Focus
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร วิเคราะห์แนวคิดเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2482–2484 โดยชี้ให้เห็นว่าการดำเนินนโยบบายทางเศรษฐกิจของท่านเน้น หลัก “เอกราช” เสถียรภาพทางการคลัง และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรไทย

นายปรีดี พนมยงค์ ครั้งเดินทางไปประเทศในยุโรป เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์
บทบาทของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยมีอยู่ด้วยกันสองลักษณะ ซึ่งจักต้องพิจารณาแยกออกจากกัน
ลักษณะแรกคือ พื้นฐานความคิดของท่านที่มีต่อเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ทั้งในส่วนที่เป็นภาพรวมของประชาชาติ และในส่วนที่เกี่ยวกับสถานภาพของราษฎร
ส่วนอีกลักษณะหนึ่งนั้นเป็นกรณีกิจของท่านรัฐบุรุษอาวุโสในด้านเศรษฐกิจในช่วงเวลาสามปีระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๒-๒๔๘๔ ขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชุดแรกก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งโดยหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดก็เป็นเรื่องการเงินการคลัง ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย ท่านปรีดี พนมยงค์ ให้ความสำคัญต่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ (national sovereignty) ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (public welfare) และความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม (socio-economic justice) ซึ่งจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ (a sense of history) ของท่านบ่งชี้ว่าเป็นความปราถนาอันสูงสุดของประชาชาติ (national aspiration) ที่พึงจักได้รับการตอบสนองอย่างสมบูรณ์ที่สุด
ในการวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้ใช้ภูมิปัญญา (wisdom) ความรอบรู้ (knowledge) และประสบการณ์พื้นฐาน (basic experience) ที่ตนเองได้ แสวงหาพัฒนา และสั่งสมมาตลอดชีวิต
ดังนั้นพื้นฐานความคิดทางเศรษฐกิจของท่านปรีดี พนมยงค์ จึงกว้างขวาง ลึกซึ้ง และเข้า ถึงแก่นแท้ของปัญหาเศรษฐกิจไทย
พื้นฐานความคิดทางเศรษฐกิจของท่านปรีดี คือพื้นฐานของการอภิวัฒน์การปกครอง แผ่นดินเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ และเป็นพื้นฐานการบริหารประเทศ ซึ่งรวมถึงการวางรากฐานประชาธิปไตยระบบรัฐสภาซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบนความเสมอภาค การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง และการกอบกู้เอกราชอธิป ไตยและเกียรติภูมิของชาติในสงครามโลกครั้งที่ ๒
ตลอดชีวิต ๘๓ ปีของท่าน รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ไม่เคยเปลี่ยนสาระสําคัญในพื้นฐาน ความคิดทางเศรษฐกิจ อีกทั้งไม่เคยคลายความ สุจริตใจต่อประโยชน์ส่วนรวมท่านปรีดีได้เคยเปิดเผยความรู้สึกนึกคิด ต่อการอภิวัฒน์เมื่อปี ๒๔๗๕ ว่า “การบํารุงความสุขของราษฎรนี้ เป็นจุด ประสงค์อันยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้าในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ซึ่งเป็น การปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งต่อสาระสําคัญคือบํารุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร”
จากการพิจารณาพื้นฐานความคิดของท่านปรีดีดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าท่านรัฐบุรุษอาวุโสให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษในห้าประเด็นดังต่อไปนี้ คือ
๑. เอกราชและอธิปไตยของชาติที่จะไม่ยอมให้เศรษฐกิจไทยตกอยู่ภายใต้อาณัติของต่างชาติ
๒. การฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท โดยราษฎรรวมตัวกันในรูป “สหกรณ์สังคมนิยม” ที่เป็น “สหกรณ์อเนกประสงค์" โดยใช้สามัคคีธรรมในการร่วมกันผลิต จําหน่าย และบริโภค ภายใต้หลักการพึ่งตนเอง
๓. ความเสมอภาคและเสรีภาพในการ ประกอบเศรษฐกิจของราษฎร โดยไม่ปล่อยให้มีการเอารัดเอาเปรียบกัน
๔. การจัดสวัสดิการสังคมเป็นหลักประกันมิให้ราษฎรอดอยากว่างงาน ไม่มีรายได้และขาดการดูแลสุขภาพอนามัย ฯลฯ และ
๕. ใช้ประโยชน์ “เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์" ในการพัฒนาการผลิตทั้งเพื่อการเพิ่มผลิตภาพและเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยของผู้ใช้แรงงาน หรือเพื่อเป็นการทุ่นแรง
ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ล้าสมัยสําหรับ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้นว่าเศรษฐกิจของไทยจะได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ในระหว่าง ๕๐-๖๐ ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงแต่ เพียง “เปลือกนอก” เท่านั้น
ท่านปรีดีได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ “ชาติ” และ “ความรักชาติ” ไว้ว่า แม้นว่า “ชาติ” ยังจะคงอยู่ หาก “ความรักชาติ” ของบุคคลต่าง ๆ ย่อมจะแตกต่างหรือลดหลั่นกันไปตามระดับของความ เห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของบุคคล บุคคลใดมีความเห็นแก่ตัวมาก ความรักชาติก็ลดน้อยลง นอกจากนั้นบุคคลกลุ่มที่ผูกขาดอํานาจเศรษฐกิจการเมืองและสังคมย่อมจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของชาติเป็นส่วนรวม ดังนั้นความรักชาติก็จะไม่เข้มข้นนัก ยกเว้นในกรณีที่เห็นว่ากลุ่มของตนจะอยู่ได้ก็เมื่อชาติคงอยู่ จึงมีความรักชาติเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสกล่าวว่า ผู้ใช้แรงงาน และชาวนาผู้ยากจน ยกเว้นบางคนที่ยอมตนเป็นสมุนของนายทุนผู้ผูกขาด จะมีความรักชาติมากกว่ากลุ่มบุคคลผู้ครองอํานาจเศรษฐกิจการเมืองและสังคมในขณะเดียวกัน ท่านก็ชี้ให้เห็นว่าผู้ครองอํานาจเศรษฐกิจจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นสําคัญ และหากบุคคลกลุ่มดังกล่าวครองอํานาจการเมืองและมีผลประโยชน์ร่วมกับนายทุนต่างชาติ การบริหารเศรษฐกิจของประเทศก็ย่อมจะไม่คํานึงถึงเอกราชอธิปไตยโดยแท้จริง
ท่านปรีดีตระหนักว่า เศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสัมพันธ์กัน การจัดการเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งหมายถึงการขจัดหรือการบรรเทาความทุกข์ยากของราษฎรส่วนใหญ่ การพัฒนาสาธารณูปการ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลัง และการพึ่งตนเองโดยไม่ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามีอํานาจและอิทธิพลเหนือการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ย่อมจะส่งเสริมความมั่นคงในเอกราชและอธิปไตยของชาติ
อย่างไรก็ตาม ท่านปรีดีก็เห็นความจําเป็นของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนการพึ่งพาต่างประเทศในขอบเขตอันสมควร หากจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค มิใช่การพึ่งพาในลักษณะของอาณานิคม
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสตระหนักด้วยว่า ราษฎรที่เป็นชาวนายากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ละคนและแต่ละครอบครัวขาดอํานาจที่จะต่อรองเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจกับบรรดากลุ่มนายทุน และนอกจากนั้นก็ยังขาดเงินทุนขาดเทคโนโลยี และในหลายกรณีก็ต้องเช่าที่ดินทํากินจากนายทุน ดังนั้น “มูลค่าเพิ่ม ที่สร้างขึ้นมาจากการผลิตจึงถูกนายทุนแบ่งปันไปเกือบหมด ซึ่งเหล่านี้คือสาเหตุที่ทําให้ชาวนาไทยยากจนอย่างถาวร

ท่านปรีดี พนมยงค์ ครั้งเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์
เพื่อการฟื้นฟูความสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท ท่านปรีดีเสนอแนะให้ราษฎรรวมตัวกันเป็น "สหกรณ์อเนกประสงค์" ซึ่งสมาชิกจะร่วมกันจัดการในด้านการผลิต ในด้านการตลาดและในด้านการบริโภคในลักษณะที่เป็น “หน่วยประกอบการเศรษฐกิจ" ขนานไปกับกลุ่มผู้ประกอบการเศรษฐกิจเอกชนในระบบทุนนิยม
“สหกรณ์” ในบริบทของแนวคิดของท่าน ปรีดี มิใช่เป็นการรวมตัวกันของสมาชิกเพื่อแสวงหาสินเชื่อ หรือเพื่อประกอบการค้าอย่างใดอย่างหนึ่งโดยประสงค์ที่จะแบ่งปันผลกําไร หากเป็นระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่มีการรวมกลุ่มประกอบการเศรษฐกิจเต็มรูปแบบของบรรดาราษฎรในพื้นที่ชนบท หรือราษฎรที่ยากจนทั้งนี้ โดยมุ่งในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจมิใช่มุ่งแบ่งปันผลกําไร
ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้อาจเรียกว่าระบบเศรษฐกิจแบบ “สหกรณ์สังคมนิยม” ซึ่งแตกต่างไปจากสหกรณ์ที่จัดตั้งขึ้นในระบบทุนนิยมภายใต้การดูแลและอุปถัมภ์ของทางราชการ
ในขณะเดียวกันท่านรัฐบุรุษอาวุโสก็สนับสนุนเสรีภาพและความเสมอภาคในการประกอบเศรษฐกิจของราษฎร ซึ่ง “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” จักพึงเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการเมืองเป็นประชาธิปไตย และในทํานองเดียวกัน หากเศรษฐกิจไม่เป็นประชาธิปไตยโดยมีกลุ่มบุคคลผูกขาดการประกอบการเศรษฐกิจ หรือมีการเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มบุคคลที่อ่อนแอกว่าทางเงินทุน เทคโนโลยี ฯลฯ แล้ว ก็เป็นการยากที่การเมืองจะเป็นประชาธิปไตย เพราะกลุ่มบุคคลที่ผูกขาดเศรษฐกิจก็จะเข้าไปผูกขาดทางการเมืองด้วย
ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่ท่านปรีดียืนยันความเสมอภาคและการมีเสรีภาพในการประกอบการเศรษฐกิจท่านก็เห็นความจําเป็นที่บรรดาราษฎรผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่อ่อนแอจะต้องรวมตัวกันภายใต้ระบบเศรษฐกิจ “สหกรณ์สังคมนิยม” ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้เพื่อสร้างความสมดุลและโครง สร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจในชาติเป็นส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม ในสังคมใด ๆ ก็ตามย่อมจะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยตนเองได้หรือฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจหรือความผันผวนอื่น ๆ ในชีวิต ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์สังคมไทยที่มีแนวความคิดในเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมโดยยืนยันว่า ราษฎรทุกคนควรจะมีหลักประกันจากรัฐบาลตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เจ็บป่วย พิการ ชราภาพ ว่างงาน และประสบภัยพิบัติ ใด ๆ โดยจะไม่มีการทอดทิ้งเป็นอันขาด
ท่านปรีดีได้เสนอหลักการและร่างกฎหมาย ว่าด้วยการประกันสวัสดิการสังคมอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเป็นหลักการที่นานาอารยประเทศได้ยอมรับและถือปฏิบัติสืบต่อกันมานาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในสมัยนั้นคนไทยบางกลุ่มยังมีความสับสนในเรื่องเหล่านี้ จึงทําให้การประกันสังคมในประเทศไทยต้องล่าช้าออกไปถึงครึ่งศตวรรษ
ในประเด็นสุดท้าย ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อ “เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์” และการค้นคว้าวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดังกล่าวในการพัฒนาประเทศ ซึ่งการนี้ทําให้เศรษฐศาสตร์ของท่านมีความก้าวหน้าทันโลก
ท่านปรีดีอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงใน “พลังการผลิต” กล่าวคือมนุษย์ต้องการสินค้าและบริการเพื่อการดํารงชีพ ซึ่งการผลิตปัจจัยต่าง ๆ เหล่านั้น ก็ต้องมี “พลังการผลิต” ซึ่งประกอบด้วย “เครื่องมือและวิธีการผลิต” (เทคโนโลยี) และ “บุคคลที่สามารถทําและใช้เครื่องมือการผลิต” (นักวิทยาศาสตร์, วิศวกร ฯลฯ)

เดิยทางไปตรวจราชการต่างจังหวัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้วิเคราะห์ต่อไปว่าเทค โนโลยีในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมาก ดังนั้นหากสังคมใดไม่เปลี่ยนระบบให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้วสังคมนั้นก็จะต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยสมาชิกของสังคมส่วนใหญ่จะตกอยู่ในความยากจน เพียงกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์
