ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ประชาธิปไตยเบื้องต้นสำหรับสามัญชน

14
กันยายน
2564

-1-

ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย”

คำว่า “ประชาธิปไตย” ประกอบด้วยคำว่า “ประชา” หมายถึงหมู่คนคือปวงชน กับคำว่า “อธิปไตย” หมายถึงความเป็นใหญ่

คำว่า “ประชาธิปไตย” จึงหมายถึง “ความเป็นใหญ่ของปวงชน”

ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ในหนังสือพจนานุกรมของทางราชการว่า “แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่”

ทั้งนี้พึงเข้าใจว่าการที่ปวงชนจะมีความเป็นใหญ่ในการแสดงมติได้ ก็จำเป็นที่ชนทุกคนรวมกันเป็นปวงชนนั้น ต้องมี “สิทธิและหน้าที่ของมนุษยชน” อันเป็นสิทธิและหน้าที่ตามธรรมชาติของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคซึ่งมนุษย์จะต้องใช้พร้อมกันกับหน้าที่ มิให้เกิดความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์อื่นและหมู่คนอื่นหรือปวงชนเป็นส่วนรวม

ถ้าชนส่วนมากซึ่งเป็น “สามัญชน” ถูกตัดสิทธิมนุษยชนโดยให้มีหน้าที่แต่อย่างเดียว สามัญชนก็มีลักษณะเป็นทาส จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยถ้าสามัญชนมีสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว โดยไม่มีหน้าที่มนุษยชน แบบการปกครองก็เกินขอบเขตของประชาธิปไตย

 

-2-

ความหมายของคำว่า “รัฐธรรมนูญ”

คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ประกอบด้วยคำว่า “รัฐ” หมายถึงบ้านเมืองหรือแผ่นดินกับคำว่า “ธรรมนูญ” หมายถึงกฎหมายว่าด้วยระเบียบการ

“รัฐธรรมนูญ” จึงหมายถึงกฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองแผ่นดินหรือรัฐ บางครั้งเรียกกฎหมายชนิดนี้ว่า “ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” หรือ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร” บางประเทศเรียกว่า “ธรรมนูญ” ตามภาษาของเขาซึ่งแปลเป็นไทยว่า “กฎบัตร” และ “กฎหมายวางระเบียบปกครองรัฐ”

มีผู้เข้าใจผิดว่าประเทศใดมีรัฐธรรมนูญ ประเทศนั้นก็มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อันที่จริงนั้นรัฐธรรมนูญเป็นเพียงระเบียบการที่เขียนเป็นกฎหมายว่าประเทศ (รัฐ) นั้นๆ ปกครองกันแบบใดแทนที่จะปล่อยให้ผู้มีอำนาจปกครองกระทำตามความพอใจของตนโดยไม่มีข้อกำหนดไว้

รัฐธรรมนูญแต่ลำพังยังไม่เป็นแบบการปกครองประชาธิปไตยเสมอไป อาทิ บางประเทศปกครองตามแบบเผด็จการก็มีรัฐธรรมนูญเผด็จการของตน เช่น ประเทศอิตาลีสมัยมุสโสลินีที่เป็นจอมเผด็จการก็มีรัฐธรรมนูญ ประเทศสเปนและโปรตุเกสปัจจุบันที่ปกครองแบบเผด็จการก็มีกฎหมายซึ่งมีลักษณะเป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดระเบียบการปกครองประเทศทั้งสองนั้นตามแบบเผด็จการ รัฐบาลถนอมประภาสปกครองตามแบบเผด็จการก็มีรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร”

ฉะนั้นต้องพิจารณารายละเอียดในตัวบทของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดให้ถือมติปวงชนเป็นใหญ่และให้สิทธิของมนุษยชนแก่ประชาชน รัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นประชาธิปไตยถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดถือตามความเห็นชอบของอภิสิทธิ์ชนและจำกัดสิทธิมนุษยชนที่ประชาชนพึ่งมีได้ รัฐธรรมนูญนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย

 

