ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ 1

8
สิงหาคม
2568

นายทวี บุณยเกตุ
(10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)

 

ด้วยคุณดิเรก ชัยนาม ปรารภกับข้าพเจ้าว่าได้เขียนหนังสือไว้เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้ชื่อเรื่องว่า “ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง” หนังสือที่ท่านเขียนนี้ประสงค์จะให้เป็นทำนองบันทึกประวัติศาสตร์สำหรับอนุชนรุ่นหลังอ่านเพื่อจะได้ทราบว่า ประเทศไทยได้ถูกนำตัวเข้ามาพัวพันกับสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้อย่างไร และประเทศไทยได้มีบทบาทในมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้อย่างไร กับในระหว่างสงครามโลกนั้นเราได้ปฏิบัติการอย่างไร ประเทศไทยจึงได้หลีกเลี่ยงจากความหายนะและหลุดพ้นจากความยุ่งยากอันสืบเนื่องมาจากผลแห่งการแพ้สงครามของประเทศญี่ปุ่นได้ แต่การเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เช่นนี้ จำจะต้องเขียนด้วยความระมัดระวังและความรอบคอบโดยวางตัวเป็นกลางไม่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด ฉะนั้นการเขียนจึงต้องยึดหลักความจริงที่ท่านได้ประสบเหตุการณ์หรือได้ผ่านพบมาด้วยตนเอง แต่ก็ยังมีเหตุการณ์อีกมากหลายซึ่งนับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอยู่ไม่น้อย ที่อนุชนรุ่นหลังควรจะได้ทราบไว้ แต่ท่านไม่สามารถจะเขียนได้เพราะท่านต้องถูกส่งไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงโตเกียวเสียเกือบ 2 ปี และในระหว่างระยะเวลานี้ก็มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่สมควรจะบันทึกไว้ในหนังสือที่ท่านเขียนด้วย เพื่อให้หนังสือเล่มที่ท่านเขียนนี้สมบูรณ์ดียิ่งขึ้น ท่านเห็นว่าผู้ที่ควรจะบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ดีคนหนึ่งนั้นก็ควรเป็นข้าพเจ้า เพราะในสมัยนั้นข้าพเจ้าเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและยังได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคณะต่าง ๆ กับทั้งยังได้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับงานใต้ดินที่เรียกว่า “เสรีไทย” ในประเทศอีกด้วย พอที่จะทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดี จึงได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเขียนบันทึกเหตุการณ์เท่าที่ข้าพเจ้าทราบหรือที่ได้ผ่านพบมาด้วยตนเอง

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติมากที่คุณดิเรก ชัยนาม ขอร้องมาเช่นนี้ และก็มีความเห็นสอดคล้องด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า บันทึกข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้จะเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังมาก ทั้งบัดนี้สงครามก็ได้เสร็จสิ้นมานับเป็นเวลาได้เกือบ 22 ปีแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ที่เกิดขึ้นในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ ถ้าไม่จัดบันทึกขึ้นไว้คนรุ่นหลังก็อาจไม่ทราบ เพราะผู้ที่ทราบเรื่องดีและที่ได้ประสบเหตุการณ์มาด้วยตนเองก็มีอายุมากเข้าสู่เกณฑ์ชราด้วยกันแล้วแทบทั้งนั้น และที่ได้ล้มหายตายจากไปก็มีอยู่ไม่น้อย ยังจะมีเหลืออีกก็คงจะไม่กี่คนนัก ทั้งเรื่องต่าง ๆ ที่ในสมัยหนึ่ง คือเมื่อ 20 ปีเศษมานี้เคยถือว่าเป็นความลับ บัดนี้ก็ไม่ควรจะเป็นความลับอีกต่อไปแล้ว และนักการเมืองของเกือบทุกประเทศต่างก็ได้เปิดเผยความจริงและเหตุการณ์ในประเทศของตนเกี่ยวกับการดำเนินงานในระหว่างสงครามด้วยกันทั้งนั้น หากในประเทศไทยเราจะมีคนนำเรื่องเช่นนี้มาเผยแพร่บ้างก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อย เมื่อข้าพเจ้าคิดได้ดังนี้แล้วจึงได้ตอบสนองยินดีรับเขียนด้วยความเต็มใจ และก็ขอยึดหลักในการเขียนว่า จะเขียนจากความจริงและด้วยการวางตัวเป็นกลางจริง ๆ จากเหตุการณ์ที่ได้ผ่านพบมา

ความจริงบันทึกเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะเขียนเพิ่มเติมนี้ก็คงมีเป็นส่วนน้อย เพราะในหนังสือที่คุณดิเรก ชัยนาม เขียนนั้นนับว่าละเอียดมากอยู่แล้ว และที่ข้าพเจ้าจะเขียนนี้ก็จะเขียนแต่เฉพาะเรื่องที่ข้าพเจ้าทราบ โดยมีหลักฐานหรือที่ได้ผ่านพบมากับตนเองทั้งสิ้น เรื่องใดที่ข้าพเจ้าไม่ทราบข้าพเจ้าก็จะของดไม่กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนนี้มีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์

ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นยกพลเข้าบุกประเทศไทยซึ่งตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม 2484 นั้น ข้าพเจ้ารับราชการในตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ข้าพเจ้าต้องเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีทุกคราวที่มีการประชุม เพื่อเสนอเรื่องที่จะต้องประชุมและจดรายงานการประชุม โดยปกติในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีการประชุมคณะรัฐมนตรีอาทิตย์ละ 3 วันคือ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์เริ่มประชุมเวลาประมาณ 9.30 น. และเลิกประชุมเวลาประมาณ 12.30 น. ถึง 13.00 น. บังเอิญค่ำวันหนึ่งตรงกับวันที่ 7 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 20.30 น. หรือ 21.00 น. ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีว่าให้ข้าพเจ้าติดต่อเชิญรัฐมนตรีทุกคนมาประชุมเป็นการด่วนที่ตึกประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งในครั้งกระนั้นตกประชุมคณะรัฐมนตรีอยู่ตรงกันข้ามกับวังสวนกุหลาบ ข้าพเจ้าได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกับรัฐมนตรีทุกคนทางโทรศัพท์ แต่เนื่องจากเป็นเวลาค่ำคืนการติดต่อจึงลำบาก รัฐมนตรีบางคนก็ไม่อยู่ในบ้าน บางคนก็ไปต่างจังหวัด กว่าจะตามตัวได้มาเกือบครบก็เกือบเที่ยงคืน แต่กระนั้นยังขาดไปหลายคน เช่น พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นแม่ทัพเรือด้วยในขณะเดียวกัน ถูกทหารญี่ปุ่นกักตัวไว้ที่คลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ข้าพเจ้าได้ไปถึงห้องประชุมและไปคอยการประชุมอยู่ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.30 น. และในตอนนั้นบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายต่างได้ทะยอยกันเข้ามายังห้องประชุมตามที่ได้มีโทรศัพท์เชิญไป ระหว่างรอการมาของรัฐมนตรีนั้นก็ได้รับข่าวทางโทรเลขบ้าง ทางวิทยุบ้าง ทางโทรศัพท์บ้าง ว่ากองทหารญี่ปุ่นได้ยกพลบุกเข้ามาในดินแดนไทยตามจุดต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ และในทุก ๆ จุดที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามานั้น ได้ปะทะกับหน่วยทหารไทยบ้าง ตำรวจไทยบ้าง และกับยุวชนไทยบ้าง

