รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเหรียญ “เมดัล ออฟ ฟรีดอม ประดับใบปาล์มทอง” จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ตามคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าต้องสมทบเข้าร่วมคณะท่านรัฐบุรุษอาวุโสในการเยือนนานาชาติทางสันถวไมตรี ข้าพเจ้าจึงไม่มีส่วนในการเจรจากับฝรั่งเศสจนถึงที่สุด และแม้ข้าพเจ้าจะได้รับมอบหมายให้ออกไปบุกเบิกคลำหาทางให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ตอนเจรจาขั้นสุดท้าย ก่อนสหประชาชาติประกาศรับประเทศไทย เป็นสมาชิกเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๙ ความสำเร็จผลของสองเรื่องนี้ อาศัยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร โดยแท้ ทรงสนองความประสงค์ของรัฐบาลเต็มบริบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นที่ยอมรับกันว่า การเจรจากับฝรั่งเศสและกับสหภาพโซเวียตมิใช่ของง่าย ทางคณะผู้แทนไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ความคิดเห็นย่อมมีแตกต่างกัน เป็นผลสะท้อนจากการเมือง พระองค์ทรงใช้พระสุขุมคัมภีรภาพประสานทุกฝ่ายให้เข้าหากันได้ ควรแก่การจารึกไว้ให้อนุชนรุ่นหลังทราบโดยถ่องแท้ เมื่อประสบความสำเร็จทางการเจรจาแล้ว รัฐบาลเห็นสมควรแต่งตั้งพระองค์ท่านให้ดำรงตำแหน่งทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ภายหลังที่ได้สั่งให้คุณถนัด คอมันตร์ รักษาการใน ตำแหน่งอุปทูตแทนคุณหลวงดิษฐการภักดีชั่วระยะหนึ่ง
ข้าพเจ้าจากคณะผู้แทนไทยในต้นเดือนพฤศจิกายน ไปรอสมทบคณะของท่านรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อท่านเดินทางถึงนครลอสแองเจลีส ตลอดเวลาเยือนสหรัฐอเมริกาแรมเดือน การต้อนรับของฝ่ายอเมริกันเป็นไปด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง ในฐานะที่ท่านได้รับยกย่องเป็นหัวหน้าคณะต่อต้านญี่ปุ่น ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ในกรุงวอชิงตัน รัฐบาลอเมริกันถือโอกาสมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ Medal of Freedom ชั้นสูงสุดให้ เมื่อพบกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายอเมริกัน นับแต่ประธานาธิบดีลงมา ท่านได้พยายามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และทำความเข้าอกเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่ฝ่ายอเมริกันในปัญหาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส หมายกำหนดการของฝ่ายอเมริกันกำหนดให้ท่านได้ชมการพัฒนาทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและสังคมหลายเมือง
ท่านอยู่ในสหรัฐฯ จนกระทั่งวันที่ ๑๔ ธันวาคม จึงได้เดินทางต่อไปยังประเทศอังกฤษโดยทางเรือ พร้อมกับท่านผู้หญิง และคุณหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ ส่วนคุณวิทย์ ศิวะศริยานนท์ เรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวชช และข้าพเจ้าบินตรงไปกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ ๑๕ ก่อนออกเดินทางข้าพเจ้าแสดงความขอบคุณคุณหลวงดิษฐการภักดี ในความร่วมมือและความช่วยเหลือที่กรุณาให้แก่ข้าพเจ้าตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาคราวนั้น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นเวลาหลายเดือน ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการไทยในกรุงวอชิงตันที่ข้าพเจ้าประสบตอนออกไปงานเสรีไทย ยังคงมีอยู่ไม่เบาบางลงเลย คุณหลวงดิษฐการภักดีถูกถือเป็นพวกท่านเสนีย์ ปราโมช ที่ถูกปล่อยให้คงอยู่ทางกรุงวอชิงตัน แทนที่จะได้ติดตามกลับกรุงเทพฯ เมื่อท่านเสนีย์รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้นเมื่อท่านนายกรัฐมนตรีเกิดปีนเกลียวกับท่านรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านเสนีย์กลายเป็นฝ่ายค้านร่วมพรรคกับคุณควง อภัยวงศ์ คุณหลวงดิษฐการภักดีจึงตกอยู่ในฐานะค่อนข้างลำบาก ขาดความไว้วางใจจากรัฐบาล เพราะเหตุนี้เองเมื่อข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปสอบดูลู่ทางในการที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ คุณหลวงจะได้รับทราบข่าวลือจากทิศทางใดก็แล้วแต่ เกิดระแวงข้าพเจ้าว่าจะไปแย่งตำแหน่งอุปทูตของท่าน ทำให้ข้าพเจ้าต้องปฏิเสธด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต่อมาคุณหลวงสงสัยว่า ทางรัฐบาลส่ง ดร.