ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๙๕ ตอนที่ 27 : ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม ภาค 1 บทบาทของเสรีไทย

6
สิงหาคม
2568

คณะรัฐมนตรีช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484

 

สถานการณ์ภายในของประเทศไทยภายหลังสงครามย่อมประสบกับปัญหาความยุ่งยากทางเศรษฐกิจสังคมนานัปการ ซึ่งส่งผลสะท้อนถึงการเมือง ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นครั้งคราวตามลำดับมา ประกอบกับรัฐบาลหลังสงครามให้สิทธิเสรีภาพในด้านการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำของรัฐบาลเป็นไปโดยเปิดเผย ผู้ที่มิได้อยู่ในวงการบริหารสามารถทำการโจมตีรัฐบาลอย่างดุเดือด หาสาเหตุตำหนิติเตียนรัฐบาลด้วยวิธีต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวย การพยายามแก้ไขความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจได้ผลน้อย ไม่อาจบูรณะประเทศให้กลับฟื้นคืนดีได้โดยฉับพลัน ราคาสินค้าสำหรับอุปโภคบริโภคโดยทั่วไปสูงแพงขึ้น ค่าของเงินบาทไทยตกตํ่าลง บรรดาข้าราชการได้รับรายได้น้อย ไม่คู่เคียงกับอัตราค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น ยังให้เกิดการหาผลประโยชน์ทางได้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จิตใจของบุคคลเสื่อมทรามลง

ในด้านความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มีปัญหาสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นผลธรรมดาของการที่มีกองกำลังทหารต่างชาติเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศถึงสองครั้งสองหนติดต่อกัน ครั้งแรก ได้แก่ กำลังทหารญี่ปุ่นที่แผ่ขยายวงปฏิบัติการออกไปทั่วราชอาณาจักร รัฐบาลอยู่ในบังคับให้ทำความพอใจแก่ความต้องการของญี่ปุ่นทั้งในการดำเนินการยุทธและการส่งกำลังบำรุง ต่อมาเมื่อสุดสิ้นสงครามแล้ว ไทยยังต้องให้ความสะดวกและความร่วมมือแก่กำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่เข้ามาปฏิบัติการภายในประเทศอีก โดยอาศัยเหตุผลว่า จะเข้ามาจัดการกับกำลังทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย มีการแพร่หลายทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ของญี่ปุ่นและของสัมพันธมิตร กระจัดกระจายไปอยู่ในมือของผู้ที่มิบังควรมีอาวุธ การปลดปล่อยทั้งทหารและตำรวจที่ระดมเรียกเกณฑ์ยามสงครามก็ไม่เว้นที่จะสร้างปัญหาสังคมให้แก่ฝ่ายบริหาร โจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น มีอาวุธทันสมัยใช้เกือบจะดีกว่าอาวุธในมือของเจ้าหน้าที่ผู้ปราบปรามด้วยซํ้า

ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาแทรกซ้อนสำคัญอีกสามเรื่องใหญ่ได้แก่ ๑. ปัญหาการใช้จ่ายเงินหลวงของขบวนการเสรีไทย ๒. ปัญหาอาชญากรสงครามและ ๓. กรณีสวรรคต

 

๑. ปัญหาการใช้จ่ายเงินหลวงของขบวนการเสรีไทย

 

ภาพถ่ายขบวนการเสรีไทย

 

เนื่องจากมีการกล่าวหาว่า ขบวนการเสรีไทยได้ใช้จ่ายเงินของชาติไปในทางที่ไม่ถูกต้องสมควร ด้วยความประสงค์จะทำลายความเชื่อถือในขบวนการ รัฐบาลได้ขอให้สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นสอบสวนสะสางทรัพย์สินของชาติที่คณะเสรีไทยได้ใช้จ่ายไปทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประกอบด้วย อดีตประธานศาลฎีกา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ๔ ท่าน และนายพิชาญ บุญยง (มร.เรอเน กียอง) ที่ปรึกษาสัญชาติฝรั่งเศสเดิมของคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้นรวบรวมเอกสารหลักฐานการใช้จ่ายเงินของขบวนการเสรีไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศไทยโดยละเอียดถี่ถ้วน

คณะกรรมาธิการวิสามัญทำรายงานเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ว่า เงินที่ขบวนการเสรีไทยได้จับจ่ายไป ได้มาจากเงินของรัฐบาลไทยที่ฝากไว้ทางธนาคารเนชั่นแนลซิตี้แห่งนครนิวยอร์ก ซึ่งมียอดรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒,๗๓๐,๐๗๘ เหรียญอเมริกัน และเงินจากงบประมาณแผ่นดิน งบช่วยประชาชน ๘,๘๖๗,๙๘๙ บาท (ส่วนเงินของรัฐบาลไทยที่ฝากไว้ทางกรุงลอนดอนมิได้ถูกนำมาใช้จ่ายอย่างใด เพราะรัฐบาลอังกฤษทำการกักกันไว้ จนกระทั่งนำออกมาหักใช้เป็นค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามแก่สิทธิและผลประโยชน์ของคนชาติบริติชในประเทศไทย)

จากเงินยอดแรกได้มีการเบิกจ่ายเป็น

๑. ค่าใช้จ่ายของสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ตลอดเวลาสงคราม รวมทั้งเงินที่ส่งไปให้เสรีไทยในประเทศอังกฤษด้วย เป็นเงิน ๖๕๗,๐๙๒ เหรียญ

