้นจริง ๆ หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามนายเตียงก็ถูก "เชิญ" ไปพบ "ผู้ใหญ่ผู้นั้น" ในบ่ายวันหนึ่ง และได้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในวันนั้น และคนขับรถที่ไปด้วยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มและไม่มีความคิดทางการเมืองใด ๆ ก็ถูกประหารไปด้วยในวันเดียวกัน
นายเตียงมีบุตรกับนางนิวาศน์เพียงคนเดียว ชื่อวิทูร วิทูรเกิดในปี 2485 และหลังจากที่นางนิวาศน์เสียชีวิตไปด้วยโรคหัวใจแล้ว ไม่ช้านายวิทูรก็ออกจากบ้านซึ่งอยู่ในซอยหม่อมแผ้ว ระหว่างถนนประชาชื่นและถนนประดิพัทธ์ บัดนี้ผู้เขียนไม่ทราบว่านายวิทูรอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร
ในด้านการเงิน นายเตียงเป็นคนมือสะอาด แม้แต่ "กินตามน้ำ" ก็ไม่เคย บ้านที่อยู่เป็นบ้านไม้ที่สร้างก่อนหันเข้ามาเล่นการเมือง ที่ดินที่ปลูกบ้านต้องเอาไปจำนองเพื่องานเสรีไทย และเงินที่ไถ่ถอนจำนองที่ดินแปลงนี้คือเงินประกันชีวิตที่นางนิวาศน์ ภรรยา ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตเมื่อศาลพิพากษาว่านายเตียงเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม รถยนต์ของนายเตียงอยู่ในสภาพเก่า ต้องเข้าอู่ซ่อมอยู่เสมอ เมื่อครั้งนายเตียงได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนการลักลอบส่งข้าวออกนอกประเทศในระยะเสร็จสงครามใหม่ ๆ มีผู้เสนอเงินให้นายเตียงเป็นจำนวนสองแสนบาท แต่นายเตียงนำเรื่องนั้นมาแจ้งคณะกรรมการทันที และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งต้องถูกลงโทษ
ในบัดนี้ ไม่มีทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ใด ๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียวในจังหวัดสกลนครอยู่ในนามของนายเตียง นางนิวาศน์ หรือนายวิทูร ทั้งที่นายฮ้อยบุดดีเป็นคหบดีที่มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งของเมืองสกลนครในสมัยของท่าน ที่ดินหลายสิบไร่ที่นายเตียงจับจอง (ในนามคนอื่น) เพื่องานของชาวพื้นเมือง ชาวลาว และงานเสรีไทย และได้ลงทุนหักร้างถางพง ทำถนน สร้างอาคารและล้อมรั้วด้วยเงินส่วนตัวนายเตียงเอง บัดนี้ก็ตกเป็นของผู้มีชื่อในการจับจองไปแล้ว โดยที่นายเตียงหรือบุตรหรือภรรยาไม่ได้รับค่าใช้จ่ายในการจับจองหรือการพัฒนาคืนแม้แต่บาทเดียว
แม้แต่ที่ดินที่นายเตียงมีอยู่ครั้งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ได้เอาไปจำนองเพื่องานเสรีไทยที่กล่าวข้างต้น บัดนี้ก็สูญไปแล้วเช่นเดียวกัน