 

ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484
ที่มา : Khaosodenglish

 

ในราว 1.00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ก็ได้เริ่มเปิดประชุมคณะรัฐมนตรีโดยมีพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานของที่ประชุม เพราะจอมพล ป. พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ทราบว่าไปราชการต่างจังหวัด (ทราบต่อมาภายหลังว่าไปตรวจดูแนวป้องกันทางทหารที่จังหวัดพระตะบอง เพราะได้ทราบระแคะระคายมาก่อนแล้วว่าญี่ปุ่นอาจบุกประเทศไทยได้) เมื่อเปิดประชุมแล้วพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่านายกรัฐมนตรียังไม่กลับจากตรวจราชการ แต่ได้โทรเลขขอร้องให้รีบกลับโดยด่วนแล้ว เรื่องที่รองนายกฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น อันมีเอกอัครรราชทูตญี่ปุ่น ทูตทหาร พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ของเขา ได้นำบันทึกมายื่นต่อรัฐบาลขอเดินทัพผ่านประไทยเพื่อไปโจมตีอังกฤษทางแหลมมลายู และเขาได้แจ้งให้ทราบว่าประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษและสรัฐอเมริกาแล้วกองทัพญี่ปุ่นจะเข้าโจมตีพร้อม ๆ กันขออย่าให้ไทยขัดขวาง โดยเขารับรองว่าเขาจะไม่ทำลายอธิปไตยของไทยเลยเป็นอันขาด นอกจากที่เขาจะขอยกกำลังทหารผ่านกรุงเทพฯ และเมืองบางเมืองของประเทศไทยที่จำเป็นในทางทหารเท่านั้น และเขาขอให้เราตอบมาให้เขาทราบภายในเวลา 2.00 น. วันนี้

ในระหว่างการประชุมนี้ก็ได้มีรายงานเข้ามาเรื่อย ๆ ว่ากองทหารญี่ปุ่นได้ปะทะกับทหารและตำรวจไทยแล้วหลายแห่ง บางแห่งการรบได้เข้าขีดรุนแรงถึงขั้นตะลุมบอน บางแห่งเด็กนักเรียนยุวชนทหารก็เข้าช่วยสู้รบกับกองทหารญี่ปุ่น อันเป็นการแสดงความกล้าหาญและความรักชาติในทางวีระกรรมอันน่าสรรเสริญยิ่ง

ครั้นเมื่อใกล้เวลา 2.00 น. นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่กลับ คณะรัฐมนตรีจะตัดสินอะไรลงไปก็ยังไม่ถูกเพราะไม่ทราบนโยบายว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้วางแผนการต่อต้านไว้อย่างไรประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง เราได้มีพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งเรียกว่าพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้เพิ่งประกาศออกใช้เมื่อก่อนญี่ปุ่นบุกประเทศไทยไม่นานนัก พระราชบัญญัติฉบับนี้มีหลักการและสาระสำคัญว่า ให้คนไทยทุกคนต่อสู้ผู้รุกรานจนสุดความสามารถหรือจะกล่าวว่าสู้จนคนไทยคนสุดท้ายก็ได้ หากเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็ให้เผาบ้านเผาเสบียงอาหารเผาทุกสิ่งทุกอย่างเสียให้หมดอย่าให้เหลือไว้เป็นประโยชน์แก่ผู้รุกรานเลย คณะรัฐมนตรีจึงส่งผู้แทนไปพบกับผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่นแจ้งให้เขาทราบว่านายกรัฐมนตรียังไม่กลับ ขอให้เขายับยั้งการเคลื่อนกำลังทหารของเขาเข้าประเทศไทยก่อนเพื่อป้องกันมิให้มีการสู้รบกัน ฝ่ายญี่ปุ่นก็บอกว่าเขาจะยับยั้งได้อย่างไร เพราะการติดต่อก็กระทำได้ไม่สะดวกนักและทั้งทำได้ไม่รวดเร็วนักด้วย คือเขาต้องโทรเลขแจ้งไปที่ไซ่ง่อนและกว่าทางกองบัญชาการกองทัพของเขาที่ไซ่ง่อนจะติดต่อไปยังแนวรบได้ทั่วถึงก็กินเวลานาน เขาจึงยืนยันขอร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการแทนไปยังทหารไทยให้หยุดทำการต่อสู้จะได้หรือไม่ ทางเราก็บอกเขาไปว่าเราจะสั่งการเช่นนั้นไม่ได้ เพราะในขณะนี้การบังคับบัญชาทหารและการสั่งการใด ๆ ในทางทหารขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการทหารสูงสุดแต่เพียงคนเดียว ได้มีการเจรจากัน โต้ตอบกันโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมในทางการทูตและชิงไหวชิงพริบตลอดเวลา รวมทั้งเอาหลักกฎหมายเป็นข้ออ้างด้วยเพื่อประวิงเวลาให้นายกรัฐมนตรีกลับเสียก่อน ผู้แทนฝ่ายไทยก็มี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ (ในขณะนั้นยังดำรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ) นายปรีดี พนมยงค์ และนายดิเรก ชัยนาม เป็นผู้ไปเจรจา ทางฝ่ายญี่ปุ่นก็บอกว่าเขาทราบอยู่เหมือนกัน ว่ามีกฎหมายกำหนดหน้าที่ไว้เช่นนั้นว่าในขณะนี้มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจสั่งการอะไรได้ทุกอย่าง แต่เขาไม่อยากยอมรับทราบในสถานการณ์เช่นนี้ จึงใคร่ที่จะขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้สั่งการแทนจะได้หรือไม่ ทางผู้แทนของเราที่ไปเจรจาก็บอกว่าขอให้เขารออีกสักหน่อยเถอะเพราะเราได้พยายามทุกวิถีทางแล้วที่จะติดต่อกับนายกรัฐมนตรีให้เดินทางกลับโดยด่วน จึงขอให้เขาเห็นใจ ยับยั้งการเคลื่อนทัพของเขาไว้ก่อน