-3-

ความเป็นมาของ “สิทธิและหน้าที่มนุษยชน” และอภิสิทธิ์ชนกับมวลชน

(1) ในยุคดึกดำบรรพ์ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ขึ้นในโลกนั้น มนุษย์รวมกันอยู่เป็นหมู่คนซึ่งมีหัวหน้าปกครองอย่างแม่พ่อปกครองลูก ไม่มีการกดขี่เบียดเบียนระหว่างกัน เช่น แม่พ่อปกครองลูกนั้น พ่อแม่มิได้เบียดเบียนลูก ชนในหมู่คนนั้นมีเสรีภาพเสมอภาคกันและมีสำนึกในหน้าที่ว่าหมู่คนของตนจะดำรงอยู่ได้นั้นแต่ละคนจะต้องใช้เสรีภาพมีให้เป็นที่เสียหายแก่คนอื่นและแก่หมู่คน สิทธิและหน้าที่มนุษยชนจึงเป็นไปตามธรรมชาติประจำอยู่กับมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์ขึ้นในโลก ปวงชนของหมู่คนนั้นจึงมีแต่สามัญชนจำพวกเดียว แบบการปกครองเป็นไปอย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์

หมู่คนชนิดนี้ยังมีซากตกค้างอยู่บ้างในสมัยพุทธกาล เช่น สักกะชนบท และในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ไปตรวจราชการภาคอีสานก็ได้ทรงพบว่าชนบทหนึ่งซึ่งมีซากหมู่คนชนิดนี้แต่ปัจจุบันหมดไปแล้ว

(2) กาลต่อมาได้มีการปกครองแบบทาสขึ้น คือ ชนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งในหมู่คนใช้อำนาจถือเอาแผ่นดินเป็นที่ตั้งหมู่คนนั้นเป็นของตน และถือว่าชนส่วนมากเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งของตน ซึ่งตนมีอำนาจเฆี่ยนตีเข่นฆ่าได้เหมือนสัตว์พาหนะ ชนจำนวนน้อยนั้นจึงเป็นเจ้านายยิ่งใหญ่ เป็น “อภิสิทธิ์ชน” ซึ่งมีอำนาจและสิทธิเด็ดขาดเหนือชนส่วนมากที่เป็น “สามัญชน” สามัญชนถูกตัดสิทธิมนุษยชนโดยมีแต่หน้าที่ จำต้องทำงานอย่างสัตว์พาหนะให้แก่ “อภิสิทธิ์ชน” สามัญชนจึงมีสภาพตามที่ภาษาไทยเดิมเรียกว่า “ข้า” ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า “ทาสา” ซึ่งแผลงเป็นภาษาไทยว่า “ทาส”

ตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นต้องการเสรีภาพและความเสมอภาคอันเป็นสิทธิของมนุษยชน แม้ “อภิสิทธิ์ชน” มีอำนาจเฆี่ยนดีเข่นฆ่า แต่มนุษย์ก็ต้องการหลุดพ้นจากการถูกกดขี่บีบคั้น เราย่อมเห็นได้ว่าสัตว์เดรัจฉานที่คนจับมาใช้งานก็พยายามดิ้นรนที่จะเป็นอิสระ อภิสิทธิ์ชนจึงคิดวิธีเพิ่มเติมประกอบอำนาจของตนขึ้นมาอีกวิธีหนึ่ง คือทำให้ “ข้า” หรือ “ทาส” หลงเชื่อว่าเจ้าใหญ่นายโตที่มีอำนาจยิ่งใหญ่นั้นได้ก็เพราะเป็นคนมีบุญ ผู้ที่พระเจ้าบนสวรรค์ได้ส่งเทวดาให้มาจุติเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปกครองปวงชน

(3) ครั้นต่อๆ มาได้มีการปกครองแบบศักดินาขึ้น คืออภิสิทธิ์ชนได้ปรับปรุงแบบการปกครองทาสให้ทำงานเพื่อประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนได้ผลยิ่งขึ้นตามเครื่องมือหัตถกรรมที่พัฒนาขึ้นและตามการบุกเบิกและหักร้างถางพงในแผ่นดินกว้างใหญ่ให้เป็นที่นากว้างขวางขึ้น จึงจำต้องให้ “ข้า” หรือ “ทาส” ออกไปอยู่ห่างไกลจากเคหสถานของ “อภิสิทธิ์ชน” ผู้เป็นเจ้าของอภิสิทธิ์ชนจึงต้องมีบริวารช่วยควบคุมข้าทาสและตั้งให้บริวารเหล่านี้มีฐานันดรศักดิ์อันดับต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนมี “ศักดิ์” คิดตามเนื้อที่นาฐานันดรศักดิ์นี้จึงเรียกว่า “ศักดินา”

ส่วนสามัญชนซึ่งเป็นคนจำนวนมากนั้นในสารคงมีสภาพเป็น “ข้า” แต่มีคำใหม่เรียกว่า “ไพร่” โดยที่สามัญชนเข้าใจสาระของไพร่ว่าเป็น “ข้า” ชนิดหนึ่ง ฉะนั้นจึงเรียกสามัญชนในสมัยศักดินาว่า “ข้าไพร่” ซึ่งมีความเป็นอิสระดีกว่าทาสบ้าง แต่ทาสก็ยังไม่หมดสิ้นไปในสมัยศักดินา

ความหลงเชื่อว่าอภิสิทธิ์ชนเป็นเทวดาที่มาจุติในโลกมนุษย์ก็ยังคงฝังอยู่ในจิตใจของสามัญชน

(4) ต่อมาในประเทศยุโรปได้มีผู้คิดทำเครื่องจักรกลใช้กำลังไอน้ำได้สำเร็จ จึงได้มีนายทุนเจ้าของโรงงานสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่ผลิตสิ่งของและพาหนะการขนส่งฯลฯ แทนแรงคนและแรงสัตว์พาหนะนายทุนเจ้าของโรงงานจำเป็นต้องใช้ลูกจ้างที่มีความรู้สามารถใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่

ในการนั้นจำเป็นต้องให้คนงานมีเสรีภาพจึงจะมีกำลังใจใช้เครื่องมือสมัยใหม่ให้ได้ผลอย่างยุโรปตะวันตกโดยมีรัฐธรรมนูญเขียนเป็นกฎหมายให้สามัญชนหมดสภาพเป็น “ข้าไพร่” และให้มีสิทธิมนุษยชนเสมอภาคกับนายทุน แต่ในทางปฏิบัตินั้นนายทุนได้เปรียบเพราะอาศัยทุนใช้จ่ายเพื่อใช้สิทธิมนุษยชนของตนได้มากกว่าสามัญชน

นายทุนยุโรปส่วนที่สะสมทุนไว้ได้มหาศาลจึงเป็นนายทุนยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเรียกว่า “จักรวรรดินิยม” นั้นได้แผ่อำนาจไปยังอเมริกาญี่ปุ่นแล้วก่อให้เกิดนายทุนจักรวรรดินิยมอเมริกันและญี่ปุ่นขึ้น พวกนายทุนมหาศาลเหล่านี้ได้แผ่อำนาจเข้ามาในประเทศด้อยพัฒนาซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

รัชกาลที่ 5 ได้ทรงประกาศยกเลิกการปกครองทาส แต่การปกครองแบบศักดินายังมีอยู่ ชนชาวไทยปัจจุบันจึงมีฐานะและวิธีครองชีพต่างๆ กันมากมายหลายชนชั้นวรรณะตามวิธีศักดินา และวิธีนายทุนสมัยใหม่ เราเห็นได้แก่นัยน์ตาของเขาเองว่า ภายในปวงชนปัจจุบันนี้มีคนไร้สมบัติต้องเป็นลูกจ้างของนายทุน, ชาวนา, ชาวประมง,ชาวสวน, ชาวไร่, ช่างฝีมือ, ผู้ทำมาหากินโดยแรงงานของตนเอง บุคคลส่วนมากดังกล่าวแล้วอัตคัดขัดสน ส่วนน้อยมีรายได้พอทำพอกิน, มีชนผู้มีทุนน้อยร้ายได้พอทำพอกิน มีคนชั้นกลางรายได้ปานกลางพอมีเหลือเก็บสะสมได้ มีนายทุนรายได้ค่อนข้างมาก มีนายทุนใหญ่มหาศาลรายได้มากมายล้นเหลือเนื่องจากอาศัยทุนมหาศาลสมัยใหม่และรับช่วงทุนมหาศาลศักดินา