๒. จ่ายให้ โอ.เอส.เอส. สำหรับหน่วยเสรีไทย เป็นเงิน ๔๑๑,๕๕๘ เหรียญ

๓. จ่ายให้ โอ.เอส.เอส. เพื่อซื้อทองส่งมากรุงเทพฯ เป็นเงิน ๔๙,๙๕๗ เหรียญ และส่งให้คุณถวิล อุดล ที่ประเทศจีน เป็นเงิน ๑๓,๐๓๘ เหรียญ

สำหรับทองที่ส่งเข้ากรุงเทพฯ มีนํ้าหนัก ๕๐ กิโลกรัม ขายเป็นเงินไทยได้ ๑,๔๖๐,๑๙๐ บาท ซึ่งได้แจกเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยเสรีไทยทั่วราชอาณาจักร เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งผู้คนออกไปรับการฝึกทางทหารในต่างประเทศ ค่าขนส่งทางนํ้า ค่าสายลับ ฯลฯ

ส่วนเงินงบประมาณแผ่นดิน งบช่วยประชาชน จำนวน ๘,๘๖๗,๙๘๐ บาท ได้ผันเป็นค่าใช้จ่ายของกองบัญชาการเสรีไทยที่กรุงเทพฯ หน่วยเสรีไทยในต่างจังหวัดรวมทั้งค่าสร้างสนามบินลับหลายแห่ง

1คณะกรรมาธิการฯ แสดงความเห็นว่า สำหรับงานที่ทำการอย่างลับ ๆ เช่นนั้นเฉพาะอย่างยิ่งในยามสงคราม จะหวังให้มีบัญชีรายละเอียดและใบคู่จ่ายอย่างบัญชีงบดุลตามธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้ ขบวนการเสรีไทยได้รับคำร้องจากกำลัง ๑๓๖ของอังกฤษให้ทำลายเอกสารทั้งสิ้นที่อาจจะเป็นภัย ในทางปฏิบัติย่อมถือเอาผลงานที่มอบหมายให้ไปกระทำเป็นสำคัญ คณะกรรมาธิการกล่าวต่อไปว่า การเข้าใจผิดแม้จะโดยสุจริตก็ดี อาจทำให้เกิดเล่าลือแพร่หลายได้ง่าย ๆ ในเมื่อการเมืองและการเงินเข้าปะปนกัน อย่างไรก็ดี ข่าวลือเหล่านั้นไม่มีมูลความจริง การตรวจสอบเอกสารและบัญชีที่ยืนต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญปรากฏชัดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องตรงกัน

แล้วคณะกรรมาธิการวิสามัญสรุปความในตอนท้ายรายงานว่า “ขบวนการเสรีไทยได้กอบกู้ฐานะของประเทศชาติเนื่องจากสงครามคราวนี้ได้เป็นอย่างดี สมควรเป็นเจ้าหนี้บุญคุณแก่ปวงชนชาวไทย และถ้ามีทางใดที่ประเทศชาติจะสมนาคุณแก่ผู้เสี่ยงชีวิตเข้ามากอบกู้ฐานะของประเทศชาติเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นที่ยินดียิ่ง ในสุดท้ายขอให้ระวังอย่าได้เกิดการท้อถอยอิดหนาระอาใจ จนไม่มีใครคิดริเริ่มกระทำกิจการสิ่งใดเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันในอนาคต หากว่าบุคคลซึ่งริเริ่มกระทำการนั้นถูกไต่สวนในเรื่องการเงินอันพ้นวิสัยที่จะปฏิบัติได้ ในกรณีเช่นนี้ผลของงานย่อมสนองนโยบาย และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายที่จะกอบกู้ฐานะของประเทศชาติ ย่อมจะต้องเชื่อถือกัน และหนทางที่เขากระทำไปเพื่อบำบัดความยุ่งยาก ก็ควรจะเชื่อถือด้วย” เรื่องนี้จึงเป็นอันสงบลงไปได้ แม้เสรีไทยจะพ้นจากข้อครหาในด้านการเงินแต่ในทางการเมืองก็ยังมีผู้มองอย่างไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาพวกทหารบางส่วนและนักการเมืองบางคน

 

๒. ปัญหาเรื่องอาชญากรสงคราม

ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ ๑๔ เมื่อข้าพเจ้าถูกส่งตัวให้ออกไปช่วยท่านทูตม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และนายสงวน ตุลารักษ์ ในการเจรจาการเมืองกับสหรัฐอเมริกาและกับฝ่ายอังกฤษที่กรุงวอชิงตันตอนต้นปี ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าไปทราบว่า ทางฝ่ายโอ.เอส.เอส. มีรายชื่อผู้ที่เขาถือเป็นอาชญากรสงครามในประเทศไทยในฐานะที่ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการทำสงครามรุกรานต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งข้าพเจ้าได้ถือโอกาสชี้แจงแสดงความเห็นว่า ไม่น่าจะถือท่านเหล่านั้นเป็นอาชญากรสงครามทำนองที่จะกระทำกับผู้นำเยอรมันหรือญี่ปุ่น แต่ฝ่ายอเมริกันจะเชื่อถือตามคำชี้แจงของข้าพเจ้าเพียงไรหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ

ต่อมาเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลง โดยการยอมจำนนของฝ่ายญี่ปุ่นภายหลังที่ต้องถูกระเบิดปรมาณูสองลูกติดต่อกันบนดินแดนของญี่ปุ่น ยินยอมให้กำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดครองกรุงโตเกียว เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารอเมริกันเข้าทำการควบคุมตัวนายวิจิตร วิจิตรวาทการ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียวไว้ชั่วคราวในฐานะเป็นอาชญากรสงครามของไทยผู้หนึ่ง แล้วส่งตัวมากรุงเทพฯ โดยเครื่องบินทหาร

ในภาคผนวกแนบท้ายหัวข้อความตกลงที่รัฐบาลไทยทำกับรัฐบาลอังกฤษ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ มีข้อความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลไทยตกลง “จะร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในการจับกุมและชำระบุคคลที่ต้องหาว่าได้กระทำอาชญากรรมสงคราม หรือขึ้นชื่อว่าให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นกิจการแก่ญี่ปุ่น” และในข้อตกลงกับรัฐบาลออสเตรเลียตามหนังสือแลกเปลี่ยนลงวันที่เดียวกันนั้น มีข้อกำหนดให้รัฐบาลไทย “รับจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่ในการจับกุมและลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดทางอาชญากรสงครามต่อชาวออสเตรเลียน” ข้อผูกพันนี้ ต่อมาได้ถอดเป็นข้อ ๓ ของความตกลงสันติภาพฉบับหลังสุดซึ่งรัฐบาลไทยทำกับออสเตรเลีย เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๘๙

เพื่อป้องกันมิให้ต่างประเทศละลาบละล้วงเข้ามาจัดการกับคนไทยผู้อยู่ในข่ายต้องกล่าวหา เป็นอาชญากรสงครามในฐานร่วมมือกับญี่ปุ่นในการทำสงครามรัฐบาลชิงเสนอร่างกฎหมายพิเศษว่าด้วยอาชญากรสงครามต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๘๘ ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม กำหนดนิยามศัพท์ “อาชญากรรมสงคราม” ตามหลักการของฝ่ายสัมพันธมิตรว่า หมายถึงการกระทำดังต่อไปนี้ คือ

“(๑) ทำการติดต่อวางแผนการศึกเพื่อทำสงครามรุกราน หรือกระทำการโดยสมัครใจเข้าร่วมสงครามกับผู้ทำสงครามรุกราน หรือโฆษณาชักชวนให้บุคคลเห็นดีเห็นชอบในการกระทำของผู้ทำสงครามรุกราน

(๒) ละเมิดกฎหมาย หรือจารีตประเพณีในการทำสงคราม คือ ปฏิบัติไม่ชอบธรรมต่อทหารที่ตกเป็นเชลย จัดส่งพลเรือนไปเป็นทาส ฆ่าผู้ที่ถูกจับเป็นประกัน ทำลายบ้านเมืองโดยไม่จำเป็นสำหรับการทหาร

(๓) กระทำการละเมิดต่อมนุษยธรรม คือ กดขี่ข่มเหงในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจหรือทางศาสนา

(๔) กระทำโดยสมัครใจเข้าร่วมมือกับผู้ทำสงครามรุกราน คือ ชี้ลู่ทางให้ทำการยึด หรือครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม หรือสืบ หรือให้ความลับหรือความรู้อันเป็นอุปการะแก่การทำสงครามของผู้ทำสงครามรุกราน”

และกำหนดโทษอาชญากรสงครามไว้อย่างสูง ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกไม่เกินยี่สิบปี และให้ริบทรัพย์สมบัติส่วนตัวเสียสิ้น

พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดวิธีดำเนินการเป็นกรณีพิเศษไว้ว่า ให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งทำหน้าที่สืบสวนและสอบสวนคดีอาชญากรสงครามซึ่งจะทำการแทนอัยการแผ่นดินเป็นโจทก์ฟ้องคดี และให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีโดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปกติ และคำพิพากษาของศาลฎีกาในเรื่องนี้ให้ถือเป็นที่สุด

พึงสังเกตว่า หลักการเรื่องการลงโทษอาชญากรสงคราม เป็นหลักใหม่ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองริเริ่มขึ้นด้วยความตกลงสี่ชาติที่ชนะสงครามในยุโรป ระหว่างรัฐบาลอเมริกัน อังกฤษ สหภาพโซเวียต และรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ลงนามเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๘๘ ใช้แก่อาชญากรสงครามในยุโรป โดยได้จัดตั้งศาลทหารระหว่างประเทศขึ้นที่เมืองนูแรมเบิร์ก ทำการพิจารณาและพิพากษาการกระทำผิดรวมสามประเภท คือ

“(๑) ความผิดต่อสันติภาพ อันได้แก่ การวางแผน การเตรียมการ การริเริ่มหรือการกระทำสงครามรุกรานหรือสงครามอันเป็นการละเมิดสนธิสัญญาความตกลงหรือการให้คำมั่นระหว่างประเทศ หรือการเข้าร่วมในแผนการหรือการคบคิดเพื่อการปฏิบัติดังกล่าว