ความจริงแม้การเจรจาระหว่างผู้แทนไทยกับผู้แทนญี่ปุ่นจะยังคงดำเนินอยู่ก็ตาม แต่การรบระหว่างหน่วยทหารและตำรวจไทยกับกองทหารญี่ปุ่นก็ดำเนินไปอย่างรุนแรงในทุกจุดที่ญี่ปุ่นบุกเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่าแพ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จังหวัดสงขลา ที่จังหวัดปัตตานี และที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีการบาดเจ็บล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย

เวลา 6.50 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีก็เดินทางกลับมาถึงพระนครเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พอนายกรัฐมนตรีได้นั่งที่เรียบร้อยแล้ว พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ก็รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนตลอด โดยได้ท้าวความไปถึงว่า เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นพร้อมด้วยทูตทหารและเจ้าหน้าที่ประจำสถานเอกอัครราชทูตได้มาขอพบเพื่อยื่นข้อเสนอบางประการ รองนายกฯ จึงได้แจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบว่า การขอพบเพื่อยื่นคำขาดเช่นนี้ยังไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิถีทาง ขอให้เขาไปพบกับนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตามระเบียบ ในที่สุดเขาก็ไปพบและได้ยื่นบันทึกข้อเสนอมีสาระสำคัญว่า วันนี้ (เขาหมายถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2484) จะเป็นวันเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายของรัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่ทราบ เพราะว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว เพราะญี่ปุ่นพยายามที่จะรักษาสันติภาพแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล คำแถลงการณ์ของโตโจในสภาพิเศษมีอยู่ 3 ข้อคือ :—

(1) ปิดทางช่วยรัฐบาลจุงกิง (จุงกิงนั้นเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของประเทศจีนในระหว่างประเทศจีนทำสงครามกับประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างนั้นประธานาธิบดี จอมพลจางไคเจ๊ก ยังเป็นประมุขของประเทศจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่อยู่)

(2) ไม่ให้ช่วยทางเศรษฐกิจโดยวงล้อม A.B.C.D. (คำว่า A หมายถึงสหรัฐอเมริกา B หมายถึงบรีติ๊ช คืออังกฤษ C หมายถึงไชน่า คือจีน และ D นั้นหมายถึง ดัทซ์คือเนเธอร์แลนด์หรือฮอแลนด์) และ

(3) รัฐบาลญี่ปุ่นได้พยายามที่จะทำทุกทางแล้วด้วยสันติวิธีในการเจรจาที่กรุงวอชิงตันแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงจำเป็นต้องกระทำสงครามกัน และนอกจากนั้นถ้าจะมองดูสงครามทางด้านยุโรปแล้วจะเห็นได้ว่าสงครามได้ใกล้เข้ามาจนถึงอีรัคและอีหร่านอยู่แล้ว น่ากลัวว่าอาจรุกลามมาถึงประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นพวกเราชาวเอเชียจะต้องร่วมกันเพื่อทำให้เอเชียเป็นของคนเอเชีย บัดนี้ประเทศญี่ปุ่นได้เตรียมสู้รบกับข้าศึกของเราแล้ว ไม่ใช่จะมาต่อสู้กับคนไทยเลย ถึงหากจะมีการต่อสู้กันและกองทัพญี่ปุ่นได้ผ่านประเทศไทยไปแล้ว ญี่ปุ่นก็จะไม่ถือว่าไทยเป็นข้าศึก แต่ถ้าหากว่าไทยจะร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับญี่ปุ่นแล้ว คำที่ว่าเอเชียของเอเชียก็จะเป็นอันสำเร็จผลแน่ และประเทศไทยอันเป็นประเทศเอกราชอยู่แล้วนั้นก็จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นขอจากไทยก็คือ ขอให้กองทัพของญี่ปุ่นผ่านผืนแผ่นดินไทยไปเท่านั้น ทั้งนี้ก็ด้วยความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ เพราะฉะนั้นจึงใคร่ขอความสะดวกโดยขออย่าให้กองทัพทั้งสองประเทศต้องมารบกันเองเลยเพราะญี่ปุ่นจะไม่ถือว่าไทยเป็นศัตรู จึงหวังว่าไทยจะมีความสามัคคีร่วมมือกับญี่ปุ่นในความจำเป็นครั้งนี้ กับขอให้จัดกำลังตำรวจระวังรักษาชาวญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศไทยโดยทั่วไปด้วย

พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ได้แถลงเพิ่มเติมว่า ได้รับทราบมาด้วยว่าญี่ปุ่นได้ส่งกองเรือรบมาเป็น 3 กระบวนด้วยกัน กระบวนหนึ่งบ่ายโฉมหน้าตรงไปยังจังหวัดสงขลา ในกระบวนนี้มีเรือรบรวมด้วยกันทั้งสิ้นประมาณ 15 ลำ อีกกระบวนหนึ่งมุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกบริเวณเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี และอีกกระบวนหนึ่งมุ่งตรงมาทางจังหวัดสมุทรปราการ คือที่ปากน้ำ สำหรับที่จังหวัดสงขลากับที่จังหวัดปัตตานีนั้น ได้ข่าวว่าญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกและได้ทำการสู้รบกับทหารและตำรวจไทย และที่รบกันอย่างดุเดือดและรุนแรงนั้นก็ที่แม่น้ำน้อย จังหวัดสงขลา ตำรวจและทหารไทยได้รวมกำลังกันทำการต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ส่วนที่จังหวัดปัตตานีก็กำลังรบกันรุนแรงในตัวเมือง ได้มีหน่วยยุวชนไทยเข้าสมทบกับกำลังตำรวจด้วย โดยเข้ายึดสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานีไว้และมีการรบกันรุนแรงมาก ส่วนเหตุการณ์ภายนอกประเทศนั้นได้ทราบว่าญี่ปุ่นได้โจมตี เพิลฮาร์เบอร์กับเกาะต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ได้ทิ้งระเบิดคลังน้ำมัน สายโทรเลขและโทรศัพท์ได้ถูกตัดขาดหมดใช้การไม่ได้ เพื่อตัดกำลังและการติดต่อของกองทัพเรืออเมริกัน และพร้อมกันนั้นญี่ปุ่นก็ได้เข้าโจมตีประเทศฟิลิปปินส์ด้วย ส่วนทางด้านอังกฤษก็ได้ทราบว่าทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองโกตาบารู และได้ยกพลขึ้นบกสำเร็จที่เมืองกลันตันใกล้กับเขตแดนไทยประมาณ 15 ไมล์ ส่วนทางเมืองสิงคโปร์ญี่ปุ่นก็ใช้เครื่องบินเข้าโจมตีด้วย แปลว่าญี่ปุ่นได้เปิดฉากโจมตีทุกแห่งไปหมดทุก ๆ ชาติช่วยเหลือกันไม่ได้ต่างจึงต้องช่วยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ฟังรายงานจบลงกับได้รับข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรบระหว่างหน่วยทหารญี่ปุ่นกับทหารและตำรวจไทยแล้ว ก็ได้ขอความเห็นจากที่ประชุมว่าเราจะตัดสินใจกันอย่างไรต่อไป เพราะในระหว่างที่เราพูดกันอยู่นี้ญี่ปุ่นกับไทยกำลังรบกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ หลายแห่ง เรายังจะให้รบกันอยู่ต่อไปหรือจะให้หยุดยิง เพราะทุก ๆ นาทีคนไทยจะต้องตาย นี่กองทหารของเราที่ปัตตานีก็จะละลายไปหนึ่งกองพันแล้ว

พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ได้แสดงความเห็นว่า เรื่องนี้เราจะต้องพิจารณากันให้รอบคอบทุกแง่ทุกมุม เราจะหวังพึ่งใครในเวลานี้ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะอังกฤษเขาก็ต้องช่วยตัวของเขาเอง เขาไม่สามารถจะมาช่วยเราได้ ส่วนทางอเมริกาเล่าก็คงเช่นเดียวกัน คือเขาจะส่งทหารหรือแม้แต่อาวุธมาช่วยเราก็ไม่ได้ เพราะเขาเองก็ถูกโจมตีแทบทุกแห่ง แม้ที่เกาะฟิลิปปินส์ก็กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก แปลว่าทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างก็ช่วยไทยไม่ได้ อังกฤษจะช่วยอเมริกาก็ไม่ได้ และอเมริกาจะช่วยอังกฤษก็ไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน เราจึงต้องพึ่งตัวเอง เวลานี้ญี่ปุ่นกำลังรอฟังคำตอบจากเราว่าเราจะตกลงใจอย่างไร เราจะควรผ่อนผันให้เขาเพียงใดหรือไม่ เพราะเมื่อเขาไม่กลัวอเมริกาและเขาก็ไม่กลัวอังกฤษซึ่งต่างก็เป็นมหาประเทศเช่นนี้แล้ว เขาจะมากลัวเราทำไม จริงอยู่เรามีทหาร แต่การรบนั้นหมายความว่าเราต้องรบกันตามลำพังคนเดียวและตามกำลังความสามารถของกองทัพไทย และเมื่อได้คะเนถึงกำลังระหว่างญี่ปุ่นกับไทย อีกทั้งเราอาจถูกปิดเส้นทางคมนาคมทางทะเล คือ Blockado แล้วใครจะมาช่วยเราได้ และถ้าเรารบแพ้เขาแล้วก็เท่ากับเราจะต้องเป็นขี้ข้าคือเป็นเมืองขึ้นของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ เว้นแต่เราจะคิดสู้รบโดยหนีออกไปตั้งรัฐบาลอยู่นอกประเทศ แต่เท่าที่ได้ปรากฏมาในยุโรปหลายประเทศด้วยกันนั้น รัฐบาลที่อยู่นอกประเทศมีเสียงไม่ดังพอ และถ้าหากเราจะสู้ต่อไปโดยไปตั้งรัฐบาลอยู่นอกประเทศแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยที่ประเทศไทยจะต้องถูกยึดครองและอยู่ในความควบคุมของเขา แม้เขาจะให้คนไทยเป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมืองต่อไปก็ตาม แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้อาณัติและคำบงการของเขา เมื่อได้พิจารณาโดยรอบคอบทุกแง่ทุกมุมแล้วก็ขอให้ความเห็นว่า ญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ขอร้องให้เราประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา และเราเองก็ไม่พยายามที่จะประกาศสงครามกับเขาด้วย ฉะนั้นอังกฤษกับอเมริกาก็น่าจะเห็นใจเราซึ่งเป็นประเทศเล็ก เพราะเขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่จะส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้เราก็ยังไม่ได้ และการที่เราขอผลัดเวลาสำหรับการตกลงใจจากนายกรัฐมนตรีนี้ ทหารไทยก็ได้ต่อสู้ทำหน้าที่ป้องกันการรุกรานแล้ว ซึ่งแปลว่าเราได้ต่อสู้ไม่ใช่ว่ายอมแพ้โดยไม่สู้รบตบมือกับญี่ปุ่นเสียเลย เช่นที่ปัตตานีกับสงขลาเราก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างทรหด และยังมีการรบกันที่อื่นอีกหลายแห่งซึ่งยังไม่ได้รับรายงาน ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นพยานได้อย่างดีว่า เราได้ทำหน้าที่รักษาความเป็นกลางของเราแล้ว คราวนี้การที่เราจะตกลงใจต่อไปนั้นก็ควรเป็นไปในลักษณะผ่อนหนักให้เป็นเบา คือควรจะยอมผ่อนผันตามคำร้องของเขา แต่เราจะไม่ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา การผ่อนผันตามที่เขาขอเพียงแค่นี้ก็ยังไม่ควรเรียกว่าร่วมมือกับญี่ปุ่นที่เดียว เพราะในข้อเสนอของเขาก็ไม่มีว่าเราจะต้องให้ความร่วมมือทางทหารกับเขาแต่อย่างไร จริงอยู่แม้การผ่อนผันให้แก่ญี่ปุ่นเช่นนี้ ความเป็นเอกราชของเราจะลดลงไป แต่การลดลงเพียงแค่นี้ยังดีกว่าที่จะต้องเป็นขี้ข้าเขาร้อยเปอร์เซ็นต์จนถึงกับเป็นเมืองขึ้นของเขาและถ้าหากญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำคือไปแพ้อังกฤษและอเมริกาเข้า อังกฤษกับอเมริกาก็น่าจะเห็นใจเราในฐานะที่เป็นประเทศเล็ก และเราก็ได้ทำการป้องกันต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นตามหน้าที่แล้ว

รัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่มีความเห็นพ้องกับข้อเสนอของ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส และเมื่อได้มีการอภิปรายกันเป็นเวลาพอสมควรแล้วนายกรัฐมนตรีก็ได้ตัดสินใจสั่งให้หยุดยิงและระงับการต่อสู้ ยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านได้เมื่อเวลา 7.30 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพราะเห็นว่า ถ้าขืนสู้รบกับกองทหารญี่ปุ่นต่อไปก็เท่ากับฆ่าตัวตายเปล่า ๆ ส่วนที่จะตกลงกันได้แค่ไหน หรืออย่างไรนั้นขอให้รอฟังผลของการเจรจากันทางการทูตต่อไป นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ความจริงเจตนาของญี่ปุ่นนั้นเท่าที่ได้เคยติดต่อกันมานานแล้ว ญี่ปุ่นขอให้ฝ่ายเราพิจารณาให้ดีว่า

(1) เราจะเข้าเป็นพันธมิตรกับเขาหรือไม่

(2) ถ้าเราไม่เข้ากับเขา เราก็ต้องรบกับเขา หรือ

(3) ให้เราทำเฉย ๆ เสียโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เวลาแกยกทหารผ่านประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้เคยนำเอามาพูดกันในคณะรัฐมนตรีครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้พิจารณากันจริงจังอะไรลงไป เพราะไม่นึกว่าเรื่องจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ จู่ ๆ โตโจก็เดินพรวด ๆ เข้ามา

เมื่อได้ตกลงกันที่จะให้หยุดยิงแล้วนายกรัฐมนตรีกับนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ออกจากที่ประชุมเพื่อไปพบกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกับคณะของเขา ซึ่งนั่งรอคอยฟังคำตอบจากรัฐบาลอยู่ ได้มีการเจรจากันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็กลับเข้าสู่ห้องประชุมและได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอมาเพื่อให้ฝ่ายไทยเลือกเอาว่าจะตกลงรับข้อเสนอข้อใด คือ.—

(1) จะให้ประเทศไทยเข้าเป็นไตรภาคีตามกติกาสัญญาไตรภาคีฉบับลงวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 ซึ่งได้มีการลงนามกันระหว่างผู้นำของประเทศเยอรมันนี ประเทศอิตาลี และประเทศญี่ปุ่น ดังที่เราเรียกกันว่า “อักษะประเทศ” หรือ

(2) ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือทางทหารกับประเทศญี่ปุ่น โดยอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยและอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นทุกประการในการที่กองทัพญี่ปุ่นจะเดินทัพผ่านไปนั้น กับทั้งจะได้จัดการโดยทันทีเพื่อป้องกันการปะทะกันที่อาจเกิดมีขึ้นระหว่างทหารญี่ปุ่นกับทหารไทย หรือ

(3) ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นทำสัญญาสัมพันธไมตรีทางทหารร่วมรบร่วมรุกและร่วมการป้องกันร่วมกัน

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะให้หลักประกันว่า เอกราช อธิปไตย และเกียรติยศของประเทศไทยจะได้รับความเคารพนับถือ และเขาจะร่วมมือกับประเทศไทยในการที่จะเอาดินแดนซึ่งประเทศไทยได้เสียไปคืนมา จึงขอให้ที่ประชุมพิจารณากันดูว่าเราจะเลือกเอาอย่างไหน แต่ก่อนอื่นนั้นขอเสนอให้มีการหยุดยิงกันเสียก่อน หากอย่างไรเราจะรบกันอีกก็เอา หรือจะร่วมมือกับเขาก็เอา คือเอาทั้งนั้น ขอให้พิจารณาดูให้ดีก็แล้วกัน

นายปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวว่า ตามรูปที่ญี่ปุ่นเสนอมานี้เขาไม่ยอมให้เราทำตามแบบที่ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส เสนอใช่ไหม เพราะตามข้อเสนอของเขานั้นดูคล้ายเป็นทำนองว่า ถ้าหากเราไม่รบกับเขาก็ต้องยอมเป็นพวกเดียวกับเขา เช่นนี้ใช่หรือไม่ ได้มีการอภิปรายถกเถียงกันในข้อเสนอของฝ่ายญี่ปุ่นอยู่นาน จนในที่สุดเมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นว่า บรรดารัฐมนตรีในคณะมีความลังเลใจ ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรถูกแล้วก็ได้พูดขึ้นมาว่า เรื่องมีอยู่ว่า เราจะรบเขาหรือไม่รบเท่านั้นเอง รัฐมนตรีทุกคนต่างมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ในลักษณะเข้าตาจนแล้วด้วยกันทั้งนั้น ใจหนึ่งก็อยากรบ เพราะความแค้นเคืองที่เห็นญี่ปุ่นมาข่มเห่งล่วงละเมิดอธิปไตยของเรา แต่อีกใจหนึ่งก็ทราบดีว่า หากเรารบกับญี่ปุ่นก็เท่ากับฆ่าตัวตายเท่านั้นเองเพราะไม่มีทางสู้ได้เลย ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ ก็ได้ให้ความเห็นว่า เมื่อเราสั่งให้หยุดยิงและวินิจฉัยไปในทางที่เราจะไม่รบกับญี่ปุ่นแล้ว เราก็ควรจะตกลงกับเขาด้วยว่า เราจะไม่รบกับอีกฝ่ายหนึ่ง คือจะไม่รบอังกฤษและอเมริกาด้วย และควรจะเอาแบบประเทศสวีเดน คือ ให้แต่ทางผ่านไปเท่านั้น แต่เราจะไม่ช่วยอะไรหมด เพราะตามข้อเสนอของญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องการร่วมมือทางทหารทั้งนั้นไม่ใช่เพียงแต่ให้เดินทัพผ่านอย่างเดียว จึงเห็นว่า เราควรร่างข้อตกลงของเราเองมาดูกันเสียใหม่ให้เป็นไปในรูปให้แต่ทางผ่านอย่างเดียว

เมื่อได้ถกเถียงกันจนเป็นที่พอใจแล้วรู้สึกว่า รัฐมนตรีส่วนมากเห็นควรมอบเรื่องให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้วินิจฉัย เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นทั้งหัวหน้ารัฐบาลและเป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดย่อมทราบสถานการณ์ทั่วไปได้ดีทั้งในแง่การทหารและการเมืองว่า ควรจะตกลงใจอย่างไรจึงจะเป็นการเหมาะสม รัฐมนตรีส่วนมากก็ได้ออกความคิดเห็นไปในทางที่ไม่ประสงค์จะร่วมมือกับญี่ปุ่น และไม่ต้องการจะสู้รบกับญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงได้กล่าวขึ้นว่า ความจริงเราก็ได้ต่อสู้เพื่อความเป็นกลางของเราแล้ว อังกฤษและอเมริกาคงจะว่าเราไม่ได้และคงเห็นใจเราบ้าง ในที่สุดเมื่อเวลา 7.30 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งให้หยุดยิง และได้มอบให้พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ นายดิเรก ชัยนาม กับนายวนิช ปานะนนท์ เป็นผู้แทนไปเจรจากับญี่ปุ่น ครั้นเวลาประมาณ 10.10 น. คณะผู้แทนที่ไปเจรจาก็กลับเข้าสู่ที่ประชุมและแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ฝ่ายญี่ปุ่นยอมตกลงและเขาได้กล่าวว่า เมื่อเราได้ตกลงกันเช่นนี้แล้ว เรายังจะต้องมีการตกลงกันในทางเศรษฐกิจกับการคลังอีก แต่ไม่ต้องใส่ไว้ในข้อตกลงที่จะเซ็นกันในเรื่องการทหารดอก เขาจะได้ขอเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการเอง นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้กล่าวขึ้นว่า เรื่องเอกราชและอธิปไตยของเรานั้นญี่ปุ่นจะต้องเคารพอย่างเคร่งครัด และที่เราได้ตกลงกับเขานี้ก็เฉพาะเรื่องทหารอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน จะมาเอาเรื่องอื่น เช่น เรื่องการเศรษฐกิจและการคลังมารเงินมาพัวพันด้วยไม่ได้ ขอให้ทำความเข้าใจกับญี่ปุ่นตามนี้ให้เป็นที่แจ่มแจ้งด้วย ที่ประชุมเห็นชอบด้วยกับข้อท้วงติงของ นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้มอบให้คณะผู้แทนชุดเดิมไปทำความเข้าใจกับฝ่ายญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่งโดยมีหลักการในการเจรจาอยู่ 4 ข้อว่า .—

(1) การที่ยอมให้ฝ่ายญี่ปุ่นนำทหารผ่านดินแดนของประเทศไทยนี้ต้องไม่ปลดอาวุธทหารไทย

(2) เรื่องกองทัพญี่ปุ่นขอผ่านนั้นจะเพียงแต่ผ่านเท่านั้น จะไม่พักอยู่ที่กรุงเทพฯ

(3) ข้อตกลงที่จะตกลงกันนี้ ให้มีขีดจำกัดเฉพาะในเรื่องการทหารเท่านั้น และ

(4) ข้อตกลงนี้เป็นอันเด็ดขาดจะไม่มีขออะไรเพิ่มเติมเข้ามาภายหลังอีก

เมื่อได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วรัฐบาลก็ได้ออกคำแถลงการณ์ และเตรียมร่างพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมวิสามัญสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เวลา 11.55 น. ก็ได้เลิกการประชุม ซึ่งได้ประชุมกันมาตลอดทั้งคืน

ที่ข้าพเจ้าได้เขียนมาค่อนข้างจะยืดยาวสักหน่อยนี้ก็เพราะเห็นว่า ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 นั้น เป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งทางประวัติศาสตร์ และเป็นวันที่ประเทศไทยและคนไทยต้องเศร้าโศกเสียใจ เป็นวันที่เอกราชและอธิปไตยของชาติไทยต้องเศร้าหมองและถูกกระทบกระเทือน ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่เลขาธิการตั้งแต่ต้นจนจบ คือ ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.30 น. ของวันที่ 7 ธันวาคม ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เวลา 11.55 น. รัฐมนตรีทุกคนรวมทั้งตัวข้าพเจ้าได้กลับบ้านด้วยความรันทดใจเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่เกิดมาในชีวิตไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย

ครั้นต่อมาจะเป็นวันที่เท่าใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ แต่เข้าใจว่า ระหว่างวันที่ 10 ถึง 12 ธันวาคม หรือไงนี่แหละ แต่ที่แน่ใจนั้นก็ภายหลังที่รัฐบาลได้เซ็นสัญญายอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ไม่กี่วัน รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้เริ่มเจรจาขอกู้เงินจากไทยเป็นงวดแรก เพื่อใช้จ่ายในกิจการของทหารญี่ปุ่น นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การที่จะให้รัฐบาลญี่ปุ่นกู้เงินไปเพื่อใช้จ่ายในกิจการทหารของเขานั้นเข้าใจว่า คงจะไม่กู้แต่เพียงจำนวนเท่านี้ แต่จะต้องขอกู้มาอีกเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดตามความจำเป็นในทางทหารของเขา หากเราให้กู้ก็จะต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้มีธนบัตรหมุนเวียนในท้องตลาดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเป็นผลเสียทางเศรษฐกิจ คือ จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ (Inflation) จึงเห็นควรให้ทหารญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรของเขาขึ้นใช้เองในกองทัพของเขาเรียกว่า Invasion notes จะดีกว่า ทั้งนี้ เพื่อว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วเราจะได้ประกาศยกเลิกธนบัตรเหล่านี้เสีย หากทำได้เช่นนี้เมื่อเสร็จสิ้นสงครามแล้วการเงินและการเศรษฐกิจของประเทศก็จะได้ไม่ถูกกระทบกระเทือนและจะไม่เกิดเงินเฟ้อขึ้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแย้งว่า การที่จะปฏิบัติตามความเห็นและตามข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น แม้จะเป็นการป้องกันมิให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นได้ก็ตาม แต่ก็เท่ากับเป็นการแสดงว่า เราได้เสียเอกราชและอธิปไตยไปแล้วจึงไม่เห็นด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้แถลงค้านว่า ก็การที่เรายอมให้ทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองและทำอะไรได้ต่าง ๆ น่ะไม่ได้แปลว่า เราได้เสียเอกราชและอธิปไตยไปแล้วดอกหรือ ในเรื่องนี้รู้สึกว่าได้มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็คงยืนยันในความเห็นที่จะให้กองทัพญี่ปุ่นยืมเป็นเงินบาทโดยพิมพ์ธนบัตรออกใช้เพิ่มเติมให้มากขึ้นตามความจำเป็น และต่อมาอีกไม่กี่วันก็ได้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ นายปรีดี พนมยงค์ ได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งยังว่างอยู่อีกตำแหน่งแทน และในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ยังมีรัฐมนตรีอีกสองสามคนได้พ้นจากตำแหน่งไปด้วย เท่าที่จำได้ก็มีนายดิเรก ชัยนาม พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ถูกส่งไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงโตเกียวในภายหลัง) กับนายวิลาส โอสถานนท์ เป็นอันว่าเราต้องพิมพ์ธนบัตรให้กองทัพญี่ปุ่นไปใช้อยู่เรื่อย ๆ โดยมีทองคำส่วนหนึ่งผูกหูไว้ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักประกัน กับมีเงินเยนเป็นส่วนมากเป็นหลักประกันในตอนหลัง และยิ่งกว่านั้นรัฐบาลญี่ปุ่นยังได้ปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินเยน โดยเพิ่มค่าของเงินเยนให้สูงขึ้นให้เป็น 1 เยนเท่ากับ 1 บาท ซึ่งแต่ก่อนนี้อัตราแลก เปลี่ยน 1.50 เยน เท่ากับ 1 บาท ทั้งนี้คงเนื่องมาจากการกู้ยืม เพราะญี่ปุ่นประสงค์จะใช้เงินคืนเราเป็นเงินเยนจำนวนน้อยลงนั่นเอง

