27 มิถุนายนของทุกปีถือเป็นวาระครบรอบวันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนักศึกษา คณาจารย์ และศิษย์เก่าจะมารวมตัวกันเพื่อประกอบกิจกรรมระลึกถึงความสำคัญของวันนี้มาตราบจนปัจจุบัน หากเป็นช่วงปลายทศวรรษ 2510 ที่ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังคงมีชีวิตอยู่ ประกอบกับภายหลังหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งนิสิตนักศึกษาและประชาชนได้ลุกฮือเรียกร้องประชาธิปไตยจนสามารถโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้สำเร็จ ส่งผลให้ นายปรีดี สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่าง ๆ ทางเมืองไทยสะดวกขึ้นกว่าเดิม ในวันที่ 27 มิถุนายน ชาวธรรมศาสตร์จึงมีโอกาสได้ฟังคำกล่าวปราศรัยของท่านผู้ประศาสน์การที่ส่งทางไกลมาจากประเทศฝรั่งเศสด้วย
ย้อนไปในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2519 เริ่มปรากฏข่าวเซ็งแซ่ว่า นายปรีดี กำลังจะเดินทางหวนกลับคืนยังมาเมืองไทย หลังจากต้องลี้ภัยทางการเมืองไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเรื่อยมานับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2490 แม้ก่อนหน้านั้นจะมีข่าวลักษณะนี้ให้แว่วยินมาเป็นระยะ ๆ ตลอดหลายปี ทว่ามักจะลงเอยด้วยการเป็นแค่ข่าวลือแล้วเงียบหาย แต่กระนั้น สิ่งที่ทำให้คนไทยค่อนข้างเชื่อว่า นายปรีดี คงจะตัดสินใจกลับบ้านเกิดเมืองนอนจริง ๆ ก็เนื่องจาก ท่านผู้หญิงพูนศุข ผู้เป็นภริยาได้เดินทางกลับมายังเมืองไทยบ่อยหนขึ้น อีกทั้งในวันที่ 27 มิถุนายน เธอก็ยังมาร่วมงานรำลึกวันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และได้กล่าวปราศรัยบนเวทีกิจกรรมด้วย
สื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้นำเสนอข่าวนี้ เฉกเช่นหนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย ฉบับวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2519 พาดหัวข่าว " "ปรีดี" ปราศรัยถึงชาว มธ." และรายงานว่า
27 มิถุนายน เช้าวันนี้ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีพิธีฉลองวันครบรอบปีที่ 42 แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยแห่งนี้โดยมีใบประกอบ หุตะสิงห์ นายกสภามหาวิทยาลัยเป็นผู้กล่าวเปิดงาน
นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงบทบาทของนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในปัจจุบันว่า โดยที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเป็นหนี้สังคม ดังนั้นการจะทำอะไรก็ควรจะตระหนักถึงหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง
ในงานนี้มีการเปิดเทปคำปราศรัยของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยซึ่งขณะนี้พักอยู่ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำปราศรัยดังกล่าว กล่าวถึงอดีตของการเริ่มสร้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตอนหนึ่งของคำปราศรัยกล่าวว่า "ผมจึงหวังว่าชาวธรรมศาสตร์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่ใช้สิทธิร่วมกันในที่ดินและอาคารของมหาวิทยาลัยก็คงระลึกถึงหน้าที่ในการพิทักษ์ที่ดินและอาคารของมหาวิทยาลัยมิให้เกิดความเสียหายที่จะพึงมีขึ้นได้ นอกจากมีภยันตรายจากภายนอกซึ่งท่านทั้งหลายใช้สติกับปัญญาประกอบกันสมดั่งปัญญาชนพิจารณารอบคอบถี่ถ้วนแล้วว่า สุดวิสัยที่จะป้องกันได้"
ส่วนหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ฉบับวันเดียวกัน โปรยพาดหัว " 'ปรีดี' ปราศรัยวันสถาปนา มธ." พร้อมรายงาน
เช้าวานนี้พิธีฉลองวันครบรอบ ๔๒ ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย ในพิธีนี้ได้มีการเปิดเทปคำปราศรัยของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้พำนักอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
นายปรีดีกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า "หวังว่าชาวธรรมศาสตร์ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่ใช้สิทธิร่วมกันในที่ดินของมหาวิทยาลัย คงจะระลึกหน้าที่ในการพิทักษ์ไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะพึงมีขึ้นได้ นอกจากมีภยันตรายจากภายนอกซึ่งท่านทั้งหลายใช้สติปัญญาประกอบกันสมดั่งปัญญาชนพิจารณารอบคอบถี่ถ้วนแล้วว่าสุดวิสัยจะป้องกันได้"
นอกจากนั้นท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาซึ่งเดินทางมาร่วมงานวันสถาปนาด้วย ให้สัมภาษณ์บนเวทีว่า การใช้ชีวิตในฝรั่งเศสเวลานี้ลำบาก ต้องรัดเข็มขัดอย่างเต็มที่ เงินบำนาญที่ได้จากภาษีของประชาชนก็ไม่ค่อยพอ แต่ก็ไม่เคยคิดจะขอเพิ่ม
นายประกอบ หุตะสิงห์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวคำปราศรัยเมื่อเช้าวันนี้เช่นกันว่า มหาวิทยาลัยยินดีสนับสนุนนักศึกษาได้ปกครองตนเอง และให้เข้าเกี่ยวข้องกับการเมืองภายนอกอย่างมีขอบเขต ถ้าเกินขอบเขตแล้วจะถูกฝ่ายอื่นโจมตีได้
ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 ยังปรากฏกระแสข่าวทำนองว่า เหตุที่ นายปรีดี จะสามารถหวนคืนมาเมืองไทยได้ ก็เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา และปัจจุบันครองตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในรัฐบาลของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จะเป็นผู้เชิญให้ นายปรีดี เดินทางมาจากฝรั่งเศสในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส เนื่องจาก หม่อมราชวงศ์เสนีย์ เพิ่งจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 หลังจาก หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พ้นตำแหน่ง โดยมองว่า หม่อมราชวงศ์เสนีย์ กับ นายปรีดี เคยมีความสัมพันธ์อันดีที่แน่นแฟ้นต่อกัน