แม้ว่านายเตียงจะรักนางนิวาศน์ และนางนิวาศน์จะเป็นภรรยาที่ดีของนายเตียงตลอดมาก็ตาม ชีวิตครอบครัวของนายเตียงกับนางนิวาศน์มิได้มีความใกล้ชิดกันอย่างแท้จริงและยืนยาวนัก นายเตียงเป็นนักการเมืองที่ถืออุดมคติเป็นสำคัญ เวลาอยู่กรุงเทพฯ เขาต้องเตรียมงานในหน้าที่ผู้แทนราษฎร เขาเป็นคนเด่นในวงผู้แทนราษฎรผู้หนึ่ง เขาต้องไปพบนักการเมืองอีสานอีกสามคนเป็นประจำ ในด้านความคิดทางการเมือง นายเตียงเคารพท่านปรีดีพนมยงค์ และชื่นชมในความสามารถของท่านปรีดีอย่างที่สุด และเรียกท่านปรีดีว่า "อาจารย์" หรือ "ท่านอาจารย์" ทุกคำ
เมื่อหมดสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเตียงจะขึ้นไปสกลนครไปหาพี่น้องชาวสกลนคร ไปเล่าเรื่องราวความเป็นไปในกรุงเทพฯ และสถานการณ์บ้านเมืองให้พี่น้องฟัง และรับฟังความเดือดเนื้อร้อนใจของชาวเมือง ติดต่อหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยอาศัยแรงงานของราษฎรเองบ้าง อาศัยการสนับสนุนจากทางการบ้าง และอาศัยเงินส่วนตัวบ้าง ชาวเมืองนิยมชมชอบนายเตียงก็เพราะนายเตียงเป็นคนที่ไม่ทิ้งชาวเมือง และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้แก่ชาวเมือง อาจกล่าวได้ว่าชีวิตของนายเตียงในระยะหลังอยู่ในกรอบที่การเมืองกำหนดไว้ทั้งสิ้น
ถ้าหากจะสรุปว่า ในชีวิต 43 ปี ของนายเตียง ศิริขันธ์ สิ่งที่นายเตียงได้ทำไว้มีอะไรบ้าง ก็อาจจะกล่าวได้ดังนี้
1. งานเขียนเมื่อมีอาชีพเป็นครู ได้กล่าวมาแล้วว่างานเขียนของนายเตียงมีไม่มาก และที่ยังอยู่ในวงการครูก็ได้แก่หนังสือชุด "เพื่อนครู" หนังสือชุดนี้นายเตียงมิได้ทำเพื่อหากำไร หากเพื่อช่วยเหลือครูต่างจังหวัดที่ไม่มีโอกาสเข้าเล่าเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครู ราคาของหนังสือในชุดนี้ตั้งแต่เล่มหนึ่งถึงเล่มห้าจึงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เล่มหนึ่งว่าด้วย หลักการศึกษา เล่มสองว่าด้วย ประวัติการศึกษา เล่มสามว่าด้วย จิตวิทยา เล่มสี่ว่าด้วย การสอนวิชาเฉพาะ และเล่มห้าว่าด้วย นักการศึกษา ในสมัยนั้น คู่มือสำหรับเรียนด้วยตนเองเพื่อเตรียมเข้าสอบเป็นครูประโยคประถมและครูประโยคมัธยมนั้นแทบจะไม่มีเลย จึงอาจพูดได้อย่างเต็มปากว่า นายเตียงและนายสหัสเป็นผู้ริเริ่มในด้านนี้ ครูที่หวังจะก้าวหน้าสอบเป็นครู ป.ป. และ ป.ม.ในสมัยนั้นทุกคนย่อมรู้จักหนังสือชุด "เพื่อนครู" ชุดนี้ของนายเตียงและนายสหัส ทุกคน
2. ผลงานเมื่อเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครและทางรัฐสภา นายเตียงไม่เคยละทิ้งพี่น้องชาวสกลนคร ชาวเมืองในสมัยก่อนจะเอ่ยชื่อนายเตียงเสมอ เช่นถนนนายเตียง คลอง (ส่งน้ำ) นายเตียง เหมืองฝายนายเตียง หรือบ่อน้ำนายเตียง เช่นนี้เป็นต้น ทั้งนี้เพราะความเอาใจใส่ในสาระทุกข์สุกดิบของราษฎรของตนตลอดเวลาที่เขากลับมาอยู่ในเมืองสกลนคร การหาเสียงของนายเตียงก่อนหน้าเลือกตั้งไม่มีลักษณะพิเศษไปกว่าการเยี่ยมเยียนพี่น้องราษฎรตามปรกติเลย นายเตียงคงได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรทุกครั้งตั้งแต่สมัยการเลือกตั้ง พ.ศ. 2480 จนกระทั่งถูกประหารไปในปี พ.ศ. 2495 งานสาธารณประโยชน์ที่นายเตียงเป็นผู้ริเริ่มมีอยู่มาก