(๒) ความผิดในการทำสงคราม อันได้แก่ การละเมิดกฎ หรือจารีตประเพณีของการทำสงคราม ซึ่งรวมถึงฆาตกรรม การปฏิบัติอันไม่ชอบ หรือการเนรเทศส่งตัวไปเป็นทาสแรงงาน ซึ่งประชาชนพลเมืองหรือในดินแดนที่ยึดครอง การฆาตกรรมหรือการปฏิบัติอันมิชอบต่อเชลยศึก การฆ่าผู้ถูกจับเป็นประกัน การปล้นทรัพย์สาธารณะหรือทรัพย์สินเอกชน การทำลายนครเมือง หรือหมู่บ้าน หรือการทำลายล้างอันไม่จำเป็นสำหรับการทหาร

(๓) ความผิดต่อมนุษยชาติ อันได้แก่การฆ่า การทำลายล้าง การเอาเป็นทาสการเนรเทศ หรือการปฏิบัติอันมิชอบด้วยมนุษยธรรมต่อประชาชนพลเรือน ก่อนหรือระหว่างสงคราม หรือการกดขี่โดยอาศัยเหตุทางการเมือง ทางเชื้อชาติหรือทางศาสนา”

ครั้นเมื่อญี่ปุ่นต้องยอมรับความปราชัยในสงคราม พลเอก ดั๊กลาส แม็กอาเธอร์ใช้อาญาสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร ประกาศใช้หลักอาชญากรรมสงครามของนูแรมเบิร์กบังคับแก่อาชญากรสงครามญี่ปุ่น ด้วยการจัดตั้งศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลขึ้นที่กรุงโตเกียว ทำการพิจารณาพิพากษาลงโทษอาชญากรสงครามญี่ปุ่นรวม ๒๘ คน มีทั้งผู้นำทางการเมืองผู้นำทางการทหาร นักการทูตญี่ปุ่น ข้าราชการในกระทรวงเศรษฐกิจ และนักทฤษฎีด้านจักรวรรดินิยม และศาลได้พิพากษาเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ ลงโทษประหารชีวิต ๗ คน จำคุกตลอดชีวิต ๑๖ คน จำคุก ๒๐ ปี ๑ คน จำคุก ๗ ปี ๑ คนปล่อยตัว ๓ คน

รัฐบาลไทยได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามฉบับนั้นทำการจับกุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างปี ๒๔๘๑ ถึง ๒๔๘๗ นายวิจิตร วิจิตรวาทการ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น พลโท หลวงเสรีเริงฤทธิ์ ผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทยที่บุกเข้าไปในดินแดนอินโดจีนและพม่าพลตรี ประยูร ภมรมนตรี หัวหน้าผู้นำขบวนการยุวชน พันโท พระสารสาส์นพลขันธ์ผู้อำนวยการห้องไทย ณ กรุงโตเกียว นายเพียร ราชธรรมนิเทศ และนายสังข์พัธโนทัย นักข่าวประจำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย นำขึ้นฟ้องต่อศาลฎีกา ซึ่งกฎหมายกำหนดมอบอำนาจให้พิจารณาเป็นกรณีพิเศษ ไม่จำต้องผ่านศาลชั้นต้น ระหว่างที่ศาลกำลังฟังคำพยานของโจทก์ในคดีจอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ศาลฎีกาตัดสินในคดีพระสารสาส์นพลขันธ์ว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงครามมีบทบัญญัติกำหนดลงโทษการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันใช้พระราชบัญญัติ เป็นการออกกฎหมายอาญาให้มีผลย้อนหลังขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔ จึงยกฟ้องของอัยการอาชญากรสงครามเสียแต่เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๘๙ ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง๘ ท่าน จึงรอดพ้นจากข้อหาไป โดยไม่ทันให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แถลงแก้ตัวต่อศาลแต่อย่างใด

เมื่อศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องคดีอาชญากรสงคราม ปล่อยตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษโทรเลขถึงเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๘๙ ขอให้ยืนยันว่า คำวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น ใช้เฉพาะอาชญากรสงครามชั้นผู้นำทางการเมืองเท่านั้น มิได้ครอบถึงผู้ที่ประกอบอาชญากรรมต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และขอให้ทูตหาโอกาสแสดงความห่วงใยของอังกฤษในการปล่อยตัวท่านจอมพล และหวังว่า ท่านกับสมัครพรรคพวกจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีก

ทูตตอบเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ว่าได้ยกเรื่องความห่วงใยของอังกฤษปรารภให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบแล้ว ทั้งสองรับว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น สำหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทูตได้เน้นให้ฝ่ายไทยตระหนักแน่ว่า ถ้าท่านจอมพลและสมัครพรรคพวกกลับหันมาในวงการเมืองอีก จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีในต่างประเทศเป็นเวลายาวนาน ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีความเห็นพ้องด้วย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรียืนยันว่าฝ่ายค้านในสภาคงจะหาทางเอาประโยชน์จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเพื่อให้เกิดความกระอักกระอ่วน ไม่มีสัญญาณใดแสดงให้เห็นว่า ท่านจอมพลจะประสงค์ก่อความยุ่งยากให้แก่รัฐบาล เพราะได้แสดงเจตจำนงแน่ชัดว่า จะถอนตัวจากการเมืองโดยเด็ดขาด

ทูตกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่า จอมพล ป. พิบูลสงครามจะคงยึดมั่นในความคิดเห็นเช่นนั้นต่อไปนานเพียงใด และทูตได้ทราบข่าวจากวงการที่เชื่อถือได้ว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดเตือนแนะท่านจอมพลภายหลังที่ได้รับการปล่อยตัวว่า น่าจะเก็บตัวให้สงบเงียบไม่เข้ามายุ่งในวงการเมืองอีก มิฉะนั้นแล้ว ท่านอาจจะต้องถูกจับ ถึงกับเสนอให้หลบไปอินโดจีนเสีย เมื่อยังกระทำได้ แต่ท่านจอมพลปฏิเสธข้อเสนอแนะนั้น

ทางกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาชญากรสงครามในกระทรวงสงคราม เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม และขอทราบว่า กระทรวงสงครามมีดำริจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือไม่ ได้รับตอบเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายนว่าฝ่ายทหารอเมริกันไม่มีดำริที่จะดำเนินการอย่างใดต่อคนไทยในด้านนี้เมื่อท่านรัฐบุรุษอาวุโสเดินทางไปเยือนประเทศจีน ตามคำเชิญของรัฐบาลจอมพล เจียงไคเช็ค ในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๙ ปรากฏว่า ท่านจอมพลสนใจในเรื่องนี้ และได้สอบถามท่านรัฐบุรุษอาวุโสว่า รัฐบาลไทยมีดำริจะดำเนินการต่อไปอย่างใด เพราะจีนถือว่า ประเทศไทยมีความผูกพันตามความตกลงสมบูรณ์แบบและหัวข้อความตกลงที่จะต้องให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในการจับตัวอาชญากรสงครามขึ้นฟ้องศาลเพื่อให้ได้รับโทษตามควรแก่กรณี ที่จอมพล เจียงไคเช็คสนใจและติดตามเรื่องนี้โดยใกล้ชิด ก็เนื่องจากความไม่พอใจที่มีต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เป็นผู้ตกลงยินยอมตามคำของญี่ปุ่นให้รับรองรัฐบาลแมนจูกัวและรัฐบาลวังจิงไว และให้คำมั่นต่อญี่ปุ่นต่อหน้าพระแก้วมรกตซึ่งเป็นที่เคารพยกย่องอย่างสูงสุดของประชาชนชาวไทยว่า รัฐบาลจะร่วมมือกับญี่ปุ่นในการทำสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และโดยเฉพาะจอมพล ป. พิบูลสงคราม เคยออกวิทยุกระจายเสียงอย่างเปิดเผย วิงวอนให้จอมพล เจียงไคเช็คหันมาให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อประโยชน์ของชนชาวเอเชียในสงครามที่ญี่ปุ่นทำกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาจอมพล เจียงไคเช็คถือว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นคู่หูร่วมสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย จึงควรที่จะได้รับผลปฏิบัติอย่างอาชญากรสงครามญี่ปุ่นที่ต้องขึ้นศาลทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ท่านรัฐบุรุษอาวุโสต้องแก้ตัวอย่างขอไปทีว่าท่านไม่ทราบแน่ว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างใดต่อไปในเรื่องนี้ เพราะท่านต้องออกเดินทางมาเสียก่อน

การที่รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช จัดการออกกฎหมายอาชญากรสงคราม ตลอดจนดำเนินการจับตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นฟ้องศาลตามบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนั้น แม้ศาลฎีกาจะตัดสินปล่อยตัวจำเลย โดยอ้างว่า กฎหมายอาชญากรสงครามขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลัง ซึ่งเป็นไปตามหลักการกฎหมายภายในแต่การจัดการกับอาชญากรสงครามเป็นปัญหาทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกี่ยวข้องกับความผูกพันระหว่างประเทศที่มีอยู่ต่อกัน ถ้าหากฝ่ายสัมพันธมิตรจะยืนยันเอาให้ได้ ประเทศไทยก็ไม่มีทางเบี่ยงบ่าย เพราะต้องถูกบังคับให้ทำหัวข้อความตกลงเพื่อเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษอยู่แล้วตามที่จอมพล เจียงไคเช็คกล่าวอ้าง

เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษมิได้ติดใจในเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะตระหนักดีว่า อาชญากรสงครามของคนไทยไม่ร้ายแรงเท่าอาชญากรญี่ปุ่น เรื่องจึงกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไป หากประเทศไทยไม่ได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรสงครามขึ้น และไม่ได้ดำเนินการสอบสวนเพื่อนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลฝ่ายสัมพันธมิตรอาจจะขอให้ส่งตัวไปให้ฝ่ายสัมพันธมิตรจัดการเช่นเดียวกับอาชญากรสงครามญี่ปุ่นก็ได้

อย่างไรก็ตามแม้จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะพ้นจากการถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรสงคราม แต่ความไม่พอใจของท่านและสมัครพรรคพวกยังคงระอุอยู่เพราะถือว่าการกระทำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ป้องกันมิให้บ้านเมืองประสบความพินาศด้วยนํ้ามือและกำลังแสนยานุภาพของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงแรกของสงคราม ซึ่งไทยไม่มีทางต้านทานได้แล้วกลับถูกคนไทยด้วยกันนำตัวขึ้นฟ้องศาลให้ลงโทษโดยอาศัยกฎหมายพิเศษที่เร่งรัดผ่านสภาผู้แทนราษฎร เป็นความแค้นส่วนตัวซึ่งกลับกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อขบวนการเสรีไทย ซึ่งถูกแซ่ซ้องต่อมาในภายหลังว่าเป็นพวกถืออาวุธนอกกองทัพของชาติ เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล รัฐบาลหลังสงครามถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเสรีไทยที่จะเป็นภัยต่อกำลังทหารของชาติ มีการรณรงค์ต่อต้านหลักอาชญากรสงครามถึงขั้นมีการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรให้ยกเลิกพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามนั้นเสียเลยทีเดียว

