Focus
- บทความนี้นำเสนอประวัติศาสตร์การจัดตั้ง “โรงพยาบาลสวนสราญรมย์” โรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกในภูมิภาค ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากนโยบายของนายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยช่วง พ.ศ. 2477–2478 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการย้ายผู้ป่วยทางจิตออกจากเรือนจำสู่พื้นที่การรักษาอันมีศักดิ์ศรี ผ่านโครงข่ายของรัฐสมัยใหม่ บทความยังกล่าวถึงปฏิกิริยาของบุคลากรในพื้นที่ โดยเฉพาะ “นายบุญเกริก เก็บบุญเกิด” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เขียนบทลำตัดสะท้อนความตื่นตัวต่อรัฐนิยมในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งหมดนี้สะท้อนพลวัตของการก่อรูปนโยบายสาธารณสุข ท้องถิ่น และอุดมการณ์การเมืองหลัง 2475 ที่ผสานระหว่างความเป็นสมัยใหม่กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองภาคประชาชน
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้ว ต่อมากระทรวงมหาดไทยยุครัฐบาลคณะราษฎรมีแนวความคิดที่จะสร้างโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคทางจิตเวชหรือ ‘โรงพยาบาลโรคจิต’ ในพื้นที่ส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งเดิมทีมีโรงพยาบาลลักษณะเช่นนี้ที่กรุงเทพมหานคร และถือเป็นโรงพยาบาลโรคจิตแห่งแรกของเมืองไทย โดยก่อเกิดขึ้นและเปิดเป็นทางการปลายปี พ.ศ. 2432 ในสมัยรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งอยู่บริเวณปากคลองสาน ฝั่งธนบุรี
ครั้น นายปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2477 จึงมีดำริที่จะสร้างโรงพยาบาลจิตเวชในต่างจังหวัดเพื่อให้เป็นที่พำนักพักพิงของผู้ป่วยโรคนี้ เนื่องจากเดิมที พวกเขาต้องถูกส่งตัวไปฝากกักบริเวณไว้ในเรือนจำ ดังที่ นายปรีดี ได้กล่าวสุนทรพจน์ทางวิทยุกระจายเสียงเนื่องในวาระวันฉลองรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2478 (นายปรีดี ให้ความสำคัญกับวันที่ 27 มิถุนายนในฐานะวันรัฐธรรมนูญจริงๆเสียมากกว่าวันยึดอำนาจคือ 24 มิถุนายน จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะเลือกสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองวันที่ 27 มิถุนายน)
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เกริ่นถ้อยสุนทรพจน์ว่า
“ท่านผู้ฟังทั้งหลาย
วันคืนก็ได้ล่วงมาบรรจบครบรอบปีที่ ๓ ณ วันนี้ที่ ๒๗ มิถุนายน อันเป็นวันมหามงคลสมัยที่ชาติไทยได้เข้าสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ ในระหว่าง ๑ ปีนับแต่วันที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาแสดงถึงเรื่องสองปีที่ล่วงมาแล้ว รัฐบาลก็ได้พยายามที่จะผดุงประเทศชาติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นตลอดมา
อันชีวิตของชาติจะเจริญด้วยความมั่นคงสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ แห่งชาติ ความสามัคคีเป็นสิ่งที่จะทำให้ชาติมีกำลังเข้มแข็งเข้าสู่ความเจริญอย่างไรนั้น ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้แสดงมาแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ และชาติเราจะต้องฝ่าอุปสรรคอันมีอยู่ประการใดบ้างนั้น เมื่อคืนวันที่ ๒๖ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ได้แสดงให้ท่านทราบแล้วว่า นอกจากขาดกำลังทรัพย์ ประเทศเรายังขาดกำลังคน