ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ปรีดี พนมยงค์กับสถาบันกษัตริย์ และกรณีสวรรคต

9
มิถุนายน
2568

Focus

  • ผู้เขียนได้อธิบายและวิเคราะห์สถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ผ่านวิธีการทางประวัติศาสตร์และการค้นคว้าเอกสารชั้นต้น
  • บทความเสนอบทบาทของปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้อัญเชิญพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์ และผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 


ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงลงพระปรมาภิไธยและพระราชทานรัฐธรรมนูฐ ฉบับ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์

 

อัญเชิญขึ้นครองราชย์

จากความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗  กับรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา อันเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงสละพระราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗  และโดยที่พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นองค์รัชทายาท รัฐบาลพระยาพหลฯ จึงประชุมปรึกษาหารือกันในระหว่างเวลาห้าวัน ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม ถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๗๗  เพื่อพิจารณาหาเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญพุทธศักราช ๒๔๗๕  และโดยในแห่งกฎมณเฑียรบาลพุทธศักราช ๒๔๖๗

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์มีด้วยกัน ๘ หมวด ๒๑ มาตรา หมวดที่ สําคัญคือหมวดที่ ๔ ว่าด้วยลําดับขั้นผู้สืบราชสันตติวงศ์ และหมวดที่ ๕ ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์

หมวดที่ ๔ มาตรา ๙ บัญญัติไว้ว่า

“ลําดับขั้นเชื้อพระบรมราชวงศ์ ซึ่งจะควรสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น ท่านว่าให้เลือกตามสายตรงก่อนเสมอ ต่อไม่สามารถเลือกทางสายตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่สนิทมากและน้อย

“เพื่อให้สิ้นสงสัย ท่านว่าให้วางลําดับสืบราชสันตติวงศ์ไว้ดังต่อไปนี้ "

ครั้นแล้วท่านก็ลําดับพระญาติวงศ์ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ นับแต่สมเด็จหน่อพุทธเจ้าเป็นปฐมลงไป สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

ลําดับที่ ๑ พระราชโอรสหรือพระราชนัดดา

ลําดับที่ ๒ กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา แต่ทรงมีสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนี หรือพระราชโอรสของสมเด็จพระอนุชา

ลําดับที่ ๓ กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับไร้ทั้งสมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี แต่ทรงมีสมเด็จพระเชษฐาหรือสมเด็จพระอนุชาต่างพระราชชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาหรือพระอนุชา

ลําดับที่ ๔ กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับทั้งไร้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี และไร้สมเด็จพระเชษฐาหรือพระอนุชาต่างพระราชชนนี แต่ทรงมีพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ

ลําดับที่ ๕ กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและไร้พระราชนัดดา พระอนุชาร่วมพระราชชนนีและพระอนุชาต่างพระราชชนนี พระเจ้าพี่ยาเธอ น้องยาเธอ แต่ทรงมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอและพระเจ้าบรมวงศ์เธอหรือพระโอรส

ดังกล่าวนี้คือลําดับพระองค์ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล หมวดที่ ๔ มาตรา ๙ แต่มีข้อบังคับว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสมบัติไว้ในหมวด ๕ มาตรา ๑๑ ว่าดังนี้

๑. มีพระสัญญาวิปลาศ

๒. ต้องราชทัณฑ์ เพราะประพฤติผิดพระราชกําหนดกฎหมายในคดีมหันตโทษ

๓. ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก

๔. มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือ นางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้

๕. เป็นผู้ที่ได้ถูกถอดถอนออกแล้วจากตําแหน่งพระรัชทายาท ไม่ว่าการถูกถอดถอนจะได้เป็นไปในรัชกาลใด ๆ

๖. เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสียจากลําดับสืบราชสันตติวงศ์

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ดังกล่าวนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงตราขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตเพียงหนึ่งปี (คือตราขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๗ และพระองค์เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘) และก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตสองเดือน พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชโองการลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๘ ถึงเสนาบดีวัง เกี่ยวกับองค์รัชทายาทที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระองค์ท่าน (ขณะนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี กําลังทรงพระครรภ์ ยังไม่แน่ว่าจะเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดา) พระบรมราชโองการมีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“...ให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้นเสียเถิด เพราะหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล เกรงว่าจะไม่เป็นที่เคารพแห่งพระบรมวงศานุวงศ์...”

ต่อมาในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว พระนางเจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวี มีพระประสูติกาลพระราชธิดา (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ราชสุดาฯ) จึงเป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ไม่มีพระราชโอรสที่จะสืบราชสันตติวงศ์ การสืบราชสันตติวงศ์จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อ ๒ แห่งกฎมณเทียรบาล เงื่อนไขข้อ ๒ ได้บัญญัติไว้ว่า

“กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา แต่ทรงมีสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีหรือพระโอรสของสมเด็จพระอนุชา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระราชชนนีด้วยกันเก้าพระองค์ คือ

๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัตมณีมัย (ประสูติเมื่อ ๑๔ ธันวาคม ๒๔๒๑ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๓๐)

๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธํารง

๔. จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (ต้นสกุลจักรพงษ์ ณ อยุธยา)

๕. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์

๖. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (ประสูติและสิ้นพระชนม์ในวันเดียวกัน)

๗. พลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (ต้นสกุลอัษฎางค์ ณ อยุธยา)

๘. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย (ต้นสกุลจุฑาธุช) และ

๙. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ ๗)

ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สวรรคตนั้น พี่น้องร่วมพระราชชนนีกับพระองค์ท่านที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็แต่สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชาพระองค์เดียว ซึ่งเป็นพระอนุชาองค์สุดท้อง และมีนัดดาสองพระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โอรสของกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช โอรสของกรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย

กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ดํารงฐานะเป็นรัชทายาทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ด้วยเป็นพระอนุชาถัดจากพระองค์ และขณะนั้นกรมหลวงพิษณุโลกฯ มีหม่อมแคทยาเป็นพระชายา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระราชบิดา ทรงรับเป็นสะใภ้หลวง ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ พระธิดาพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เล่าไว้ในหนังสือ แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม ว่า ชื่อ จุลจักรพงษ์ เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงประทานตั้งให้ โดยเปลี่ยนจากชื่อ พงษ์จักร ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสาวภาผ่องศรี ประทานตั้งให้แต่แรก

ดังนั้นตามเงื่อนไขข้อ ๒ แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เพราะเป็นพระโอรสของสมเด็จพระอนุชา องค์รัชทายาท (กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ)

ส่วนหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช พระโอรสของกรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งตามกฎมณเทียรบาลก็มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระองค์ถัดไปจากพระองค์เจ้าจุลฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ข้ามไปเสียดังที่ยกมาข้างต้น

จากพระบรมราชโองการฉบับวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๘ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงรับในสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ของพระองค์เจ้าจุลฯ เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงรับในสิทธิ์ดังกล่าวนี้ พระองค์จะต้องระบุไว้ในพระบรมราชโองการฉบับเดียวกันนี้ว่าให้ข้ามไปเสีย (เพราะมีแม่เป็นนางต่างด้าว) เช่นเดียวกับที่ทรงระบุให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช (เพราะมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล) นั้นแล้ว

แต่มีแม่เป็นนางต่างด้าวไม่อยู่ในข้อห้ามตามมาตรา ๑๑ (๔) ห้ามแต่มีชายาเป็นนางต่างด้าวเท่านั้น

ในที่ประชุมของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ในคืนวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ซึ่งมีจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นประธานของที่ประชุมอันประกอบด้วย จอมพล สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้เปี่ยมไปด้วยพระบารมี ได้มีความเห็นให้อัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี

ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ สละราชสมบัติ โดยกฎมณเฑียรบาล พระองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นสายตรงคือ โอรสของพระเชษฐา (กรมหลวงพิษณุโลกฯ) ที่มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ก่อนกรมขุนสุโขทัย (รัชกาลที่ ๗) แต่ด้วยบารมีของจอมพล สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ช่วยส่งให้กรมขุนสุโขทัยขึ้นสู่ราชบัลลังก์ข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ไปดังกล่าวแล้ว

ส่วนกรมหลวงสงขลาฯ สมเด็จพระราชบิดานั้น เป็นอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส สยามมกุฎราชกุมาร ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา บรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)

แต่สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาสมเด็จพระราชบิดา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนเทพทวาราวดี ในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร (แทนที่จะเป็นกรมหลวงสงขลาฯ พระอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ก่อน) และถ้านับโดยศักดิ์ทางพระมารดาแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระมารดาของกรมขุนเทพทวาราวดี (รัชกาลที่ 5) เป็นพระน้องนาง (ประสูติ ๑ มกราคม ๒๔๐๖) ของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา (ประสูติ ๑๐ กันยายน ๒๔๐๕ นับตามปีปฏิทินเก่า) ในสมเด็จพระมารดา สมเด็จพระปิยมาวดี ที่มีพระพี่นางองค์โตร่วมครรภ์พระมารดาเดียวกัน คือ พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ (ประสูติ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๐๓)หรือพระนางเรือล่ม

ที่ผมอุตส่าห์ลําดับความการสืบราชสันตติวงศ์มานั้น ก็เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ท่านปรีดี พนมยงค์ มีส่วนสําคัญอย่างไรบ้างในการสนับสนุนเชื้อสายของกรมหลวงสงขลานครินทร์ขึ้นนั่งบัลลังก์พระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ ทั้ง ๆ ที่ถูกข้ามมาแล้ว

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีระหว่างวันที่ ๒-๗ มีนาคม ๒๔๗๗ ครั้งนั้นท่านปรีดีได้บันทึกไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“(๑) พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ที่ทรงเป็นรัชทายาทในรัชกาลที่ ๖ ครั้นแล้วจึงพิจารณา คําว่า ‘โดยนัย’ แห่งกฎมณเทียรบาล ๒๔๖๗ นั้น พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จะต้องยกเว้นตาม มาตรา ๑๑ (๔) แห่งกฎมณเทียรบาลหรือไม่ เพราะมารดามีสัญชาติเดิมเป็นต่างประเทศ ซึ่งตามตัวบทโดยเคร่งครัดกล่าวไว้แต่เพียง ยกเว้นผู้สืบราชสันตติวงศ์ที่มีพระชายาเป็นคนต่างด้าว (ขณะนั้นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ยังไม่มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว) รัฐมนตรีบางท่านเห็นว่าข้อยกเว้นนั้นใช้สําหรับรัชทายาทองค์อื่น แต่ไม่ใช่กรณีสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สถาปนาเป็นรัชทายาทนั้น ก็ทรงมีพระชายาเป็นนางต่างด้าวอยู่แล้ว และทรงรับรองเป็นสะใภ้หลวงโดยถูกต้อง แต่ส่วนมากของคณะรัฐมนตรีตีความคําว่า ‘โดยนัย’ นั้น ย่อมนํามาใช้ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะสืบ ราชสันตติวงศ์มีพระมารดาเป็นนางต่างด้าวด้วย”

รัฐมนตรีส่วนข้างมากที่ตีความคําว่า “โดยนัย” ดังกล่าวนี้ มีท่านปรีดีร่วมอยู่ด้วย และเป็นคนสําคัญในการอภิปรายชักจูงให้รัฐมนตรีส่วนข้างมากมีความเห็นร่วมกับท่าน

ที่ประชุมจึงได้พิจารณาถึงพระองค์อื่น ๆ ตามกฎเกณฑ์ของกฎมณเทียรบาลที่ระบุไว้ว่า “... ต่อไม่สามารถเลือกทางสายตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่สนิทมากและน้อย”

ในบรรดาพระองค์ที่สนิทมากและน้อยนี้มี อาทิ กรมพระนครสวรรค์ฯ และพระโอรส พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และในที่สุดคณะรัฐมนตรีมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ตามการชี้นําของท่านปรีดีที่เห็นสมควรสถาปนาพระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๘ สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ อันเป็นการกลับคืนเข้าสู่สายเดิม คือสายสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส สยามมกุฎราชกุมาร

การสถาปนาพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ นอกจากจะเป็นการกลับคืนเข้าสู่สายเดิมโดยชอบธรรมแล้ว ยังเป็นไปตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ อีกด้วย บันทึกลับที่จดโดยพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ว่าดังนี้

“วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๑๕ น. โปรดเกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์ฯ พระยาศรีวิสารฯ พระยาปรีชาชลยุทธ พระยาพหลฯ กับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม มาเฝ้าฯ ที่วังสุโขทัย มีพระราชดํารัสว่า อยากจะสอบถามความบางข้อและบอกความจริงใจ ฯลฯ อีกอย่างหนึ่งอยากจะแนะนําเรื่องสืบสันตติวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระพุทธเจ้าหลวงได้เคยทรงพระราชดำริที่จะออกจากราชสมบัติเมื่อทรงพระชราเช่นเดียวกัน ในส่วนพระองค์พระเนตรก็ไม่ปรกติคงทนงานไปได้ไม่นาน เมื่อการณ์ปรกติแล้ว จึงอยากจะลาออกเสีย ทรงพระราชดําริเห็นว่า พระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพ็ชรบูรณ์ ก็ถูกข้ามมาแล้ว ผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อไป ควรจะเป็นพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ฯลฯ

ดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าท่านปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสําคัญยิ่งในการอัญเชิญในหลวงอานันท์ฯ ขึ้นครองราชย์ เมื่อ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗

 

ปกป้องราชบัลลังก์

 


สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้นายปรีดี พนมยงค์ ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์

 

ในคดีด่าที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑ ท่านปรีดี พนมยงค์ โจทก์ยื่นฟ้องนายรอง ศยามานนท์ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ จําเลย กรณีที่ศาสตราจารย์ผู้นั้นบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมิ่นประมาทใส่ความ ซึ่งในที่สุดจําเลยรับผิดตามฟ้องนั้น คําบรรยายฟ้องตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและเสียสละของนายปรีดีที่ต่อสู้ปกป้องราชบัลลังก์ ว่าดังนี้

“เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ได้มี พระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโท มังกร พรหมโยธี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาอีก ๖ วัน คือในวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกันนี้ ก็ได้มีกฤษฎีกาเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งว่า ให้จอมพลพิบูลฯ มีอํานาจสิทธิ์ขาดผู้เดียวในการสั่งทหารสามเหล่าทัพ อันเป็นอํานาจพิเศษยิ่งกว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดอื่น ๆ

“ครั้นต่อมาในปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเอง คือก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพลพิบูลฯ ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้บัญญัติกฎหมายยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทยเดิม โดยสถาปนา ‘ฐานันดรศักดิ์’ (Lordship) ตามแบบฝรั่งขึ้นใหม่ คือ ดยุก, มาควิส, เคานท์, ไวสเคานท์, บารอน ฯลฯ โดยตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นเพื่อใช้สําหรับฐานันดรศักดิ์เจ้าศักดินาใหม่ คือ สมเด็จเจ้าพญา, ท่านเจ้าพญา, เจ้าพญา, ท่านพญา ฯลฯ ส่วนภรรยาของฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้น ให้เติมคําว่า ‘หญิง’ ไว้ข้างท้าย เช่น ‘สมเด็จเจ้าพญาหญิง’

“แต่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้เรียกว่า ‘สมเด็จหญิง’ และฐานันดรเจ้าศักดินาให้มีคําว่า ‘แห่ง’ (of) ต่อท้ายด้วยชื่อแคว้นหรือบริเวณท้องที่ เช่น สมเด็จเจ้าพญาแห่งแคว้น... พญาแห่งเมือง... ฯลฯ ทํานองฐานันดรเจ้าศักดินายุโรป เช่น ดยุก ออฟ เบดฟอร์ด ฯลฯ ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นี้ให้แก่รัฐมนตรีและข้าราชการไทยตามลําดับตําแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์สายสะพาย เช่น จอมพลพิบูลฯ ได้รับพระราชทานสายสะพายนพรัตน์ ก็จะได้ดํารงฐานันดรเจ้าศักดินาเป็น ‘สมเด็จเจ้าพญาแห่ง…’

“ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้นทายาทสืบสันตติวงศ์ได้เหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น อันเป็นวิธีการซึ่งนักเรียนที่ศึกษาประวัตินายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ทราบกันอยู่ว่า ท่านนายพลผู้นั้นได้ขยับขึ้นทีละก้าวทีละก้าว จากเป็นผู้บัญชาการกองทัพแล้ว เป็นกงสุลคนหนึ่งในคณะกงสุล ๓ คนที่มีอํานาจสิทธิ์ขาดปกครองประเทศฝรั่งเศส ครั้นแล้วนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ก็เป็นกงสุลผู้เดียวตลอดกาล ซึ่งมีสิทธิ์ตั้งทายาทสืบตําแหน่ง

“รัฐมนตรีที่เป็นผู้ก่อการฯ จํานวนหนึ่ง รวมทั้งโจทก์ด้วยนั้น ได้คัดค้านจอมพลพิบูลฯ ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร อันเป็นเหตุให้จอมพลพิบูลฯ ไม่พอใจ ท่านจึงเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตามแผนสถาปนาฐานันดรเจ้าศักดินาอย่างใหม่ ทางที่สองเวนคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน

"รัฐมนตรีส่วนข้างมากจึงลงมติในทางเวนคืนบรรดาศักดิ์เดิม เมื่อจอมพลพิบูลฯ แพ้เสียงข้างมากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ท่านจึงเสนอว่า เมื่อเวนคืนบรรดาศักดิ์เก่าแล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์เดิมก็ได้

“โจทก์ (ท่านปรีดี ผู้เขียน) กับรัฐมนตรีส่วนหนึ่งกลับใช้ชื่อและนามสกุลเดิม แต่จอมพลพิบูลฯ เปลี่ยนนามสกุลเดิมของท่านมาใช้ตามราชทินนามว่า ‘พิบูลสงคราม’ และรัฐมนตรีบางท่านก็ใช้ชื่อเดิม โดยเอาสกุลเดิมเป็นชื่อรองและใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชื่อและนามสกุลยาว ๆ แพร่หลายจนทุกวันนี้”

ต่อกรณีดังกล่าวนี้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตประธานคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ให้การเป็นพยานในคดีอาชญากรสงคราม ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นจําเลย มีความตอนหนึ่งรับกันกับคำฟ้องของท่านปรีดีข้างต้น ดังนี้

“ตอนที่จอมพล ป. นำให้มีการลาออกหรือ ให้พ้นจากบรรดาศักดิ์กันนั้น ขุนนิรันดรชัยได้มาทาบทามข้าพเจ้าว่า จะได้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์กันใหม่เป็นสมเด็จเจ้าพญาชายบ้าง สมเด็จเจ้าพญาหญิงบ้าง และขุนนิรันดรชัยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ โดยยึดหลักเกณฑ์ว่า ผู้ที่ได้สายสะพายนพรัตน์จะได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาชาย ซึ่งมีจอมพล ป. คนเดียวที่ได้สายสะพายนั้น เมื่อตั้งสมเด็จเจ้าพญาชายแล้ว เมียของผู้นั้นก็ได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาหญิงตามไปด้วย

“ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จอมพล ป. นั้น กระทําการเพื่อจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง แล้วภรรยาจอมพล ป. ก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงทํานองเดียวกัน เอารูปไปฉายในโรงหนังให้คนทําความเคารพโดยมีการบังคับ ในการทําบุญวันเกิดก็ทําเทียมวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น มีตราไก่กางปีกประดับธงทิวทํานองเดียวกับตราครุฑหรือตราพระบรมนามาภิไธยย่อ และได้สร้างเก้าอี้ขึ้นทํานองเดียวกับเก้าอี้โทรนของพระเจ้าแผ่นดิน เว้นแต่ใช้ตราไก่กางปีกแทนตราครุฑเท่านั้น..."

ในคําสั่งกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๙ ถึงคณะกรรมการจังหวัด ชี้แจงการโฆษณาหลอกลวงของพรรคประชาธิปัตย์ (ในขณะนั้น) ที่ใส่ร้ายท่านปรีดีในกรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ฯ คําสั่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกข้อเท็จจริงในการแสดงความจงรักภักดีของท่านปรีดีต่อในหลวงอานันท์ฯ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐ์ ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว นายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้อัญเชิญทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เสด็จกลับมาครองราชย์ มิได้ปรารถนาที่จะกุมอํานาจที่จะทําหน้าที่เป็นประมุขของรัฐ และไม่ได้กระทําการขัดขวางอย่างใด แต่ตรงกันข้ามกลับอัญเชิญเสด็จกลับมา มอบถวายราชสมบัติแด่พระองค์

“ในระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในต่างประเทศ เมื่อมีผู้ปองร้ายต่อราชบัลลังก์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้เสียสละและเสี่ยงภัยเพื่อป้องกันราชบัลลังก์ให้ปลอดภัยตลอดมา เวลานั้นหามีผู้ใดเสี่ยงภัยเช่นนั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับประจบสอพลอผู้มีอํานาจ รัฐบาลนี้มีความเสียใจที่พรรคประชาธิปัตย์บางคนได้ฉวยโอกาสเอาพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง” (เพื่อทำลายท่านปรีดี-ผู้เขียน)

 

ปกป้องพระเกียรติ

ในขณะที่ดํารงตําแหน่งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านปรีดีได้ปกป้องพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ไว้อย่างดียิ่งชีวิต ดังเช่นในกรณีที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เมื่อนําพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการใดก็แล้วแต่ เสนอผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อลงพระนามและลงนามในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะลงนามในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้รับสนองพระบรมราชโองการไปเป็นการล่วงหน้าเป็นการบีบบังคับให้ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ต้องลงนามในพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการนั้น ๆ เสมือนกับตรายาง อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นายทวี บุณยเกตุ ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้นําพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้บันทึกไว้ในหนังสือความทรงจําของท่านว่าดังนี้

“...ตามระเบียบนั้น จะเป็นพระราชบัญญัติ ก็ตามหรือพระบรมราชโองการใด ๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยหรือลงนามก่อน แล้วนายกรัฐมนตรีจึงจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในภายหลัง แต่ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม มักจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อน แล้วจึงได้ให้คณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ลงนาม..."

แต่ในสมัยที่ท่านปรีดีเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านไม่ยอมให้จอมพล ป. ทำเช่นนั้น โดยท่านอ้างว่า การกระทําของจอมพล ป. เช่นนั้นเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ

ในคราวที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขัดใจกับคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ (เวลานั้นมีอยู่สองท่าน คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา กับท่านปรีดี) ท่านปรีดีได้ บันทึกไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ ว่าดังนี้

“...ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ จอมพล ป. ได้ยื่นใบลาออกตรงมายังประธานคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วจอมพล ป. ก็ได้ออกจากทําเนียบสามัคคีชัย ไม่รู้ว่าไปไหน ชะรอยพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ จะทรงทราบว่าจอมพล ป. ต้องการลาออกจริงเพื่อปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ พระองค์จึงส่งใบลาจอมพล ป. มาให้ข้าพเจ้าพิจารณา ข้าพเจ้าจึงเขียนความเห็นในบันทึกหน้าปกใบลานั้นว่า ‘ใบลานั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแล้ว อนุมัติให้ลาออกได้’ ข้าพเจ้าลงนามไว้ ตอนล่าง ทิ้งที่ว่างตอนบนไว้เพื่อให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ทรงลงพระนาม ซึ่งพระองค์ก็ทรงลงพระนาม

“ข้าพเจ้าเชิญนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งขณะนั้นดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

มาถามว่า จอมพล ป. จะจัดการปรับปรุงรัฐบาลหรืออย่างไร ? ก็ได้รับค่าตอบว่า คงจะปรับปรุงรัฐบาล และตามหาตัวจอมพล ป. ก็ยังไม่พบ แต่เมื่อคณะผู้สําเร็จราชการฯ ส่งคําอนุมัติใบลาออกของจอมพล ป. แล้ว สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีซึ่งบังคับบัญชากรมโฆษณาการอยู่ด้วย ก็ให้วิทยุของกรมนั้นประกาศการลาออกของจอมพล ป.

“ฝ่ายจอมพล ป. ขณะนั้นจะอยู่ที่แห่งใดก็ตาม เมื่อได้ฟังวิทยุกรมโฆษณาการประกาศการลาออกเช่นนั้นแล้ว ก็แสดงอาการโกรธมาก ครั้นแล้วได้มีนายทหารจํานวนหนึ่งไปเฝ้าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานซึ่งท่านผู้นี้ประทับอยู่ขณะนั้น ขอให้จัดการเอาใบลาคืนให้จอมพล ป.

“เป็นธรรมดาเมื่อพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ เห็นอาการของนายทหารเหล่านั้นจึงตกพระทัย เพราะไม่สามารถเอาใบลาคืนให้จอมพล ป. ได้ ฉะนั้นพระองค์พร้อมด้วยหม่อมกอบแก้ว ชายาได้มาที่ทําเนียบที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ําใกล้ท่าช้างวังหน้า ขออาศัยค้างคืนที่ทําเนียบข้าพเจ้าจึงขอให้เพื่อนทหารเรือช่วยอารักขาข้าพเจ้าด้วย เพื่อนทหารเรือได้ส่งเรือยามฝั่งในบังคับบัญชาของ ร.อ. วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ร.น. มาจอดที่หน้าทําเนียบของข้าพเจ้า ฝ่าย พ.ต. หลวงราชเดชา ราชองครักษ์ประจําตัวข้าพเจ้า และ พ.ต. ประพันธ์ กุลวิจิตร ราชองครักษ์ประจําองค์พระองค์เจ้าอาทิตย์ ก็มาร่วมให้ความอารักขาด้วย

“เราสังเกตดูจนกระทั่งเวลาบ่ายของวันรุ่งขึ้นก็ไม่เห็นทหารบกหรืออากาศมาคุกคามประการใด

ดังนั้นพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ กับหม่อมกอบแก้ว จึงกลับไปพระที่นั่งอัมพรสถาน”

จากการที่พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และท่านปรีดีได้ลงพระนามและลงนามอนุมัติให้จอมพล ป.