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เกี่ยวด้วยอาชญากรสงครามชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อกล่าวหาทางการเมือง ในฐานที่เป็นผู้ร่วมมือเข้าทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ยังมีพวกอาชญากรสงครามอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งทำทารุณกรรมต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอันเป็นการขัดต่อกฎหรือจารีตประเพณีสงคราม เป็นการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการจะให้มีการลงโทษตามหลักเกณฑ์ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรได้วางไว้ ในกรณีประเทศไทย ปรากฏหลักฐานจากแฟ้มทางราชการของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๔๘๙ กระทรวงการต่างประเทศได้มีโทรเลขถึงนายเดนิ่ง มีข้อความสำคัญว่า วิธีปฏิบัติของอังกฤษในเรื่องอาชญากรสงครามในยุโรป กำหนดให้มีการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามต่อคนชาติอังกฤษ อันเป็นผลการละเมิดกฎและขนบธรรมเนียมสงครามโดยศาลทหารอังกฤษ ซึ่งเป็นวิถีทางเดียวที่จะยังให้เกิดความยุติธรรมขึ้นได้อย่างรวดเร็วอังกฤษจึงคิดจะนำหลักในยุโรปมาใช้กับประเทศไทยและในตะวันออกไกลโดยทั่วไปหากจะปล่อยให้ประเทศไทยทำการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามต่อคนอังกฤษเองแล้ว ไม่แน่ว่า ศาลไทยจะดำเนินการพิจารณาพิพากษาได้อย่างรวดเร็วและเที่ยงธรรม ทั้งยังจะเป็นตัวอย่างสำหรับกรณีทำนองเดียวกันในประเทศอื่น

วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๙ นายเบิร์ด อุปทูตอังกฤษ เข้าพบนายสิทธิ สิทธิสยามการ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่อังกฤษปรากฏว่ามีคนไทยหลายคนกระทำทารุณต่อคนอังกฤษเข้าข่ายเป็นอาชญากรสงครามเป็นคนเล็ก ๆ มิใช่คนใหญ่โตอย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายเบิร์ดถามว่าถ้าอังกฤษจะจับกุมและดำเนินการฟ้องร้องในศาลอังกฤษ ไทยจะขัดข้องอย่างไรหรือไม่ ปลัดกระทรวงตอบว่า ไทยย่อมต้องขัดข้องแน่ ๆ และย้อนถามว่า ถ้าจะให้ศาลไทยพิจารณา อังกฤษจะขัดข้องหรือไม่

นายเบิร์ดอ้างว่า ในการสืบสวน อังกฤษได้รับความยุ่งยากจากเจ้าหน้าที่ไทยและคนไทยเป็นอันมาก จึงอยากเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันดำเนินการสืบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ทำนองมีอัยการผสมและศาลผสมปลัดกระทรวงรับจะเสนอเรื่องให้รัฐบาลพิจารณา เพื่อสอบถามความประสงค์ทางฝ่ายอังกฤษให้แน่ชัด ข้าพเจ้าได้ไปพบนายเบิร์ดขอทราบกรณีต่าง ๆ ที่อังกฤษถือเป็นอาชญากรสงคราม และเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายไทย อุปทูตชี้แจงโดยไม่ให้รายละเอียดว่า ดูเหมือนจะมีเพียง ๔-๕ รายเท่านั้น โดยผู้ต้องสงสัยมีทั้งทหารและพลเรือน ที่อุปทูตยกเรื่องขึ้นปรารภกับปลัดกระทรวง ก็เพื่อหยั่งฟังความคิดเห็นของฝ่ายไทยในเรื่องเหล่านั้น

ข้าพเจ้าจึงได้ชี้แจงไปว่า เรื่องอาชญากรสงคราม ไทยเรามีกฎหมายพิเศษกำหนดวิธีการฟ้องร้องและพิจารณาไว้แล้ว หากจะดำเนินผิดแผกไปจากที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็จะต้องมีการแก้ไขตัวบทกฎหมายโดยการเสนอต่อสภาฯ ซึ่งย่อมจะสนใจในเรื่องกระทบกระเทือนถึงอธิปไตยภายในของไทย ข้าพเจ้าถามอุปทูตว่า วิธีปฏิบัติในนานาประเทศ เช่น ฝรั่งเศสก็ดูเหมือนจะปล่อยให้การพิจารณาพิพากษาอาชญากรสงครามตกอยู่ในอำนาจศาลของประเทศเจ้าของท้องถิ่นที่เกิดเหตุมิใช่หรือ

อุปทูตตอบว่า ปัญหาเรื่องการกระเทือนถึงอธิปไตยไม่สำคัญเท่าปัญหาการรักษาความยุติธรรม จะเทียบกรณีไทยกับฝรั่งเศสไม่ได้ เพราะฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร แต่ไทยเป็นศัตรูในสงคราม สำหรับกรณีเยอรมันการดำเนินเรื่องอาชญากรสงครามย่อมแล้วแต่เขต ในเขตยึดครองของอังกฤษ ศาลอังกฤษและเจ้าหน้าที่อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ ในเขตอเมริกัน ฝ่ายอเมริกันเป็นผู้ดำเนินการ ในเขตโซเวียต ฝ่ายโซเวียตก็เป็นผู้ดำเนินการ