 

เรือประจัญบาน HMS Prince of Wales (บน) และเรือลาดตระเวนประจัญบาน HMS Repulse (ล่าง)
กำลังถูกโจมตีโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดของกองทัพเรือญี่ปุ่นในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ก่อนที่เรือทั้งสองลำจะจมลงในวันเดียวกัน
ที่มา : IWM

 

ในระยะเริ่มแรกของสงครามนั้น กองทัพญี่ปุ่นได้ทำการรบมีชัยในทุกสมรภูมิ ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ และในเดือนมกราคม 2485 (ประมาณวันที่ 23 หรือ 24 มกราคม 2485) เรือรบอันทรงอานุภาพยิ่งและใหญ่ที่สุดของอังกฤษ 2 ลำคือ เรือ พริ๊นส์ ออฟ เวลส์ (Prince of Wales) กับเรือ รีพัลส์ (Repulse) ซึ่งทางราชการทหารเรืออังกฤษได้อวดนักอวดหนาว่าเป็นเรือรบที่มีเกราะหุ้มเรือหนาสามารถทนต่อการโจมตีของข้าศึกได้ จนถึงกับมีชื่อเรียกกันว่า เรือรบที่ไม่จม กองทัพเรือกับกองทัพอากาศเยอรมันได้พยายามจมเรือรบทั้งสองนี้ในการรบทางทะเลที่ยุโรปเป็นเวลาช้านาน แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จ ครั้นได้เกิดสงครามในเอเซียบูรพาขึ้น อังกฤษก็ได้ส่งเรือรบทั้งสองนี้มาปฏิบัติการป้องกันรักษามลายูและสิงคโปร์ พร้อมกับหน่วยเรือรบอื่น ๆ แต่ก็ถูกกองทัพเรือและกองทัพอากาศของญี่ปุ่นโจมตีเรือทั้งสองนี้จมลงได้ทั้ง 2 ลำ นอกฝั่งมลายูในชั่วระยะเวลาอันรวดเร็วในวันเดียวกัน ทำให้โลกตกตลึงและงงงันกันไปหมด ส่วนการรบทางบกนั้นเล่า กองทหารญี่ปุ่นก็รุกคืบหน้าเข้ามลายูอย่างรวดเร็ว กองทัพอังกฤษไม่สามารถต่อต้านกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้ เกาะฮ่องกงก็ยอมแพ้ไปแล้ว ทางสิงคโปร์ก็ได้รับการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินญี่ปุ่นอย่างหนัก ส่วนทางแนวรบด้านยุโรป กองทัพเยอรมันก็รบรุกแบบสายฟ้าแลบ และมีชัยชนะต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในเกือบทุกแนวรบ ฉะนั้น เมื่อเรือรบของอังกฤษ 2 ลำ คือเรือ Prince of Wales และ Repulse ถูกโจมตีจมลงโดยรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้ จึงทำให้นักการทหารและนักการเมืองบางคนของเราเสนอความคิดเห็นไปยังนายกรัฐมนตรีว่า ไหน ๆ ประเทศไทยเราก็ได้หลวมตัวมาถึงเพียงนี้แล้ว และการรบก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าฝ่ายอักษะประเทศจะต้องเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด หากเราร่วมมือกับญี่ปุ่นแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้ ต่อไปเมื่อฝ่ายอักษะเป็นผู้ชนะสงคราม ไทยเราก็จะไม่ได้อะไร จึงควรเข้าข้างญี่ปุ่นให้เต็มที่ โดยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาเสียเลย เรายังจะได้ชื่อว่า เป็นฝ่ายชนะและได้ส่วนแบ่งอะไรกับเขาบ้าง

ในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น เนื่องจากเรือรบของอังกฤษ 2 ลำ ที่ถูกฝ่ายญี่ปุ่นทำลายจมลงในวันเดียวกันนี่เอง จึงเป็นเหตุให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ หลวงวิจิตรวาทการเสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เห็นควรให้ประเทศไทยประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษและอเมริกา ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย และได้ตกลงให้ถือเอาเวลาเที่ยงตรง (คือ 12.00 น.) ของวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นวันประกาศสงคราม และเมื่อได้ร่างประกาศเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วจึงส่งไปให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนามเพื่อประกาศต่อไป

ตามระเบียบนั้น จะเป็นพระราชบัญญัติก็ตาม หรือพระบรมราชโองการใด ๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธย หรือลงนามก่อนแล้วนายกรัฐมนตรีจึงจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในภายหลัง แต่ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม มักจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อนเสมอแล้วจึงเสนอให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนามในภายหลัง การประกาศสงครามครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อนแล้วจึงได้ส่งไปให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนาม คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ (1) พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา (2) พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน และ (3) นายปรีดี พนมยงค์