คือขาดผู้รู้ผู้ชำนาญในวิทยาการ สยามที่ได้เข้าสู่ระบอบรัฐธรรมนูญนั้น มิใช่จะตั้งต้นใหม่แต่ในระบอบการปกครอง สยามจำต้องเพาะคนขึ้นใหม่ จำต้องเพาะผู้รู้ผู้ชำนาญเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมอวัยวะของชาติให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ภาษิตของชาวตะวันตกบทหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้อ้างถึงเมื่อปีกลายนี้ว่า กรุงโรมมิได้สร้างสำเร็จลงในวันเดียวนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขออ้างซ้ำอีก สำหรับประเทศสยาม ประเทศอันเป็นที่รักของเรา ณ บัดนี้ ผลแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรอบขวบปีนี้มีประการใดนั้น ข้าพเจ้าขอชี้แจงแก่ท่านโดยสังเขป ในส่วนที่เกี่ยวแก่หลักการทั่วไปตามแนวหลัก ๖ ประการ และบรรยายหนักไปในหน้าที่กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะดังต่อไปนี้”
แล้วจึงทยอยแจกแจงรายละเอียดของหลักแต่ละประการตามลำดับ โดยรายงานแผนการจะสร้างโรงพยาบาลโรคจิตในเนื้อหาส่วนการปกครองเรื่องสาธารณสุขและการแพทย์ว่า
“...ในเรื่องการสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งจะทำให้ราษฎรมีอนามัยสมบูรณ์ ก็ได้อาศัยกำลังเงินจากรัฐบาลบ้าง จากสลากกินแบ่งบ้าง จากท่านที่มีจิตศรัทธาบริจาคบ้าง จากกำลังแรงของผู้เสียสละบ้าง สถานพยาบาลก็ได้สร้างขึ้นหลายแห่งเป็นสุขศาลาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ จังหวัดธนบุรี ซึ่งท่านผู้เป็นเจ้าของทางสุขศาลานั้นได้บริจาคทรัพย์ให้ จังหวัดสิงห์บุรีก็ได้จัดสร้างสุขศาลาขึ้นโดยเงินของสุขาภิบาลและเงินเรี่ยไร จังหวัดอุดรธานีได้สร้างเรือนคนไข้เพิ่มเติมในบริเวณสุขศาลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังกำลังก่อสร้างโรงพยาบาลขึ้นใหม่หลายแห่ง เช่นโรงพยาบาลกลางจังหวัดพระนคร โรงพยาบาลหนองคาย โรงพยาบาลอุบลราชธานี ส่วนที่จังหวัดนครพนมจะลงมือในไม่ช้า จังหวัดแพร่จะดำเนินการให้มีสุขศาลา และอนาถาพยาบาลพระประแดง ก็จะได้สร้างเรือนคนไข้วัณโรคหญิงเพิ่มเติมอีก ส่วนราษฎรในฝั่งแม่น้ำโขงก็จะได้รับความสะดวกในการรักษาพยาบาล โดยรัฐบาลได้ลงมือสร้างเรือยนต์พยาบาลประจำแม่น้ำโขงไว้ให้แล้ว เรือนี้จะแล่นไปมาในลำแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดเลย หนองคาย นครพนมและลำน้ำก่ำเขตจังหวัดสกลนครด้วย นอกจากนี้แห่งใดที่จะสร้างโรงพยาบาลหรือสุขศาลายังไม่ได้ ก็ได้เปิดให้สถานทำการบำบัดโรคขึ้น ณ ที่พักแพทย์ เช่นที่อำเภอบ้านเซ่า จังหวัดลพบุรี และอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
ฝ่ายบุคคลที่เป็นโรคจิต ซึ่งที่ที่แล้วมาในต่างจังหวัดได้ฝากไว้ยังเรือนจำนั้น ต่อไปจะได้เริ่มจัดให้ไปอยู่ ณ โรงพยาบาลโรคจิต ซึ่งจะสร้างขึ้นสำหรับภาคใต้ ๑ แห่ง ภาคเหนือ ๑ แห่ง
ปัญหาสำคัญเรื่องผู้รักษาพยาบาลนั้น ก็ได้พยายามอบรมให้มีผู้ช่วยแพทย์ขึ้นสำหรับภาคอิสาน ๓๐ คนแล้ว และในปีนี้ก็ได้เปิดการอบรมขึ้นที่เชียงใหม่อีก ๒๐ คน ในส่วนกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ก็ได้ประกาศไปแล้ว ๒ ฉบับ คือพระราชบัญญัติการสาธารณสุข และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ นอกจากนี้คณะกรรมการสาธารณสุขและการแพทย์ที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้น คือได้ช่วยเหลือวางโครงการในการสาธารณสุขและการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้น...”