ลาออกจากตําาแหน่งนายกรัฐมนตรี และวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการก็ได้ออกอากาศให้รู้กันทั่วไป อันเป็นการปฏิบัติราชการที่ถูกต้องตามแบบแผนทุกประการ แต่ไม่ถูกใจจอมพล ป. เพราะเจตนาการลาออกของจอมพล ป. ก็เพื่อหยั่งเชิงการเข้ากุมอํานาจเบ็ดเสร็จแบบนโปเลียน ด้วยคาดคิดว่าคณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์คงไม่กล้าลงพระนามและลงนามอนุมัติ ให้ท่านลาออก และถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับในอานาจเบ็ดเสร็จของท่าน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น อันเป็นสัญญาณบอกให้ท่านรู้ว่าการเข้ากุมอํานาจเบ็ดเสร็จยังมีปัญหา ซึ่งหมายถึงยังมีคนต่อต้านขัดขวาง

เพื่อแก้ปัญหาการต่อต้านขัดขวางการขึ้น สู่อํานาจเบ็ดเสร็จ จอมพล ป. จึงอาศัยอํานาจ ตําแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตามกฤษฎีกา ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ออกคําสั่งให้ พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และท่านปรีดีเข้าประจํา กองบัญชาการทหารสูงสุด (อันอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้เขียน) และให้ไปรายงานตัวต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดภายใน ๒๔ ชั่วโมง

ต่อคำสั่งดังกล่าว พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ รีบไปรายงานตัวทันที ส่วนท่านปรีดีไม่ยอมไป ท่านให้เหตุผลที่ไม่ยอมไปรายงานตัวว่าดังนี้

“ข้าพเจ้ามีตําแหน่งเป็นผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าข้าพเจ้าไปรายงานตัวยอมอยู่ภายใต้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เท่ากับข้าพเจ้าลดพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ลงอยู่ภายใต้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีรัฐมนตรีบางนายได้ชี้แจงขอร้องให้จอมพล ป. ถอนคําสั่งที่ว่านั้น ซึ่งจอมพล ป. ก็ได้ยอมถอนคําสั่ง เป็นอันว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และข้าพเจ้าคงสามารถปฏิบัติภารกิจแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญได้ต่อไป”

 

ถวายความจงรักภักดี

 


ในหลวงอานันท์ กับนายปรีดี พนมยงค์ ในทศวรรษ 2480

 

ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าอาทิตย์ ลาออกจากผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ สภาผู้แทนราษฎร จึงได้มีมติและประกาศลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ ให้ท่านปรีดีเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์แต่ ผู้เดียว และในวันนั้นเองท่านได้ลงนามในพระปรมาภิไธย แต่งตั้งให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ลาออกไปเพราะแพ้มติในสภาฯ เรื่องพระราชกําหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และพระราชกําหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล

เพื่อสร้างความปรองดองทางการเมืองระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายเจ้าศักดินา ท่านปรีดีในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ได้มอบหมายให้นายทวี บุณยเกตุ ซึ่งร่วมงานเสรีไทยอยู่กับท่านและมีตําแหน่งเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ดําเนินการปลดปล่อยนักโทษการเมือง ซึ่งมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชบริพารในระบอบเก่าหลายคน

ท่านปรีดีได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“นายควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมีรัฐมนตรีหลายนาย และโดยเฉพาะนายทวี บุณยเกตุ เข้าร่วมด้วยตามที่นายควงได้ตกลงกับข้าพเจ้าไว้ คือนอกจากนายทวีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ก็เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการในสํานักนายกรัฐมนตรีด้วย โดยมีหน้าที่ดําเนินงานของคณะรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลังนายควง กิจการใดอันเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทย ซึ่งนายทวีเป็นผู้บัญชาการพลพรรคในประเทศไทยนั้น ถ้าจะต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอย่างใดแล้ว นายควงก็อนุญาตตามที่ตกลงกันไว้ก่อนว่าให้นายทวีปรีกษาตกลงกับข้าพเจ้าโดยตรง โดยนายควงไม่ขอรับรู้ด้วย นอกจากที่จะต้องทําเป็นกฎหมายหรือแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร

“ดังนั้น มีหลายเรื่องที่นายทวีได้ปรึกษาข้าพเจ้าจัดทําขึ้นก่อนแล้วจึงแจ้งให้นายควงรับไปปฏิบัติการ อาทิ การประกาศพระบรมราชโองการว่าการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่ และสหรัฐอเมริกาเป็นโมฆะนั้น นายทวี บุณยเกตุ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ดังปรากฏข้อเท็จจริงในราชกิจจานุเบกษา ไม่ใช่นายควงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ (ตามที่นายควงกล่าวอ้าง ผู้เขียน)

“การอภัยโทษและนิรโทษกรรมผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น นายทวีก็เป็นหัวแรงสําคัญในการร่างกฎหมายอภัยโทษและนิรโทษกรรม เพราะแม้ข้าพเจ้าแจ้งแก่สัมพันธมิตรไว้ก่อนว่า เพื่อความสามัคคีของคนไทยที่มีอุดมคติตรงกันในการต่อสู้กับญี่ปุ่น ให้ได้รับอภัยโทษและนิรโทษกรรมตามที่ ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ ได้ทรงปรารภมานั้น เวลาปฏิบัติเข้าจริงก็ยังไม่อาจทําได้ง่าย ๆ เหมือนดังที่นาย ควงพูดที่คุรุสภาว่า พอนายควงเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็สั่งปล่อยนักโทษการเมือง” (นายควง อภัยวงศ์ ไปแสดงปาฐกถาที่คุรุสภาเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ เรื่องชีวิตของท่านปรากฏข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่านายควงพูดมุสาหลายเรื่องหรือเกินความเป็นจริง รวมทั้งเรื่องปลดปล่อยนักโทษ การเมือง ซึ่งท่านอวดอ้างว่าพอท่านขึ้นเป็นนายกฯ ก็สั่งปลดปล่อยนักโทษการเมืองทันที ผู้เขียน)

“จริงอยู่ นายควงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่ในการร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ต้องทําความเข้าใจกับ พล.ต.อ. อดุล อธิบดีกรมตํารวจ ซึ่งเป็นผู้สั่งจับผู้ต้องหาการเมืองให้เขาเห็นความสมควรที่จะอภัยโทษและนิรโทษกรรม..."

นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในบทความของท่านเรื่อง “พระบรมวงศานุวงศ์และ ขบวนการเสรีไทย” มีความตอนหนึ่งว่า

ต่อมาท่านชิ้น (ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ) ได้ทรงส่งโทรเลขของท่านเองมาอีกฉบับหนึ่ง ตรงถึงนายปรีดี พนมยงค์ ขอบใจที่หัวหน้าเสรีไทยยินดีต้อนรับ และทรงแสดงเจตนาว่าจะร่วมงานด้วยอย่างจริงใจ แต่ใครจะขอถามว่าเพื่อนฝูงของท่านชิ้นหลายท่านต้องโทษการเมืองอยู่ที่เกาะตะรุเตาบ้าง บางขวางบ้าง ที่อื่น ๆ บ้างนั้น นายปรีดี พนมยงค์ จะกระทําอย่างไร

“หัวหน้าเสรีไทยตอบไปโดยฉับพลันว่า กรมขุนชัยนาทฯ และผู้อื่นซึ่งต้องโทษการเมือง อยู่ที่ตะรุเตา บางขวาง และที่อื่นนั้น ทางกรุงเทพฯ จะหาทางปลดปล่อย และมิใช่จะปลดปล่อยอย่างเดียว จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมด้วย..."

และในที่สุดบรรดานักโทษการเมืองเหล่านั้น ก็ได้รับการนิรโทษกรรมตามคํามั่นสัญญาที่ท่านปรีดีให้ไว้แก่ท่านชิ้น และด้วยความสํานึกในบุญคุณท่านปรีดี พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว. ประยูร อิศรศักดิ์) นักโทษการเมืองผู้หนึ่งที่ได้รับนิรโทษกรรมครั้งนั้น จึงได้เขียนสักวามอบแก่ท่าน ปรีดีในนามของนักโทษการเมืองที่ได้รับนิรโทษกรรมความว่า

"ส้กระวารีเย่นต์เห็นเป็นธรรมนิรกรรมผู้ต้องโทษโจทก์เท็จหาให้พ้นทุกข์ทรมานกายวิญญาหลุดออกมาจากคุกมอเวจีฯ”

ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงเมื่อ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ ท่านปรีดีในฐานะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ส่งโทรเลขลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๔๘๘ อัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตพระนครดังสําเนาโทรเลขต่อไปนี้

“วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลโลซานน์

ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้งข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประกาศลงวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ นั้น บัดนี้ถึงวาระอันสมควรที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะทรงเป็นพระประมุขของชาติ เพราะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงบรรลุนิติภาวะในวันที่ ๒๐ กันยายน ศกนี้แล้ว

ฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงขอพระราชทานบรมราชานุญาตอัญเชิญเสด็จใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จนิวัตสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้ทรงปกครองแผ่นดินตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ และโดยที่ตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพระพุทธเจ้าจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๐ กันยายน ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ณ โอกาสนี้

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายปรีดี พนมยงค์”

ต่อโทรเลขกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จนิวัตมหานคร ในหลวงอานันท์ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตอบให้ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทราบในสัปดาห์ต่อมาว่าดังนี้

“วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๘๘

ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์

กรุงเทพฯ

ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขของท่านซึ่งได้ขอร้อง ข้าพเจ้าให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นห่วงเป็นใยต่อประเทศชาติ แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจะเป็นการเหมาะสมยิ่งขึ้น ถ้าข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสศึกษาให้จบเสียก่อน ข้าพเจ้าสอบไล่วิชากฎหมายปีที่ ๑ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังจะต้องสอบในชั้นอื่น ๆ ที่ยากยิ่งขึ้น และจะต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง และหลังจากนั้นข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเอก ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงเข้าใจในความปรารถนาของข้าพเจ้าที่จะศึกษาให้จบ ถ้าท่านและรัฐบาลเห็นชอบด้วย ข้าพเจ้าก็ใคร่ที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าจะสําเร็จการศึกษา ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านอย่างจริงใจ ข้าพเจ้าซาบซึ้งในผลงานที่ท่านได้กระทำด้วยความยากลําบากและที่ท่านกําลังกระทําอยู่ในนามของข้าพเจ้า

อานันทมหิดล"

ต่อพระราชโทรเลขข้างต้น ท่านปรีดีได้โทรเลขกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ด้วยข้อความดังนี้

“ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชโทรเลขลงวันที่ ๑๔ กันยายน ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นของข้าพระพุทธเจ้าและรัฐบาลของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รัฐบาลและข้าพระพุทธเจ้ามีความปลื้มปีติเป็นอย่างมากที่ได้ทราบว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จนิวัตพระนครสักครั้งหนึ่งก่อนที่จะทรงจบการศึกษาบัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลให้ทรงทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ (เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า การเสด็จนิวัตของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ ถึงแม้ว่าพระองค์จะประทับอยู่ในประเทศไทยเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้นก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะได้ทรงมีส่วนร่วมได้ตัดสินพระทัยในเรื่องต่าง ๆ อันสําคัญยิ่งดังได้กราบถวายบังคมทูลให้ทรงทราบข้างต้นแล้ว”

หลังจากที่ในหลวงอานันท์ฯ ทรงรับโทรเลขกราบบังคมทูลตอบพระราชโทรเลขฉบับลงวันที่ ๑๔ กันยายนของท่านปรีดีแล้ว พระองค์ได้ทรงมีโทรเลขถึงท่านปรีดี มีข้อความสั้น ๆ ว่า พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่าท่านปรีดีและรัฐบาลจะดําเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างยุติธรรมและเป็นผลดียิ่ง พระองค์ทรงมีพระราชดํารัสว่า การที่พระองค์ประทับอยู่ในประเทศไทยก็คงไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะพระองค์ทรงไม่มีประสบการณ์ พระองค์ทรงมีพระราชดํารัสในที่สุดว่า “ถ้าท่านเห็นว่า ข้าพเจ้าควรจะกลับไปเยี่ยมประเทศไทยชั่วคราว ข้าพเจ้าก็ยินดีรับคําเชิญของท่าน”

ในที่สุดในหลวงอานันท์ฯ พร้อมด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระอนุชา และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระนามขณะนั้น) ก็ได้เสด็จนิวัตสู่กรุงเทพมหานคร โดยเครื่องบินพระที่นั่งที่รัฐบาลอังกฤษจัดถวาย มาถึงสนามบินดอนเมือง ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ และ ณ ที่ นั้นนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช คณะรัฐมนตรี และประชาชน ไปเฝ้ารับเสด็จอย่างล้นหลาม

จากสนามบินดอนเมืองได้ประทับรถไฟพระที่นั่งมาถึงสถานีรถไฟสวนจิตรลดา และ ณ ที่นั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้เฝ้าคอยรับเสด็จ ทันทีที่พระองค์เสด็จลงจากรถไฟพระที่นั่งสู่สถานีจิตรลดาแล้ว ท่านปรีดีได้เฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระกรุณา ดังนี้

“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

บัดนี้เป็นศุภวาระดิถีมงคลที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เสด็จพระราชดําเนินนิวัตสู่มหานครโดยสวัสดิภาพ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณา โดยอาศัยประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘ ว่า ความเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพระพุทธเจ้าได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ขณะนี้เป็นต้นไป ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรชัยให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสด็จอยู่ในราชสมบัติวัฒนาสถาพร เป็นมิ่งขวัญของประชาชนและประเทศชาติในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญชั่วกัลปาวสาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

“ท่านปรีดี พนมยงค์

แล้วทรงพระราชดํารัสตอบจากน้ําพระทัย อันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาและชื่นชมโสมนัส ดังนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้กลับมาสู่พระนครเพื่อบําเพ็ญพระกรณียกิจตามหน้าที่ของข้าพเจ้าต่อประชาชนและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบํารุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้”

เพื่อเชิดชูยกย่องคุณงามความดีของท่านปรีดีให้ปรากฏแก่โลก ต่อมาอีกสามวัน คือใน วันที่ ๘ ธันวาคม พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศยกย่องท่านปรีดีไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ดังคําประกาศพระบรมราชโองการต่อไปนี้

 

“ประกาศ

อานันทมหิดล

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า

โดยที่ทรงพระราชดําริเห็นว่านายปรีดี พนมยงค์ ได้เคยรับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งสําคัญ ๆ มาแล้วหลายตําแหน่ง จน ในที่สุดได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์และปรากฏว่าตลอดเวลาที่นายปรีดี พนมยงค์ดํารงตำแหน่งเหล่านี้ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความปรีชาสามารถบําเพ็ญคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ

จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการ แผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศมา ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช

นายกรัฐมนตรี"

 

 

โปรดเกล้าฯ ท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี

 


นายปรีดีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังให้โอวาทคณะรัฐมนตรีชุดนายควง อภัยวงศ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗
ที่มา: คือจิตวิญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์

 

ในการประชุมซาวเสียงของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๔๘๙ เพื่อเลือกผู้มาดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ๖ มกราคม ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ บันทึกรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนั้นได้บันทึกไว้ดังนี้

“ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นัดประชุมสมาชิกสภาเพื่อหารือเป็นการภายใน สอบถามความเห็นว่าผู้ใดสมควรจะได้รับตําแหน่งนายกรัฐมนตรี สมาชิกส่วนมากเห็นควรให้นายปรีดี พนมยงค์ ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาฯ จึงได้ไปแจ้งความเห็นของสมาชิกส่วน ข้างมากให้ นายปรีดี พนมยงค์ ทราบ แต่นายปรีดี พนมยงค์ ปฏิเสธไม่ขอรับตําแหน่ง โดยแจ้งว่า มีภารกิจต่าง ๆ อยู่มาก ดังนั้นประธานสภาฯ จึงได้หารือสมาชิกอีกครั้งหนึ่ง แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายปรีดี พนมยงค์ ปฏิเสธไม่ขอรับตําแหน่ง”