บ้านนายเตียงทั้งที่สกลนครและที่กรุงเทพฯ เป็นบ้านเกิด จะมีพี่น้องชาวสกลนครไปมาหาสู่เป็นประจำ อาจมาพบนายเตียงในลักษณะมาเยี่ยมเยียนตามปรกติ หรืออาจมาเพื่อขอความช่วยเหลือ นายเตียงไม่เคยละทิ้งพี่น้องราษฎรชาวสกลนครเลย
ในสมัยเปิดประชุมรัฐสภา นายเตียงและกลุ่มผู้แทนราษฎรอีสานอีกสามคนจะมีเรื่องอภิปรายไม่เว้นแต่ละสมัย ในสมัยสงครามเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี นายเตียงและคณะได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายค้าน แต่ในสมัยนั้นไม่มีระบบพรรคการเมือง (พรรคการเมืองของไทยเริ่มมีขึ้นโดยถูกต้องหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489) การลงคะแนนเสียงของผู้แทนราษฎรถือเอาความเห็นส่วนตัวเป็นหลัก แต่ด้วยอำนาจและสิ่งจูงใจทางฝ่ายรัฐบาล ผู้แทนส่วนใหญ่จึงเป็นฝ่ายรัฐบาล นายเตียงและผู้แทนอีกสามคนจึงอยู่ในลักษณะเป็นฝ่ายค้านที่ไม่มีพรรคหรือบริวาร ไม่มี "วิป" ไม่มี "ลอบบี้" ไม่มีการบังคับหรือพันธะที่จะให้ลงคะแนนเสียง ฝ่ายค้านสี่คนนี้ต้องอาศัยความสามารถในการเสนอข้อเท็จจริงและวิธีการพูดเป็นสำคัญ
3. การจัดตั้งหน่วยงานเสรีไทย ตั้งกองทัพเสรีไทยสายอีสานในระหว่างสงคราม และได้ใช้เงินส่วนตัวไปในการนี้เป็นจำนวนไม่น้อย
4. เมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงศึกษาธิการ งานชิ้นหนึ่งที่นายเตียงได้เริ่มขึ้นแต่ยังไม่บรรลุผลในขณะนั้น ได้แก่ การยกฐานะครูประชาบาลขึ้นเป็นข้าราชการ
5. จากการที่ได้ติดต่อกับผู้แทนของประเทศลาว เขมร ญวน และพม่า นายเตียงเป็นผู้ที่รับเอาความคิดของท่านปรีดีเกี่ยวกับการสร้าง "สมาพันธ์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" มาดำเนินการด้วย แต่ก็ต้องหลุดลงกลางคันเมื่อเกิดการรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน 2491
คงมีไม่กี่คนที่ทราบว่า แนวความคิดที่จะให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จับกลุ่มร่วมมือกันอย่างกลุ่มประเทศ "อาเชียน" ในปัจจุบันอยู่นี้ เป็นความคิดริเริ่มของท่านปรีดี ตั้งแต่เมื่อเสร็จสงครามใหม่ ๆ และนายเตียงเป็น ผู้ดำเนินงานเบื้องต้นด้านประเทศลาว เวียดนาม และพม่า
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- เปลี่ยนชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ
บรรณานุกรม :
- วิสุทธิ์ บุษยกุล, ครูเตียงที่ข้าพเจ้ารู้จัก, ลับสุดยอด เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทยกับขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ โดย สวัสดิ์ ตราชู (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ม.ป.พ.), 56-72.