โรงพยาบาลโรคจิตเพื่อรักษาผู้ป่วยแห่งที่จะสร้างขึ้นสำหรับภาคใต้ ก็คือ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บนควนท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนแห่งที่สร้างขึ้นสำหรับภาคเหนือ ก็คือ โรงพยาบาลสวนปรุง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงปลายทศวรรษ 2470 นั้น กระทรวงมหาดไทยยังควบคุมดูแลด้านการแพทย์ โดยเป็นภาระหน้าที่ของกรมสาธารณสุข กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2485 จึงได้สถาปนากรมสาธารณสุขขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุข นั่นหมายความว่า ตอน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยช่วงพุทธศักราช 2477-2478 กรมสาธารณสุขและกิจการงานด้านการแพทย์ย่อมอยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้ากระทรวงนี้
เมื่อรัฐมนตรีมีปณิธานแม่นมั่นที่จะสร้างโรงพยาบาลจิตเวชในต่างจังหวัด โดยจะเริ่มต้นจากในพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศนั้น คณะเจ้าหน้าที่กรมสาธารณสุขแห่งกระทรวงมหาดไทยจึงออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครมาสำรวจและเสาะหาพื้นที่เหมาะสมเพื่อก่อสร้างตึกอาคารโรงพยาบาลดังกล่าว นายแพทย์แสง สุทธิพงศ์ หรือที่มีบรรดาศักดิ์เดิมคือ พระชาญวิธีเวช แพทย์ประกาศนียบัตรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและปริญญาสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะเจ้าหน้าที่สำรวจ ได้บันทึกความทรงจำไว้ตอนหนึ่งว่า
“นับแต่พุทธศักราช 2478 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรับคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยให้มาพิจารณาหาที่ดินสำหรับสร้างโรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้ ข้าพเจ้าได้ตรวจพิจารณาหาที่ดินตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงมาทางใต้จนถึงจังหวัดปัตตานี ได้เปรียบเทียบความสำคัญในอันที่จะได้ที่ดินอันเหมาะสมหลายแห่ง ในที่สุดด้วยการชี้แจงแนะนำของเพื่อนข้าราชการหลายท่าน ตลอดจนท่านเจ้าคุณธรรมปรีชาอุดม อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนายแพทย์สกนธ์ โสภโณ ได้ให้ข้าพเจ้าไปสำรวจดูที่ดินบนควนท่าข้าม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระราชทานชื่อควนนี้ว่า “สวนสราญรมย์” เมื่อเดินสำรวจจนทั่ว ข้าพเจ้าก็ได้ตัดสินใจรายงานผู้บังคับบัญชาว่า ที่ดินตรงนี้ดี และเหมาะสมกว่าที่อื่น”

นายแพทย์แสง สุทธิพงศ์ หรือพระชาญวิธีเวช
ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกในต่างจังหวัด หรือโรคพยาบาลโรคจิตประจำภาคใต้ จึงถูกสร้างขึ้นบนเนื้อที่อาณาบริเวณกว้างขวางประมาณ 412 ไร่กว่าๆของควนท่าข้าม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปี พ.ศ. 2479
ต่อมาช่วงกลางปี พ.ศ. 2479 แม้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม จะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทน แต่เมื่อต้องมาปฏิบัติราชการในภาคใต้ ก็ยังคงแวะมาเยี่ยมชมการก่อสร้างโรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้ด้วย ดังในเดือนมิถุนายนปีนั้น นายปรีดี และ พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ พร้อมคณะผู้ติดตามได้ออกเดินทางไปตรวจราชการและเยี่ยมเยือนหลายจังหวัดทางภาคใต้ ได้แก่ สงขลา, สตูล, พัทลุง, ตรัง, สุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยเดินทางจากตรังมาถึงยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีตอนบ่ายวันอังคารที่ 16 มิถุนายน พอเวลา 15.20 น. ได้ไปเยี่ยมศาลากลางจังหวัดและศาลจังหวัด ในอำเภอบ้านดอน (ปัจจุบันคืออำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี) เข้าพักผ่อน ณ สโมสรสุราษฎร์ธานี ประมาณ 19.00 น. คณะราชการ คณะกรรมการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมผู้แทนราษฎรประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เลี้ยงอาหารต้อนรับ