เมื่อเสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ" ในปี พุทธศักราช ๒๔๗๕ ท่านปรีดีก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง และมีความเจริญก้าวหน้าจนกระทั่งสามารถสนองความต้องการของเศรษฐกิจและสังคมได้ในทุกเรื่อง เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทําให้ผลิตภาพในการผลิตของแรงงานเพิ่มสูงขึ้นซึ่งนอกจากจะช่วยทุ่นแรงงานแล้ว ยังลดเวลาทํางานลงไปด้วยโดยที่รายได้ไม่จําเป็นต้องลดลงนอกจากนั้นเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ก็ยังทําให้ความได้เปรียบเสียเปรียบตามธรรมชาติของแรงงานระหว่างประเทศลดลงด้วย
นอกจากนั้นท่านรัฐบุรุษอาวุโสก็ยังกล่าวว่าการรวมตัวเป็นสหกรณ์ของราษฎรผู้ยากจนจะทําให้มีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าทันสมัย ซึ่งจะทําให้เพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น อีกทั้งปรับปรุงการต่อรองในด้านการตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้คือทางที่จะนําให้ราษฎรหลุดพ้นจากความยากจน
อย่างไรก็ตาม ท่านปรีดีก็มองเห็นว่าเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อาจก่อให้เกิดการว่างงานได้ เพราะได้ช่วยประหยัดแรงงาน ในกรณีดังกล่าวนี้ท่านแนะนําว่าแทนที่จะลดจํานวนคนงานลง อันจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใช้แรงงาน สมควรที่จะลดวันหรือลดชั่วโมงการทํางานลง เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น และมีพลังงานและเวลาสําหรับดูแลครอบครัวและรับใช้กิจการสาธารณะ
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสให้ความเอาใจใส่และสนับสนุนงานค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านเป็นผู้ดําริให้ก่อตั้งราชบัณฑิตยสถานขึ้นเมื่อปี ๒๔๗๖ ดังที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในประวัติศาสตร์ของสถาบันค้นคว้าวิจัยอันมีระดับแห่งนั้นท่านปรีดี พนมยงค์ มีโอกาสได้รับใช้ ประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของท่านในด้านการบริหารนโยบายเศรษฐกิจเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อท่านได้เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชุดแรกเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๘๑ และอยู่ในตําแหน่งดังกล่าวจนกระทั่งวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๔ รวมเวลาทั้งหมดสามปีเต็ม
รัฐบาลชุดดังกล่าวนี้อาจถือได้ว่าเป็น “รัฐบาล ของคณะราษฎร" เต็มภาคภูมิ เพราะในจํานวนรัฐมนตรี ๒๐ กว่านายนั้นเป็น “ผู้ก่อการเปลี่ยน แปลงการปกครอง” เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เกือบทั้งหมด
ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กล่าวปราศรัยแก่ราษฎรทางวิทยุกระจายเสียงถึงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งในคําปราศรัยดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะบริหารประเทศให้เกิดผลดีถึงราษฎรโดยเร็วที่สุด
โดยรัฐบาลกับราษฎรจะต้อง “ร่วมคิดร่วมมือกันปฏิบัติงานของชาติ ทั้งสองฝ่ายจักต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแยกออกจากกันไม่ได้เป็นอันขาด”
สําหรับท่านปรีดีเองนั้นได้ตั้งปณิธานที่จะ ใช้เครื่องมือทางการคลังสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติสร้างความเป็นธรรมและความสุขสมบูรณ์ แก่ราษฎรและสร้างความเสมอภาคและประชาธิปไตยแก่มวลชน
กรณียกิจของท่านรัฐบุรุษอาวุโสระหว่างที่ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกอบด้วย การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีอากรการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย
ในขณะที่ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาระหว่างปี ๒๔๗๘-๒๔๗๙ ถึง ปี ๒๔๘๑ นั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้ดําเนินการแก้ไขสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือกับนานาประเทศ มีผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศคู่สัญญาอยู่บนความเสมอภาค ซึ่งกล่าวได้ว่าไทยเราได้มาซึ่งอธิปไตยโดยสมบูรณ์ในทุกด้าน รวมทั้งในด้านการจัดเก็บภาษีอากรด้วย