เราอาจจัดชนจำพวกปลีกย่อยต่างๆ ภายในปวงชนไทยตามจำนวนส่วนข้างน้อยและส่วนข้างมากเป็น 2 ประเภทใหญ่

ก. “อภิสิทธิ์ชน” คือชนจำนวนส่วนข้างน้อยที่สุดของปวงชนได้แก่นายทุนยิ่งใหญ่มหาศาล เนื่องจากสะสมทุนสมัยใหม่และรับช่วงสมบัติศักดินา มีฐานะดีที่สุดยิ่งกว่าคนจำนวนมากในชาติ อภิสิทธิ์ชนหมายความรวมถึงสมุนที่ต้องการรักษาอำนาจและสิทธิของอภิสิทธิ์ชนไว้

ข. “สามัญชน” คือชนจำนวนส่วนมากที่สุดของปวงชน ประกอบด้วยชนทุกฐานะและอาชีพที่ไม่ใช่ประเภทอภิสิทธิ์ชน

 

-4-

หลักสำคัญในการพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญฉบับใดเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

(1) รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่กำหนดแบบการปกครองขึ้นใหม่ ต่างจากการปกครองแบบเก่าย่อมมีทั้งตัวบทถาวรและตัวบทเฉพาะกาลในระยะหัวต่อระหว่างสองระบบนั้น ซึ่งเมื่อพ้นระยะเวลาชั่วคราวนั้น แล้วก็เหลือแต่บทถาวรของระบบการปกครองใหม่ แมัรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้จะไม่มีหมวดมาตราที่ระบุเจาะจงว่าเป็นบทเฉพาะกาล แต่ในตัวรัฐธรรมนูญนั้นเองก็ต้องมีบทบาทอย่างหนึ่งเขียนไว้ซึ่งมีลักษณะเป็นบทเฉพาะกาลหรือบทชั่วคราวนั้นเอง

รัฐธรรมนูญแบบเผด็จการซึ่งผู้มีอำนาจทำอะไรได้ตามชอบใจตนนั้นจึงเขียนรัฐธรรมนูญตามชอบใจได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสมควรว่าจะมีบทเฉพาะกาลในระยะหัวต่อระหว่างระบบเก่ากับระบบใหม่ไว้ ฉะนั้นสามัญชนจึงต้องพิจารณารายละเอียดที่เป็นบทถาวรของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

(2) รัฐธรรมนูญต่างๆ ย่อมมีรายละเอียดมากน้อยต่างๆ กัน วิธีร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยถาวรฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งพระยามโนปกรณ์ประธานอนุกรรมการได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงเห็นชอบด้วยและทรงพอพระทัยมากนั้น ได้ถือหลักบัญญัติรายละเอียดไว้เท่าที่จำเป็นสำหรับแบบการปกครองประชาธิปไตยเป็นจำนวนเพียง 68 มาตราเพื่อมิให้เป็นที่น่าเบื่อหน่ายแก่สามัญชนที่จะต้องอ่านในเรื่องที่รู้อยู่แล้ว

ประธานอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นไว้ตอนหนึ่งในการอภิปรายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ถึงความไม่จำเป็นของรายละเอียดบางประการที่ไม่ต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ทำให้ดีขึ้นหรือเลวลง ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ให้หรูๆ เพราะไม่เขียนก็รู้อยู่แล้ว

จึงขอให้สามัญชนหาโอกาสอ่านรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 เพื่อทราบตัวอย่างของความไม่จำเป็นต้องเขียนๆ ฟุ่มเฟือยไว้ในรัฐธรรมนูญ