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
บุคคลหนึ่งที่พอได้รับทราบข่าวนี้แล้วพยายามส่งเสียงถึง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเตือนให้ยั้งคิดใคร่ครวญต่อกรณีที่สมาชิกผู้แทนราษฎรในพรรคส่วนหนึ่งกำลังร่วมคิดกันที่จะเชิญ นายปรีดี กลับมายังเมืองไทย นั่นคือนักหนังสือพิมพ์ผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองโชกโชนอย่าง สละ ลิขิตกุล ซึ่งได้อาศัยคอลัมน์ “จดหมายถึง“หม่อมพี่””ที่เขาเขียนประจำทุกวันเสาร์ในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐเป็นช่องทางสื่อสาร ดังในคอลัมน์ประจำวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 ซึ่ง สละ เริ่มกล่าวถึงกรณีข้างต้นว่า
หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ
อาคาร ๖ ราชดำเนิน
วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๙
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่เคารพนับถือ
จดหมายถึงอาจารย์ฉบับนี้ ทีแรกผมตั้งใจจะเขียนปิดผนึกส่งไปให้อาจารย์เป็นส่วนตัว แต่ครั้นมาคิด ๆ ดูแล้ว เห็นว่าเรื่องที่จะเขียนถึงอาจารย์นี้ไม่ใช่เรื่องลับอะไรนัก ผมจึงเขียนถึงอาจารย์เป็นจดหมายเปิดผนึกอย่างปกติ
ผมขอบอกเสียก่อนว่า เรื่องที่ผมได้รับรู้มานี้เป็นเรื่องที่ผมได้มาโดยเฉพาะ แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้เขียนมาบอกให้อาจารย์รู้ เพราะผมเข้าใจว่า บางทีอาจารย์อาจจะยังไม่รู้ หรือรู้แล้วทำเป็นไม่รู้เสีย แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากอาจารย์ยังไม่รู้และได้รู้เรื่องนี้จากผมแล้ว ก็อย่าพึ่งเชื่อถือนัก แต่ผมขอรับรองอย่างหนึ่งคนอย่างผมไม่เคยหลอกอาจารย์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว รู้มาอย่างไรก็อยากจะบอกไปอย่างนั้น ถ้าหากมันเกิดไม่จริงไม่จังเข้า ก็ขอให้เข้าใจว่า ผมได้รับทราบมาผิดพลาด
คือเรื่องมันเป็นยังงี้ครับ มีลูกพรรคในพรรคประชาธิปัตย์ของอาจารย์นี่แหละ ได้คบคิดกันอย่างไม่เปิดเผย ในการที่จะเสนอต่ออาจารย์ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคของเขาและเป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้อาจารย์เชิญนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนี้พำนักอยู่ประเทศฝรั่งเศสกลับมาเมืองไทยในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งไว้เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๘ ซึ่งเข้าใจกันในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีว่า บัดนี้ตำแหน่งดังกล่าวก็ยังดำรงอยู่
อาจารย์ก็คงจะรู้แก่ตัวของอาจารย์เองว่า ในจำนวนลูกพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีคนหลายพรรคหลายพันธุ์มาร่วมเป็นสมาชิกอยู่ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีอดีต อันควรแก่การศึกษาในชีวประวัติทั้งสิ้น เป็นลูกพรรคเก่าของพรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญก็มี พรรคเสรีมนังคศิลาก็มี พรรคสหภูมิ พรรคชาติสังคม แม้ที่สุดพรรคสหประชาไทยสด ๆ ร้อน ๆ ก็มี ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นโกฮับเจ้าเก่านั้น ขณะนี้มีเหลือเพียง ๓ คนเท่านั้น คือ อาจารย์หนึ่ง นายคล้าย ละอองมณีหนึ่ง นายสมบุญ ศิริธรหนึ่ง และนายณัฐวุฒิ สุทธิสงครามอีกหนึ่ง นอกนั้นเป็นลูกพรรคใหม่ ๆ ทั้งนั้น ทุกวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรค "จับฉ่าย" มีคนเก่าคนใหม่ในพรรคอื่น ๆ และแปลกปลอมเข้ามามากหน้าหลายตา
อาจารย์ยังจะพอจำได้ไหมว่า เมื่อวันฉลองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายนนี้เอง ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาของนายปรีดี พนมยงค์ ที่มาร่วมในงานฉลองมหาวิทยาลัยฯได้กล่าวสุนทรพจน์ ถึงความยากลำบากและความทุกข์ของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ที่อยู่ในต่างประเทศ ว่ามีความลำบากและยุ่งยากแก่การดำรงชีพอย่างไร ประกอบกับอายุอานามของนายปรีดีก็ใกล้หลุมฝังศพเต็มทีแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้กลับมาเมืองไทย เพราะเหตุผลหลายประการ ทั้งในทางส่วนตัวและทางการเมือง และทั้งๆที่นายปรีดีควรจะกลับมาเมืองไทย มาแก่มาตายในเมืองไทย ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งได้แล้ว
ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงได้มีลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีซึ่งขณะนี้มีอำนาจพอที่จะขอร้องให้รัฐบาลอันเชิญให้นายไปดีได้กลับมาเมืองไทย และกลับมาในฐานะที่ยังมีตำแหน่งกิตติมศักดิ์ กลับมาอย่างผู้มีเกียรติอันยิ่งใหญ่ คือกลับมาอย่างรัฐบุรุษอาวุโสนั่นเอง
ผมได้ทราบว่า บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีที่เป็นใหญ่ในปัจจุบันนี้ (ซึ่งจะเป็นใครบ้างนั้น ก็ขอให้อาจารย์สำรวจดูลูกพรรคของอาจารย์เอง) ได้คบคิดกันจะเสนอเรื่องต่ออาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเข้าใจว่า อาจารย์คงจะเห็นดีเห็นชอบด้วย คือไม่ขัดข้อง เพราะท่านรัฐบุรุษอาวุโสนั้นท่านแก่แล้ว จะให้ท่านไปตกระกำลำบาก พลัดที่นาคาที่อยู่ ก็ไม่เป็นการสมควร และนอกจากนั้นลูกพรรคที่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีนั้น เขาก็รู้ว่า ในทางส่วนตัวนั้นก็ไม่มีอะไรกับนายปรีดี แม้ว่าในสมัยหนึ่งจะเคยอยู่ต่างพรรค และเคยแข่งขันกันเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว เป็นเรื่องอดีตที่ขมขื่น แต่ควรจะลืมเสียได้ อย่าดูอื่นไกลเลย ลูกพรรคของพรรคการเมืองซึ่งเคยเขม่นเข่นเขี้ยวกันมากับพรรคประชาธิปัตย์และกับอาจารย์ในอดีต บัดนี้ยังมาร่วมกันเป็นทองแผ่นเดียวกันทั้งในพักและในคณะรัฐบาลในปัจจุบันนี้ได้ สำมะมะหาอะไรกับเรื่องในอดีตระหว่างอาจารย์กับนายปรีดีที่เคยเกิดขึ้นจะสมานฉันท์กันไม่ได้
ลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีที่ผมได้รู้เรื่องที่เขาปรึกษาหารือกันถึงการอัญเชิญนายปรีดีกลับมาเมืองไทยนั้น เขาอ้างว่า ตลอดเวลาในอดีตที่ผ่านพ้นมา สมัยที่นายปรีดีมีอำนาจอยู่ในเมืองไทย ก็ได้เคยอุปการะสนับสนุนอาจารย์มาก่อน เมื่อสมัยที่อาจารย์ถูกส่งไปเป็นอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา นายปรีดี สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีการคลังก็เป็นผู้สนับสนุน คือเป็นผู้เลือกอาจารย์มาจากศาลอุทธรณ์ เรื่องนี้ผมยืนยันได้ เพราะในวันเลี้ยงส่งอาจารย์ ที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้วมา ผมก็ได้ไปร่วมในการเลี้ยงส่งครั้งนั้น นายสงวน ตุลารักษ์ ซึ่งไปร่วมในการเลี้ยงส่งอาจารย์ครั้งนั้นได้ชี้ให้ผมดูอาจารย์แล้วบอกว่า "นั่นไง ทูตคนใหม่ที่จะไปอเมริกา อาจารย์ (นายปรีดี) เลือกด้วยตัวเอง ท่าทางสมาร์ตไหมล่ะ"
ผมยังจำค่ำนั้นได้ และดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นและรู้จักอาจารย์ ซึ่งในขณะนั้นอาจารย์ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว และเดินอยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อ ฟุตฟิตฟอไฟ กับทูตเศียรตรีขรทั้งหลายอย่างสมศักดิ์ศรี
ที่นายสงวน ตุลารักษ์บอกผมว่า นายปรีดีเลือกอาจารย์ไปเป็นทูตครั้งนั้น ผมเชื่อสนิทและอาจารย์เองก็เคยบอกผมทำนองนั้น แต่ที่เคยบอกกับผมว่า เหตุใดนายปรีดีจึงเลือกอาจารย์ไปเป็นทูตนั้น เป็นความคิดส่วนตัวของอาจารย์บอกผมและไม่ให้ผมบอกใครนั้น ผมก็ไม่เคยบอกใคร แม้ในการเขียนเท้าความถึงตอนนี้ ผมก็ยังถือเป็นความลับอยู่ แต่ที่นายสงวน ตุลารักษ์ ผู้ที่บอกผมในเรื่องนี้นั้น อาจารย์คงจะจำนายสงวนได้เพราะเป็นคนเดียวกันกับที่อาจารย์รู้จัก เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซึ่งเขาได้พกปืนโป๊สองกระบอกไปที่ศาล แล้วบอกกับอาจารย์ว่าเกิดปฏิวัติแล้ว ขอให้บรรดาผู้พิพากษาอยู่ในความสงบอย่าเกี่ยวข้อง และต่อมา นายสงวนผู้นี้ก็เป็นรัฐมนตรีร่วมคณะกับอาจารย์สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก และพำนักอยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรีร่วมกับอาจารย์ ต่อมาก็ได้เป็นประธานคณะกรรมการอาชญากรสงคราม จับจอมพล ป. พิบูลสงครามในข้อหาอาชญากรสงครามมาขังคุก ตามกฎหมายอาชญากรสงครามของอาจารย์ แต่ที่สุดเรื่องอาชญากรสงครามก็เจ๊ากันไป เพราะกฎหมายอาชญากรสงครามเป็นโมฆะ
ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจารย์คงจะยังพอจำได้ แต่ถ้าหลงลืมเพราะเหตุการณ์ผ่านพ้นมานานแล้ว หรือความชราของอาจารย์ ก็ช่วยไม่ได้
นอกจากนั้น นายปรีดีในสมัยหลังสงครามที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ยังสนับสนุนให้อาจารย์เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก โดยเรียกตัวมาจากอเมริกา ซึ่งอาจารย์ก็คงรู้ดีว่า ต้องทิ้งลูกทิ้งเมีย จากอเมริกามาเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะเหตุใด
เรียกว่า นายปรีดีนั้น มีพระคุณแก่อาจารย์ พวกลูกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์นายปรีดี จึงได้หยิบยกเอาเรื่องในอดีตที่นายปรีดีมีบุญคุณกับอาจารย์มาเป็นข้ออ้าง เพื่อให้อาจารย์ได้เชิญนายไปดีกลับมารับตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโสในเมืองไทยต่อไปใหม่ เพราะในบั้นปลายชีวิตของนายปรีดี ก็ไม่ได้ประกอบราชการแผ่นดินแต่ประการใด และทั้งไปตกระกำลำบากอยู่ในต่างประเทศด้วย
อาจารย์จะรู้เรื่องตามที่ผมเขียนจดหมายนี้หรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่เมื่อผมรู้อะไรมาเห็นว่าเป็นเรื่องที่อาจารย์ควรจะรู้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมจึงบอกอาจารย์ให้ทราบ
เรื่องนี้ยังไม่จบครับ ผมจะติดตามเรื่องราวมาเป็นจดหมายถึงอาจารย์อีก แต่ก็ต้องรอเสาร์หน้าพระเวรเขียนจดหมายถึงอาจารย์มีเพียงเสาร์ละครั้งเท่านั้น ผมหวังว่าอาจารย์คงจะคอยอ่านฉบับหน้า
ด้วยความเคารพนับถือ
สละ ลิขิตกุล
คอลัมน์ “จดหมายถึง“หม่อมพี่”” ของ สละ ลิขิตกุล ในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ
การที่ สละ เปิดเผยว่ามีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์สมคบคิดกันจะเสนอให้ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ เชิญ นายปรีดี กลับมาเมืองไทยนั้น ทางผู้สื่อข่าวสำนักต่างๆจึงได้ไปสอบถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์หลายราย ซึ่งรายหนึ่งที่ได้รับความสนใจคือ ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ผู้เป็นลูกศิษย์ของ นายปรีดี แต่ ณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่าตนไม่ได้เห็นด้วยต่อการเชิญนายปรีดีกลับเมืองไทย ดังหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับประจำวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 นำเสนอข่าวโดยพาดหัว ““ณัฐวุฒิ” ไม่เห็นด้วย ข่าวปรีดีจะกลับไทย ลูกศิษย์จะทำให้อาจารย์ยุ่ง” พร้อมกับรายงานว่า
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ขนานแท้และดั้งเดิม ลูกศิษย์นายปรีดี พนมยงค์ คัดค้านไม่เห็นด้วย ที่ลูกพรรคประชาธิปัตย์จะเสนอนายกรัฐมนตรี ขอให้นายปรีดี พนมยงค์ กลับเมืองไทยในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสว่าจะเกิดความวุ่นวาย ท่านอยู่'ฝรั่งเศสก็สบายแล้ว ลูกศิษย์อย่าไปทำให้อาจารย์ยุ่งเลย