สุจิต หิรัญพฤกษ์ ออกไปควบคุมท่าน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แล้วในที่สุดรัฐบาลแต่งตั้งให้คุณถนัด คอมันตร์ เข้ารับหน้าที่อุปทูตแทน เพราะเห็นว่า คุณหลวงประจำอยู่ที่กรุงวอชิงตันมาเป็นเวลานานเกินกำหนดแล้ว สมควรได้สับเปลี่ยนกลับเข้ารับราชการในกระทรวงบ้าง ระหว่างที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเยือนสหรัฐฯ ความระหองระแหงระหว่างคุณหลวงดิษฐการภักดีกับพันโท ขาบ กุญชร ก็ยังกรุ่นอยู่ แต่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสมิได้ถือเป็นข้อสำคัญประการใด
ทางประเทศอังกฤษ เมื่อทราบว่า ท่านรัฐบุรุษอาวุโสจะมาเยือน กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้เชิญเป็นแขกของรัฐบาลตามคำแนะนำของเอกอัครราชทูตทอมสัน ซึ่งให้ความเห็นว่า แม้ท่านปรีดี พนมยงค์ ต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองภายในอย่างหนัก แต่ยังเป็นผู้ที่มีอิทธิพลไม่น้อย วันหนึ่งข้างหน้าอาจกลับมารับผิดชอบบริหารราชการแผ่นดินอีกก็ได้ รัฐบาลอังกฤษควรจะให้การรับรองเป็นพิเศษให้สมเกียรติ รวมทั้งจัดให้ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ายอร์ช เอกอัครราชทูตไม่เชื่อว่า ท่านมีหัวรุนแรง วางตนเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลอังกฤษตกลงให้เชิญท่านปรีดี พนมยงค์ และคณะเป็นแขกของรัฐบาล จัดให้พักที่โรงแรมแคลริตช์ ซึ่งเป็นที่พำนักแขกเมืองของทางราชการ มีกำหนดการเยือนกรุงลอนดอนดังนี้
RMS Queen Elizabeth
ที่มา: Wikipedia
วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๘๙ เวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกา คณะทูตสันถวไมตรีเดินทางโดยเรือควีนเอลิซาเบท ถึงเมืองท่าเซาแธมป์ตัน พลจัตวา กรีนฟิลด์ ผู้แทนคณะกรรมการฝ่ายรับรองของรัฐบาลและนาวาอากาศโท มอร์ตัน ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ไปรับที่ท่าเรือ นำคณะขึ้นรถไฟพิเศษเข้ากรุงลอนดอน
วันที่ ๒๐ ธันวาคม เวลา ๑๓.๔๕ นาฬิกา ท่านรัฐบุรุษอาวุโสและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับพลเรือเอก ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ณ เลขที่ ๑๖ ถนนเซสเตอร์ ในฐานะสหายร่วมสงคราม
บ่ายวันนั้นเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา คณะทูตสันถวไมตรีรับเชิญไปงานรับรองที่สหภาพรัฐสภาสาขาอังกฤษจัดให้เป็นเกียรติ โดยมีประธานสภาสามัญเป็นเจ้าภาพ ที่ตึกรัฐสภา
เวลา ๑๘.๐๐ ถึง ๑๙.๓๐ นาฬิกา รัฐบาลอังกฤษจัดงานรับรองให้ที่แลนแคสเตอร์เฮาส์ มีลอร์ดนาธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินพลเรือน และภริยา เป็นเจ้าภาพ
วันที่ ๒๑ ตรงกับวันเสาร์ สมเด็จพระเจ้ายอร์ชและสมเด็จพระราชินีโปรดเกล้าฯ ให้ท่านปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขเข้าเฝ้าที่พระราชวังบักกิ้งแฮม และพระราชทานพระกระยาหารกลางวัน
วันที่ ๒๓ เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา คณะทูตสันถวไมตรีชมกิจการขององค์การขนส่งมวลชน กรุงลอนดอน
เวลา ๑๘.๐๐ ถึง ๒๐.๐๐ นาฬิกา พรรคเสรีนิยมจัดงานรับรองให้เป็นเกียรติ ณ อาคารเลขที่ ๓ เกรย์โคตการ์เด้นส์ มีนายอลัน แคมเบลล์ จอห์นสัน และภรรยา เป็นเจ้าภาพ
วันที่ ๒๔ คณะทูตสันถวไมตรีชมกิจการโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ที่เพ็นเดอร์เลย์ แมเนอร์
วันที่ ๒๖ เวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา คณะทูตสันถวไมตรีชมบริการสงเคราะห์เด็กแห่งชาติ ที่ฮาร์เพนเด้น
เวลา ๒๐.๓๐ นาฬิกา ชมการแสดงที่สถานีวิทยุกระจายเสียง บีบีซี.