‘นายหงวน ทองประเสริฐ’ กล่าวว่า ในหมวดสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้แทนราษฎรต้องปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ อยากทราบความประสงค์ของท่านประธานอนุกรรมการว่า พระมหากษัตริย์ต้องทรงปฏิญาณไหม

ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตอบว่าผู้ที่เป็นสมาชิกสภานี้ก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่ต้องปฏิญาณและตามประเพณีราชาภิเศกก็มีการปฏิญาณอยู่แล้ว

‘นายหงวน ทองประเสริฐ’ กล่าวว่าควรบัญญัติไว้

‘พระยาราชวังสัน’ กล่าวว่าในประเทศเดนมาร์กถึงเป็นรัชทายาทก็ต้องปฏิญาณเหมือนกัน เพราะในโอกาสบางคราวต้องทำการเป็นผู้แทนพระเจ้าแผ่นดิน แต่ความคิดของเรานี้ก็เพื่อวางระเบียบว่าสิ่งใดที่เป็นแบบธรรมเนียมอยู่แล้ว เราไม่อยากพูดมากนัก ตามความคิดเดิมในการร่างรัฐธรรมนูญนี้ ประสงค์ไม่ให้ยาวเกินไป สิ่งใดที่มีและการพิจารณาแล้วเห็นว่าเหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่บัญญัติไว้ เพราะความคิดเช่นนั้นเราวางไว้ เห็นว่าไม่เป็นอะไร ทั้งเห็นความสะดวกว่าการบัญญัติเช่นนี้จะดีกว่า

‘นายหงวน ทองประเสริฐ’ ตอบว่าความจริงเห็นด้วย แต่ธรรมเนียมนั้นไม่ใช่บทบังคับอีกประการหนึ่งสิ่งนี้เป็นคราวแรกไม่เคยใช้มา

‘พระยามนธาตุราช’ กล่าวว่า ประเทศอื่นๆ ที่จะผลัดเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดิน เขามีในธรรมนูญ

‘พระยาราชวังสัน’ ตอบว่า ในธรรมนูญบางฉบับได้บัญญัติคำไว้ว่าจะปฏิญาณอย่างนั้นของเราทราบว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงปฏิญาณต่อหน้าเทวดาทั้งหลายและพระพุทธรูปเป็นต้นเราอยากจะเงียบเสีย

‘นายหงวน ทองประเสริฐ’ กล่าวว่า ขอเรียนถามว่าควรจะแก้ไขอย่างไรหรือไม่

ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ตอบว่าไม่เห็นจำเป็นเพราะไม่ทำให้ดีขึ้นหรือเลวลงมีอยู่แล้วจะไปล้างเสียทำไม ถ้าแม้ว่าความข้อนี้ตัดความหรือเพิ่มสิทธิก็ควรอยู่ การที่บัญญัติไว้เช่นนี้เพื่อเขียนไว้ให้หรูๆ ถึงไม่เขียนก็รู้อยู่แล้ว

‘นายหงวน ทองประเสริฐ’ กล่าวว่า เพื่อความเข้าใจของราษฎรทั้งหลาย ให้ลงมติว่าจะสมควรหรือไม่

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอแถลงให้ที่ประชุมทราบเท่าที่นายหงวนทองประเสริฐ ได้ร้องให้เติมร่างว่าพระมหากษัตริย์ต้องทรงปฏิญาณนั้น การที่ไม่เขียนไว้ก็ดีก็ให้ถือว่าเวลาขึ้นเสวยราชย์ต้องทรงกระทำตามพระราชประเพณี การที่ไม่เขียนไว้นี้ไม่ใช่เป็นการยกเว้นที่พระองค์จะไม่ต้องทรงปฏิญาณ ขอให้จดบันทึกข้อความสำคัญนี้ไว้ในรายงาน

‘ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ’ กล่าวว่า เนื่องจากหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้กล่าวแล้ว ข้าพเจ้าขอแถลงว่าได้เคยเฝ้าและทรงรับสั่งว่าพระองค์ได้ทรงปฏิญาณเวลาเสวยราชสมบัติและเวลาขึ้นรับเป็นรัชทายาทก็ต้องปฏิญาณชั้นหนึ่งก่อน ความข้อนี้เมื่อพระองค์เอง ทรงรับสั่งเช่นนี้ เพราะฉะนั้นรับรองได้อย่างที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมว่าเป็นพระราชประเพณีทีเดียว

‘นายจรูญ สืบแสง’ กล่าวว่า เป็นที่เข้าใจว่า พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงปฏิญาณตามนี้ แต่นี่เป็นรัฐธรรมนูญสำคัญอย่างยิ่ง เท่าที่ได้จดบันทึกรายงานยังน้อยไป ถ้าอย่างไรให้มีไว้ในธรรมนูญจะดียิ่ง

‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ตอบว่า สภาผู้แทนราษฎรต้องเห็นชอบในการอัญเชิญพระมหากษัตริย์ขึ้นเสวยราชย์หรือในการสมมติรัชทายาท ถ้าองค์ใดไม่ปฏิญาณเราคงไม่ลงมติให้

‘นายจรูญ สืบแสง’ กล่าวว่า องค์ต่อๆ ไปอาจไม่ปฏิญาณ

‘พระยาราชวังสัน’ ตอบว่า ตามหลักการในที่ประชุมต่าง ๆ ถ้ามีคำจดในรายงานแล้ว เขาถือเป็นหลักการเหมือนกัน

‘ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ’ แถลงให้สมาชิกลงมติตามมาตรา 9 ว่า การสืบราชสมบัติท่นว่าให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎมณเทียรบาลหรือให้เดิมคำว่า ‘จะต้องปฏิญาณ’

‘ประธานสภาฯ’ กล่าวว่า บัดนี้มีความเห็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเห็นว่าควรคงตามร่างเดิม อีกทางหนึ่งว่า ควรเดิมความให้ชัดยิ่งขึ้น

ที่ประชุมลงมติตามร่างเดิม 48 คะแนน ที่เห็นว่าให้เติมความให้ชัดขึ้นมี 7 คะแนน เป็นอันตกลงว่าไม่ต้องเติมความอีก

วิธีร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 ได้ถือหลักร่างไม่ฟุ่มเฟือยตามวิธีดังที่พระยามโนปกรณ์กล่าวไว้แต่เพราะเหตุร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 กำหนดให้มีรัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทนจึงต้องมีบทบัญญัติรวม 76 มาตรา มากกว่าฉบับ 10 ธันวาคม 2475 เพียง 28 มาตรา

รัฐธรรมนูญฉบับ 2492 มี 188 มาตรา ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2517 แบบหนึ่ง 224 มาตราแบบสอง 224 มาตรา

สาระสำคัญอยู่ที่รัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้บัญญัติข้อความไว้พอเพียงแก่การให้สิทธิมนุษยชนแก่ปวงชนหรือไม่ และพอเพียงแก่การถือมติปวงชนเป็นใหญ่หรือไม่ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดเขียนไว้พุ่มเฟือยยืดยาวทำให้สามัญชนเห็นว่าได้สิทธิมากแต่ในสาระบั่นทอนสิทธิมนุษยชนและมิใช่การถือมติปวงชนเป็นใหญ่อย่างแท้จริง ความฟุ่มเฟือยยืดยาวก็ไม่อาจช่วยให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้

 

ที่มา: ปรีดี พนมยงค์. ประชาธิปไตยเบื้องต้นสำหรับสามัญชน, ใน, แนวความคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2535), น.199-204

หมายเหตุ:

  • พิมพ์ครั้งแรก น.ส.พ. มหาราษฎร (รายสัปดาห์), ๒๕๑๗
  • พิมพ์ครั้งที่สอง จัดพิมพ์โดย นายสุพจน์ ด่านดระกูล (สำนักพิมพ์สันติธรรม, ๒๕๑๘)
  • จัดรูปแบบอักษรโดยบรรณาธิการ