ที่ประชุมจึงได้หารือต่อไป ในที่สุดเห็นควรให้พันตรี ควง อภัยวงศ์ ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาฯ จึงนําความกราบบังคมทูลตามความเห็นของสมาชิก"

นายควง อภัยวงศ์ จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและอยู่ในตําแหน่งนั้นจนถึงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๘๙ แล้วได้ลาออกไปเพราะแพ้มติของสภา (เรื่องพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนหรือตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค แต่พรรคประชาธิปัตย์เรียกว่าพระราชบัญญัติปักป้ายข้าวเหนียวในเชิงดูถูก เพราะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. นี้เป็น ส.ส. ภาคอีสาน) สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ประชุมปรึกษาหารือเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีกันอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๙ รายงานการประชุมสภาฯ ได้บันทึกไว้ดังนี้

“วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๙ ประธานสภาฯ ได้นัดประชุมสมาชิกเป็นการภายใน เพื่อหารือว่า เมื่อนายกรัฐมนตรี (นายควง อภัยวงศ์) กราบถวายบังคมลาออกแล้วเช่นนี้ ผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปควรจะเป็นผู้ใด สมาชิกในที่ประชุมได้มีความเห็นว่าควรเป็นนายปรีดี พนมยงค์ มีสมาชิกบางท่านได้ให้ความเห็นว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่อาจรับตําแหน่ง เพราะแม้แต่ตําแหน่งสมาชิกประเภทที่ ๒ ก็ยังแจ้งว่า ไม่สามารถมาประชุมได้สม่ำเสมอ ควรจะสอบถามผู้ถูกเสนอเสียก่อน ดังนั้นจึงพักการหารือไว้ชั่วระยะหนึ่งเพื่อรอฟังการทาบทามตัว

“ประธานสภาฯ จึงได้ไปพบนายปรีดี พนม ยงค์ ที่ทําเนียบท่าช้างวังหน้า ได้มีสมาชิกอีกหลายคนไปด้วย ประธานสภาได้แจ้งให้ทราบว่า ได้หารือกันระหว่างสมาชิกสภาฯ พิจารณาหาผู้ที่สมควรจะดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปสมาชิกส่วนมากเห็นว่านายปรีดี พนมยงค์ ควรจะดํารงตําแหน่งนี้ จึงมาเรียนให้ทราบก่อนที่จะนําความขึ้นกราบบังคมทูล ในการนี้ได้มีสมาชิกที่ร่วมไปด้วยได้กล่าวขอร้องเป็นทํานองว่า ในภาวะคับขัน และสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งจะต้องมีการเจรจากับพันธ มิตรในปัญหาต่าง ๆ อยู่ต่อไปด้วย ผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีควรจะเป็นนายปรีดี พนมยงค์

"ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงยอมรับ ตําแหน่ง ประธานสภาฯ จึงกลับมาแจ้งให้ที่ประชุมสมาชิกสภาฯ ทราบ"

และท่านปรีดีก็ไม่ได้ทําให้สภาฯ ผิดหวัง ที่หวังให้ท่านเจรจากับพันธมิตรในปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาการให้ข้าวสารโดยไม่คิดมูลค่าแก่อังกฤษ ๑ ล้าน ๕ แสนตัน (คิดเป็นเงินตามราคาข้าวสารขณะนั้นประมาณ ๒,๕๐๐ ล้านบาท) ตาม ข้อเสนอของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ต่อรัฐบาลอังกฤษ โดยอ้างว่าเพื่ออัธยาศัยไมตรี และต่อมาข้อเสนอให้ข้าวสารฟรีนี้ได้ถูกระบุไว้ในสัญญาสมบูรณ์ แบบข้อที่ ๑๔ ซึ่งรัฐบาลท่านปรีดีได้เจรจากับอังกฤษจากการให้ฟรีเป็นการขาย ดังปรากฏในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญ) ครั้งที่ ๓๓ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ดังนี้

"...รัฐบาลมีเรื่องที่จะแจ้งให้สมาชิกทราบ ๒ เรื่อง คือ เรื่องต้น เป็นเรื่องที่เมื่อวานนี้ ทางรัฐบาลได้ทําข้อตกลงกับทางฝ่ายอังกฤษในเรื่องการที่แก้ไขสัญญาสมบูรณ์แบบ อันว่าด้วยการที่เราจะต้องส่งข้าวให้แก่อังกฤษเปล่า ๆ นั้น บัดนี้ได้ ท่าความตกลงกันว่าแทนที่ฝ่ายไทยจะส่งข้าวให้แก่อังกฤษเปล่า ๆ นั้น แต่นี้ต่อไปทางฝ่ายอังกฤษเป็นฝ่ายที่จะได้มาซื้อข้าวไทยจากรัฐบาลไทย...."

ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พระยามานวราชเสวี ได้กล่าวยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๙ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

"...ข้าพเจ้าขอเป็นพยานในที่นี้ว่า ท่าน (ปรีดี ผู้เขียน) ได้ดํารงตัวของท่านมาอยู่ในความสัตย์ ความจริง ในความบริสุทธิ์ สมควรที่เราจะเคารพนับถือ และแม้ในคราวสุดท้ายที่หานายกรัฐมนตรีไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อไปหาท่านด้วยได้รับมอบหมายจากท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายนี้ ท่านยินดีรับทําให้ข้าพเจ้าผู้มีหน้าที่ในฐานะเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรหมดความห่วงใย และยังมีหวังว่าท่านจะแก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ ของการกระทําที่ได้เป็นมาแล้วให้ตลอดรอดฝั่ง และท่านก็แก้ไขสัญญาให้ข้าวเปล่าได้เป็นการซื้อขาย..."

ท่านปรีดีดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ก็ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง อันเนื่องมาจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ที่แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ตามวิถีทางประชาธิปไตย สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ยกเลิกสมาชิกประเภท ๒ ที่มาจากการแต่งตั้ง และให้มีสองสภา คือสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒิสภา ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง)

ต่อมาในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๔๘๙ สภาทั้งสองได้ประชุมร่วมกันเพื่อซาวเสียงเลือกหาตัวผู้จะมาดำารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากท่านปรีดีที่ลาออก ที่ประชุมร่วมกันมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้ท่านปรีดีดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป

หลังจากที่รัฐสภา (ประกอบด้วยสภาทั้งสอง) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ท่านปรีดีดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว คณะประธานและรองประธานรัฐสภารวมทั้งเลขาธิการของทั้งสองสภาได้เข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงมติของรัฐสภานั้น รายงานการประชุมรัฐสภาครั้งที่ ๓ วัน อาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๙ ได้บันทึกไว้ดังนี้

ประธานรัฐสภา (นายวิลาศ โอสถานนท์) เรื่องนี้ (เรื่องการแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์-ผู้เขียน) ข้าพเจ้ายินดีจะชี้แจง ถ้าหากท่านต้องการทราบ เพราะว่าในการที่วันนั้น สภาได้ให้มติในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านยังคงจำได้ในการประชุมรัฐสภาวันแรก พวกเราได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖ คนด้วยกัน คือตัวข้าพเจ้า รองประธานเดี๋ยวนี้ (นายเกษม บุญศรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้เขียน) และรองประธานอีก ๒ สภา (นายไต๋ ปาณิกบุตร, นายมงคล รัตวิจิตร, รองประธานพฤฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรตามลําดับ ผู้เขียน) รวมทั้งเลขาธิการ ๒ สภาด้วย (นายไพโรจน์ ชัยนาม, นายเจริญ ปัณทโร เลขาธิการพฤฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรตามลําดับ ผู้เขียน) รวมเป็น ๖ คน ด้วยกัน การเข้าไปนั้นก็เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้ท่านทรงทราบว่า บัดนี้รัฐสภาได้มีมติในการแต่งตั้งให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ได้รับสั่งว่า “อ้อ หลวงประดิษฐ์ดีมาก แล้วจะทําอย่างไรต่อไป ?

“ก็ได้ทูลพระองค์ท่านว่า ตามระเบียบและตามประเพณีที่ปฏิบัติมา ก็น่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เชิญนายปรีดี พนมยงค์ มาสอบถามดูว่าจะรับตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้หรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ก็สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ท่านก็มิได้รับสั่งประการใด ได้แต่พยักพระพักตร์ ซึ่งหมายความว่า ท่านจะได้เชิญนายปรีดี พนมยงค์ มา…”

และในคืนวันที่ ๗ มิถุนายนนั้นเอง เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ท่านปรีดีได้ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงซักถามความสมัครใจที่จะรับตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านปรีดีเข้าเฝ้าอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แล้วถวายบังคมทูลลากลับ

นายปรีดีได้พูดถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในที่ประชุมรัฐสภาครั้งที่ ๒ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ (ภายหลังสวรรคตวัน) รายงานการประชุมรัฐสภาได้บันทึกไว้ดังนี้

“...ข้าพเจ้ารู้ว่ามีพวกที่แกล้งท่านต่าง ๆ นานา โดยให้มหาชนเข้าใจผิด และสําหรับในหลวงพระองค์นี้ ทุกคนที่ใจเป็นธรรมก็จะรู้ว่า ข้าพเจ้าได้เสียสละและทําทุกอย่างที่จะโปรเต็ดท์ราชบัลลังก์ให้แก่พระองค์ในยามคริกอลโมเมนท์ตลอดมา  ตลอดจนพระราชวงศ์ข้าพเจ้าก็ได้ทํามาเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าเคารพพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ว่าแต่ปากแล้วใจไม่เคารพ ข้าพเจ้าไม่ทําให้เด็กซตรอยด์ ข้าพเจ้าไม่ทํา และไม่เป็นนิสัยของข้าพเจ้าที่จะทําเช่นนี้ เจ้านายฝ่ายในย่อมจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

“เพราะฉะนั้นข่าวลือต่าง ๆ เป็นเรื่องที่จงใจ จะปัดแข้งปัดขาต่างหาก ข้าพเจ้าได้ยินถึงกับว่า ข้าพเจ้าไปทําเพรสเชอร์พระมหากษัตริย์ ว่าข้าพเจ้าเฝ้าถึง ๒ ยาม ที่จริงข้าพเจ้าเฝ้าท่าน ในวันศุกร์ที่ ๗ ภายหลังที่สภาได้ฟังเสียง (มีมติให้ท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี-ผู้เขียน) และวันอาทิตย์ก็มีการสะไตร้ค์ที่มักกะสัน ซึ่งเจ้ากรมท่านนัดข้าพเจ้าไปเฝ้า ๒ ทุ่มครึ่ง ก่อนไปวังยังได้โทรศัพท์เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและเชิญอธิบดีกรมรถไฟมาด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าจะอยู่อย่างช้าไม่ถึงชั่วโมง ข้าพเจ้าเฝ้าครึ่งชั่วโมงรับสั่งถึงเรื่องที่ท่านจะตั้งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีข้าพเจ้าอยู่ราวครึ่งชั่วโมงแล้วก็กราบทูลว่ามีเรื่องสะไตร้ค์เกิดขึ้น ข้าพเจ้านัดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมรถไฟมาเพื่อจะต้องทราบรายละเอียด และถ้าอยากจะทราบรายละเอียดในการที่ว่าประธาน รองประธาน และเลขาธิการได้ไปเฝ้าท่านในการตั้งข้าพเจ้า ก็มีหลักฐานพยานอยู่เสร็จ ท่านรับสั่งอย่างไร (ดังที่ประธานรัฐสภากล่าวข้างต้น ผู้เขียน)

“มีข่าวลือ (ปล่อยข่าวลือผู้เขียน) หลาย อย่างในทางอกุศลทั้งสิ้น เอาไปถือเป็นทํานองที่ว่าท่านไม่พอพระทัยที่จะตั้งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอะไรบ้าง ล้วนแล้วแต่ข่าวซึ่งเป็นอกุศลลอย ๆ ไม่มีเหตุผล นอกจากทําการปัดแข้งปัดขาซึ่งข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้าซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ด้วยใจจริง ตั้งแต่ไหน ๆ ข้าพเจ้าได้ฝ่าอันตรายมาอย่างไร ทุกอย่างนี้ถ้าหากว่าใครไม่ลืมคงจะรู้ ตลอดเวลาที่เป็นผู้สําเร็จราชการฯ เมื่อครั้งข้าพเจ้าเป็นผู้สําเร็จราชการฯ ได้ทําอย่างไร เพราะฉะนั้นข่าวลืออะไรต่าง ๆ เป็นข่าวที่ปลุกปั่นทั้งสิ้น ขอให้ผู้ที่ใจเป็นธรรมระลึกถึงข้อนี้..."

คําอ้างของท่านปรีดีในตอนต้นที่ว่า “เจ้านายฝ่ายในย่อมจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี" (เรื่องความ จงรักภักดี ผู้เขียน) ซึ่งเป็นการสอดรับกับคําของ ม.จ. อัปภัศราภา เทวกุล ผู้รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่ได้ประทานเล่าแก่นายสมภพ จันทรประภา ผู้เขียนพระประวัติของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เกี่ยวกับท่านปรีดีได้ถวายความปลอดภัย ในระหว่างสงคราม มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“ที่อยุธยา ดร.ปรีดี และภรรยาได้เข้าเฝ้าแหนกราบทูลซักถามถึงความสะดวกสบายอยู่เป็นเนืองนิจ จนคนที่คลางแคลงอยู่บางคนชักจะไม่แน่ใจ เพราะกิริยาพาทีในเวลาเข้าเฝ้านั้น เรียบร้อยนัก นุ่มนวลนัก นัยน์ตาก็ไม่มีวี่แววอันควรจะระแวง..."

เวลาเย็น ๆ ผู้สำเร็จราชการฯ ก็เชิญเสด็จ ประทับรถยนต์ประพาสรอบ ๆ เกาะ

“หลานฉันยังเด็ก ฝากด้วยนะ”

เป็นกระแสพระดํารัสครั้งหนึ่ง ผู้สําเร็จราชการฯ ก็กราบทูลสนองพระราชประสงค์เป็นอย่างดีด้วยความเคารพ ทําให้ผู้ที่ชื่นชมก็ทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น ผู้ที่คลางแคลงก็เริ่มไม่แน่ใจตนเอง

วันหนึ่งที่วัดมงคลบพิตร จังหวัดอยุธยา สมเด็จฯ ตรัสว่า

“ฉันจะไปปิดทอง”

ตรัสแล้วเสด็จไปทรงซื้อทองที่วางขายอยู่บริเวณนั้น เมื่อเสด็จไปถึงองค์พระปรากฏว่า ทรงปิดไม่ถึงผู้สําเร็จราชการจึงกราบทูลว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปิดถวาย”

สมเด็จฯ จึงประทานทองให้ไปพร้อมตรัสว่า

“เอาไปปิดเถอะ คนที่ทําบุญด้วยกันชาติหน้าก็เป็นญาติกัน”

เล่าลือกันว่า กระแสพระดํารัสนั้นทําให้ผู้สําเร็จราชการฯ ซาบซึ้งมาก

ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ได้พูดถึงเจ้านายฝ่ายในกับท่านปรีดีไว้ในบันทึกของท่านเรื่อง “พระบรมวงศานุวงศ์และขบวนการเสรีไทย” มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

“การที่เสรีไทย โดยเฉพาะหัวหน้าเสรีไทยได้ถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ถวายความอารักขาให้พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสา พระบรมอัยยิกาเจ้า ได้ทรงซาบซึ้งพระทัยดี และเมื่อสิ้นสงคราม ได้รับสั่งเรียกนายปรีดีไปที่ประทับและขอบใจ ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง”

 

เสด็จสวรรคต

หลังจากที่ท่านปรีดีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามรับสั่งเมื่อคืนวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๔๘๙ แล้ว รุ่งขึ้นเช้าวันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน ก็ได้ทรงพระกรุณาประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพันตรี วิลาศ โอสถานนท์ ประธานพฤฒิสภาและนายเกษม บุญศรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

แต่ยังไม่ทันที่ท่านปรีดีจะได้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เหตุการณ์เศร้าสลดอันยังความเศร้าโศกให้แก่คนไทยทั้งชาติก็เกิดขึ้นในตอนเช้าเวลาโดยประมาณ ๐๙.๒๕ นาฬิกา ของวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เมื่อเยาวกษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของคนไทยทั้งชาติ ถูกพระแสงปืนสวรรคตบพระแท่นบรรทม ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง

ท่านปรีดีในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สั่งเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการด่วนและได้เปิดประชุมเมื่อเวลา ๒๑.๑๐ นาฬิกาของวันที่ ๙ มิถุนายน นั่นเอง มีสมาชิกพฤฒิสภาเข้าร่วมประชุม ๖๔ นาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๖๓ นาย รวมเป็น ๑๒๗ นาย

ท่านปรีดีได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึง เหตุการณ์สวรรคตที่เกิดขึ้น เมื่อรายงานจบแล้ว สมาชิกแห่งรัฐสภาได้ลุกขึ้นยืนไว้อาลัยแด่พระองค์ผู้จากไป และได้มีการซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายสอ เศรษฐบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ธนบุรี) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซักถามว่า

"ข้าพเจ้าอยากจะขอเรียนถามท่านอธิบดีกรมตํารวจในข้อที่สําคัญ คือว่านอกจากพระญาติวงศ์ซึ่งเข้าออกห้องพระบรรทมแล้ว มีใครบ้างที่เข้าออกได้บ้าง..."

พล.ต.ท. พระรามอินทรา อธิบดีกรมตํารวจ : เท่าที่ได้ฟังมาแล้วมีพระราชชนนี พระอนุชาและพวกมหาดเล็กห้องบรรทม (นายชิต สิงหเสนี, นายบุศย์ ปัทมศริน ผู้เขียน) พระพี่เลี้ยง (พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ผู้เขียน) ส่วนคนอื่นใดนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทราบ..."

พอมาถึงตอนนี้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้แทนราษฎร (พระนคร) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ยุติการซักถามกันไว้ก่อน เพื่อคอยฟังแถลงการณ์ของรัฐบาล การถามตอบจึงยุติลง รัฐบาลจึงได้เสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรีวงศ์ ตามกฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์หมวด ๔ มาตรา ๙ ข้อ ๘ และด้วยความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๙ ฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เป็นที่น่าสังเกตว่าการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ครั้งนั้นมีเลข ๙ เป็นกําลังสําคัญ คือ

เป็นรัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรีวงศ์

ขึ้นเสวยราชย์ วันที่ ๙ มิถุนายน

ปีขึ้นเสวยราชย์ พ.ศ. ๒๔๘๙

ตามกฎมณเทียรบาล หมวด ๔ มาตรา ๙ (๘)

และด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๙ แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙

หลังจากรัฐสภาได้มีมติเป็นเอกฉันท์แล้ว นายกรัฐมนตรีท่านปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สวรรคตแล้ว และบัดนี้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้สภาถวายพระพรชัย ขอให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรง พระเจริญ"

ที่ประชุมได้ยืนขึ้นและเปล่งเสียงไชโยสาม ครั้งต่อจากนั้นประธานพฤฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานพฤฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าไปถวายพระพรในพระบรมมหาราชวัง และกราบบังคมทูลอัญเชิญเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชให้ขึ้นครองราชสมบัติตามมติของรัฐสภา

มีประกาศอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์ ดังนี้

“ประกาศ

โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

โดยที่ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๙ การสืบราชสมบัติให้เป็นไป ตามนัยแห่งกฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา

โดยที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์ที่ร่วมพระราชชนนี ตามความในมาตรา ๙ (๘) แห่งกฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗

โดยที่รัฐสภาได้ลงมติ ณ วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ แสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ในการที่จะอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๙

จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

ปรีดี พนมยงค์

นายกรัฐมนตรี”

ต่อกรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ฯ ปฏิปักษ์ทางการเมืองของท่านปรีดี ทั้งที่ปฏิปักษ์ทางชนชั้นคือพวกเศษเดนศักดินากับปฏิปักษ์ทางทัศนะคือพวกเผด็จการ ต่างได้ฉวยใช้กรณีสวรรคตของพระองค์ท่านมาเป็นเครื่องมือทําลายท่านปรีดีกล่าวหาท่านปรีดีด้วยวิธีการปล่อยข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่ออย่างลับ ๆ ว่าท่านปรีดีเป็นผู้วางแผนปลงพระชนม์

ท่านปรีดีได้ชี้แจงในที่ประชุมรัฐสภาในวันประชุมที่อ้างแล้วข้างต้น ต่อข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีมีความตอนหนึ่งว่าดังนี้

"...เสียงลืออกุศลว่าคนนั้นคนนี้ออกมา แล้วไปทําอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ก็เป็นเรื่องลือสืบเนื่องมาจากความอิจฉาริษยาเป็นมูลหรือมีบ่างช่างยุเป็นต้น เป็นมูลเหตุสืบเนื่องอย่างนั้น ...และอีกอย่างหนึ่ง สําหรับเรื่องพระองค์นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ซึ่งจงรักภักดีท่านมากที่สุดกว่าหลาย ๆ คน ในขณะที่ท่านประจําอยู่ในต่างประเทศหรือที่ท่านได้กลับมาแล้วก็ดี สิ่งใดอันเป็นสิ่งที่ท่านพึงปรารถนาในส่วนพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจัดถวายหรือบางสิ่งบางอย่างเมื่อท่านทรงรับสั่งถามข้อความอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงตามระเบียบแบบแผนของแนวรัฐธรรมนูญตามนิสัยของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าถือว่า ซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าไม่อ้างพระนาม หรือเอาพระนามของท่านไปอ้างในที่ชุมนุมชนใด ๆ ซึ่งบางแห่งทํากัน หรือในกรณีที่ท่านสวรรคตแล้ว ข้าพเจ้าก็พยายามที่สุดที่จะพยายามทําในเรื่องนี้ให้ขาวกระจ่างเพราะเป็นพระมหากษัตริย์ เราจะทําให้เรื่องเงียบอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทําอย่างคนบางคนทําโดยฉวยโอกาสเอาเรื่องสวรรคตของท่านไปโพนทะนากล่าวร้าย

“และวันนั้นจะต้องกล่าวเสียด้วย ข่าวที่ข้าพเจ้าได้ทราบเกี่ยวแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบราวประมาณเกือบ ๑๐ นาฬิกา เวลานั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกับอธิบดีกรมตํารวจให้มาที่บ้าน เนื่องจากกรรมกรมักกะสันสะไตร้ค์ ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์เชิญราชเลขาไปด้วย เมื่อไปถึงแล้วเราอยู่ข้างล่างไม่ได้ขึ้นไปข้างบน เพราะเหตุว่าเกี่ยวแก่พระมหากษัตริย์ จึงได้เชิญเจ้านายผู้ใหญ่มาพร้อมแล้วจึงขึ้นไปชั้นบน ส่วนในทางชั้นบนของท่านเป็นเรื่องที่ท่านทําปฐมพยาบาลในชั้นบน

“ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทยพร้อมด้วยเจ้านาย อันมีกรมขุนชัยนาทฯ เป็นผู้นําขึ้นไป ได้ขึ้นไปเป็นเวลาเที่ยงเศษ ๆ แล้ว ขึ้นไปดูพระบรมศพ และความจริงในการตรวจเราจะไปถือกรณีพระมหากษัตริย์เหมือนเอกชนไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนกฎหมาย ข้าพเจ้ารู้เรื่องวิธีพิจารณาความอาญาว่าเป็นอย่างไรและจะต้องทําอย่างไร ? ก็ได้บอกกับอธิบดีกรมตํารวจว่าเราจะต้องทําให้แน่ชัด เช่น เหมือนอย่างว่า บอกให้หมอเอาโพลิกไปใส่พระกะโหลก ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ราชาศัพท์ดี ได้ปรึกษาเจ้านาย บอกท่าน ท่านสั่นพระเศียร ข้าพเจ้าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าจะต้องผ่าพระกะโหลกก็เป็นเรื่องพระศพของพระวิธีพิจารณาทางอื่นก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้จึงตัดสินว่ามหากษัตริย์จะทําให้เสียพระราชประเพณี และเราจะต้องสอบถามผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและแพทย์ประจําพระองค์คือ คุณหลวงนิตย์ฯ เป็นผู้ปฐมพยาบาล..."

เพื่อทําความจริงให้ปรากฏ ต่อมาในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ท่านปรีดี นายกรัฐมนตรี จึงได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยตัวแทนสถาบันหลักของชาติ คือ ประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีศาลอาญา อธิบดีกรมอัยการ ประธานพฤฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เจ้านายชั้นผู้ใหญ่สามพระองค์ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ โดยมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ และนายสอาด นาวีเจริญ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

คณะกรรมการชุดนี้เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต” และในระหว่างที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวกําลังสอบสวนหาความจริงนั้น ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมตามรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ซึ่ง ได้กําหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๘๙ ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคการเมืองบางพรรคได้ฉวยโอกาสเอากรณีสวรรคตไปโฆษณาโจมตีรัฐบาล (ท่านปรีดี) กระทรวงมหาดไทยจึงได้ออกคําสั่งไปถึงกํานันผู้ใหญ่บ้านประกาศอย่าให้ราษฎรหลงเชื่อคําโฆษณาอันเป็นเท็จนั้น คําสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๐๗/๒๔๘๙ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๙ มีข้อความบางตอนดังนี้

“ด้วยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนคราวนี้ ได้มีผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนผู้สมัคร ซึ่งใช้สมญาว่าพรรคประชาธิปัตย์บางคน ได้ฉวยโอกาสการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงราษฎรให้เกิดการเข้าใจผิด เพื่อก่อให้เกิดความดูหมิ่นและกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล... เพื่อให้ราษฎรลงคะแนนให้แก่ตน หรือพรรคของตน ตามทางสืบสวนได้ความว่าพรรคประชาธิปัตย์บางคนได้หลอกลวงให้ราษฎร เข้าใจผิดในหัวข้อต่อไปนี้ ฯลฯ

๔ กล่าวหารัฐบาลว่าปิดข่าวเรื่องสวรรคต และใส่ร้ายรัฐบาลในเรื่องนี้ด้วยประการต่าง ๆ ความจริงนั้นรัฐบาลไม่ได้ปิดบัง และต้องการที่จะให้กรรมการได้สอบสวนเรื่องนี้โดยยุติธรรมและเปิดเผย ดังจะเห็นได้จากการแต่งตั้งกรรมการสอบสวน และวิธีปฏิบัติซึ่งมีตุลาการ อัยการประธานสภาทั้งสอง นายพลทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เจ้านายชั้นสูง และการสอบสวนก็ให้ประชาชนไปฟังได้ นับเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกของประเทศไทยที่การสอบสวนเช่นนี้ได้กระทําต่อหน้าประชาชนจะหาว่ารัฐบาลปิดบังประการใด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชชนนีก็ได้พระราชทานพระราชกระแสฯ ต่อกรรมการแล้วว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศมิได้มีข้อขัดแย้งหรือไม่พอพระทัยในรัฐบาลแต่อย่างใด ฝ่ายรัฐบาลก็ได้ถวายความจงรักภักดี และกระทําตามทุกสิ่งทุกอย่างตามพระราชประสงค์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงบรรลุนิติภาวะแล้วนายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้อัญเชิญทูลเสด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จกลับมาครองราชย์มิได้ปรารถนาที่จะกุมอํานาจที่จะทําหน้าที่เป็นประมุขของรัฐและไม่ได้กระท่าการขัดขวางอย่างใด แต่ตรงกันข้ามกลับอัญเชิญเสด็จกลับมามอบถวายราชสมบัติแด่พระองค์

“ในระหว่างที่พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ ต่างประเทศ เมื่อมีผู้ปองร้ายต่อราชบัลลังก์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้เสียสละและเสี่ยงภัยเพื่อป้องกันราชบัลลังก์ให้ปลอดภัยตลอดมา เวลานั้นหามีผู้ใดเสี่ยงภัยเช่นนั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับประจบสอพลอผู้มีอํานาจ

“รัฐบาลนี้มีความเสียใจที่พรรคประชาธิปัตย์บางคนได้ฉวยโอกาสเอาพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในระหว่างที่พระองค์มีพระชนม์อยู่ ในการประชุมพรรคประชาธิปัตย์บางครั้งได้แอบอ้างว่า ในหลวงรับสั่งอย่างนั้นอย่างนี้จะขอยกตัวอย่างว่าในการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ศกนี้ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒิสภาที่พรรคประชาธิปัตย์ลวงไปร่วมประชุมก็คงจะจําได้ว่า วันนั้นใครอ้างพระนามในหลวงไปพูดในที่ประชุมว่าอย่างไรบ้าง ซึ่งพระองค์เองไม่ทรงทราบเรื่องอะไรเลย พระองค์ทรงบําเพ็ญพระองค์เป็นกลางและเป็นที่สักการะโดยแท้จริง

“ครั้นพระองค์สวรรคตแล้ว ก็เอาการสวรรคตของพระองค์เป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อไปอีก ได้พยายามปั้นข่าวเท็จตั้งแต่วันแรกสวรรคต ให้ประชาชนหลงเข้าใจผิด ทั้งในทางพูดทางโทรศัพท์ ทางโทรเลข และทางเอกสารหนังสือพิมพ์ พวกเหล่านี้ไม่ใช่เป็นพวกที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นพวกที่แสวงหาผลประโยชน์จากพระมหากษัตริย์ เพื่อความเป็นใหญ่ของตนและเพื่อการเลือกตั้งที่จะได้ผู้แทนซึ่งเป็นพวกของตน

“ดังจะเห็นได้อย่างแน่ชัดว่า ถ้าพวกนี้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แล้ว ในระหว่างที่พระองค์ทรงประทับอยู่ต่างประเทศ และในระหว่างที่ราชบัลลังก์ถูกกระทบกระเทือนในบางครั้ง และพระราชวงศ์ถูกผลปฏิบัติบางประการนั้น พวกประชาธิปัตย์บางคนซึ่งอ้างว่าจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยิ่งกว่าใคร ๆ นั้น ทําไมไม่เข้าเสี่ยงภัยคิดแก้ไขอย่างใดเลย แต่อาจมีบางคนกล่าวแก้ว่า เวลานั้นทําอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ แต่ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น ขอราษฎรอย่าได้เชื่อฟัง...”

เหตุผลสําคัญประการหนึ่งที่ฝ่ายปฏิปักษ์ยกขึ้นมาโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านปรีดีเป็นผู้วางแผนปลงพระชนม์ เพราะว่าท่านปรีดีเป็นผู้นิยมระบอบมหาชนรัฐ

ต่อโฆษณาชวนเชื่อนี้ ในเวลาต่อมาแถลงการณ์ปิดคดีของจําเลยในคดีสวรรคตได้ชี้ให้เห็นตอนหนึ่งว่า

“...การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมหาชนรัฐนั้น เป็นเรื่องของการเปลี่ยนสถาบันอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นเรื่องของการล้มเลิกสถาบันเสีย ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนตัวบุคคลดังทัศนะของนักนิยมอํานาจ การฆ่ากษัตริย์จึงไม่ใช่วิธีการหรือธรรมนิยมของนักมหาชนรัฐ..."

และจดหมายของนายเลียง ไชยกาล อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงที่มีไปถึงท่านปรีดีที่ปารีส เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓ ได้ปรารภเรื่องเดียวกันนี้ มีความตอนหนึ่งดังนี้

“...ผมเห็นว่าท่านอาจารย์มีกรรมเก่ามากกว่า เพราะถ้าพิจารณาถึงเหตุผลในเรื่องฆ่าในหลวงแล้ว ผมพูดเสมอว่า เมื่อมาถึงขั้นนั้นแล้ว ทําไมปรีดีจึงยุติ (ไม่ประกาศเลิกล้มสถาบันกษัตริย์เสีย แล้วสถาปนามหาชนรัฐขึ้นแทน แต่นี่ท่านกลับอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอขึ้นนั่งราชบัลลังก์ เป็นรัชกาลที่ ๙ สืบต่อมาจนถึงวันนี้ผู้เขียน) ทั้ง ๆ ที่สภาทั้ง ๒ อยู่ในกํามือ...”

 

รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐

ต่อมาในวันที ๒๑ สิงหาคม ๒๔๘๙ ท่านปรีดีได้ลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี และ พลเรือตรี ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ หรือที่เรียกกัน โดยทั่วไปว่า "หลวงธํารงฯ" ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีสิบต่อมา และได้พิจารณารายงาน ของคณะกรรมการศาลกลางเมือง (ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลท่านปรีดี) ที่เสนอต่อรัฐบาลเมื่อปลายเดือน ตุลาคม ๒๔๘๙ ซึ่งมีสาระสรุปไว้ตอนปลายของ รายงานฉบับนั้น ดังนี้

“...คณะกรรมการได้ประมวลสอบสวนเข้าทั้งหมด ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตํารวจได้สอบสวนไว้เดิมและที่สอบสวนโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชน และเมื่อได้พิจารณาถึงคําพยานบุคคล วัตถุพยาน และเหตุผลแวดล้อมกรณีต่าง ๆ ทุกแง่ทุกมุมโดยรอบต้านดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว คณะกรรมการเห็นว่า ในกรณีอันจะพึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้นั้น สําหรับกรณีอุบัติเหตุ คณะกรรมการมองไม่เห็นทางว่าจะเป็นไปได้เลย ส่วนอีกสองกรณีคือถูกลอบปลงพระชนม์และทรงปลงพระชนม์เองนั้น การถูกลอบปลงพระชนม์ไม่มีหลักฐานและเหตุผลที่แน่นอนแสดงว่าจะเป็นไปได้แต่ไม่สามารถที่จะตัดออกเสียโดยสิ้นเชิง เพราะว่ายังมีท่าทางของพระบรมศพด้านอยู่ ส่วนในกรณีปลงพระชนม์เองนั้น ลักษณะของบาดแผลแสดงว่าเป็นไปได้ แต่ไม่ปรากฏเหตุผลหรือหลักฐานอย่างใดว่าได้เป็นไปเช่นนั้นโดยแน่ชัด คณะกรรมการจึงไม่สามารถที่จะชี้ขาดว่าเป็นกรณีหนึ่งกรณีใดในสองกรณี ทั้งนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จะดําเนินการสืบสวนและปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป"

ต่อความเห็นของคณะกรรมการศาลกลางเมืองที่ว่ากรณีสวรรคตเกิดจากกรณีหนึ่งกรณีใดในสองกรณี คือปลงพระชนม์เองและถูกลอบปลงพระชนม์นั้น สอดคล้องกับความเห็นของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ศาสตราจารย์หัวหน้าแผนกวิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ได้ให้รายละเอียดในกรณีนี้ไว้กับคณะกรรมการแพทย์ ดังนี้

“ข้าพเจ้าได้หนังบาดแผลมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ตัดออกจากพระนลาฏของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ขณะที่ทําการชันสูตรพลิกพระบรมศพ บาดแผลเป็นเสมือนกากบาทมีหนังแยกเป็นสี่แฉก แฉกบน แฉกล่าง แฉก ขวาและซ้าย เมื่อได้ใช้กล้องจุลทัศน์ชนิด ๒ ตา ส่องดูบนหนังนั้นมีรอยกดเป็นรอยโค้ง เห็นได้ชัดบนแฉกขวาและซ้าย แฉกบนไม่เห็นถนัดนัก และแฉกล่างไม่เห็นเลย ถ้าเอาส่วนโค้งเหล่านั้นมาต่อกันเข้าก็จะเป็นรูปวงกลมมีเ ส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๑ มม. เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าปลายแฉกเหล่านั้นเป็นรอยโค้ง และเส้นโค้งบนผิวหนังไม่ต่อกันเป็นรูปวงกลม นอกจากนั้นยังมีเนื้อที่เล็ก ๆ ไหม้อยู่ที่แฉกล่าง และมีสีแสดงว่าเป็นดินปืนติดอยู่ด้านในของหนังชั้นนั้นด้วย"

แล้วหมอสุดก็สันนิษฐานจากลักษณะบาดแผลดังกล่าวข้างต้นนั้นว่า

รอยกตในหนังนั้นอาจเป็นไปโดยกดปากกระบอกปืนกระชับแน่นลงที่พระนลาฏก่อนยิง ถ้าหากเป็นการอุบัติเหตุแล้วปากกระบอกปืนคงไม่กดลงไปที่พระนลาฏกระชับแน่น ตามความเห็นของข้าพเจ้ามีทางอธิบายที่เป็นไปได้ ๒ ประการเท่านั้น คือ ปลงพระชนม์เองหรือถูกปลงพระชนม์ทั้งสองประการเท่า ๆ กัน"

ต่อลักษณะบาดแผลเป็นรอยกดปากกระบอกปืนวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๑ มม. ตามคําของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร นั้น คณะกรรมการศาลกลางเมืองได้มีความเห็นไว้ในรายงานดังกล่าวข้างต้นอีกตอนหนึ่งว่าดังนี้

"...แผลนี้เกิดจากการยิงในระยะติดผิวหนังหรือห่างไม่เกิน ๕ ซม. ลักษณะของบาดแผลเป็นดังนี้ คณะกรรมการเห็นพ้องด้วยความเห็นของแพทย์ส่วนมากในข้อที่ว่า โดยลักษณะของบาดแผลนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าบาดแผลเกิดจากความตั้งใจของผู้กระทํา แต่ความตั้งใจนี้มิได้หมายความเฉพาะตั้งใจกระทําให้ตาย ย่อมหมายความรวมถึงความตั้งใจที่ยกปืนนี้ขึ้นไปจ่อติดหน้าผาก ซึ่งปืนอาจสั่นขึ้นโดยอุบัติเหตุก็ได้ด้วย"

ต่อรายงานของคณะกรรมการศาลกลางเมือง รัฐบาลหลวงธํารงฯ ได้ตั้งอนุกรรมการรัฐมนตรีขึ้น ๗ ท่าน เมื่อ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ เมื่ออนุกรรมการรัฐมนตรีพิจารณาเสร็จแล้วได้ ส่งกลับเข้าสู่การพิจารณาในคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องให้กรมตํารวจสืบสวนเอาตัวคนร้ายที่แท้จริงในการปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ มาดําเนินคดีต่อไป

ในขณะที่ตํารวจที่ทําการสืบสวนคืบหน้าใกล้ชิดตัวมือปืนเข้าไปทุกที รวมทั้งได้สอบถามปากคําของคนบางคนไว้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยในขณะนั้นได้ เมื่อข่าวนี้ได้แพร่ออกไปก็ได้เกิด รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์กับคณะรัฐประหารทําขึ้น แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นรัฐบาลเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ครั้นแล้วรัฐบาลนี้ก็ได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต. พระพินิจชนคดี พี่เขยของสองหม่อมราชวงศ์ สําคัญแห่งพรรคประชาธิปัตย์ คือ เสนีย์ และ คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งออกจากราชการรับบํานาญ ไปแล้วนั้น กลับเข้ารับราชการทําหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่ อันนําไปสู่การจับกุมนาย เฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขานุการในพระองค์ นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน สองมหาดเล็กห้องพระบรรทม ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ หลังจากวันทํารัฐประหาร ๑๒ วัน

โดยที่ พล.ต.ต. พระพินิจชนคดี (ยศขณะนั้น) และคณะไม่อาจสร้างพยานหลักฐานเท็จได้ ทันในระยะเวลาสอบสวนตามที่กฎหมายกําหนดคือ ๙๐ วัน รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ ๒๓ มกราคม ๒๔๙๑ ขยายกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีสวรรคตได้เป็นพิเศษ ให้ศาลอนุญาตให้ขังผู้ต้องหาได้หลายครั้ง รวมเวลาไม่เกิน ๑๘๐ วัน

 

คดีประวัติศาสตร์

 


ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน

 

ในที่สุดพนักงานสอบสวนกรมตํารวจได้ส่งสํานวนให้อัยการหลังจากที่ได้พยายามสร้างพยานหลักฐานเท็จอยู่ถึง ๑๘๐ วัน และอัยการก็รับสํานวนอันเป็นเท็จนั้นไปปะติดปะต่อเพื่อสรุปเขียนคําฟ้องอยู่อีก ๓๔ วัน จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา เมื่อ ๗ สิงหาคม ๒๔๙๑ โดยนายเฉลียว ปทุมรส เป็นจําเลยที่ ๑ นายชิต สิงหเสนี จําเลยที่ ๒ และนายบุศย์ ปัทมศริน จําเลยที่ ๓ ฐานความผิดสมคบกันประทุษร้ายต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพทุบายเท็จเพื่อปกปิดการกระทําผิด

คำฟ้องมีทั้งหมด ๕ ข้อ ลงนามโดยหลวงอรรถปรีชาธนูปการ (ฉอ้อน แสนโกสิก) โจทก์ในจํานวน ๕ ข้อนี้ ข้อ ๓ ระบุความผิดไว้ดังนี้