วันที่ ๒๗ ตอนบ่าย พบกับนางโดโรดี วูดแมน แห่งยูเนียนออฟเดโมเกรติกคอนโทรล ณ อาคารเลขที่ ๑๔ ถนนบักกิ้งแฮม
วันที่ ๒๘ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา คณะทูตสันถวไมตรีเยี่ยมโรงพยาบาลเด็ก ที่ถนนเกร๊ทออร์มอนด์
เวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา ชมละครเรื่อง Under the Counter แล้วรับประทานอาหารที่ภัตตาคารฮังกาเรีย
วันที่ ๓๐ เวลา ๑๑.๔๕ นาฬิกา ชมกิจการของสถานีวิทยุกระจายเสียง บีบีซี. แล้วรับประทานอาหารกลางวันกับผู้อำนวยการ เซอร์วิลเลียม ฮาเลย์
เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา ชมการจัดโทรทัศน์ที่อาเล็กซานดราพาเลซ
เวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา กำลัง ๑๓๖ จัดเลี้ยงอาหารค่ำที่โรงแรมซาวอย โดย นาย ซี. แมกเคนซี เป็นประธาน
วันที่ ๓๑ เดินทางออกไปชมงานอุตสาหกรรมของโฮมเคาตี้ส์ พักแรมที่เมืองเบอร์มิงแฮม
เวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา นายกเทศมนตรีเมืองเบอร์มิงแฮมจัดอาหารค่ำให้เป็นเกียรติ
วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๐ ชมโรงงานสร้างรถยนต์บริษัทรูทส์ที่เมืองโคเวนตรี แล้วกลับกรุงลอนดอน
วันที่ ๒ มกราคม เวลา ๑๐.๓๐ ท่านปรีดี พนมยงค์ เยี่ยมนายเคลเมนต์ แอ็ตลี นายกรัฐมนตรี
พึงสังเกตว่า แม้การไปเยือนประเทศอังกฤษของท่านรัฐบุรุษอาวุโส พ้องกับเวลาปิดงานตรุษคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ แต่ทางการอังกฤษก็ได้พยายามจัดให้ชมกิจการและพบปะกับเจ้าหน้าที่องค์การที่เกี่ยวข้องทางฝ่ายอุตสาหกรรม การศึกษา และการสังคมสงเคราะห์อย่างมากที่สุดที่กระทำได้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเองก็เปิดโอกาสให้เยี่ยมด้วยอัธยาศัยไมตรี ในฐานะที่เคยติดต่อกันมาในปัญหาสำคัญหลังสงคราม สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอังกฤษทางการมิได้จัดให้เข้าพบ เนื่องจากนายเบวินกลับกรุงลอนดอนจากนครนิวยอร์กโดยเรือควีนเอลิซาเบทลำเดียวกัน ได้พบปะและปรึกษาหารือกับท่านปรีดี พนมยงค์ระหว่างทางแล้ว
จากแฟ้มของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษปรากฏว่ามีปัญหาข้อปลีกย่อยละเอียดอ่อนเกี่ยวกับการเยือนของท่านรัฐบุรุษอาวุโสสองเรื่อง คือ
๑. ในฐานะที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งใช้สถานที่ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ถูกกักกันพลเรือนอังกฤษในประเทศไทยระหว่างสงคราม ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษดำริอยากจะให้มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด หรือเคมบริดจ์ ประสาทปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ให้ หากแต่ประสบข้อขัดข้องว่า มหาวิทยาลัยอังกฤษไม่เคยประสาทปริญญากิตติมศักดิ์แก่อดีตคนชาติศัตรู จึงเป็นอันระงับไป กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษคิดต่อไปว่า อย่างน้อยน่าจะจัดให้มีงานรับรองที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้พบกับบรรดาศาสตราจารย์ และเจ้าหน้าที่ธุรการชั้นผู้ใหญ่ แต่เป็นระหว่างเวลาปิดมหาวิทยาลัย จึงไม่อาจจัดให้ได้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตระกูลเซนต์ไมเกิ้ลเซนต์ ยอร์ช
(The Most Distinguished Order of Saint Michael and Saint George)
ที่มา: Wikipedia