ตามที่มีข่าวว่า ส.ส. ลูกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส จะเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นายปรีดี พนมยงค์ ที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศฝรั่งเศสได้กลับมาอยู่ในเมืองไทยตามเดิม เพราะต้องไปตกระกำลำบากอยู่ในต่างประเทศหลายสิบสิบปีนั้น
เมื่อบ่ายวานนี้ผู้สื่อข่าว "สยามรัฐ" ได้พบกับนายณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ส.ส. กรุงเทพ ลูกพรรคประชาธิปัตย์ขนานแท้และดั้งเดิมคนหนึ่ง ที่เป็นลูกศิษย์ของนายปรีดี พนมยงค์ และขอทราบความเห็นที่มีลูกพรรคประชาธิปัตย์หลายคนจะพยายามให้นายก รัฐมนตรีอนุญาตให้นายปรีดี พนมยงค์ ได้กลับเข้ามาอยู่ในเมืองไทยนั้นว่า ตนก็เพียงแต่ได้ทราบข่าวลือมาอย่างนั้นจะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ และตนเองก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์ปรีดีคนหนึ่ง ไม่เห็นด้วยที่อาจารย์ปรีดีจะกลับเข้ามาเมืองไทย เวลานี้อาจารย์อยู่อย่างสงบในฝรั่งเศสก็ดีอยู่แล้ว และตัวอาจารย์เองก็มิได้คิดอะไร แต่ว่าลูกศิษย์นั่นแหละ จะทำให้อาจารย์ยุ่งใจไปเปล่า ๆ ใครที่คิดเรื่องจะเอาอาจารย์ปรีดีกลับเข้ามาก็คิดเอาเอง การที่ไม่เห็นด้วย จะให้อาจารย์ปรีดีกลับมานั้น เพราะอาจจะมีความวุ่นวายทางการเมืองโดยลูกศิษย์นั่นแหละ ที่จะขึ้นไป ๆ มา ๆ จะไปขัดกับนโยบายรัฐบาลเข้าก็จะไปกันใหญ่ ในความรู้สึกส่วนตัวนั้นเห็นอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าเหตุผลที่จะให้นายปรีดี พนมยงค์กลับเข้ามาอยู่ในเมืองไทยนั้นมีการอ้างว่าเพราะมีบุญคุณอยู่กับ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ในฐานะที่เคยช่วยสนับสนุนให้ไปเป็นทูตอเมริกัน และยังหนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติ อันนี้จะเป็นได้หรือไม่ที่ ม.ร.ว. เสนีย์ . ปราโมช อาจนึกถึงบุญคุณอันนี้ อาจยอมให้เข้ามาได้ นายณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ส.ส. กรุงเทพกล่าวว่า ก็แล้วแต่ดุลพินิจของอาจารย์เสนีย์ ปราโมช แต่ถ้าจะพูดว่าอาจารย์ปรีดีมีบุญคุณแก่อาจารย์เสนีย์ โดยสนับสนุนไปเป็นทูตอเมริกานั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นอาจารย์เสนีย์มีลูกศิษย์ลูกหารักใคร่มากและมี ชื่อเสียงอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการให้ไปเป็นทูตอเมริกาก็เป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่า
ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม
ผู้สื่อข่าวยังไปสอบถาม หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ถึงเรื่องที่จะยอมให้ นายปรีดี เดินทางกลับไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ตอบปฏิเสธ หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ฉบับวันเดียวกัน นำเสนอข่าวโดยพาดหัว “เสนีย์ปฏิเสธหนุน ‘ปรีดี’ กลับไทย” และรายงานว่า
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมื่อเช้านี้ว่า ตามที่มีข่าวว่า มีการเคลื่อนไหวในพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะให้ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งพักอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสขณะนี้ กลับมาประเทศไทยในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสนั้น ตนไม่ทราบเรื่องนี้เลย และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีความคิดเช่นนั้น
บุคคลหนึ่งที่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการจะกลับเมืองไทยของ นายปรีดี ด้วยท่าทีรุนแรง คงมิพ้น สมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ดังที่หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พาดหัวข่าว “สมัครว่า “ปรีดี” คงไม่กลับมาไทย เคยขอกลับเข้ามาแต่ไม่สำเร็จ” พร้อมกับรายงาน
นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงแก่ผู้สื่อข่าวกรณีที่มี ส.ส. เรียกร้องให้นายปรีดี พนมยงค์ กลับมาเมืองไทย ว่าถ้าผมเป็นนายปรีดี ก็จะไม่กลับมาเมืองไทย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ขออยู่เป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่ปารีสดีกว่า
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า เรื่องนายปรีดีจะกลับมาเมืองไทยตามที่ ส.ส. เรียกร้องนั้นไม่น่าห่วง เพราะได้เคยพบกับนายปรีดีมาแล้ว และนายปรีดีบอกว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยอีก หลังจากได้เคยขอจะเข้ามาแล้วไม่สำเร็จและจะขอตายอยู่ที่ฝรั่งเศส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวต่อไปว่า นายปรีดีขณะนี้อายุก็ตั้ง ๗๖ ปีแล้ว กลับมาเมืองไทยจะทำประโยชน์อะไรได้ นอกจากจะมาให้เป็นปะโยชน์แก่คนอื่น แต่ถ้าอยากจะมาตายที่เมืองไทย ก็ควรมาเอาเมื่อเวลาป่วยหนักก็ได้
หรือหนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย ฉบับวันเดียวกันก็พาดหัว “สมัครว่า “ปรีดี” ควรรอให้เจ็บหนัก ถึงค่อยกลับ” และรายงานว่า
มหาดไทย 7 กรกฎาคม นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยให้สัมภาษณ์กรณีมีข่าว ส.ส. เสนอรัฐบาลให้ยอมรับการกลับสู่ไทยของนายปรีดี พนมยงค์ว่า กลับเข้ามาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ควรเป็นรัฐบุรุษอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสดีกว่า
นายสมัครกล่าวว่า ตัวเขาเคยไปพบนายปรีดีมาแล้วหลายครั้ง และนายปรีดีก็ปรารภให้ฟังว่าอยากกลับมาตายในเมืองไทย แต่ไม่มีโอกาส เคยเสนอเรื่องนี้มาให้รัฐบาลพิจารณาแล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงจะขอตายที่ฝรั่งเศส