โดยที่ระบบภาษีอากรของไทยไม่อาจปรับปรุงและพัฒนาให้สนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลได้เต็มที่ก่อนการแก้ไขสนธิสัญญาฯ ดังกล่าว อันทําให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ราษฎรผู้เสียภาษี และไม่เอื้อให้รัฐบาลมีรายได้พอเพียง
สําหรับการใช้จ่ายบํารุงประเทศให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อได้แก้ไขสนธิสัญญาที่เป็นอุปสรรคแล้ว ท่านรัฐบุรุษอาวุโสในฐานะรัฐมนตรีคลังจึงได้ทําการปรับปรุงระบบภาษีอากรโดยมิชักช้า
อากรขาเข้าที่เดิมเก็บในอัตราตายตัวตามมูลค่านําเข้า (ที่เรียกว่า “ภาษีร้อยชักสาม”) ได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้เป็นอัตราที่สอดคล้องกับประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสังคมของชาติ เช่น สินค้าประเภทใดยังประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมก็ลดอัตราลงมา หรือยกเว้นไม่เก็บอากรขาเข้าเสียเลย ในขณะที่ปรับอัตราอากรขาเข้าให้สูงขึ้นสําหรับสินค้านําเข้าที่เป็นของไม่จําเป็นหรือสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค
ในขณะเดียวกันก็ได้เปลี่ยนการจัดเก็บอากรขาออกสําหรับข้าวจากการเก็บตามสภาพเป็นการเก็บตามมูลค่าส่งออก เพื่อสนับสนุนการส่งออกข้าวในขณะนั้น
สําหรับภาษีอากรบางประเภทที่ไม่เป็นธรรมอีกทั้งไม่สนับสนุนการประกอบการเศรษฐกิจ ท่านปรีดีก็ได้ยกเลิกเสีย คือ ภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อย และภาษีไร่ยาสูบ และเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดไป ก็ได้ ปรับปรุงภาษีเงินได้ ภาษีร้านค้า ภาษีธนาคาร อากรแสตมป์ อากรมหรสพ เงินช่วยบํารุงท้องที่ และเงินช่วยบํารุงการประถมศึกษา เป็นต้น
ในการปรับปรุงระบบภาษีอากรดังกล่าวนี้ ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้พิจารณาหลักการและเหตุผลต่าง ๆ ประกอบกัน โดยคํานึงถึงความเป็นธรรมเป็นเบื้องแรก และการจัดหารายได้ในทางที่ผู้เสียภาษีจะเดือดร้อนน้อยที่สุด หรือไม่รู้สึกเดือดร้อนเลย อีกทั้งก็ได้คํานึงถึงความสะดวก และค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ซึ่งยอมรับกันว่าทําได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ท่านปรีดีเป็นนักการคลังผู้หนึ่งที่มองเห็นคุณประโยชน์ของการจัดเก็บภาษีทางอ้อม หรืออีกนัยหนึ่งคือภาษีการบริโภค เพราะจะมีผลกระทบเฉพาะต่อผู้บริโภคเท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังได้ดําเนินการซื้อโรงงานยาสูบของเอกชนต่างชาติที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแล้วให้เป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดเพื่อสร้างรายได้ให้แก่รัฐ แทนที่จะให้นายทุนต่างชาติรับผลกําไรจํานวนมากต่อไป การเก็บภาษีทางอ้อมดังกล่าวนี้ นอกจากจะไม่ทําให้ราษฎรเดือดร้อนแล้ว ก็ยังนํารายได้เข้ารัฐจํานวนมาก
ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลมีนโยบายเสริมสร้างแสนยานุภาพของกองทัพเพื่อการป้องกันประเทศ อีกทั้งได้เกิดกรณีพิพาทกับอิน-โดจีนฝรั่งเศส ซึ่งทําให้ต้องมีรายจ่ายทางการทหารเพิ่มขึ้นกว่าปรกติเป็นอันมาก หากท่านรัฐบุรุษอาวุโสในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ได้จัดงบประมาณสนองความต้องการตามนโยบายดังกล่าวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องโดยไม่ก่อให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางการคลัง แต่ประการใด
ในด้านการสร้างเสถียรภาพและความมันคงทางการเงินของประเทศ ท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตัดสินใจเปลี่ยนทุนสํารองเงินตราจากปอนด์สเตอร์ลิงเป็นทองคําแท่ง ซึ่งทองคําแท่งดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งที่ซื้อในลอนดอนได้นําเข้ามาเก็บรักษาไว้ที่ห้องนิรภัยของกระทรวงการคลังในพระบรมมหาราชวังขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่ซื้อในสหรัฐฯ ได้ฝากเอาไว้ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ก็ยังจัดซื้อทองคําอีกจํานวนหนึ่งจากเหมืองทองคําในประเทศไทย