“(ก) เมื่อระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๙ เวลาใดไม่ปรากฏถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลากลางวัน จําเลยทั้ง ๓ นี้ กับพรรคพวกดังกล่าว (หมายถึงท่านปรีดี พนมยงค์ และเรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ผู้เขียน) ได้ทนงองอาจสมคบกันคิดการตระเตรียมจะกระทําการปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล โดยพรรคพวกดังกล่าวกับจําเลยได้ประชุมกันปรึกษาวางแผนการ และตกลงกันในอันที่จะกระทําการปลงพระชนม์เมื่อใด และให้ผู้ใดเป็นผู้รับหน้าที่ร่วมกันไปกระทําการปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลและจําเลยที่ ๓ นี้ได้บังอาจช่วยกันปกปิดการสมคบกันจะประทุษร้ายต่อพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังกล่าว และจําเลยหาได้เอาความนั้นไปร้องเรียนไม่ เหตุเกิดที่ตําบลชนะสงคราม อําเภอพระนคร จังหวัดพระนคร

โจทก์ได้น่าสืบในเวลาต่อมาว่า สถานที่ที่จําเลยและพวกไปประชุมวางแผนการปลงพระชนม์นั้น คือบ้านของ พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ซึ่งตั้งอยู่ที่ตําบลชนะสงคราม อําเภอพระนคร จังหวัดพระนคร และพยานโจทก์ปากเอกที่รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คือ นายตี๋ ศรีสุวรรณ ซึ่งอ้างว่าได้อาศัยอยู่ในบ้านพระยาศรยุทธเสนีก่อนเกิดกรณีสวรรคต

ต่อค่าเบิกความของนายตี๋ ศรีสุวรรณ พยาน ปากเอกของโจทก์ ซึ่งเป็นความเท็จที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้น โดย พล.ต.ต. พินิจชนคดีและคณะ (ดูรายละเอียดได้จากหนังสือของผมหลายเล่มที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคต ผู้เขียน) ซึ่งศาลอาญาและศาลฎีกาศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังคําเบิกความนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ปฏิเสธคําเบิกความของนายตี๋ ศรีสุวรรณ อย่างสิ้นเชิงอย่างเช่นศาลอาญาและศาลสุวรรณอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาก็ไม่ยืนยันว่าคําเบิกความของ นายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นความจริง ดังข้อสรุปคําวินิจฉัยของสามศาลต่อค่าเบิกความของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ว่าดังนี้

คําพิพากษาของศาลอาญา ในคดีดำที่ ๑๘๙๘/๒๔๙๑ คดีแดงที่ ๑๒๖๖/๒๔๙๔ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๙๔ ว่าดังนี้

"ใครเลยจะเชื่อฟังคํานายตี๋ ศรีสุวรรณเป็นความจริงไปได้ กลับจะยิ่งเห็นนิสัยของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ถนัดขึ้นไปอีกว่าเข้าลักษณะที่เรียกกันว่าคุยโม้เสียแน่แล้ว

ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยคําเบิกความของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ไว้ในคําพิพากษาคดีหมายเลขดําที่ ๓๐๕๖/๒๔๙๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๓๖/๒๔๙๔ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๖ ว่าดังนี้

ยิ่งคิดไปก็ไม่มีทางที่ศาลอุทธรณ์จะรับฟังคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ตอนนี้ได้

ศาลฎีกาได้มีความเห็นในคําเบิกความของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ไว้ในคําพิพากษาลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ โดยสรุปว่าดังนี้

“ในเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ (คําของนายตี๋ ศรีสุวรรณ ที่อ้างว่าได้ยินจําเลยกับพวกพูดจาวางแผนปลงพระชนม์กันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ผู้เขียน) ศาลเห็นว่า จะฟังความหรือถ้อยคําที่พูดกันให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่ถนัด

จากคําวินิจฉัยของสามศาล ในประเด็นตามฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ (ก) ที่ว่า “จําเลยทั้ง ๓ กับพวกได้ทนงองอาจสมคบกันคิดการตระเตรียมจะกระทําการปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล โดยพรรคพวกดังกล่าวกับจําเลยได้ประชุมกันปรึกษาวางแผนการ” และผู้ที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้รู้เห็นการวางแผนการนี้คือนายตี๋ ศรีสุวรรณ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ได้ปฏิเสธไม่รับฟังคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณในประเด็นนี้อย่างสิ้นเชิง ดังที่ยกมาข้างต้นนั้น

ส่วนศาลฎีกา ถึงแม้ว่าจะไม่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ อย่างที่ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ปฏิเสธมาแล้ว แต่ศาลฎีกาก็ไม่ได้รับว่าคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ อันเป็นโครงสร้างของคดีนี้เป็นความจริง ศาลฎีกามีความเห็นแต่เพียงว่า “ศาลเห็นว่าจะฟังความยังไม่ถนัดหรือถ้อยคําที่พูดกันให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดยังไม่ถนัด"

เมื่อฟังไม่ถนัดตามหลักนิติธรรมก็ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย

นั่นคือ จำเลยกับพวกไม่ได้มีการวางแผนการปลงพระชนม์กันที่ (บ้าน พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี) ตําบลชนะสงคราม อําเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ตามฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ (ก) และโจทก์ก็ไม่ได้นําสืบว่าได้มีการวางแผนการปลงพระชนม์กันที่อื่นอีก

นอกจากนี้มือปืนที่ลอบปลงพระชนม์ โจทก์พยายามนําสืบให้เห็นเป็นว่ามือปืนผู้นั้นคือเรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช หนึ่งในห้าคนที่ร่วมวางแผนการปลงพระชนม์ ณ บ้าน พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนีนั้น ซึ่งโจทก์มีพยานนําสืบสองชุด แต่ศาลฎีกาได้พิพากษาฟันธงลงไปว่า "พยานสองชุดนี้ยังไม่เป็นหลักฐานพอที่จะได้ชี้ว่าใครเป็นผู้ลงมือลอบปลงพระชนม์

จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่ได้มีการวางแผนปลงพระชนม์กันที่บ้าน พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ตามฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ (ก) และตามการนำสืบพยานของโจทก์

อย่างไรก็ดี ค่าพิพากษาของศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ในกรณีไม่ยอมรับค่าให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ พยานปากเอกของโจทก์ว่าเป็นความจริงนั้น นอกจากจะได้รับการยืนยันจากบันทึก (ลับ) ของ พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ซึ่งได้เปิดเผยต่อสาธารณชนไปแล้ว ตัวนายตี๋ ศรีสุวรรณ ยังได้ไปสารภาพบาปกับท่านปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทาน อําาเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขณะที่ตัวนายตี๋ ศรีสุวรรณ อายุได้ ๑๐๒ ปี ว่าไปเป็นพยานเท็จในคดีสวรรคต ทําให้ผู้บริสุทธิ์สามคนต้องถูกประหารชีวิต และนายตี๋ ศรีสุวรรณ ยังได้ให้บุตรเขยเขียนจดหมายไปขอขมาท่านปรีดีที่ปารีส ข้อความรายละเอียดในจดหมายว่าดังนี้

 

บ้านเลขที่ ๒๓๘๖

ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ
๒๕ มกราคม ๒๕๒๒
เรียน นายปรีดี ที่นับถือ
นายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นพ่อตาของผม ขอให้ผมเขียนจดหมายถึงท่าน นายตี๋ที่เขียนจดหมายไม่ได้ เมื่อครั้งไปให้การที่ศาลก็ได้แค่เซ็นชื่อตัว ต. และพิมพ์มือเท่านั้น นายตี๋จึงให้ผมซึ่งเป็นบุตรเขยเขียนตามคําบอกเล่าของนายตี๋ เพื่อขอขมาลาโทษต่อท่าน นายคี๋ที่ให้การต่อศาลว่านายปรีดี นายวัชรชัย นายเฉลียว นายชิด นายบุศย์ ไปที่บ้านพระยาศรยุทธ ข้างวัดชนะสงคราม เพื่อปรึกษาลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไม่เป็นความจริง นายตี๋ที่เอาความไม่จริงมาให้การต่อศาล เพราะพระพินิจได้เกลี้ยกล่อมว่าจะให้เงินเลี้ยงนายตี๋จนตาย เมื่อให้การแล้วพระพินิจให้เงินนายตี๋ ๕๐๐-๖๐๐ บาท และให้นายตี๋ที่กินอยู่หลับนอนอยู่ที่สันติบาลประมาณสองปีเศษ เดิมพระพินิจบอกว่าจะให้ ๒ หมื่นบาท เมื่อเสร็จคดีแล้ว พระพินิจก็ไม่จ่ายให้อีกตามที่รับปากไว้ เวลานี้นายตี๋รู้สึกเสียใจมากที่ทําให้สามคนตาย และนายปรีดีกับนายวัชรชัยที่บริสุทธิ์ต้องถูกกล่าวหาด้วย นายที่ได้ทําบุญกรวดน้ำให้กับผู้ตายเสมอมา แต่ก็ยังเสียใจไม่หาย เดี๋ยวนี้ก็มีอายุมากแล้ว (๑๐๒ ปี ผู้เขียน) อีกไม่ช้าก็ตาย จึงขอขมาลาโทษท่านปรีดี นายวัชรชัย นายเฉลียว นายชิต และนายบุศย์ ที่นายตี๋เอาความเท็จมาให้การปรักปรํา ขอได้โปรดให้ขมาต่อนายตี๋ด้วย

ข้อความทั้งหมดนี้ ผมได้อ่านให้นายตี๋ที่ฟังต่อหน้าคนหลายคนในวันนี้ เวลาประมาณ ๑๑ น. เศษ และได้ให้นายตี๋พิมพ์ลายมือนายที่ต่อหน้าผมและคนฟังด้วย
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

เลื่อน ศิริอัมพรต

ต. (พิมพ์ลายมือนายตี๋)

 

แต่ทั้ง ๆ ที่ศาลอาญาไม่เชื่อคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ พยานปากเอกของโจทก์ว่าได้มีการวางแผนปลงพระชนม์กันที่บ้าน พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ตามฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ (ก) แต่ศาลอาญาก็ได้พิพากษาให้ประหารชีวิตนายชิต สิงหเสนี จําเลยที่ ๒ ด้วยความผิดต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ ตอน ๒ และ ปล่อยตัวนายเฉลียว ปทุมรส จําเลยที่ ๑ กับนายบุศย์ ปัทมศริน จ่าเลยที่ ๓ พันข้อหาไป

ต่อมาศาลอุทธรณ์ ทั้ง ๆ ที่ในคําพิพากษา นั้นได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อคําให้การของนายตี๋ ศรีสุวรรณ เช่นเดียวกัน แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้แก้คําพิพากษาศาลอาญาให้ประหารชีวิตนายบุศย์ ปัทมศริน จําเลยที่ ๓ ร่วมเข้าไปด้วย ด้วยความผิดต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ ตอน ๒ คงปล่อยพันข้อหาไปแต่นายเฉลียว ปทุมรส จําเลยที่ ๑

ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะอ้างกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ ตอน ๒ มาลงโทษนายบุศย์ ปัทมศริน จําเลยที่ ๓ นั้น ศาลอุทธรณ์ได้อ้างคำให้การของนายชิต สิงหเสนี จำเลยที่ได้ให้การไว้เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๙๐ (ต่อพนักงานสอบสวน ผู้เขียน) มีความว่า

“ในการลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ ๘ นี้ ถ้าเป็นบุคคลภายนอกเข้ามาลอบปลง พระชนม์ จะต้องมีมหาดเล็กหรือบุคคลภายในเป็นสายชักจูงนําเข้ามาจึงจะทําการได้สําเร็จ ถ้าเป็นคนภายในลอบปลงพระชนม์แล้ว ย่อมทําได้สะดวกกว่าบุคคลภายนอก สําหรับบุคคลภายในที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ก็มีแต่ข้าฯ กับนายบุศย์สองคนเท่านั้น หากว่าจะมีความผิดในกรณีสวรรคตนี้แล้ว ก็มีข้าฯ กับนายบุศย์สองคนนี้เท่านั้นที่จะต้องรับผิดอยู่ด้วย...” (เพราะสองคนนี้นั่งอยู่หน้าประตูหน้าห้องพระบรรทมขณะเกิดเหตุและทางเข้าห้องพระบรรทมในขณะนั้นก็มีอยู่ทางเดียว คือทางประตูที่นายชิต-นายบุศย์ นั่งเฝ้าอยู่จากค่าพิพากษา)

ส่วนศาลฎีกาพิพากษาฟันธงลงไปเลยให้ประหารชีวิตจําเลยทั้งสามคน ในความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒

กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒ ว่าไว้ดังนี้

"ผู้ใดทนงองอาจกระทําการประทุษร้ายต่อพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหสีก็ดี มกุฎราชกุมารก็ดี ต่อผู้สําเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงต้องประหารชีวิต

“ผู้ใดพยายามจะกระทําการประทุษร้ายเช่นว่ามาแล้ว แม้เพียงตระเตรียมการก็ดี สมคบกันเพื่อการประทุษร้ายนั้นก็ดี หรือสมรู้เป็นใจด้วยผู้ประทุษร้าย ผู้พยายามจะประทุษร้ายก็ดี มันรู้ว่าผู้ใดคิดประทุษร้ายเช่นว่ามานี้ มันช่วยปกปิดไม่เอาความนั้นไปร้องเรียนขึ้นก็ดี ท่านว่าโทษมันถึงตายดุจกัน"

แต่คำฟ้องของโจทก์ข้อ ๓ (ก) และการนําสืบพยานของโจทก์ว่าจําเลยทั้งสามกับพวก (หมายถึงท่านปรีดีและเรือเอกวัชรชัย ผู้เขียน) ได้ไปประชุมวางแผนการปลงพระชนม์กันที่บ้าน พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ท้องที่ตําบลชนะสงคราม อ้าเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๙ ถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ แต่ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ก็ได้ วินิจฉัยไว้ในคําพิพากษาดังที่อ้างมาแล้วข้างต้นนั้นว่าไม่เชื่อถือคําเบิกความของพยานโจทก์ และศาลฎีกาแม้ว่าจะไม่ปฏิเสธคําเบิกความของพยานโจทก์อย่างสิ้นเชิงอย่างเช่นสองศาลที่ผ่านมาก็จริง แต่ศาลฎีกาก็ได้ออกมาอย่างชัดเจนว่าศาลเห็นว่าจะฟังความหรือถ้อยคําที่พูดกันให้เป็นอย่างหนึ่งใดยังไม่ถนัด” และโจทก์ก็ไม่ได้นําสืบว่าได้มีการวางแผนการปลงพระชนม์กัน ณ ที่ใดอีก