“เมื่อท่านเองก็ไม่อยากกลับมา จึงอยากรู้ว่า ส.ส. คนไหนเป็นผู้เสนอให้กลับ ท่านก็อายุถึง 76 ปีแล้ว ถ้าเป็นนายสมัครก็จะไม่กลับมาเป็นเครื่องมือของใคร ถ้าอยากกลับมาตายเมืองไทย ก็รอให้เจ็บหนักก่อนค่อยมา” นายสมัครกล่าว
ด้านหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ พาดหัว “ “สมัคร” ชี้ ปรีดี พนมยงค์ ควรอยู่ตายที่ฝรั่งเศส” และรายงานว่า
นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสจะเดินทางกลับประเทศไทยว่า นายปรีดีควรที่จะอยู่และตายที่ฝรั่งเศส
“คนแก่อายุเจ็ดสิบหกปีแล้วจะทำอะไรได้ ควรจะอยู่ที่นั่นต่อไป เพื่อคงสภาพรัฐบุรุษ” นายสมัครว่า “ถ้าจะกลับเมืองไทยจริง ๆ ก็ควรจะรอให้เจ็บหนักเสียก่อนแล้วค่อยมาตายในเมืองไทย”
การแสดงความเห็นของ สมัคร ที่ยกมาข้างต้นนั้น ถ้าหาก นายปรีดี ได้ล่วงรู้ คงจะรู้สึกสะเทือนใจมิใช่น้อยเลยทีเดียว
คำบรรยายภาพ(ถ้ามี)
ต่อมาในคอลัมน์ จดหมายถึง “หม่อมพี่”” ของหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม สละ ก็ยังคงตอกย้ำเรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์จะเชิญ นายปรีดีกลับมาเมืองไทยให้ได้ อีกทั้งแจกแจงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนระหว่าง นายปรีดี กับ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ความว่า
หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ
อาคาร ๖ ราชดำเนิน
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่เคารพนับถือ
จดหมายเปิดผนึกอาจารย์ของผมเมื่อวันเสาร์ก่อน เกี่ยวกับเรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีสมาชิกในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นลูกหาลูกศิษย์ของนายปรีดี กำลังคบคิดกันจะขอให้อาจารย์ในตำแหน่งที่เป็นนายกรัฐมนตรีอัญเชิญนายปรีดีกลับเมืองไทย ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสนั้น ต่อมาผมได้ทราบว่าอาจารย์ได้ปฏิเสธว่ายังไม่รู้เรื่อง ที่ผมเขียนบอกมานี้เลยและอาจารย์ยังได้แถลงเรื่องนี้ต่อไปว่าอาจจะมีสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์คบคิดกันในเรื่องดังกล่าวจริง ๆ ก็ได้ แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของสมาชิกผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ การที่สมาชิกในพรรคประชาธิปัตย์จะ กระทำไปนั้น ก็คงจะกระทำไปโดยพลการ คงไม่ได้ทำไปในนามของพรรค
เรื่องนี้ผมรู้มาก่อนว่าเป็นความจริงตามที่อาจารย์เข้าใจเช่นนั้น และเข้าใจว่า สมาชิกในพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหานายปรีดี และเคยคุ้นเคยชอบพอเคารพนับถือรักใคร่นายปรีดี ได้เริ่มดำเนินการวางแผนการแล้วอย่างเงียบ ๆ เผอิญผมเคยกว้างขวางอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ มีเพื่อนมีฝูงเป็นทั้งสมาชิก และรัฐมนตรีในขณะนี้ จึงได้ทราบระแคะระคายเรื่องนี้อยู่บ้าง ก็เลยเขียนจดหมายบอกให้อาจารย์ได้รู้ไว้ เมื่อถึงคราวที่พวกนั้นจะเอะอะเสนอเรื่องนี้ต่ออาจารย์ จะได้ไม่ตกใจ
ที่อาจารย์เข้าใจว่า ไม่ใช่เรื่องของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นความเข้าใจของอาจารย์ที่ถูกต้องแล้ว เพราะเรื่องการเชิญนายปรีดีกลับเมืองไทยนั้น ลำพังพรรคประชาธิปัตย์จะทำไป คงไม่มีน้ำยาอะไร เพราะที่เขาคบคิดกันนั้น เขาต้องการให้รัฐบาลจัดทำ คือให้อาจารย์ที่เป็นนายกรัฐมนตรี มีจดหมายเชิญนายปรีดีไป ในนามของรัฐบาลไทย ไม่ใช่พรรค เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของพรรค แต่อาจารย์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีจะเชิญหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจารย์จงจะตัดสินใจ
ความสัมพันธ์ของอาจารย์กับนายปรีดีนั้น ผมได้เคยเขียนจดหมายบอกอาจารย์แล้วว่ามีอยู่อย่างไร แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายปรีดีกับอาจารย์เคยต่อสู้กันแข่งขันกันเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่อยู่คนละพรรค ซึ่งการแข่งกันเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนั้นเผอิญผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย และได้ทราบว่านายปรีดีฉุนอาจารย์มาก เพราะบังอาจมาชิงชัยแข่งขัน เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าอาจารย์จะแพ้คะแนนซาวเสียงในการประชุมลับในสภาผู้แทนฯ ครั้งนั้นก็ตาม แด่นายปรีดีก็ไม่พอใจอาจารย์เป็นอย่างมาก ความบาดหมางของอาจารย์กับนายปรีดีในทางการเมืองครั้งก่อนนั่นเอง ที่ลูกพรรคของอาจารย์ในขณะนี้ที่เป็นลูกศิษย์นายปรีดีพยายามจะหาทางรอมชอม คือให้อาจารย์มีโอกาสอโหสิกรรมต่อนายปรีดี ซึ่งความจริงนั้น ผมเข้าใจว่านายปรีดีคงไม่มีความรู้สึกในเรื่องนี้ เพราะเหตุการณ์ผ่านพ้นมาเกือบ ๓๐ ปี แก่เฒ่าไปตาม ๆ กันแล้วคงจะไม่มีอารมณ์มาคิดถึงเรื่องนี้แน่
ผมอยากจะทบทวนความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างอาจารย์กับนายปรีดี ในครั้งที่ชิงชัยกันเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ คือครั้งนั้นนายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี และอาจารย์ร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วย เมื่อรัฐบาลนายควงแพ้ร่างกฎหมายควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคจากสมาชิกฝ่ายค้านเพียง ๓ คะแนน และลาออกไปนั้นก็มีการหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีก ครั้งนั้นทางฝ่ายพรรคสหชีพและแนวรัฐรรมนูญได้ไปขอร้องให้นายปรีดีมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายปรีดียังไม่เต็มใจจะเป็น จึงเสนอให้นายดิเรก ชัยนาม รับเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทางฝ่ายกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคเข้าแข่งขันกับนายดิเรก ซึ่งทำให้ฝ่ายพรรคสหชีพ และพรรคแนวรัฐธรรมนูญไม่พอใจเพราะเกรงว่าจะสู้คะแนนนิยมของนายควงไม่ได้ จึงไปเร่งเร้าให้นายปรีดีรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสียเอง ซึ่งเข้าใจว่าคะแนนเสียงนิยมในสภาฯคงชนะนายควงแน่
