ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

Pridi Interview : ครอบครัวรามสูตกับอุดมการณ์ที่ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น

7
สิงหาคม
2568

 

เมื่อ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ชื่อดัง ในฐานะกรรมการฝ่ายกิจการโทรทัศน์ กสทช. ถูกยื่นฟ้องจากกรณีเรื่อง “Must Carry” และโฆษณาแทรกบนแพลตฟอร์ม ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางกฎหมาย หากแต่สะท้อนการท้าทายอำนาจทุนขนาดใหญ่ซึ่งครอบงำพื้นที่สาธารณะ จนถูกสังคมตั้งคำถามกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ว่ามีการพยายาม “ปิดปาก” ผ่านกระบวนเหล่านี้หรือไม่ รวมถึงผลกระทบต่อเสรีภาพในวงกว้างเบื้องหลังปมคดีที่น่าจับตานี้คือผลกระทบต่อครอบครัวรามสูต โดยเฉพาะ ศ. (พิเศษ) นพ.ธีระ รามสูต อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีผลงานโดดเด่นด้านควบคุมโรคเรื้อนและสาธารณสุข ที่ได้ปลูกฝังอุดมการณ์การให้บริการเพื่อส่วนรวมแก่ลูกสาวกับลูกๆ ตั้งแต่แรก ที่ภายหลังคำตัดสิน ศ. (พิเศษ) นพ.ธีระ ได้ออกมาให้กำลังใจลูกสาวผ่านโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยพร้อมยังทิ้งท้ายไว้ว่า “ความยุติธรรมต้องชนะ ความจริงต้องปรากฎ” พร้อมติดแฮชแท็ก #SAVEPIRONGRONG เพื่อยืนยันว่าครอบครัวรามสูตจะไม่ยอมเพิกเฉยต่อความไม่เป็นธรรมทางสังคมใด ๆ

สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอนำเสนอเรื่องราวอันน่าประทับใจของครอบครัว “รามสูต” ครอบครัวที่สืบทอดอุดมการณ์และความมุ่งมั่นจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีบุคคลสำคัญ อาทิ ศ. (พิเศษ) นายแพทย์ธีระ รามสูต อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (บิดา), ศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ รามสูต อดีตรองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน (มารดา) และ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช.

 

จุดเริ่มต้นของการเป็นแพทย์เพื่ออุดมการณ์

 

 

การอุทิศตนเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนโรคที่ในอดีตยากต่อการรักษาและผู้ป่วยมักถูกทอดทิ้งด้วยความรังเกียจจากสังคม คือเส้นทางชีวิตที่ ศ. (พิเศษ) นพ.ธีระ รามสูต เลือกเดิน ท่านเล่าย้อนความหลังว่าว่า:

“ภายหลังจากที่กำลังจะจบการศึกษา เนื่องจากเรียนแพทย์โดยใช้ทุนกระทรวงสาธารณสุข จึงเลือกที่จะเป็นหมอรักษาโรคเรื้อน เพราะในเวลานั้นประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเรื้อนจำนวนมาก และถูกนานาชาติเลือกให้เป็นประเทศนำร่อง ผมบรรจุครั้งแรกที่โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น ในฐานะแพทย์ชนบท”

 

โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น

 

ท่านเล่าต่อถึงการเริ่มต้นว่า

“เมื่อไปบรรจุใหม่ หมอรุ่นพี่ที่โรงพยาบาลโรคเรื้อนได้ให้ผมเรียนรู้วิธีการรักษาและดูแลผู้ป่วย ผมต้องหัดขับรถจี๊ป เพราะในฐานะแพทย์จบใหม่ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม จำเป็นต้องออกตรวจตามท้องถิ่น ในอำเภอใหญ่มีสถานีอนามัยชั้นหนึ่ง ส่วนตำบลมีสถานีชั้นสอง และด้วยความที่สังคมยังรังเกียจผู้ป่วยโรคเรื้อน เราจึงต้องเริ่มต้นจากการค้นหาผู้ป่วยและดูแลรักษาในแต่ละพื้นที่”

 

อ.ปรีดี ผู้เป็นแรงบันดาลใจ: ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง กับเรื่องเล่าในครอบครัว

 

 

 

น้อยคนนักจะทราบว่า ศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ รามสูต “สตรีผู้มุ่งมั่น” มารดาของ ศ.ดร.พิรงรอง บิดาของท่านหรือคุณตาของ อ. พิรงรอง มีความหลังคุ้นเคยกับ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะลูกศิษย์ที่ศึกษา ณ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ตั้งแต่ระดับนักเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย (ต.ม.ธ.ก.) จนกระทั่งเข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรม โดยความกล้าหาญทางจริยธรรมและการเมือง การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของท่านได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าในครอบครัว ศ.ดร.พันธุ์ทิพย์เล่าย้อนความหลังว่า:

“ครอบครัวเราไม่ได้มีความผูกพันกับท่านอาจารย์ปรีดีโดยตรง แต่คุณพ่อเป็นนักเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) จนสำเร็จการศึกษาเป็นธรรมศาสตร์บัณฑิต ต่อมามหาวิทยาลัยเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณพ่อมักเล่าเรื่องราวถึงท่านอาจารย์ปรีดีเสมอ แม้ท่านจะอยู่ในฐานะผู้ประศาสน์การ ซึ่งเปรียบได้กับอธิการบดีในปัจจุบัน แต่อาจารย์มีความคุ้นเคยกับลูกศิษย์ มักจะมาเยี่ยม มาสอนร้องเพลง และให้คำแนะนำแก่พวกลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ภายในนิคมมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ ทำให้คุณพ่อมีความหวังว่าจะได้ไปศึกษากฎหมายที่ฝรั่งเศส เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ปรีดี ซึ่งสำเร็จการศึกษา Doctorat en droit จากฝรั่งเศส”

 

นักนิเทศศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคม

 

 

ตัดภาพมาที่เรื่องราวของ ศ. ดร.พิรงรอง รามสูต หญิงแกร่งผู้เติบโตท่ามกลางอุดมการณ์ของครอบครัวรามสูต เธอในฐานะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ทั้งจากทุนธุรกิจขนาดใหญ่ และการต่อสู้ในชั้นศาล เธอเริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของ อ.ปรีดี และ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะมรดกความคิดเรื่องการเมือง การศึกษาที่ยังตกทอดต่อคนรุ่นหลัง และแนวคิดเรื่องสวัสดิการในการดูแลประชาชนในด้านต่าง ๆ

 

 

สำหรับ อ.ป๋วย ในมุมมองของ ศ. ดร.พิรงรอง ที่ชื่นชมว่าท่านเป็นคนมองเรื่องความเป็นธรรมทางสังคมควบคู่กับการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่ยึดโยงมาตลอดการทำงานวิชาการ ที่ต้องสอนหนังสือ และทำวิจัย

แม้ว่าอาจารย์จะสอนในสาขานิเทศศาสตร์ แต่อาจารย์นิยามตนเองว่าเป็นนักสังคมศาสตร์ทางการสื่อสาร เวลาที่อาจารย์เลือกประเด็นในการทำวิจัย จึงมีความคิดเรื่องความเป็นธรรมในสังคมเหล่านี้มาเกี่ยวข้อง และหลอมรวมเป็นคำถามวิจัยของอาจารย์จากสองท่านดังกล่าว ที่อาจารย์มองว่าเป็น “ฮีโร่” ในแง่ของหลักการ

อีกส่วนหนึ่ง คือภูมิหลังของ ศ. ดร.พิรงรอง ที่จบการศึกษาจากประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการ และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง พร้อมกับมีความเป็นธรรมทางสังคมสูง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานของพลเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้ย้อนกลับมาที่ความคิด และวิสัยทัศน์ของทั้งสองท่านผู้เป็นแรงบันดาลใจเช่นกัน แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย แต่เมื่ออาจารย์ได้เป็นเห็นในประเทศที่เกิดขึ้นจริงมาแล้ว จึงอยากมีผลักดันสิ่งเหล่านี้

สำหรับการศึกษานิเทศศาสตร์ (School of communication) ในแคนาดา มีความโดดเด่นด้านการนำหลักคิดแบบเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) ซึ่งเป็นนิเทศศาสตร์กระแสรอง ซึ่งนิเทศศาสตร์กระแสหลักมักสนใจเพียงว่าจะทำอย่างไรให้การสื่อสารเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง (impact) ซึ่งมองทุกอย่างเป็นเส้นตรงไปถึงผู้รับสาร แต่เรามองเรื่องมิติของอำนาจทางการสื่อสาร เปิดเผยให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วกระบวนการของการสื่อสารมันอยู่ในโครงสร้างทางสังคม

ซึ่งกระบวนทัศน์ของนิเทศศาสตร์กระแสหลักเกิดในช่วงสงครามเย็นภายใต้การนำของอเมริกา โดยจุดประสงค์ที่ต้องการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) สื่อสารมวลชนจึงต้องการสร้างผลกระทบและ Shape ทัศนคติของผู้รับสาร แต่ที่การศึกษานิเทศศาสตร์แคนาดานำทัศนะอันนี้มาใส่ไว้โครงสร้างทางสังคม ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิด Marxist และมองว่าผู้ที่ควบคุมปัจจัยการผลิตเป็นผู้ควบคุมสื่อ และกระจุกตัวอยู่ในชนชั้นนายทุน สะท้อนถึงการกระจุกตัวของอำนาจ กระบวนการสื่อสารจึงเป็นเส้นบนลงล่าง มากกว่าเป็นเส้นตรงในแนวระนาบ

การเรียนที่แคนนาดาจึงเป็นการเปิดโลกให้เห็นหนังสืออีกหลายเล่ม และหลายเล่มก็เป็นหนังสือต้องห้าม ตัวอย่างคือ “โฉมหน้าศักดินาไทย” ก็เป็นหนังสือที่ อ. พิรงรองได้อ่านในแคนาดา ตอนทำวิทยานิพนธ์เธอจึงเลือกทำในกรอบคิดของเศรษฐศาสตร์การเมือง ในประเด็นเรื่องการเก็บข้อมูล และเฝ้าระวัง (Surveillance) ในข้อมูลส่วนบุคคล ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา-กรุงรัตนโกสินทร์ที่เป็นประวัติศาสตร์ระยะยาวไกล ซึ่งแหวกแนวขนบของวิทยานิพนธ์นิเทศศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกัน

เธอพบว่าในอดีตมีกระบวนการ/กลไกการเก็บข้อมูลอย่างกรมพระสุรัสวดีที่เก็บข้อมูลประชากรทุกคน เพื่อดึงแรงงานมาใช้ โดยมีการคานอำนาจระหว่าง กษัตริย์ และขุนนางที่ต้องการ “ซ่องสุมไพร่พล” เพื่อชิงอำนาจกัน และท้อนถึงการช่วงชิงแรงงานเพื่อการก้าวสู่อำนาจ

ซึ่งการทำวิทยานิพนธ์นี้ก็สะสมมาจากการได้อ่านเรื่องของ อ.ป๋วย อ.ปรีดีในวัยเยาว์ มาเป็นมุมคิดเรื่องความไม่เท่าเทียมในสังคม

 

วิทยานิพนธ์ของ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต เสนอต่อ Simon Fraser University เรื่อง “การเฝ้าระวังของรัฐ ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมทางสังคมในประเทศไทย (พ.ศ. 1893-2541)”

 

ทั้งนี้ อ. พิรงรองยังได้เล่าว่าตอนเรียนนั้นได้รู้จักนักคิดฝ่ายซ้ายอีกหลายคน เช่น Antonio Gramsci, Louis Althusser หรือนักคิดใน Frankfurt school (กลุ่มนักคิด นักทฤษฎี และนักปรัชญาที่รวมตัวกันที่ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต ในประเทศเยอรมนี ช่วงทศวรรษ 1920-1970) ซึ่งความคิดของเธอตรงกับ  Jurgen Harbermas มากที่สุด ที่กล่าวถึง Theory of communication action ที่มองว่าพื้นที่สาธารณะเป็นอุดมคติของการสื่อสารที่เป็นประชาธิปไตย ที่ประชาชนของสามารถต่อรองกับรัฐ และผู้มีอำนาจได้ แต่การเกิดสังคมทุนนิยม ทำให้พื้นที่สาธารณะมันเปลี่ยนรูป และทุกเรื่องจึงการเป็นการโฆษณา มากกว่าการใช้สื่อเพื่อเป็นตัวแทนคนกลุ่มต่าง ๆ

เมื่อเรียนจบแล้ว เธอจึงกลับมาผลักดันเรื่องการปฏิรูปสื่อ พร้อมกับคณะทำงานอีกหลายท่าน ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่มาก และทำให้เห็นว่าระบบสื่อนั้นสำคัญมาก ทั้งการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์การเมือง และการผลักดันการปฏิรูปสื่อ จึงเป็นจุดสำคัญในการทำงานของอาจารย์และการทำวิจัยชิ้นต่อ ๆ ไปก็เป็นลักษณะนี้

สิ่งที่เธอสนใจที่สุดจึงคือการที่รัฐจะเข้ามาดูแล เพื่อความเท่าเทียมในโลกที่ขับเคลื่ิอนด้วยทุน ตัวอย่างคือเธอเคยศึกษาเรื่องการกำกับดูแลด้านอินเตอร์เน็ต

สุดท้ายแล้ว อาจารย์ยังเน้นย้ำให้เห็นประเด็นท้าทายในโลกการสื่อสารของไทย ทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป การมีปฏิบัติการ IO จนถึงการสร้างกระแสต่าง ๆ ในโลกโซเชียล หรือการสอดส่องพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของกลุ่มเป้าหมาย และการส่งกองทัพ (Troop) ไปทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นทั้งผลกระทบและผลดีต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในโลกร่วมสมัย