๒. ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตระกูลเซนต์ไมเกิ้ลเซนต์ ยอร์ชชั้นหนึ่งเมื่อปี ๒๔๘๓ ครั้นเกิดสงครามกับไทย ตามระเบียบของราชสำนักอังกฤษ คนชาติศัตรูผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อังกฤษถูกตัดชื่อออกจากบัญชีผู้ทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์โดยอัตโนมัติ การกลับมาเข้าอยู่ในบัญชีต้องมีพิธีสถาปนาใหม่ กรณีทำนองนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแก่เคานต์ เมนส์ดอร์ฟ เอกอัครราชทูตออสเตรีย-ฮังการี ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ตระกูลวิกตอเรียชั้นหนึ่งเมื่อปี ๒๔๔๔ ต้องถูกลบชื่อออกจากบัญชีเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งแรก ระหว่างอังกฤษกับออสเตรีย-ฮังการี ท่านเคานต์เป็นอันสูญเสียเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น รอมาจนกระทั่งกันยายน ๒๔๗๐ จึงได้รับคืนโดยท่านเคานต์ขออนุญาตกลับใช้ประดับใหม่
กระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาว่า จะพึงปฏิบัติอย่างใดต่อกรณีท่านปรีดี พนมยงค์ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนความรู้สึก ก็ได้รับหนังสือจากเซอร์อลัน ลัสแซลส์ ราชเลขานุการในพระองค์ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ ว่า สมเด็จพระเจ้ายอร์ชทรงมีพระราชปรารถนาจะคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ท่านปรีดี เข้าใจว่าคงเนื่องจากคำกราบบังคมทูลแนะของพลเรือเอก ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ที่เข้าเฝ้าเมื่อคืนวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ราชเลขานุการกล่าวด้วยว่า สมเด็จพระเจ้ายอร์ชทรงพร้อมที่จะออกพระราชสาส์นรับรองให้ถ้าจำเป็น แต่ไม่ควรทำพิธีมอบพระราชสาส์นใหม่ในวันที่ท่านปรีดีเข้าเฝ้า น่าจะขอให้เอกอัครราชทูตไทยรับเรื่องไปชี้แจงให้ท่านปรีดีทราบล่วงหน้า และมอบพระราชสาส์นให้ก่อนวันที่ ๒๑ ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ถ้าจะกระทำเช่นนั้นจะเป็นตัวอย่างต่อไปในอนาคต ตกเป็นพระราชภาระที่จะต้องลงพระปรมาภิไธยในพระราชสาส์นใหม่ทุกรายไป จึงขอให้เซอร์อลันนำความกราบบังคมทูลแนะให้สมเด็จพระเจ้ายอร์ชทรงเท้าถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของท่านปรีดี ในพระราชปฏิสันถารหลังพระกระยาหารให้ท่านปรีดีคิดว่า ทรงพอพระราชหฤทัยที่ท่านประดับเครื่องหมายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในโอกาสเข้าเฝ้า หลังจากนั้นทางกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามระเบียบที่จะให้กลับคืนชื่อของท่านปรีดีเข้าในบัญชีต่อไป สมเด็จพระเจ้ายอร์ชทรงเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่กรุงลอนดอนก็เหมือนกัน ท่านรัฐบุรุษอาวุโสต้องพบความแตกแยกระหว่างคนไทยอีก ตอนนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอัครราชทูต แต่มีหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน ผู้ใกล้ชิดกับท่านรัฐบุรุษอาวุโส เชื้อพระวงศ์ทั้งสององค์นี้ไม่สู้จะทรงลงรอยกันนัก เกรงจะแย่งตำแหน่งกัน สร้างความยากลำบากแก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสไม่น้อย ข้าพเจ้าไปในคณะของท่าน และเคยมีความสนิทสนมกับท่านศุภสวัสดิ์ฯ มาก่อน จึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ มิให้ท่านทูตทรงเกิดความเข้าใจผิดใด ๆ ได้