ฝ่ายนายควงนั้น เมื่อทราบว่านายปรีดีถูกพรรคสหชีพและพรรคอื่น ๆ หนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี (ซึ่งในพรรคดังกล่าวสมัยนั้น ก็มีลูกพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันนี้รวมอยู่ด้วย) ก็ยังไม่แน่ใจนัก และโดยเหตุที่เป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาด้วยกัน หรือจะเรียกว่าเป็นเพื่อนฝูงกัน นายควงจึงเปิดโอกาสให้นายปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง เพราะนายปรีดียังไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน ซึ่งในครั้งนั้นนายควงได้รับรองกับนายปรีดีว่า ถ้านายปรีดีจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็จะถอนตัวไม่แข่งขัน ซึ่งก็ตรงกับความประสงค์ของนายปรีดี เพราะนายปรีดีนั้นต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องมีการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นนายควงหรือใคร ๆ ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ นายควงจึงเสนอถอนตัวในการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นย่อมจะต้องมีการต่อสู้กันตามวิถีทางการเมือง
พรรคประชาธิปัตย์จึงประชุมกันและตัดนายควง หัวหน้าพรรคออกไป โดยลงมติไม่ส่งเข้าแข่งขัน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กลับลงมติให้ส่งรองหัวหน้าพรรคเข้าแข่งขันชิงชัยในการเป็นนายกรัฐมนตรี
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น ก็คืออาจารย์นั่นเอง ซึ่งอาจารย์ก็ไม่ปฏิเสธหรือปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นมติของพรรคบังคับ
ส่วนทางฝ่ายนายปรีดีนั้น เดิมทีก็ลังเลใจ แต่เมื่อถูกลูกยุของพรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญ โดยพรรคทั้งสองได้ทำบัญชีหางว่าวลงชื่อสมาชิกสภาผู้แทนฯในสมัยนั้นสนับสนุนขอให้นายปรีดีมาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งไปให้นายปรีดีเห็นเป็นหลักฐาน ซึ่งผมจำได้ว่าบัญชีหางว่าวที่ทำขึ้นนั้น ลูกพรรคประชาธิปัตย์สองคนในปัจจุบันนี้ ก็เป็นผู้ลงชื่อในบัญชีหางว่าวอัญเชิญนายปรีดีมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมยังจำได้ดีว่าบัญชีห่างว่าวที่ว่านั้น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นคนต้นคิดเอากระดาษฟุลสแก๊ปมาตีเป็นตารางลงชื่อ แล้วขอให้สมาชิกที่เป็นพรรคพวกลงชื่อแล้วนำไปเสนอให้นายปรีดีที่ทำเนียบท่าช้าง
ความจริงเรื่องที่อาจารย์จะเข้าแข่งขันชิงชัยในตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งนั้น นายปรีดีไม่รู้เรื่อง เพราะทางพรรคสหชีพ และพรรดแนวรัฐธรรมนูญปิดเงียบ เพราะรู้ใจนายปรีดีว่า ถ้าหากมีใครมาแข่งขันด้วยแล้วก็จะถอนตัว แต่เผอิญวันนั้น เกิดคนจับเส้นนายปรีดีได้ และไม่ต้องการให้นายปรีดี เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะขณะนั้นยังเป็นรัฐบุรุษอาวุโสอยู่ จึงรีบไล่หลังพวกพรรคสหชีพไปที่ทำเนียบท่าช้างในนามของผู้แทนราษฎรคนหนึ่งที่หวังดีต่อนายปรีดี คือได้ขอร้องให้นายปรีดีระงับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเสีย เพราะถูกพรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญต้ม เผอิญวันนั้นผมก็นั่งรถตุ๊ก ๆ ไปกับผู้แทนราษฎรคนนั้นด้วย จึงรู้เรื่องการโต้ตอบระหว่างนายปรีดี กับผู้แทนราษฎรคนนั้นโดยละเอียด
นายปรีดีได้แสดงความฉงนใจว่า เมื่อไม่มีใครรับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเสียงส่วนมากของสมาชิกสภา ฯ มาขอร้องเช่นนี้ จะนิ่งดูดายกระนั้นหรือ แต่ผู้แทนราษฎรคนนั้นโต้ว่าเสียงสนับสนุนให้นายปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีในสภานั้นจะไม่เป็นเสียงเอกฉันท์แน่นอน และที่ว่าไม่มีใครแข่งขันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ เพราะมีคนที่จะแข่งขันนั่งคอยอยู่ในสภาแล้ว
นายปรีดี จึงถามว่าใครที่จะมาแข่งขัน ส.ส. ผู้นั้นตอบว่า ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ไงเล่า ขณะนี้กำลังฟิตจะเข้าแข่งขันด้วย
นายปรีดีถามต่อไปว่า แล้วจะมีใครเล่าที่จะคัดค้านไม่ไว้วางใจ หากตนจะเป็นนายกรัฐมนตริ
ส.ส. ผู้นั้นเอามือจี้ที่อกตัวเอง แล้วบอกว่าคนนี้ยังไงเล่า
แล้วเรื่องก็อย่างที่อาจารย์รู้ คืออาจารย์ได้เสียงสนับสนุน ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณ ๒๐ เสียงเท่านั้น ส่วนนายปรีดีนนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วน ส.ส. คนที่พยายามไปยับยั้งนายปร์ติไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตร์ และยกมือ
คัดด้านไม่ไว้วางใจในครั้งนั้น อาจารย์ก็คงจำได้ว่าเป็นใคร ถ้าจำไม่ได้หลงลืมไปเพราะแก่แล้ว ผมจะบอกให้ก็ได้ คือน้องชายร่วมสายโลหิตของอาจารย์นั่นเอง
นี่แหละเป็นเรื่องพิพาทอย่างเปิดเผยที่อาจารย์เคยมีกับนายปรีดีมาแต่เก่าก่อน และตกมาสมัยนอาจารย์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดีก็มาเบ็นลูกพรรคของอาจารย์ จึงอยากจะให้อาจารย์ ได้สมัครสมานกันเสียซึ่งก็เห็นมีอยู่ทางเดียว คือให้อาจารย์ช่วยนายปรีดี ให้พ้นจากการดกระกำลาบากในการพลัดที่นาคาที่อยู่ กลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที จตหมายถึงอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่จบครับ
ด้วยความเคารพนับถือ
สละ ลิขิตกุล