วันพุธที่ 17 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 7.00 น. คณะของสองรัฐมนตรีตระเวนดูสถานีตำรวจภูธร, เรือนจำ, สุขศาลา, ศาลาเทศบาล, ที่ทำการไปรษณีย์, โรงเรียนประจำจังหวัด (ปัจจุบันคือโรงเรียนสุราษฎร์ธานี ซึ่งผมเองก็เป็นศิษย์เก่าคนหนึ่ง) ตลาด และชมกิจการโรงเลื่อยไม้บริษัทอีสต์ เอเชียติก (East Asiatic Company) รวมทั้งออกจากตัวเมืองบ้านดอนไปยังควนท่าข้าม ในเขตท่าข้าม (ทุกวันนี้คืออำเภอพุนพิน แต่ชาวบ้านยังเรียกติดปากเนืองๆ ว่า “ท่าข้าม”) บริเวณสถานก่อสร้างโรงพยาบาลโรคจิตประจำภาคใต้ตามที่นายแพทย์แสง สุทธิพงศ์เลือกไว้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความดำริและนโยบายของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเมื่อครั้งยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
โรคพยาบาลโรคจิตบนควนท่าข้ามก่อสร้างเสร็จสิ้นและเปิดรักษาคนไข้จิตเวชเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2480 (ถ้านับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 20 มีนาคม พ.ศ. 2481) นับเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งที่สองของประเทศไทย และได้รับชื่อว่า “โรงพยาบาลสวนสราญรมย์”

อาคารโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ยุคแรกเริ่ม

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์

พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ)
หลังจากโรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้เปิดบริการมาได้ราวสองปี ก็กลายเป็นแหล่งชุมชนที่รวมของทั้งผู้ป่วยและคนอื่นๆที่ทำงานในสถานพยาบาล ยิ่งในช่วงที่ หลวงพิบูลสงคราม ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2481 รัฐบาลได้ประกาศรัฐนิยมเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติทางวัฒนธรรมของราษฎรชาวไทย ทั้งยังส่งเสริมให้ประชาชนหรือหน่วยงานแต่ละแห่งของรัฐร่วมทำกิจกรรมต่างๆ เฉกเช่น การปลูกผักสวนครัวไว้ใช้รับประทานเอง การใช้ของที่คนไทยทำ ไม่ใช้ของต่างชาติ และการเลี้ยงไก่เพื่อจะมีไข่ไก่ไว้บริโภค เป็นต้น โรงพยาบาลบนควนท่าข้ามก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ยินดีปฏิบัติตามรัฐนิยม โดยเฉพาะการที่บุคลากรภายในสถานพยาบาลได้พากันปลูกผักสวนครัวเองเพื่อใช้ในการประกอบอาหารด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น บุคลากรรายหนึ่งในโรงพยาบาลสวนสราญรมย์อย่าง นายบุญเกริก เก็บบุญเกิด ยังมีความตื่นตัวต่อนโยบายและแนวทางที่รัฐบาลกำหนด กระทั่งเขาได้แต่งบทลำตัดส่งไปยังทางรัฐบาลด้วย ดังที่ นายบุญเกริก เขียนจดหมายลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 (ถ้านับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2483) ถึงคณะกรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์แห่งกระทรวงมหาดไทย ความว่า
ร.พ.โรคจิตต์ภาคใต้สุราษฎร์ธานี
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒
เรียน ท่านประธานกรรมการ และคณะกรรมการสวนครัว
ข้าพเจ้าได้ส่งบทลำตัดว่าด้วยรัฐนิยมมาพร้อมหนังสือนี้ ๓ เรื่อง หวังว่าท่านจะได้พิจารณาหาสาระประโยชน์ในเนื้อหาของลำร้องนั้น และจัดส่งไปเพื่อโฆษณาและกระจายเสียงทางวิทยุ เป็นการเผยแพร่อีกต่อหนึ่ง.
เท่าที่ข้าพเจ้าได้จัดทำเพลงและเสนอมานี้ หาหวังประโยชน์ส่วนตัวเป็นการอาชีพดังนักลำตัด นักร้องอื่นๆ มิได้ การกระทำทั้งหลายแหล่เกิดจากความเลื่อมศัยในแง่คิดโครงการณ์ของท่านนายกและผู้ก่อการสวนครัวและวางหลักรัฐนิยมอันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่ง ทั้งกอร์บด้วยเหตุแวดล้อมซึ่งได้แก่ตัวข้าพเจ้าซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่นี้ กันดาน จะหาน้ำใช้น้ำกินก็แทบไม่มีเพราะเป็นยอดเขา แต่ก็ด้วยจิตต์เลื่อมศัยแลเห็นประโยชน์ในโครงการณ์สวนครัว ได้จัดการปลูกพริกมะเขือข่าตะใคร้ไว้โดยอาศรัยเจียดน้ำอาบที่ทางการสูบมาใช้อย่างประหยัดที่สุดนั้นมารดอย่างยิ่ง ได้ปรากฏผลทันตาอันเป็นการตอบแทนในความมานะ คือ ได้ใช้ ผัก พริก มะเขือ ข่า ตะใคร้ อยู่เสมอ ซึ่งบางที ในตลาดท่าข้ามจะหาพริกขี้หนูตำน้ำพริกสักครกก็ไม่มี แต่ของกระผมและในบริเวณ ร.พ. มีไม่อด ดังเรื่องที่กล่าวมานี้
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ครุ่นคิดและปล้ำตัว ที่บอกกล่าวผลอันเกิดแต่การกระทำนี้ เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชนได้ฝักไฝ่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยแท้ จึงหวังว่าคงได้อภัยและทราบซึ้งถึงความมุ่งหมายของข้าพเจ้า ซึ่งหาใช่นักลำตัดนักกลอนไม่
ขอแสดงความเคารพอย่างสูง
บุญเกริก เก็บบุญเกิด
ป.ล. ถ้ากระผมอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตั้งใจจะไปร้องบรรยายทางวิทยุคงสะดวก แต่เมื่ออยู่ต่างจังหวัดเช่นนี้ คงไปไม่ได้แน่? ฉะนั้น ถ้าจะส่งเพียงบทลำให้นักร้องลำตัดไปบรรยายก็คงได้.
บุญ.
สำหรับบทลำตัดทั้งสามเรื่องของ นายบุญเกริก นั้น ได้แก่ ไก่ไทยไก่ทอง, ใช้ของไทยทำ และ สวนครัว ดังจะยกมาแสดงสู่สายตาคุณผู้อ่านต่อไปนี้
ไก่ไทยไก่ทอง
สีนวล น๊อยหน่อย นอยหน่อยนอย.......................................
รับเป็นท่อนๆ กับเพื่อร้อง เมื่อจบท่อนหนึ่ง
- ไก่ไทยของเราแก่เก่าก่อน ต้องโผพรากจากคอนเกือบจะร่อนลืมรัง หากแต่รัฐบาลได้คิดอ่านประทัง จึงไม่ลับกลับวัง ได้ขึ้นบัลลังค์ขันคูรับ สีนวลท่อนหนึ่ง ขัดลำมะนาเป็นทำนอง
- เลี้ยงง่ายกินง่าย โอ้แม่ไก่ไทย เราควรเลี้ยงไว้ ลองดู อย่าหลงไก่อื่น ควรหันมาฟื้นมาฟู ลองเลี้ยงไก่ไทย คงได้เรียนรู้ ทั้งตะเกาไก่อู ประโยชน์มีอยู่อเนกนันต์รับ ๒-๑
- ข้อพิสูจน์เบ็จเสร็จ ได้รับถ้วยผู้สำเร็จราชการ ( ๆ เที่ยว) พวกแม่ไก่ไทย พากันหัวใจขึ้นบาล ต่างโก่งคอร้อง ต่างป้องปากขัน แสนเกษมสำราญได้เข้าร่วมงานชูชาติไทยๆ.
ใช้ของไทยทำ
ชื่นใจดอกอ้อช่อจงกล ถ้าได้อย่างนี้ทุกคน (นี่) ผมไม่บ่นเลยสักคำร้องกระทุ้งหนัก ๆ ๒ ครั้ง
๑.สิบนิ้วประนมไหว้พระสวมเทวา ๆ (ทวน) อีกท่านที่ทัศนามาฟังผมว่ากลอนลำ
๒. ท่านพี่น้องชาวไทยโปรดตั้งใจฟังข้า ฯ ท่านนายกบัญชาให้ใช้ของไทยทำ
๓. ท่านนายกหมกมั่นก็หวังจะจุนคนไทย ตั้งรัฐนิยมเร็วไวให้ใช้ของไทยทำ
๔. ทั้งเครื่องบริโภคอุปโภคเสื้อผ้า แม้ท่านจะซื้อจะหาจงเลือกแต่ของไทยทำ
๕. เมื่อเราเลี้ยงตัวเองได้แล้วมันย่อมแคล้วน้อยหน้า จะต้องเทียมไหล่เทียมบ่าทั้งผิวขาวผิวดำ
๖. ท่านอย่าหลงใช้ของนอกที่เขาหลอกเอามาขาย จงเลือกซื้อเลือกใช้ฉะเพาะแต่ของไทยทำ
๗. ถ้าแม้ใครฝ่าฝืนขืนใช้แต่ของเทศ ต้องรวมกันเตะให้เสด็จระเห็จหัวก็คมำ อภินันทนาการ แด่ท่านประมุขผู้เริ่มรัฐนิยม และ แด่คณะกรรมการสวนครัว
สวนครัว
ลูกรับ. ขุดดินพรวนดิน ปลูกเข้าโพดสาลี (อาลาว้า) อีกทั้งตะใคร้พริกมะเขือ หากท่านกินเหลือยังเอาไปขายได้ปี้
๑. สิบนิ้วประนมบังคมก้มไหว้ ท่านพ่อแม่ทั้งหลายที่ได้มาฟังคืนนี้ ถ้าผิดบ้างพลั้งนิดโปรดได้คิดอภัย เพราะเป็นลำตัดหัดใหม่ยังไม่ชำนาญเวที เป๊กพ่อ.
๒. ท่านนายกบอกผมปลูกรัฐนิยมสวนครัว ให้ประชาชนไทยทั่วทำส่วนครัวเร็วรี่ เพื่อบำรุงฐานะของประชาชาติไทย ให้เจริญก้าวไป...ได้เทียมไหล่ไพรรี (หนักๆ) เป๊กพอ
๓. โอ้ท่านพี่น้องชาวไทยอย่าปล่อยเวลาให้ไหลรั่ว หันมาทำสวนครัวเลี้ยงเป็ดไก่ดูสักที ช่วยกันปลูกพริกปลูกมะเขือเมื่อกินเหลือยังได้ขาย มันเป็นการบำรุงไทย........ อีกทั้งกระเพาะบังยี ( เป๊กพ่อ)
๔. ช่วยกันเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูลองดูกันบ้าง ตัวมันขายได้สตางค์ไข่ยังกินอร่อยดี ถ้าท่านไม่ช่วยตัวเองจะนอนเขรงอยู่ทำไม ? อย่าเกิดมาเป็นไทย....... ไปลงอเวจี
๕. ถ้าปล่อยปละละเลยนิ่งเฉยไม่ปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติบ่งชัดถ้วนถี่ ด้วยมาณะโฉดเขลาอีกทั้งความเบาปัญญา อาจถูกปรับตามมาตรา.......ต้องโสกาเสียปี้
หมายเหตุ
ว่าทำนองช้าๆยาน ๆ เหมือนแม่จรูญหรือนายสะโอด ที่ตอนจุด.......เอื้อนเอ้อเออเออเฮ้อเอ่อ เฮอะเอิ้ง......เงย ได้เทียมไหล่ไพรี
ขอประทานอภัยด้วยแนะ ความจริงส่งให้นักร้องลำตัดต้องว่าได้ดี และอาจดีกว่าข้าพเจ้า ฯลฯ (ถ้ามีการซักบางตอนจะทำให้คมขำและมีสาระขึ้นอีก)
ครั้นทางคณะกรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์แห่งกระทรวงมหาดไทยได้รับจดหมายและบทลำตัดของ นายบุญเกริก แล้ว ก็ส่งไปให้ทางกรมโฆษณาการพิจารณาดูว่า ทั้งเนื้อหาและสำนวนภาษามีความเหมาะสมและสามารถจะนำออกเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงได้หรือไม่ ต่อมาทางกรมโฆษณาการได้ส่งหนังสือตอบกลับลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2482 (ถ้านับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 20 มีนาคม พ.ศ. 2483) โดย หลวงตัณฑโกไศยสุนทร (เวก ตัณฑโกไศย) หัวหน้ากองทะเบียนวิทยุและกระจายเสียงลงนามแทนอธิบดีกรมโฆษณาการ ซึ่งขณะนั้นคือ วิลาศ โอสถานนท์ มีความว่า
เรื่อง บทประพันธ์ลำตัดว่าด้วยการทำสวนครัวและเลี้ยงสัตว์
จาก อธิบดีกรมโฆษณาการ
ถึง ประธานคณะกรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์
ตามหนังสือที่ ๒๘๐๔๑/๒๔๘๒ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ศกนี้ นำส่งบทประทันธ์สำหรับใช้กับการขับร้องลำตัดของนายเกริก เก็บบุญเกิด ซึ่งประพันธ์ขึ้นเกี่ยวด้วยเรื่องการทำสวนครัวและเลี้ยงสัตว์มาให้กรมโฆษณาการ เพื่อใช้ส่งกระจายเสียงนั้น ได้รับแล้วด้วยความขอบคุณยิ่ง ผู้เขียนก็ได้มีเจตนาดีมาก ทั้งทางคณะกรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ก็ได้ไห้ความร่วมมือเป็นอันดี แต่เมื่อได้ พิจารณาข้อความและถ้อยคำในบทประพันธ์นั้นแล้ว เห็นว่า ข้อความสั้นมากไป ไม่พอเหมาะกับเวลาที่ทางการกระจายเสียงกำหนดไว้ และบางตอนมีถ้อยคำยังไม่เหมาะสม โดยใช้คำรุนแรงมาก ฉะนั้น เห็นว่า น่าจะระงับไว้ก่อน และถ้าทางคณะกรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์จะกรุณาตอบรับและชี้แจงเหตุผลไปไห้ทราบ ก็จะเป็นการสมควรยิ่ง.
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
หลวงตัณฑโกไศยสุนทร
หัวหน้ากองทะเบียนวิทยุและกระจายเสียง
ลงนามแทน
เหตุผลหนึ่งของกรมโฆษณาการที่เห็นว่าบทลำตัดซึ่งประพันธ์โดย นายบุญเกริก แห่งโรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้ ยังไม่สมควรจะได้รับการเผยแพร่ทางทางวิทยุกระจายเสียง ก็เพราะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงมากไป โดยเฉพาะมีตอนหนึ่งในบทลำตัดชื่อ “ใช้ของไทยทำ” ที่กรมโฆษณาการมองว่าเกรงจะรุนแรง คือ
๖. ท่านอย่าหลงใช้ของนอกที่เขาหลอกเอามาขายจงเลือกซื้อเลือกใช้ฉะเพาะแต่ของไทยทำ
๗. ถ้าแม้ใครฝ่าฝืนขืนใช้แต่ของเทศต้องรวมกันเตะให้เสด็จระเห็จหัวก็คมำ
อย่างไรก็ดี การที่ นายบุญเกริก ส่งบทลำตัดไปยังกระทรวงมหาดไทยย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของประชาชนต่อรัฐนิยมของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม มิเว้นกระทั่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้
ความสำคัญของแนวคิดเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชนั้น มีความสอดคล้องกับการที่ในช่วงศตวรรษที่ 20 ความบ้าหรือวิกลจริตได้ถูกนิยามให้เป็นอาการของความเจ็บไข้ได้ป่วยถือเป็นโรคทางจิต คนบ้าจึงควรถูกนำตัวไปรักษาในโรงพยาบาล แตกต่างจากยุคโบราณที่คนบ้าอาจถูกนำตัวไปลงเรือปล่อยลอยลำสู่ท้องทะเล หรือยุคก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 ที่คนบ้าอาจถูกจับกุมไปคุมขังไว้ในคุกร่วมกับคนจรจัดและอาชญากร รวมถึงคนบ้าจะต้องโดนลงโทษ กระนั้น บทบาทของโรงพยาบาลจิตเวชหาใช่แค่บำบัดความวิกลจริต แต่ยังพยายามชำระคนบ้าให้กลับมามีศีลธรรมอันบริสุทธิ์ด้วย
แนวคิดเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชอันเป็นแนวคิดแบบโลกตะวันตกเข้ามาสู่สังคมไทยตามกระแสภาวะศิวิไลซ์ช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โรงพยาบาลโรคจิตแห่งแรกที่ปากคลองสานจึงถือกำเนิดขึ้นช่วงต้นทศวรรษ 2430 กระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 2470 ในยุคระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐบาลคณะราษฎร เมืองไทยจึงมีโรงพยาบาลโรคจิตในต่างจังหวัดขึ้นครั้งแรก โดยเริ่มต้นสร้างขึ้นที่สุราษฎร์ธานี จังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งความคิดนี้ปรากฏในช่วงที่ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงอาจนับได้ว่าโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ หรือ โรงพยาบาลโรคจิตภาคใต้ ซึ่งนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของ นายปรีดี พนมยงค์
เอกสารอ้างอิง:
- หจช. มท. 5.10/31 รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเกษตราธิการไปตรวจราชการที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี (พ.ศ. 2479)
- หจช มท5.3.5/45 บทประพันธ์ลำตัด ว่าด้วยการทำสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ ของนายเกริก เก็บบุญเกิด (พ.ศ. 2482)
- กระทรวงสาธารณสุข. กระทรวงสาธารณสุข 2540 10 มีนาคม 2540 ครบรอบ 55 ปี การสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2540.
- “สุนทรพจน์ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อคืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๘.” ใน สุนทรพจน์ ๑.นายกรัฐมนตรี ๒.เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๓.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๔.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ๒๐ มกราคม ๒๔๗๘ ส.ฆ.ก.. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยพานิช, 2478. หน้า 16-28
- “สุนทรพจน์ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทางวิทยุกระจายเสียงเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2478” ใน ชุมนุมปาฐกถาของคนสำคัญ. ส. คนปรีชา (รวบรวม). พระนคร: สุวรรณบรรพต, 2504
- อนุสรณ์กระทรวงสาธารณสุขครบ ๑๕ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๕๐๐. พระนคร : กระทรวงสาธารณสุข, 2500
- อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายแพทย์ แสง สุทธิพงศ์ (พระชาญวิธีเวช) ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 28 ธันวาคม 2512. พระนคร: บริษัทบพิธ (แผนกการพิมพ์), 2512
- อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ ป.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 25 พฤษภาคม 2510. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2510
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “ล่องใต้ไปกับสองรัฐมนตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และพระยาฤทธิอัคเนย์.” สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute (4พฤษภาคม 2564)
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “สุนทรพจน์ของปรีดี พนมยงค์ ในวันฉลองรัฐธรรมนูญ 2478.” สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute (21ธันวาคม2563)
- Foucault, Michel. Madness and Civilization: A History of Insanity in the Age of Reason. Translated by Richard Howard. London: Routledge, 1967
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ
- โรงพยาบาลสวนสราญรมย์
- ปรีดี พนมยงค์
- โรงพยาบาลโรคจิต
- คณะราษฎร
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- รัฐนิยม
- ลำตัด
- สาธารณสุข
- กระทรวงมหาดไทย
- การแพทย์สมัยใหม่
- บุญเกริก เก็บบุญเกิด
- แสง สุทธิพงศ์
- สกนธ์ โสภโณ
- พระชาญวิธีเวช
- เจ้าคุณธรรมปรีชาอุดม
- หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
- พระยาฤทธิอัคเนย์
- หลวงพิบูลสงคราม
- วิลาศ โอสถานนท์
- หลวงตัณฑโกไศยสุนทร
- เวก ตัณฑโกไศย
- มิเชล ฟูโกต์ Michel Foucault
- โรคจิตเภท