จากประเทศอังกฤษ คณะท่านรัฐบุรุษอาวุโสเดินทางไปแวะที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๙๐ กรุงเบอร์นวันที่ ๙ กรุงโคเปนเฮเกนวันที่ ๑๕ กรุงสตอกโฮล์มวันที่ ๑๗ กรุงออสโลวันที่ ๒๔ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและพบองค์พระประมุขและหัวหน้ารัฐบาลทุกประเทศ กระชับความสัมพันธ์อันดีให้สนิทสนมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้คำชี้แจงปัญหาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญอยู่ โดยเฉพาะที่สวิตเซอร์แลนด์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า ณ ที่ประทับชั่วคราวเมืองดาโวส พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี หลังจากการเยือนกรุงออสโล ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเกิดป่วย ทำให้ต้องบอกเลิกการไปเยือนสหภาพโซเวียตตามกำหนดเดิม กลับไปรักษาตัวที่กรุงสตอกโฮล์มจนกระทั่งวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ จึงเดินทางไปเยือนประเทศอียิปต์แล้ว ไปประเทศอินเดียเมื่อวันที่ ๑๓ ผ่านประเทศพม่าเมื่อวันที่ ๑๘ ก่อนกลับกรุงเทพฯ
ก่อนท่านรัฐบุรุษอาวุโสเดินทางกลับถึงประเทศไทยไม่กี่วัน คุณดิเรก ชัยนาม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่า ภารกิจที่ต้องปฏิบัติมาในด้านความสัมพันธ์กับอังกฤษและกับฝรั่งเศสได้เสร็จสิ้นลง และประเทศไทยสามารถเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติได้แล้ว อยากเปิดโอกาสแก่รัฐบาลเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบ้าง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ว่า อาจจะมีเหตุผลภายในวงรัฐบาลประกอบด้วย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการลาออกของคุณดิเรกเกิดขึ้น ในเวลาไล่เลี่ยกับอุบัติเหตุรถไฟสายกาญจนบุรี-พม่าตกราง ทำให้ ม.ล.กรี เดชาติวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต้องถึงแก่อนิจกรรมไปหยก ๆ ฐานะของรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้รับความกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา ถึงกับมีข่าวแพร่สะพัดว่า คณะรัฐมนตรีอาจจะกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะก็ได้ เนื่องจากเคยมีเสียงอยู่ก่อนแล้วว่า รัฐมนตรีบางคนดำริจะขอลาออกจากตำแหน่ง ทางคุณควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้านคอยเพ่งติดตามสถานการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลผ่านพ้นมรสุมลูกน้อยนั้นไปได้ด้วยการตั้งซ่อมรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายกรัฐมนตรีเข้าว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกตำแหน่งหนึ่ง และให้นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ในเดือนมีนาคม ๒๔๙๐ มีการพิจารณาปรับปรุงสถานะของผู้แทนทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยทั้งสองประเทศเป็นผู้ริเริ่มเสนอขอยกฐานะสถานทูตขึ้นเป็นสถานเอกอัครราชทูต รัฐบาลไทยตอบรับข้อเสนอเมื่อวันที่ ๑๔ สำหรับเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน คณะรัฐมนตรีได้ตกลงแต่เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๘๙ ให้ทูลเชิญพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เข้าดำรงตำแหน่ง หากต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ ก่อน ภายหลังการเจรจากับฝ่ายฝรั่งเศสแล้ว จึงเป็นอันยืนยันตามมติเดิม ส่วนเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า คุณดิเรก ชัยนาม เป็นผู้ที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นผู้ดำเนินงานเจรจากับรัฐบาลอังกฤษมาโดยตลอด เพื่อขอผ่อนคลายความเข้มงวดของความตกลงสมบูรณ์แบบมาแต่ต้น การเจรจากำลังจะเข้ารูปได้ผล จุดหมายปลายทางของไทยอยู่ที่การยกเลิกความตกลงสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นหากได้คุณดิเรก ชัยนาม ไปช่วยจับงานทางประเทศอังกฤษ คอยติดตามเร่งรัดขอความเห็นอกเห็นใจของฝ่ายอังกฤษได้ ก็น่าจะเป็นการดี