กระทั่งมาถึงคอลัมน์ประจำวันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม ซึ่ง สละ ปรารภว่าจะเป็นการเขียนถึงเรื่องการจะเชิญ นายปรีดี กลับเมืองไทยเป็นฉบับสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ เอง
หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ
อาคาร ๖ ราชดำเนิน
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๙
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีที่เคารพนับถือ
ผมเขียนจดหมายถึงอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องการอัญเชิญนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสกลับเมืองไทย ติดต่อกันมาแล้ว ๒ ฉบับ คิดว่าฉบับนี้คงจะเป็นฉบับสุดท้ายที่จะ บอกอาจารย์ให้รู้ถึงเรื่องที่อาจารย์ยังไม่รู้ และต่อจากนั้นก็จะเขียนเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
อาจารย์ได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่รู้เรื่องลูกพรรคในพรรคประชาธิปัตย์บางคน ที่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดกับนายปรีดี และเรียกนายปรีดีว่า "อาจารย์" คงคิดกันจะขอให้เชิญนายปรีดีกลับเมืองไทยนั้น ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า อาจารย์คงจะไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ แต่ถึงกระนั้น ผมก็อยากจะกระซิบบอกอาจารย์ให้รู้ว่า เรื่องนี้เพียงแต่พวกลูกศิษย์ของนายปรีดี ได้เตรียมแผนการไว้เท่านั้น และแผนการนั้น นอกจากลูกพรรคของอาจารย์ ได้ร่วมเตรียมการวางแผนแล้ว ยังมีครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกบางคน ได้ร่วมวางแผนการนี้ด้วย โดยจะเสนอเป็นจดหมายต่ออาจารย์ ซึ่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลอาจารย์นั่นเองจะเป็นผู้เสนอสนองและสนับสนุน แต่อาจารย์จะปฏิบัติตามแผนการนั้นหรือไม่ ผมขอให้เป็นเรื่องของอาจารย์ตัดสินใจเอาเอง
แต่ก็อาจจะไม่แน่เหมือนกัน เพราะแม้แผนการดังกล่าวนั้นจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่การตัดสินใจจะกลับเมืองไทยหรือไม่กลับนั้นอยู่ที่เจ้าตัว คือนายปรีดี ผมได้ยินแว่ว ๆ ว่ารัฐมนตรีในคณะของอาจารย์ ได้ไปเยี่ยมเคารพนายปรีดีที่ปารีสมาบอกว่าท่านอาจจะไม่กลับเมืองไทยก็ได้
ตกลงเรื่องนายปรีดีจะถูกเชิญกลับมาเมืองไทย และนายปรีดีจะตัดสินใจกลับหรือไม่นั้น ขอย ประโยชน์ให้กับอาจารย์และนายปรีดี ผมไม่เกี่ยว
เท่าที่ผมทราบ แผนการอัญเชิญนายปรีดีกลับเมืองไทยของพวกลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งมีลูกพรรคประชาธิปัตย์ร่วมอยู่ด้วยนั้น ผมไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดมากนัก เพราะเขายังปิดๆบังๆกันอยู่เพียงแต่ได้ทราบเป็นเลา ๆ ว่า ในฐานะที่นายปรีดีนั้น เคยมีตำแหน่งสำคัญและใหญ่โตในแผ่นดินไทยมา และบัดนี้ ตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเป็นตำแหน่ง ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งก็ยังไม่ได้ถอดถอน ฉะนั้น ถ้าหากอาจารย์ได้อัญเชิญนายปรีดีไปจริง ๆ แล้วไซร้ ทางฝ่ายลูกศิษย์ ลูกหาในกรุงเทพฯก็ได้กำหนดพิธีการต้อนรับในการกลับของนายปรีดีอย่างมโหฬารยิ่ง เรียกว่าให้สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี และสมกับตำแหน่งทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เดียว
แผนการที่ว่านี้ผมคิดว่า อาจารย์คงจะยังไม่รู้และก็คงจะไม่รู้อะไร ๆ ทั้งหมดในเรื่องนี้ ผมจึงอยากจะขยายให้ฟังเพื่อเป็นความรู้แก่คนทั้งหลายทั่ว ๆ ไป ไม่เฉพาะแต่อาจารย์คนเดียวเท่านั้น
โครงการโดยย่อที่ผมได้ทราบมาจากพรรคพวก ที่อยู่ในขบวนการอัญเชิญนายปรีดีกลับประเทศไทยนั้น ได้วางแผนต้อนรับไว้อย่างหรูหรามาก เหตุที่ต้องวางแผนการต้อนรับอย่างหรูหราใหญ่โตนั้น ผมเข้าใจว่าเนื่องจากเหตุ ๒ ประการๆแรกคือจูงใจ ให้นายปรีดีเกิดความคิดที่จะกลับเมืองไทย แทนที่จะปฏิเสธต่อคำเชิญ (ซึ่งจะเป็นของอาจารย์โดยตรงหรือใครก็ตามแต่อาจารย์เห็นพ้องต้องด้วย) ก็ยินดีที่จะกลับมา เพราะไม่ได้กลับมาเงียบ ๆ เหมือนผู้ลี้ภัย (ทางการเมือง) หรือนักทัศนาจร ถ้านายปรีดี ได้ทราบถึงแผนต้อนรับเช่นนั้นแล้ว นายปรีดีก็อาจจะเต็มใจกลับเมืองไทย ไม่ปฏิเสธหรือยอมตายในต่างประเทศเหมือนนักการเมืองไทยพลัดถิ่นคนอื่น ๆ
ประการที่ ๒ เพื่อแสดงให้เห็นว่า นายปรีดีนั้นเป็นผู้มีเกียรติอันยิ่งใหญ่ ควรแก่การต้อนรับอย่างมโหฬาร ในตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโสของไทย และทั้งแสดงให้เห็นว่า คนไทยเต็มใจให้การต้อนรับในการกลับนั้นด้วยความสุจริตใจในความยินดีและเคารพ
ถ้าหากอาจารย์ได้ถูกบีบบังคับให้อัญเชิญนายปรีดีกลับมาประเทศไทย โดยจะถูกบีบบังคับทางคณะรัฐมนตรีหรือทางพรรคการเมืองก็ตาม ก็ย่อมหมายความว่า การกลับมาประเทศไทยของนายปรีดีนั้นเป็นการกลับอย่างเป็นทางราชการ เป็นการกลับมาในฐานะและตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งแน่นอนบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายจะต้องเตรียมการต้อนรับกัน นอกจากจะขอร้องให้ประชาชนไปต้อนรับอย่างมากมายแล้ว ผมได้ทราบว่า คณะลูกศิษย์ลูกหา ที่วางแผนการต้อนรับนายปรีดีนั้นจะได้จัดซุ้มประตูต้อนรับในระยะทางจากดอนเมืองถึงกรุงเทพ และจะมีขบวนแห่ไปต้อนรับขับสู้ นับตั้งแต่ก้าวแรกที่นายปรีดีลงจากเครื่องบินเลยทีเดียว จะมีทั้งสิงโต เถิดเทิง กลองยาวไปร่วมขบวนต้อนรับในครั้งนี้ด้วย
ที่ผมทราบมานี้ ผมทราบเพียงแว่ว ๆ และเพียงเลา ๆ เท่านั้น จะเท็จจริงอย่างไรผมไม่ยืนยันในเรื่องนี้