การเปลี่ยนทุนสํารองระหว่างประเทศของไทยจากปอนด์สเตอร์ลิงไปเป็นทองคําแท่งดังกล่าวนี้เนื่องมาจากท่านปรีดีพิจารณาเห็นว่า อังกฤษซึ่งอยู่ในสถานะสงครามกับเยอรมนีในยุโรปแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ มีแนวโน้มที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะต้องเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นในเอเชียและแปซิฟิกด้วยในอนาคตอันใกล้ อันจะมีผลกระทบต่อสถานภาพของเงินปอนด์สเตอร์ลิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ประเทศไทยมีการค้าขายอย่างใกล้ชิดกับอังกฤษและบรรดาสมาชิกในเครือจักรภพอังกฤษมาเป็นเวลานาน โดยใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงเป็นเงินตราสําหรับการค้าขายดังกล่าว กล่าวคือรับการชําระหนี้เป็นเงินปอนด์และจ่ายไปเพื่อการชําระหนี้ก็เป็นเงินปอนด์ นอกจากนั้นก็ยังใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงเป็นทุนสํารองแทนทองคําแท่ง เพราะเงินปอนด์มีค่าที่แน่นอนกับทองคํา
ต่อมาในปี ๒๔๗๔ อังกฤษได้ออกจากมาตรฐานทองคํา ซึ่งหมายถึงว่าเงินปอนด์จะไม่มีค่าเป็นทองคําอย่างตายตัวอีกต่อไป และการนั้นทําให้ค่าของเงินปอนด์ลดลง ในขณะที่เงินบาทยังคงอยู่ในมาตรฐานทองคําตามเดิม และขณะเดียวกันไทยก็ยังมีทองคําที่ซื้อไว้ในลอนดอนเป็นส่วนหนึ่งของทุนสํารองฯ ด้วย

งานเลี้ยงรับรองที่สถานทูตอังกฤษ ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์ลดลง ราย ได้ที่ประเทศไทยได้รับจากการขายผลิตผลเป็นเงินปอนด์ก็แลกเป็นเงินบาทได้จํานวนน้อยลง คือจากเดิม ๑ ปอนด์เคยแลกได้ ๑๒ บาท ในช่วงนั้นก็เหลือเพียง ๘-๙ บาท ทําให้เกษตรกรมีรายได้ลดลงจากการขายข้าว และรายรับของรัฐบาลก็ลดลงด้วย ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ๒๔๗๕ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองประมาณเดือนเดียว รัฐบาลไทยก็ได้ประกาศออกจากมาตรฐานทองคํา และเข้าสู่มาตรฐานสเตอร์ลิง โดยเงินบาทมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่กับเงินปอนด์ทั้งนี้เพื่อเพิ่มรายได้เป็นเงินบาท และเพื่อความแน่นอนในอัตราแลกเปลี่ยนที่จําเป็นสําหรับการค้าขาย พร้อมกันนั้นทุนสํารองของไทยทั้งหมดก็เปลี่ยนไปเป็นปอนด์สเตอร์ลิง
ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบมานานแล้ว เห็นว่าภายใต้สถานการณ์ของโลกที่มีความไม่แน่นอนนั้น การเก็บรักษาทุนสํารองของชาติเอาไว้เป็นทองคําแท่งน่าจะเป็นนโยบายที่เหมาะสม และก็ได้ดําเนินการตามนั้น เป็นผลสําเร็จก่อนที่สงครามมหาเอเชียบูรพาจะอุบัติขึ้น
สรุปการดําเนินงานในเรื่องนี้ของท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังนี้คือ
- ใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงส่วนหนึ่งที่ฝากไว้ในอังกฤษซื้อทองคําในลอนดอน แล้วขนทองคําแท่งดังกล่าวเข้ามาเก็บไว้ในเมืองไทย
- โอนเงินปอนด์สเตอร์ลิงจากลอนดอนอีกส่วนหนึ่งไปสหรัฐอเมริกาเพื่อแลกเป็นเงินดอลลาร์ และซื้อทองคําแท่งเก็บไว้ในสหรัฐฯ สองคราว
- ยุบหลอมเหรียญบาทที่เป็นเงิน แล้วส่งเงิน แท่งดังกล่าวนี้ไปขายในสหรัฐอเมริกา ได้เป็น มูลค่าประมาณ ๙.๕ ล้านเหรียญ
สรุปว่าในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เมื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพาได้อุบัติขึ้น ขณะที่ท่าน รัฐบุรุษอาวุโสกําลังดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่นั้น รัฐบาลไทยมีทุนสํารอง เงินตราที่เป็นทองคํา, ดอลลาร์สหรัฐฯ และปอนด์สเตอร์ลิง ดังนี้คือ
- เงินปอนด์สเตอร์ลิงที่ลอนดอนจํานวนประมาณ ๒๓ ล้านปอนด์
- เงินดอลลาร์ที่สหรัฐฯ จํานวนประมาณ ๒ ล้านดอลลาร์เศษ
- ทองคําแท่งที่สหรัฐฯ มูลค่าประมาณ ๙ ล้านดอลลาร์เศษ
- ทองคําแท่งที่เก็บไว้ในกรุงเทพฯ มูลค่าประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท หรือประมาณ ๑๐ ล้านปอนด์สเตอร์ลิง
ซึ่งรวมเป็นมูลค่าประมาณร้อยละ ๔๗ ของธนบัตรที่ออกใช้ในขณะนั้นประมาณ ๒๗๕ ล้านบาทเศษ สําหรับส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๑๓ คงจะเป็นเหรียญเงินที่ยังตกค้างอยู่ที่กระทรวงการคลัง มูลค่าประมาณ ๓๕ ล้านบาท เมื่อได้ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้เกิดความ เป็นธรรมแก่สังคมขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้ง ระบบการเงินของประเทศก็มีความมั่นคงด้วย ทุนสํารองเงินตราอันประกอบด้วยทองคําและเงินตราต่างประเทศในสกุลที่ทั่วโลกยอมรับ ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้รับผิดชอบบริหารนโยบายการเงินการคลังของประเทศธนาคารแห่งชาติ ซึ่งได้เคยปรารภไว้แล้วใน “เค้าก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือโครงการเศรษฐกิจ” เมื่อปี ๒๔๗๕ มาพิจารณาดําเนินการอย่างจริงจัง
ความจริงนั้นในปี ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ประเทศไทยยังไม่มีความจําเป็นเร่งด่วนอีกทั้งความพร้อมที่จะมีธนาคารกลางแต่ประการใด เพราะขณะนั้นมีธนาคารพาณิชย์เพียงไม่กี่แห่ง และก็เป็นธนาคารต่างชาติเสียเกือบทั้งหมด ซึ่งสามารถพึ่งตนเองได้ในขณะที่ขอบเขตการประกอบธุรกรรมก็ยังจํากัดอยู่กับการให้บริการในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งออกและการนําเข้าเป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือไปจากการรับฝากเงินและการโอนเงินซึ่งก็ยังไม่มากนักส่วนการอํานวยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนั้น ยังอยู่ในวงแคบ ดังนั้นการจะมีธนาคารกลางเพื่อควบคุมดูแลธนาคารพาณิชย์จึงมิใช่เรื่องเร่งด่วนนอกจากนั้น สําหรับหน้าทีปรกติของธนาคารกลางในเรื่องการออกธนบัตรและการทําหน้าที่เป็นธนาคารให้แก่รัฐบาลก็ยังไม่มีความจําเป็นเท่าใดนัก เพราะกระทรวงการคลังก็สามารถทําหน้าที่ดังกล่าวได้อยู่แล้ว
สําหรับในเรื่องของความพร้อม ก็ต้องกล่าวว่าไทยเรายังไม่มีความพร้อมในการบริหารธนาคารกลางเลย และแม้กระทั่งการบริหารธนาคารพาณิชย์ก็ยังไม่มีประสบการณ์ ทั้งนี้ก็เพราะยังขาดบุคลากรสําหรับภารกิจดังกล่าว ซึ่งจะต้องใช้เวลานานปีกว่าที่จะเตรียมการให้มีความพร้อมในทุกด้าน
ออกธนบัตรและพันธบัตร การให้ความสนับสนุนเศรษฐกิจและธุรกิจโดยผ่านนโยบายการเงินที่เหมาะสม ตลอดจนการรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงินและการประสานการเงินกับการคลังทั้งในนโยบายและในมาตรการ ธนาคารกลางที่จะตั้งขึ้นนั้นต้องอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ไทยอย่างสมบูรณ์
ความคิดในเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลาง หรือธนาคารแห่งชาติขึ้นนี้ได้รับการคัดค้านจากหลายฝ่าย สําหรับชาวต่างประเทศที่มีธุรกิจอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่างชาติและแม้กระทั่งที่ปรึกษาการคลังของรัฐบาลเอง ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดในเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นใน
ขณะนั้น ด้วยเกรงว่าธนาคารดังกล่าวจะเข้ามาควบคุมและแทรกแซงการประกอบธุรกิจของพวกตน หรือกระทําการใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบ ในทางลบต่อผประโยชน์ของพวกตน สําหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่เป็นคนไทยนั้น จะมองในแง่ของความไม่พร้อมในด้านบุคลากรเป็นสําคัญ เพราะงานของธนาคารกลางเป็นงานใหญ่ ที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พอเพียง
สําหรับท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ตระหนักดีถึงความไม่พร้อมในด้านบุคลากร อีกทั้งก็เข้าใจ ดีว่าการตั้งธนาคารกลางยังมิใช่เรื่องเร่งด่วนอย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักว่าไทยจะต้องมีสถาบันการเงินระดับชาติดังกล่าวเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ ดังนั้นก็จะต้องจัดตั้งขึ้นในลักษณะเป็นขั้นตอน ซึ่งเป็นการเตรียมบุคลากรไปพร้อมกันด้วย
สําหรับท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ตระหนักดีถึงความไม่พร้อมในด้านบุคลากร อีกทั้งก็เข้าใจดีว่าการตั้งธนาคารกลางยังมิใช่เรื่องเร่งด่วนอย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักว่าไทยจะต้องมีสถาบันการเงินระดับชาติดังกล่าวเช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ ดังนั้นก็จะต้องจัดตั้งขึ้นในลักษณะเป็นขั้นตอน ซึ่งเป็นการเตรียมบุคลากรไปพร้อมกันด้วย
ภายหลังที่ได้ทําการชี้แจงและปรึกษาหารือกับที่ปรึกษากระทรวงการคลังทั้งฝรั่งและไทยจนกระทั่งเป็นที่เข้าใจและยอมรับกันว่าจะมีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อเตรียมการต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกหัดเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ความชํานาญในงานดังกล่าวแล้วสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารชาติขึ้นสมบูรณ์แบบต่อไป ท่านรัฐบุรุษอาวุโสในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้มีหนังสือด่วน ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๘๒ ถึงนายกรัฐมนตรี เสนอร่างกฎหมายว่าด้วยการเตรียมจัดตั้งธนาคารชาติไทย พร้อมทั้งเหตุผล เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยในหลักการ จึงได้ส่ง เรื่องทั้งหมดให้กฤษฎีกาพิจารณา ซึ่งกฤษฎีกาได้ แก้ชื่อร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็น “ร่าง พ.ร.บ. จัดตั้งสํานักงานธนาคารชาติไทย” อีกทั้งได้ปรับปรุงบางมาตราให้รัดกุมขึ้น จากนั้นคณะรัฐมนตรีจึง ได้นําเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๘๒

ถ่ายภาพร่วมกับข้าราชการลูกเสือและประชาชน เมื่อครั้งไปตรวจราชการในต่างจังหวัด
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์
ในพิธีเปิดสํานักงานธนาคารชาติไทยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๓ ท่านปรีดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวสุนทรพจน์มี ความตอนหนึ่งดังนี้
“สํานักงานธนาคารชาติไทยนี้จะเป็นที่ก่อ ให้เกิดธนาคารชาติไทยขึ้นในอนาคต นับตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นต้นมา คณะรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญมีความปรารถนาอันแรงกล้าในอันที่จะสถาปนาการเงินของประเทศให้วัฒนาถาวรเช่นเดียวกับอารยประเทศทั้งหลาย ทั้งนี้ก็ด้วยความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดเครดิตหมุนเวียนเพิ่มขึ้นตามกําลังของประเทศที่จะพึงกระทําได้ และการจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ได้ ก็จะต้องจัดให้มีธนาคารชาติไทยทําหน้าที่เป็นธนาคารกลางขึ้น
อย่างไรก็ตามเพียงเวลาไม่ถึงสองปีภายหลังการดําเนินงานของสํานักงานธนาคารชาติไทยได้เริ่มขึ้น สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ผ่านกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๘๕ ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยกําลังอยู่ในภาวะสงคราม อันเนื่องมาจากต้องการจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงของญี่ปุ่น
ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ขณะนั้น ได้พ้นจากตําแหน่งรัฐมนตรีคลังไปแล้ว และกําลังอยู่ในตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ การเข้าสู่สงครามของประเทศไทยโดยเป็นพันธมิตรร่วมรบร่วมรุกกับญี่ปุ่นได้สร้างความกังวลใจในเรื่องอนาคตของประเทศชาติภายหลังสงครามที่ท่านปรีดีมีความมั่นใจว่าญี่ปุ่นจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ณ จุดนั้น ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้วางมือจากปัญหาเศรษฐกิจการเงินและการคลัง โดยเข้ารับ บทบาทใหม่ที่มีความสําคัญกว่ามาก คือหัวหน้าขบวนการเสรีไทย
อ้างอิง:
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพรชร, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ กับเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย, คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกงานฉลอง 100 ปีรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์, 2543), หน้า 168-177.