ในวันประกาศสงครามนั้นตรงกับวันที่ 25 มกราคม 2485 และเป็นวันที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ตกลงในเรื่องการประกาศสงครามแล้วก็ได้กำหนดให้อ่านประกาศในเวลา 12.00 น. ตรง พอเวลาประมาณ 11.00 น. เศษ ได้มีเจ้าหน้าที่มารายงานนายกรัฐมนตรีว่า คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 2 คนเท่านั้น คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา กับ พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ส่วนผู้สำเร็จราชการฯ อีกคนหนึ่ง คือ นายปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้อยู่ในพระนคร ทราบว่าไปต่างจังหวัด คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงลงพระนามและลงนามเพียง 2 คนเท่านั้น จะรอให้ลงนามครบคณะทั้ง 3 คน เกรงว่าจะประกาศให้ทันเที่ยงวันของวันนี้ไม่ได้ แต่ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้มีรับสั่งว่า ให้ประกาศชื่อของนายปรีดี พนมยงค์ ลงไปก็แล้วกันแม้จะไม่ได้ลงนามก็ตามท่านจะทรงรับผิดชอบเอง จึงเป็นอันว่าการประกาศสงครามในวันที่ 25 มกราคม 2485 นั้น ความจริงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนามในประกาศเพียง 2 คน เท่านั้น แต่ได้อ่านประกาศเป็น 3 คนให้ครบคณะ อันไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง

 

ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

ในปี พ.ศ. 2485 นั้น ญี่ปุ่นได้รบมีชัยชนะเรื่อยในทุกสมรภูมิ และยังได้เข้ายึดครองมลายูทั้งเกาะสิงคโปร์ไว้ได้ทั้งหมดภายใต้การนำของแม่ทัพบกชื่อพลเอก ยามาชิตา ซึ่งได้ถูกจับ และได้ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตภายหลังเมื่อประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้แก่สัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไขแล้ว ในฐานะเป็นอาชญากรสงคราม เมื่อสิงคโปร์ได้ยอมแพ้แก่ญี่ปุ่นแล้วก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “โซนาน” หรือ “โซนานโต” ทันที ครั้นในปลายปี พ.ศ. 2485 การรบทางภาคพื้นยุโรปก็ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเข้าขั้นแตกหัก พอต้นปี พ.ศ. 2486 ในราวเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพเยอรมันก็ยอมแพ้แก่กองทัพรัสเซียที่เมืองสตาลินกราด แล้วต่อมากองทัพสัมพันธมิตรก็ยกพลขึ้นบกได้ที่เกาะซีซีลี่ และกรุงโรมนครหลวงของประเทศอิตาลีก็ถูกโจมตีทางอากาศ แล้วในไม่ช้าซินยอมุสโซลินี ผู้นำของอิตาลีได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งและหมดอำนาจลง แล้วจอมพลบาโตกลีโอ คู่ปรปักษ์ของมุสโซลินี ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน และอิตาลีก็ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข

ส่วนเหตุการณ์ภายในประเทศไทยในระยะนี้ก็เริ่มระส่ำระสายขึ้น รัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่รู้จะได้รับความนิยมจากประชาชน เพราะได้มีการบังคับจิตใจต่าง ๆ นา ๆ เช่น บังคับให้ผู้หญิงใส่หมวก บังคับให้ตัดต้นพลู ห้ามกินหมาก สั่งให้ตัดต้นหมาก หากใครไม่ใส่หมวกก็จะไปติดต่อกับทางราชการไม่ได้ จึงไม่ได้รับความสะดวกต่าง ๆ รัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎรที่มีการขัดแย้งกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้น ครั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ข้าพเจ้าก็ได้ลาออกจากราชการ คือ จากรัฐมนตรีและจากตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการที่นายกรัฐมนตรีได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแต่แล้วก็ไม่ออก ข้าพเจ้าจึงไปพักผ่อนอยู่ที่บังกาโลหัวหิน ค่ำวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2486 แต่จะเป็นวันที่เท่าใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ให้คนมาเชิญข้าพเจ้าไปพบที่บ้านพักในพระราชวังไกลกังวล (หัวหิน) เมื่อข้าพเจ้าไปถึงและได้นั่งคุยกันอยู่สองต่อสอง นายปรีดีฯ ก็เอ่ยปากชวนข้าพเจ้าให้ร่วมทำงานเสรีไทยด้วยกัน โดยกล่าวเป็นใจความว่า นายปรีดีฯ ได้เริ่มติดต่อกับอังกฤษและอเมริกา โดยส่งคนออกไปพบกับผู้แทนเสรีไทยนอกประเทศหลายคนแล้ว โดยแบ่งออกเป็นสาย ๆ และคนหนึ่งที่ส่งไปก็ล้มป่วยถึงแก่กรรมลงกลางทาง เสรีไทยผู้นี้ชื่อนายกำจัด พลางกูร เพราะการเดินทางนั้นนอกจากจะต้องเสี่ยงอันตรายรอบด้านแล้วยังต้องเดินทางด้วยเท้าบุกป่าผ่าดงทุรกันดารมาก นายปรีดีฯ ได้ชี้แจงกับข้าพเจ้าว่า ควรจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่นอกประเทศทำนองเดียวกับที่นายพล ชาลส์ เดอร์โกล ได้ไปตั้งรัฐบาลฝรั่งเศสที่ประเทศอังกฤษ โดยจะได้หาทางเจรจาชี้แจงเหตุผลกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ลงมติเลือกให้ข้าพเจ้าเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อข้าพเจ้าได้เป็นประธานสภาฯ แล้ว นายปรีดีฯ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กับข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร อันชอบด้วยกฎหมายพร้อมด้วย ม.ล. กรี เดชาติวงศ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็จะได้ร่วมเดินทางไปยังต่างประเทศด้วยกันเพื่อไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่นอกประเทศ เพราะเมื่อมีตัวผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร และมีรัฐมนตรีนายหนึ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้วจะทำอะไรหรือจะประกาศอะไรออกมาก็ถือว่า ประกาศนั้นเป็นพระบรมราชโองการ และสมบูรณ์ตามกฎหมายถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ นายปรีดีฯ กับข้าพเจ้าได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนเป็นที่ตกลงและข้าพเจ้ายินดียอมรับร่วมมือในงานเสรีไทยเพื่อช่วยกอบกู้เอกราชของชาติไทยในครั้งนี้

 

หมายเหตุ :

  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ทวี บุณยเกตุ, เรื่อง “ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2”, เบื้องแรกประชาธิปตัย บันทึกความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัย พ.ศ. 2475-2500 (ม.ป.ท.: สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย, 2516), หน้า 300-317.