มีปัญหาที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนอยู่บ้างก็ทางหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ซึ่งเพิ่งทรงได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตประจำกรุงลอนดอนไม่นานเท่าใด โดยที่พระองค์ท่านเคยทรงศึกษาในประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลจึงดำริให้โยกย้ายเสด็จไปรับตำแหน่งทางกรุงปารีส จะทรงช่วยชาติบ้านเมืองได้ดีกว่าคงประทับอยู่ที่กรุงลอนดอนเสียอีก คุณดิเรกจึงเดินทางออกจากประเทศไทยไปรับตำแหน่งใหม่ทางราชสำนักเซนต์เจมส์เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ๒๔๙๐
เขียนมาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าขอเปิดวงเล็บเกี่ยวกับการเยือนกรุงนานกิงของท่านรัฐบุรุษอาวุโสเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ ท่านได้มีโอกาสเข้าพบประธานาธิบดี จอมพล เจียงไคเช็ค และได้สนทนาปัญหาการเมืองของประเทศไทยตามที่คุณหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์รวบรวมบันทึกการสนทนาเมื่อวันที่ ๕ ไว้ มีความสำคัญสรุปได้ดังนี้
๑. รัฐบาลจีนยินดีสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เพราะรัฐบาลจีนไม่เคยถือประเทศไทยเป็นศัตรู หากถือท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามเท่านั้นเป็นศัตรู เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสัมพันธมิตร รัฐบาลจีนเห็นด้วยกับรัฐบาลอังกฤษและอเมริกันที่สั่งให้ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนะท่านปรีดีให้บอกเลิกการประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเสีย
๒. ที่จอมพล เจียงไคเช็คไม่พอใจท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เนื่องจากนโยบายข่มเหงคนจีนแต่ก่อนสงครามซึ่งได้หนักหน่วงขึ้นระหว่างสงคราม ประกอบกับท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งวิทยุกระจายเสียงชวนให้จีนยอมก้มศีรษะให้ญี่ปุ่น ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถึงกับสาบานตนต่อหน้าพระแก้วมรกตร่วมกับญี่ปุ่นว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน และแทบไม่เว้นแต่ละวัน วิทยุของท่านจอมพลมีแต่ยกย่องญี่ปุ่นจะชนะสงครามแน่นอน ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม หยามหน้าจีนมากที่รับรองรัฐบาลแมนจูกัว และรัฐบาลวังจิงไว จอมพล เจียงไคเช็คจึงได้ให้โฆษกรัฐบาลจีนประกาศไว้ว่า ถ้าสงครามเสร็จสิ้นจะต้องเอาตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาขึ้นศาล อาชญากรสงครามตะวันออกไกล ครั้นเมื่อรัฐบาลไทยจับกุมตัวจอมพล ป. พิบูล สงคราม นำขึ้นศาลฐานอาชญากรสงคราม รัฐบาลจีนจึงไม่ติดใจจนกระทั่งศาลไทยสั่งปล่อยตัว จอมพล เจียงไคเช็คอ้างถึงพันธกรณีระหว่างประเทศที่ผูกพันประเทศไทยให้จับกุมอาชญากรสงครามนำขึ้นศาลตามภาคผนวกของหัวข้อความตกลงที่ทำกับอังกฤษในนามของสัมพันธมิตร
๓. จอมพล เจียงไคเช็ครับว่า มีการติดต่อระหว่างนายทหารชายแดนภาคพายัพของไทยกับนายทหารจีนจริง เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๗ นายทหารจีนรายงานให้ทราบว่า นายทหารไทยชายแดนเสนอคำของจอมพล ป. พิบูลสงครามว่า จะปลีกตัวจากญี่ปุ่นมาร่วมกับจีนรบญี่ปุ่น ซึ่งจอมพล เจียงไคเช็คได้แทงสั่งในรายงานฉบับนั้นว่า เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม สาบานต่อหน้าพระแก้วมรกตว่าจะซื่อสัตย์ต่อญี่ปุ่น เหตุใดจึงยอมละเมิดคำสาบานเสีย การทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรแยกกองบัญชาการสูงสุดออกเป็นเขตยุทธภูมิต่าง ๆ จอมพล เจียงไคเช็คเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดเขตยุทธภูมิจีน ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทยตั้งอยู่ เหตุใดจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงไม่ติดต่อกับลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน
๔. ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๘๗ จอมพล เจียงไคเช็คได้รับรายงานจากชายแดนอีกว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ร้อนใจมาก อยากตกลงกับจีนรบญี่ปุ่น โดยได้สร้างฐานทัพต่อสู้ญี่ปุ่นที่เพชรบูรณ์ นายทหารจีนชายแดนเสนอความเห็นประกอบว่า เมืองใหม่สร้างด้วยไม้ ไม่ใช้วัสดุก่อสร้างแข็งแรง ถ้าฝนตกหนักลมพัดแรงก็จะพังทลาย ราษฎรถูกเกณฑ์ไปสร้างเมืองใหม่ล้มตายมากเพราะไข้จับสั่น กว่าจะสร้างเมืองใหม่เสร็จจะต้องใช้เวลานานปี ไม่ทันสงครามที่ใกล้จะสิ้นสุดเข้ามาแล้ว เพชรบูรณ์ไม่เหมาะเป็นฐานทัพ ถ้าญี่ปุ่นถอยมาทางแม่สอดอีก ๓ วัน ก็ตีเพชรบูรณ์แตก ซึ่งจอมพล เจียงไคเช็คได้แทงลงในรายงานฉบับนั้นว่า ข้ออ้างฐานทัพเพชรบูรณ์เป็นเรื่องเหลวไหล ทิ้งกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ญี่ปุ่นจะปล้นเอาของดีมีค่าของคนไทยและคนจีน ญี่ปุ่นยึดภาคกลางอู่ข้าวอู่น้ำ คนไทยและทหารไทยที่ไปอยู่เพชรบูรณ์ต้องอดข้าวตาย จีนไม่ก้าวก่ายเขตยุทธภูมิของลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยั่วจะให้กองทัพจีนเข้าไปในประเทศไทยให้ได้
๕. จอมพล เจียงไคเช็คปฏิเสธข่าวลือว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม เคยพูดวิทยุโทรศัพท์ด้วย ไม่ทราบจะพูดกันได้อย่างไร จอมพล เจียงไคเช็คพูดได้แต่ภาษาจีน ถ้าจะพูดเรื่องการเมืองและยุทธศาสตร์ชั้นสูง ก็ต้องใช้ลามที่มีความรู้ดีทั้ง ๒ ภาษา ถ้ามีการพูดทางวิทยุกันจริง ญี่ปุ่นต้องดักฟังได้ แล้วก็จะทำลายจอมพล ป. พิบูล สงคราม พร้อมด้วยกรุงเทพฯ และเพชรบูรณ์ทันที
ในการสนทนาคราวนั้น จอมพล เจียงไคเช็คพูดภาษาจีนกลาง ดร. ที. วี. ซุง นายกรัฐมนตรี แปลเป็นภาษาอังกฤษ ท่านรัฐบุรุษอาวุโสพูดภาษาอังกฤษ ดร. ที. วี. ซุง แปลเป็นภาษาจีนกลาง หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์เป็นผู้จดบันทึกการสนทนา และส่งไปให้ฝ่ายจีนทราบ
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 471-480
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 471-480
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 12 : ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 14 : นายสุนี เทพรักษา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 15 : การกระชับงานต่อต้าน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 16 : อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 17 : ไทยประกาศสันติภาพ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 18 : การทำข้อตกลงทางทหารกับฝ่ายสหประชาชาติ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 19 : ท่านทูตเสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 20 : การเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนคร
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 21 : กำลังทหารบริติชเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 22 : การเจรจาเลิกสถานะสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 23 : ฝรั่งเศสแซงเรียกร้องจากไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 24 : การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 25 : ไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