เมื่อฟังไม่ถนัด ก็ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย ตามสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “ปล่อยคนผิดสิบคน ดีกว่าลงโทษคนบริสุทธิ์คนเดียว” แต่ศาลฎีกาท่านฟันธงลงไปให้ประหารชีวิตจําเลยทั้งสามคน โดยอ้างความผิดของจ๋าเลยตามกฎหมาย ลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒ ความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒ ว่าไว้ประการใดขอให้ย้อนกลับไปอ่านอีกที

ใช่แล้ว นายชิต สิงหเสนี จ่าเลยที่ ๒ ได้ให้การไว้อย่างชัดเจนว่า ขณะเกิดเหตุมีเขากับนายบุศย์ ปัทมศริน จําเลยที่ ๓ สองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าออกห้องพระบรรทมและได้ให้ความเห็นไว้ว่า “หากว่าจะมีความผิดในกรณีสวรรคตนี้แล้ว ก็มีข้าฯ กับนายบุศย์สองคนเท่านั้นที่จะต้องรับผิดอยู่ด้วย"

ใช่แล้ว กรณีสวรรคตเกิดขึ้นจริงในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๐๙.๒๕ น. เหตุเกิด ณ ห้องพระบรรทม บนพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง และแม้ว่าขณะเกิดเหตุนายชิต นายบุศย์ จําเลย นั่งอยู่หน้า ประตูทางเข้าห้องพระบรรทมก็จริง แต่ก็ไม่ได้สมรู้ร่วมคิดด้วย (ดังคําวินิจฉัยของศาลที่ยกมา ข้างต้น) สําหรับนายเฉลียว ปทุมรส จําเลยที่ ๑ นั้น นอกจากจะไม่ได้สมรู้ร่วมคิดเช่นเดียวกับนายชิต นายบุศย์ จําเลยทั้งสองนั้นแล้ว ในเช้าวันเกิดเหตุ นายเฉลียว ปทุมรส จําเลยที่ ๑ อยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุนั้นนับสิบกิโลเมตร และลาออกจากราชการไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมนายเฉลียว ปทุมรส จึงถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตด้วย นอกเสียจากว่านายเฉลียว ปทุมรส เป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และเป็นคนจังหวัดอยุธยาเช่นเดียวกับท่านปรีดีพนมยงค์ ก็เท่านั้นเอง

ดังนั้น เมื่อนายเฉลียว ปทุมรส ถูกจับเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ พ.ต.อ. เยื้อน ประภาวัตร ผู้ไปจับกุม ได้ค้นพบบันทึกลับของ พล.ร.ต. พระยาศรยุทธเสนี ที่ระบุว่า ท่านถูกพระพินิจชนคดีบีบบังคับให้เป็นพยานเท็จ (ถ้าไม่ยอมเป็นพยานจะเอาเป็นผู้ต้องหาด้วย) ปรักปรําผู้บริสุทธิ์ พ.ต.อ. เยื้อนจึงถามคุณเฉลียวว่า ทําไมไม่หนีไปเสีย (ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์สั่งปล่อยพ้นข้อหา ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างศาลฎีกา) คุณเฉลียวตอบอย่างนักเลงอยุธยาว่า “ผมจะหนีทําไมในเมื่อผมบริสุทธิ์” และคุณเฉลียวก็ต้องตาย เพราะความบริสุทธิ์นั้นเอง

 

ปัจฉิมวาจาของสามนักโทษประหาร

หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจําเลยทั้งสามคน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้ว ต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จําเลยทั้งสามได้ทําหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจําเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

“...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘ ผู้เขียน) ท่านดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จําเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทําหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทําอะไรไม่สําเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากําลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคําถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง” (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า

“ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์”

นอกจากนี้คุณชอุ่ม ชัยสิทธิเวช ภรรยาของเรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ผู้ที่โจทก์พยายามเสกสรรปั้นแต่งพยานเท็จให้เป็นมือปืนและต้องลี้ภัยคณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ไปอยู่ต่างประเทศนั้น ก็ยังได้รับเมตตาให้เข้าทํางาน เป็นแม่บ้านของโรงเรียน ภปร. ที่นครชัยศรี

ในที่สุดวันจากไปของผู้บริสุทธิ์ทั้งสามก็มาถึง คือเช้ามืดวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ หลังจากวันเสด็จจากไปของพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของคนไทยทั้งชาติเมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๔๙๘ เป็นเวลา ๘ ปี ๘ เดือน ๘ วัน

วันนั้น พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งครองตําแหน่งอธิบดีกรมตํารวจด้วย ได้ไปเป็นประธานควบคุมการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งสามด้วยตนเองและได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งสามคนนั้นตามลำพังนัยว่าได้มีการบันทึกเสียงการพูดคุยนั้นไว้ด้วย

สําหรับคุณเฉลียว ปทุมรส นั้น ขณะเกิดเหตุปลงพระชนม์ เขาอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุนับสิบกิโลเมตร และออกจากราชการไปแล้วด้วย คําสนทนาของเขาในเรื่องนี้ก็คงเช่นเดียวกับคนอื่นที่อยู่นอกเหตุการณ์รวมทั้งท่านปรีดีด้วย คือไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย นอกจากจะยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา และเขาก็คงจะนึกถึงโคลงสี่สุภาพของศรีปราชญ์ที่จารึกไว้บนพื้นทรายก่อนถูกประหารชีวิตที่นครศรีธรรมราช ว่า

"ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง"
 

ส่วนคุณชิต คุณบุศย์นั้น เนื่องจากขณะเกิดเหตุ เขาทั้งสองนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องพระบรรทม และเป็นทางเดียวที่จะเข้าสู่ห้องพระบรรทมในเวลานั้น ดังนั้นถ้ามีผู้เข้าไปปลงพระชนม์ คุณชิต คุณบุศย์จะต้องเห็นอย่างแน่นอน

คุณฟัก ณ สงขลา ทนายความของสามจ๋าเลย เคยสอบถามคุณชิต คุณบุศย์ ว่าใครเข้าไปปลงพระชนม์ในหลวง คุณชิต คุณบุศย์ไม่ยอมพูด แต่กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ คุณชิต คุณบุศย์ จะยอมพูดความจริงก่อนตายหรือไม่ ไม่มีใครรู้

แต่เป็นที่รู้กันในภายหลังว่า พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้ทําบันทึกคําสนทนากับผู้ต้องโทษประหารชีวิตทั้งสามคนในเช้าวันนั้น เสนอจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม อ่านแล้ว แทงกลับไปว่าให้เก็บไว้ในแฟ้มลับสุดยอด

ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดําริจะรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและท่านปรีดี แต่ตามกฎหมายไทยที่ใช้อยู่ เมื่อคดีถูกพิพากษาถึงที่สุดแล้วเป็นอันยุติ ดังนั้น ถ้าจะรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็ต้องมีกฎหมายรองรับให้อํานาจ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงเตรียมการที่จะออกกฎหมายดังกล่าวนั้น และได้บอกคุณสังข์ พัธโนทัย คนสนิทผู้รับใช้ใกล้ชิดให้ทราบ เพื่อแจ้งไปให้ท่านปรีดีซึ่งขณะนั้นท่านพํานักอยู่ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ

ต่อจดหมายของคุณสังข์ พัธโนทัย ที่มีไปถึง ท่านปรีดีเล่าถึงบันทึกของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ และดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังกล่าวข้างต้น ท่านปรีดีได้มีจดหมายตอบคุณสังข์ พัธโนทัย ในเวลาต่อมา และจดหมายฉบับนี้ นายวรรณไว พัธโนทัย ลูกชายของคุณสังข์ ได้มอบให้หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ น่าไปเปิดเผยในฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่ผ่านมาดัง สําเนารายละเอียดต่อไปนี้

วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ คุณสังข์ พัธโนทัย ที่รัก

ผมได้รับจดหมายของคุณฉบับลงวันที่ ๑๒ เดือนนี้กับหนังสือ ความนึกในกรงขัง แล้วด้วยความรู้สึกขอบคุณมากในไมตรีจิตและความเป็นธรรมที่คุณมีต่อผม

ผมมีความยินดีมากที่ได้ทราบจากคํายืนยันของคุณว่า ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม มิได้เป็นศัตรูของผมเลย ท่านมีความรําลึกถึงความหลังอยู่เสมอ และอยากจะเห็นผมกลับประเทศทุกเมื่อ แม้ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะเปนดังที่คุณกล่าวว่าเหตุการณ์ไม่ช่วยเราเสมอไปและจําเป็นต้องใช้ความอดทนอยู่มากก็ตาม แต่ผมก็มีความหวังว่าโดยความช่วยเหลือของคุณผู้ซึ่งมีใจเป็นธรรมและมีอุดมคติที่จะรับใช้ชาติและราษฎรอย่างบริสุทธิ์ผมคงจะมีโอกาสทําความเข้าใจกับท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถึงเจตนาดีของผมในส่วนที่เกี่ยวแก่ชาติและราษฎรที่เราทั้งหลายจะต้องร่วมมือกันท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการงานของเพื่อความเปนเอกราชสมบูรณ์ของชาติ ผมจึงมีความปรารถนาเปนอย่างมากที่จะได้มีโอกาสพบกับคุณในเวลาไม่ช้านัก เพื่อปรึกษาหารือกับคุณถึงเรื่องนี้และเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงอีกหลายประการซึ่งบางทีคุณอาจต้องการทราบ

ผมเห็นว่าคุณได้บําเพ็ญบุญกุศลอย่างแรง ในการที่คุณได้แจ้งให้ผมทราบถึงบันทึกที่คุณเผ่า ได้สอบถามปากคําคุณเฉลียว ชิต บุศย์ ก่อน ถูกยิงเป้า ที่ยืนยันว่าผู้บริสุทธิ์ทั้งสามรวมทั้งตัวผมมิได้มีส่วนพัวพันในกรณีสวรรคต ดังนั้นนอกจากผมขอแสดงความขอบคุณเป็นอย่างยิ่งมายังคุณ ผมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขออํานาจคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้คุณมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปและประสบทุกสิ่งที่คุณปรารถนาทุกประการ

ผมขอส่งความรักและนับถือมายังคุณ

ปรีดี พนมยงค์

แต่ความดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องล้มเหลว เมื่อข่าวจะออกกฎหมายให้รื้อฟื้นคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้นําขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ (ถ้าหากโจทก์หรือจำเลยมีเอกสารหลักฐานที่เพิ่งค้นพบใหม่) ได้แพร่ออกไปถึงบุคคลบางจําพวก และคนพวกนั้นได้สนับสนุนจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทํารัฐประหารโค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนคณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ทํารัฐประหารล้มรัฐบาลหลวงธําารงฯ (ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน คือกลัวว่ามือปืนตัวจริงจะถูกเปิดเผย)

ท่านปรีดีได้พูดถึงเรื่องนี้เมื่อหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ โดยคุณวีระ โอสถานนท์ ได้ไปสัมภาษณ์ท่านขณะที่พํานักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส มีความตอนหนึ่ง ดังนี้

คุณวีระ โอสถานนท์ ถามว่า

มีผู้พูดกันว่า จอมพล ป. และ พล.ต.อ. เผ่า ได้หลักฐานกรณีสวรรคตใหม่นั้น ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่าอะไร

นายปรีดี พนมยงค์ ตอบว่า

“แม้ศาลฎีกาซึ่งมีผู้พิพากษาคณะเดียว โดยมิได้มีการประชุมใหญ่ของผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน ไปแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งตัวแทนไปพบผมในประเทศจีน (หลังจากที่คุณสังข์ได้รับจดหมายขอบคุณจากท่านปรีดีแล้ว) แจ้งว่า ได้หลักฐานใหม่ที่แสดงว่าผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและผมเป็นผู้บริสุทธิ์

“ฉะนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงจะเสนอ สภาผู้แทนราษฎรให้ออกกฎหมายให้มีการพิจารณาคดีใหม่ด้วยความเป็นธรรม

“ครั้นแล้วก็มีผู้ยุยงให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพวกทํารัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม

“ในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงครามไปลี้ภัยอยู่ใน ส.ร.อ. ชั่วคราว ก็ได้กล่าวต่อหน้าคนไทยไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานที่จอมพลป. พิบูลสงคราม กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้มานั้น

“อีกทั้งในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ย้ายจาก ส.ร.อ. มาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นก็ได้แจ้งแก่บุคคลไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานใหม่นั้น พร้อมทั้งมีจดหมายถึงผมสองฉบับ ขอให้ผมอโหสิกรรมแก่การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทําผิดพลาดไปในหลายกรณี

“ผมได้ถือคติของพระพุทธองค์ว่า เมื่อมีผู้รู้สึกคนผิดพลาดได้ขออโหสิกรรม ผมก็ได้อโหสิกรรมและขออนุโมทนาในการที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ไปอุปสมบทที่วัดพุทธคยา

ท่านปรีดีกล่าวให้สัมภาษณ์ในที่สุดว่า

“พวกฝรั่งก็สนใจกันมาก เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ ความจริงอาจปรากฏขึ้น แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม

“ทุกวันนี้ก็มีคนพูดซุบซิบกัน ถึงกับนักเรียนหลายคนถามผม ผมก็ขอตัวว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ในขณะนี้ จึงขอฝากอนุชนรุ่นหลังและประวัติศาสตร์ตอบแทนด้วย

 

หมายเหตุ :

  • อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

อ้างอิง :

  • สุพจน์ ด่านตระกูล,ปรีดี พนมยงค์ กับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต, คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกงานฉลอง 100 ปีรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์, 2543), หน้า 206-233.