อาจารย์อาจจะสงสัยว่า ใครบ้างที่อยากให้นายปรีดีกลับมาเมืองไทย และใครคนนั้นอย่างที่ผมว่า เป็นลูกพรรคในพรรคประชาธิปัตย์ของอาจารย์เอง ผมไม่อยากจะบอกอาจารย์ในเรื่องนี้ และคิดว่าอาจารย์เองก็คงรู้ว่าใครบ้างซึ่งแต่เดิมเคยเป็นสมัครพรรคพวก และเคยอยู่ในพรรคการเมืองที่เคยสนับสนุนนายปรีดี สมัยที่นายปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมเข้าใจว่า เป็นการแน่นอนเหลือเกินในความผูกพันทางใจระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์ ซึ่งคนเหล่านั้นย่อมมีคุณธรรมประจำใจ และถือคติว่า "ลูกศิษย์ไม่คิดล้างครู" แต่ย่อมจะยกย่องและบูชาครูบาอาจารย์ เมื่อมีโอกาสเมื่อใด และยิ่งรู้ว่าครูบาอาจารย์ตกระกำลำบากอย่างไร ก็ยิ่งคิดที่จะหาทางช่วยเหลือให้ครูบาอาจารย์พ้นจากความลำบาก เฉพาะอย่างยิ่ง ครูบาอาจารย์ที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ในต่างประเทศเช่นนายปรีดี
ผมเข้าใจเอาเองว่า รัฐมนตรีในคณะของอาจารย์หลายคนที่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของนายปรีดี คงจะสนับสนุนการกลับมาของนายปรีดี และเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกศิษย์คนโปรดอย่างเช่น คุณเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ ก็ดี หรือคุณธรรมนูญ เทียนเงิน ก็ดี ล้วนแต่เคยเป็นลูกศิษย์ และเป็นผู้ที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกับนายปรีดีมาก่อน ที่จะมาร่วมเป็นร่วมตายในพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าอาจารย์จำไม่ได้เพราะในครั้งก่อนได้เหินห่างการเมืองไปนาน และมีอายุมากแล้ว ผมอยากจะทบทวนความทรงจำให้คือ คุณเสวตร และคุณธรรมนูญนั้นเคยสังกัดอยู่ในพรรคอิสระ ซึ่งเป็นพรรคในเครือสหชีพ และแนวรัฐธรรมนูญ โดยมี คุณวิจิตร์ ลุลิตานนท์ เป็นหัวหน้าพรรค และในสมัยนั้น คุณเสวตร ยังได้รับเกียรติเป็นเลขานุการรัฐมนตรีด้วยในสมัยรัฐบาลนายปรีดี และยังเคยเอาธนบัตรแบบใหม่ไปให้ประชาชนแลก ในสมัยนั้น ซึ่งอาจารย์ก็ยังเปิดอภิปรายทั่วไป โจมตีวิธีปฏิบัติของกระทรวงการคลังอย่างรุนแรง
แต่น่าประหลาด ซึ่งในปัจจุบันนี้กลับมาสมรู้ร่วมคิดกับอาจารย์ ได้อย่างสนิทสนม
เรื่องนายปรีดีจะกลับเมืองไทยหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ที่คนสองคน ๆ หนึ่งคืออาจารย์เอง และอีกคนหนึ่งคือนายปรีดี แต่ถ้าหากอาจารย์ตัดสินใจเชิญนายปรีดีไป และนายปรีดีก็รับคำเชิญกลับมาจริง ผมก็จะไปต้อนรับนายปรีดีด้วยคนหนึ่งครับ
ด้วยความเคารพนับถือ
สละ ลิขิตกุล
หากพิจารณาจากน้ำเสียงที่ปรากฏในคอลัมน์“จดหมายถึง“หม่อมพี่””ของ สละ ช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 ทั้งสามสัปดาห์ ก็พอจะรับรู้ได้ว่า สละ ย่อมจะอยู่ในกลุ่มคนผู้ไม่เห็นด้วยกับการจะกลับมาเมืองไทยของ นายปรีดี การที่เขาพยายามเล่าย้อนถึงความหลังระหว่าง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ กับ นายปรีดี ก็เพื่อทักท้วงและย้ำเตือนว่า อันที่จริง ทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นเท่าใดนักหรอก หม่อมราชวงศ์เสนีย์ จึงไม่ควรจะเคลิ้มตามที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ นายปรีดี ได้พยายามโน้มน้าวเรื่องที่ นายปรีดี เคยให้การสนับสนุน หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ดังนั้น หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีควรจะให้ความช่วยเหลือ นายปรีดี ซึ่งกำลังตกระกำลำบากอยู่ในประเทศฝรั่งเศสบ้าง
สำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทย น่าจะทราบกันดีว่าในช่วงปี พ.ศ. 2489-2490 พรรคประชาธิปัตย์เคยมีส่วนสำคัญในการทำให้ นายปรีดี ต้องพ้นจากอำนาจทางการเมือง จนกระทั่งนำไปสู่การต้องลี้ภัยไประหกระเหินในต่างประเทศเนิ่นนานหลายปี ทว่าพอในปี พ.ศ. 2519 กลับปรากฏกระแสข่าวที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละที่จะเชิญ นายปรีดี หวนกลับคืนมายังเมืองไทย นั่นก็เพราะลูกศิษย์ของ นายปรีดี หลายรายซึ่งอาจจะเคยสังกัดพรรคอื่นๆมาก่อน แต่ช่วงเวลานั้นได้เข้ามามีบทบาทสูงในพรรคประชาธิปัตย์ จึงร่วมกันคิดจะให้ความช่วยเหลืออาจารย์ของตน
แม้ข่าวคราวเรื่องที่สมาชิกพรรคของประชาธิปัตย์จะเชิญ นายปรีดี พนมยงค์ กลับมายังเมืองไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 จะค่อนข้างหนาหูและมีแนวโน้มจะเป็นจริง ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 6 ตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งถึงขั้นมีการสังหารหมู่นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ การจะหวนกลับคืนสู่เมืองไทยของ นายปรีดี จึงกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกเลย เพราะสถานการณ์ของประเทศยิ่งทบทวีความวุ่นวาย ทั้ง ๆ ที่หัวใจโดยส่วนลึกของ นายปรีดี จะคิดถึงเมืองไทยอย่างมากล้นเพียงใดก็ตาม
บรรณานุกรม :
- กาลานุกรมสยามประเทศไทย 2485-2554. บรรณาธิการโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. กรุงเทพฯ: โพสต์บุ๊กส์, 2555.
- ““ณัฐวุฒิ” ไม่เห็นด้วย ข่าวปรีดีจะกลับไทย ลูกศิษย์จะทำให้อาจารย์ยุ่ง.” สยามรัฐ (6 กรกฎาคม 2519)
- " "ปรีดี" ปราศรัยถึงชาว มธ." ประชาธิปไตย (28 มิถุนายน 2519)
- " 'ปรีดี' ปราศรัยวันสถาปนา มธ." ประชาชาติ (28 มิถุนายน 2519)
- “‘สมัคร’ ชี้ ปรีดี พนมยงค์ ควรอยู่-ตายที่ฝรั่งเศส.” ประชาชาติ (8 กรกฎาคม 2519)
- “สมัครว่า “ปรีดี” คงไม่กลับมาไทย เคยขอกลับเข้ามาแต่ไม่สำเร็จ.” สยามรัฐ (8 กรกฎาคม 2519)
- ““สมัครว่า “ปรีดี” ควรรอให้เจ็บหนัก ถึงค่อยกลับ.” ประชาธิปไตย (8 กรกฎาคม 2519)
- สละ ลิขิตกุล. “จดหมายถึง“หม่อมพี่”.” สยามรัฐ (3 กรกฎาคม 2519)
- สละ ลิขิตกุล. “จดหมายถึง“หม่อมพี่”.” สยามรัฐ (10 กรกฎาคม 2519)
- สละ ลิขิตกุล. “จดหมายถึง“หม่อมพี่”.” สยามรัฐ (17 กรกฎาคม 2519)
- “เสนีย์ปฏิเสธหนุน ‘ปรีดี’ กลับไทย.” ประชาชาติ (6 กรกฎาคม 2519)