[1] ในสมัยนั้นประเทศไทยแบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล มีสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มณฑลแบ่งเป็นจังหวัด มีเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครองเป็นระดับรองลงมา (ส่วนระดับย่อยกว่าจังหวัดก็มีอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เหมือนกับในปัจจุบัน)
[2] ในสมัยนั้น การศึกษาของไทยยังไม่มีระบบตายตัว แบ่งเป็นระดับชั้นมูลหนึ่งปี ชั้นประถมสามปี เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 3 แล้ว นักเรียนอาจเข้าเรียนต่อในชั้นประถมปีที่สี่และปีที่ห้าซึ่งเป็นสายอาชีพได้ หรือถ้าจะศึกษาต่อในด้านวิชาสามัญ ก็จะเข้าเรียนในชั้นมัธยม ซึ่งมีตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่งถึงสาม เรียกว่ามัธยมตอนต้น มัธยมปีที่สี่ถึงหกเรียกว่ามัธยมตอนกลาง มัธยมปีที่เจ็ดและแปดเป็นชั้นมัธยมตอนปลาย
มัธยมตอนต้นแบ่งออกเป็นสามแผนก มีแผนกภาษา แผนกวิทยาศาสตร์ และแผนกกลาง วิชาที่นักเรียนทุกคนในระดับนี้มี ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ถ้าสอบตกภาษาไทย (คือไม่ถึงร้อยละห้าสิบ) แล้วต้องเรียนซ้ำชั้น ในระดับนี้ไม่มีคะแนนพลศึกษา ลูกเสือ ขับร้อง หรือการฝีมือซึ่งถือว่าเป็นวิชาช่วย
[3] เป็นนิสิตรุ่นเดียวกันและได้รับประกาศนียบัตร ป.ม. พร้อมกันกับอาจารย์เปลื้อง ณ นคร อาจารย์เทือก กุสุมา ณ อยุธยา อาจารย์หม่อมหลวงตุ้ย ชุมสาย และพันตรีหญิงพะอบ โปษะกฤษณะ
การเป็นครู ป.ม. ในวงการศึกษาสมัยนั้นมีสองทาง คือเข้าเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้เวลาเรียนสามปีทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งคือสอบวิชาชุดประโยคครูมัธยมของกระทรวงศึกษาธิการ การสอบวิชาชุดครูของกระทรวงมีหลายระดับ คือประโยคครูมูล (ป.) ประโยคครูประถม (ป.ป.) และประโยคครูมัธยม (ป.ม.) แม้ว่าประกาศนียบัตรจะเรียกชื่ออย่างเดียวกันและใช้อักษรย่ออย่างเดียวกันก็ตาม ผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรครู ป.ม. จากการสอบวิชาชุดก็นิยมมาศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อมีโอกาส เพราะต้องการความรู้ที่สูงกว่าที่จะเรียนด้วยตนเอง โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ
[4] นอกจากนี้แล้ว ตำราวิชาครูสมัยนั้นมีเพียง “ประวัติการศึกษา” ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ซึ่งนับว่าละเอียดมากเล่มหนึ่ง และ “หลักวิชาครู” ของอาจารย์เอื้อม อิงคะวณิช อีกเล่มหนึ่ง แต่ที่มีครบตามหลักสูตรครูประโยคมัธยมนั้นมีเพียงชุด “เพื่อนครู” ชุดเดียว
[5] บ้านชาด อยู่ห่างจากบ้านนาคูประมาณ 5 กิโลเมตร ค่ายที่สร้างขึ้นอยู่ระหว่างหมู่บ้านทั้งสองนี้ ในสมัยสงครามทั้งสองหมู่บ้านอยู่ในเขตอำเภอกาฬสินธุ์ จังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบัน บ้านนาคูมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอ อยู่ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์
[6] กองกำลัง 136 (Force 136) เป็นชื่อหน่วยกำลังของกองทัพอังกฤษที่บริหารงานและดำเนินการเกี่ยวกับการทหารเพื่อเข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทยในระหว่างสงคราม