ข้าพเจ้าเห็นว่า ที่อุปทูตนำเอากรณีเยอรมันเปรียบเทียบกับไทยนั้นไม่ถูกต้องเพราะเยอรมันเป็นประเทศที่ฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งกันยึดครองในระหว่างที่กำลังพิจารณาทำสนธิสัญญาสันติภาพ ส่วนไทยนั้น อังกฤษได้ทำความตกลงเลิกสถานะสงครามต่อกันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษกลับคืนสภาวะปกติ และถึงอย่างไรอังกฤษก็ไม่เคยยึดครองประเทศไทย ข้าพเจ้าเสนอความเห็นต่อกระทรวงว่าข้อหารือของอังกฤษตามที่ปรารภต่อปลัดกระทรวงนั้น ฝ่ายเราคงจะต้องวินิจฉัยในข้อนโยบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผลดีและผลร้ายของการจัดตั้งศาลผสมและอัยการผสมมีทั้งสองฝ่าย สำหรับประเทศไทยผลร้ายอาจจะมากกว่าผลดี เพราะอาจจะเป็นการรื้อฟื้นปัญหาอำนาจศาลที่เราเคยถูกบีบคั้นมาแต่สมัยก่อน ม.ร.ว.เสนีย์ปราโมช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทงมาในบันทึกของข้าพเจ้าว่าศาลผสมฝ่ายเราคงรับไม่ได้ ถ้าอังกฤษเห็นว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินคดีไม่ดีอย่างใดหรือวิธีพิจารณาสอบสวนของเราขัดข้องอย่างไร ก็ขอให้อังกฤษบอกมา เรามีทางแก้ไขให้ได้

ข้าพเจ้าได้ไปปรึกษาหารือเพื่อฟังเสียงของฝ่ายอเมริกัน ได้รับชี้แจงว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันไม่แนะให้มีการจัดตั้งศาลทหารอังกฤษในประเทศไทยเพื่อพิจารณาคดีอาชญากรสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานะสงครามระหว่างไทยกับอังกฤษได้สิ้นสุดไปแล้ว แต่ถ้าจะมีการจัดตั้งศาลผสม ผู้พิพากษาชาติอังกฤษควรจะได้รับการแต่งตั้งจากลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายสัมพันธมิตรสำหรับเอเชียอาคเนย์ และศาลผสมเช่นว่านั้น อาจมีอำนาจพิจารณาคดีทารุณกรรมไม่แต่ต่อคนชาติอังกฤษเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงคนชาติสัมพันธมิตรอื่นด้วย

เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ นายเบรน ผู้ทำหน้าที่แทนนายเดนิ่ง โทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่าได้รับทราบจากนายเบิร์ด อุปทูตอังกฤษที่กรุงเทพฯ ว่า รัฐบาลไทยมีปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยกับความดำริที่จะจัดตั้งศาลทหารอังกฤษในประเทศไทย เพื่อพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามต่อคนสัญชาติอังกฤษแต่จะรับพิจารณาคดีเช่นนั้นเอง ถ้าหากฝ่ายอังกฤษจะยืนยันเอาให้ได้ ก็จะประสบกับอุปสรรคจากฝ่ายไทย รวมตลอดทั้งการขาดหายของตัวพยานและหลักฐานต่าง ๆซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลุล่วงถึงความยุติธรรมอย่างแท้จริงได้ อุปทูตเบิร์ดจึงเสนอแนะให้จัดตั้งกรรมการสอบสวนผสม อัยการผสม และศาลผสมขึ้นเพื่อการนี้

นายเบรนกล่าวต่อไปในโทรเลขฉบับนั้นว่า ได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดูแล้ว สรุปความเห็นได้ว่า ถ้าจะใช้วิธีผสมในระดับต่าง ๆ ตามความคิดเห็นของอุปทูต อาจจะเป็นทางให้บรรลุถึงซึ่งความยุติธรรมได้ แต่ก็จะมีปัญหาข้อยุ่งยากหลายประการ เช่น ศาลผสมนั้นจะควรเป็นศาลอังกฤษที่มีผู้พิพากษาไทยร่วม หรือศาลไทยที่มีผู้พิพากษาอังกฤษร่วม ฝ่ายไทยย่อมจะยืนยันในหลักศาลไทยโดยมีอังกฤษร่วม ในกรณีนั้น ผู้พิพากษาอังกฤษจะอยู่เป็นฝ่ายข้างน้อย ซึ่งจะต้องพ่ายแพ้แก่เสียงข้างมากเสมอไป ถ้าหากจะกำหนดให้มีผู้พิพากษาสองฝ่ายมีจำนวนเท่ากันก็จะไม่สามารถตกลงกันได้ นอกจากนั้นแล้ว ฝ่ายไทยจะต้องตรากฎหมายพิเศษเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาไทยนั่งในศาลทหารอังกฤษได้ ฉะนั้นนายเบรนจึงเห็นว่า ไม่มีทางที่จะจัดตั้งศาลผสมขึ้นได้ อังกฤษจะต้องเลือกเอาระหว่างการบีบบังคับให้ฝ่ายไทยยอมส่งตัวผู้ต้องหาไปขึ้นศาลทหารอังกฤษ หรือมิฉะนั้นก็ต้องปล่อยให้ศาลไทยเป็นผู้พิจารณา ความจริง กรณีที่อยู่ในข่ายเรื่องนี้มีอยู่เพียงห้าคดี เป็นคดีที่สำคัญเพียงคดีเดียว ถ้าจะคิดส่งผู้พิพากษาทหารอังกฤษไปนั่งพิจารณาคดีเหล่านี้ก็เท่ากับจะต้องถอนเอาผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ของศาลทหารอังกฤษ จากการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามญี่ปุ่นที่สำคัญกว่ามาก ประกอบกับคนจีนที่เป็นพยานกำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับประเทศจีนหมดสิ้นแล้ว

ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ นายเบรนจึงเสนอแนะว่า ควรปล่อยให้ศาลไทยเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีที่มีอยู่เอง โดยฝ่ายอังกฤษตั้งข้อสงวนไว้ว่า อาจจะส่งคณะเจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าไปปฏิบัติการได้ เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่สำคัญอันไม่พึงปล่อยปละละเลย

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์นั้นเอง ที่ประชุมสัมพันธมิตรสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมติไม่ติดใจที่จะติดตามเรื่องนี้ต่อไป เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอเมริกัน ซึ่งยืนยันไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งศาลอังกฤษในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นศาลทหารหรือศาลพลเรือน เพราะอังกฤษกับไทยมีสันติภาพต่อกันแล้ว กำลังทหารบริติชในประเทศ เป็นกองกำลังปฏิบัติการในนามของสัมพันธมิตร มีภาระหน้าที่จำกัดไว้โดยเฉพาะเจาะจง มิใช่กองกำลังยึดครองประเทศไทย

พึงสังเกตว่า ที่ฝ่ายอังกฤษเกรงว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเพื่อจัดการกับอาชญากรสงครามนั้น ส่วนใหญ่ได้แก่กรณีคนชาติอังกฤษต้องถูกทารุณกรรมหรือถึงแก่เสียชีวิตเมื่อญี่ปุ่นเข้าไปทางปักษ์ใต้ตอนเริ่มสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายท้องถิ่นต่างถูกโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ยากแก่การที่จะรวบรวมตัวและจัดให้รำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต สมัยที่เกิดความปั่นป่วนได้อย่างแน่ชัด แต่ฝ่ายไทยก็ได้พยายามจัดหาหลักฐานให้อังกฤษดำเนินการตามควรแก่กรณีอยู่ เรื่องอาชญากรสงครามในประเทศไทยจึงเป็นอันยุติลง

เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี ๒๔๘๙ รับรองให้มีการจัดตั้งพรรคการเมือง และในรัฐสภามีพรรคการเมืองสำคัญอยู่สามพรรค คือ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ มีพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นหัวหน้า พรรคสหชีพ มี ดร.เดือน บุนนาค เป็นหัวหน้ารวมกันเป็นพรรคฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ของคุณควง อภัยวงศ์เป็นฝ่ายค้าน ต่างฝ่ายต่างโต้แย้งชิงดีตำหนิติเตียนซึ่งกันและกัน จนไม่เป็นอันบริหารประเทศ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้กลับฟื้นคืนตัวตามที่ควร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงตัดสินใจกลับเข้ามาสู่วงการเมืองอีกวาระหนึ่ง โดยจัดตั้ง “พรรคธรรมาธิปัตย์” ขึ้นเป็นฐานปฏิบัติการ เมื่อวันที่ ๑๗มีนาคม ๒๔๙๐

วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๔๙๐ เอกอัครราชทูตอังกฤษโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงลอนดอนว่า มีสัญญาณแสดงให้เห็นว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเพิ่งหลดุพ้นจากคดีอาชญากรสงคราม กำลังพยายามจะกลับเข้ามาสู่วงการเมืองไทยอีก มีนักการเมืองและข้าราชการทหารชั้นผู้ใหญ่ไปพบเป็นประจำ รวมทั้งคุณควง อภัยวงศ์ ซึ่งต้องเสียจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่ท่านปรีดี พนมยงค์ ตามมติของรัฐสภา นายทอมสันเน้นเตือนนายกรัฐมนตรีไทยว่า อังกฤษไม่ประสงค์จะเห็นการสถาปนาระบอบฟาสซิสต์ในประเทศไทยภายใต้การนำของผู้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ระหว่างสงคราม การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและมีเจตจำนงจะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาตินั้น เท่ากับเป็นการหยามความรู้สึกนึกคิดของโลกภายนอก ซึ่งมีแต่จะทำลายศักดิ์ศรีของประเทศเท่านั้น นายกรัฐมนตรีไทยตอบทูตไปว่า ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมลัทธิเผด็จการ จริงอยู่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังมีเสียงสนับสนุนจากฝ่ายทหารบกบางส่วน แต่ก็เชื่อว่า พลเอก อดุล อดุลเดชจรัส ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก จะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แน่นอน

ต่อคุณควง อภัยวงศ์ ซึ่งขณะนั้นมีข่าวเข้าข้างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทูตอังกฤษกล่าวเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคมว่า ถ้าจอมพล ป. พิบูลสงคราม รักชาติจริงตามที่กล่าวอ้าง ก็น่าจะอยู่นิ่ง ๆ ไปก่อน การที่พยายามจะเคลื่อนไหวทางการเมือง จะมีก็แต่ผลเสียต่อประเทศไทยเท่านั้น

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :