Focus
- ครูครอง จันดาวงศ์ เกิดที่จังหวัดสกลนคร ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยเป็นจุดเชื่อมโยงของอารยธรรมขอมและกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาวซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดและโลกทัศน์ของเขาอย่างมาก
- ครูครองเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเสรีไทยและมีบทบาทในขบวนการเคลื่อนไหวที่มีแนวคิดชาตินิยมและเสรีภาพ ความคิดก้าวหน้าของเขาเกี่ยวกับการปลดปล่อยชาติและสิทธิมนุษยชนทำให้รัฐมองเขาเป็นภัยคุกคามและเป็นคอมมิวนิสต์
- ครูครองถูกประหารชีวิตที่สนามบินสว่างแดนดินในปี 2504 การเสียชีวิตของครูครองแสดงถึงโศกนาฏกรรมทางสังคมที่มีลักษณะคล้ายกับวรรณคดี โดยเฉพาะภาพภรรยาวิ่งฝ่าสายฝนไปดูศพซึ่งสะเทือนใจผู้คนและกลายเป็นบทเรียนสำคัญของประวัติศาสตร์

ครอง จันดาวงศ์ (28 มกราคม พ.ศ. 2451-31 พฤษภาคม พ.ศ. 2504)
1.
การวิพากษ์สิ่งใดด้วยแนวคิดทฤษฎีและความรู้สึกทั้งหลายที่มีอยู่นั้นเป็นสิ่งซึ่งสามารถทำได้ แต่การจบลงด้วยการตัดสินว่า สิ่งนั้นดีหรือชั่ว ดูจะเป็นสภาวะตื้นเขินเกินไป ต่อให้สามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักแค่ไหนก็ไม่อาจจะเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า ข้อจำกัดและความเป็นจริงของบริบทและปัจจัยของเรื่องที่เอื้อให้เกิดเรื่องนั้นได้ รวมทั้งไม่อาจละเลยหรือก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า สถานภาพทางชาติพันธุ์ ข้อจำกัดทางสิทธิ เสรีภาพ และส่วนแบ่งทางอำนาจการเป็นคนที่เท่าเทียม ทางทรัพยากรและการเมือง นั่นเป็นเพราะเราเองอาจนึกไม่ถึง ไม่เคยตื่นรู้และไม่เคยใช้จิตวิญญาณสุนทรียภาพสูงมาทำความเข้าใจแม้แต่ครั้งเดียว

ครูครอง จันดาวงศ์ โบกมือให้นักข่าวขณะเดินเข้าสู่ลานประหารที่สว่างแดนดิน
ในบรรดาเรื่องเล่าหรือตำนานชีวิตการต่อสู้และยืนหยัดด้วยแนวคิดแบบปัญญาชน นักปฏิวัติและนักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ที่มีปมเงื่อนผูกติดกับความเป็นอื่นทางชาติพันธุ์อันปะทะเสียดทานกับแนวทางการสร้างรัฐชาตินิยมสมัยใหม่ในดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ตัวเรื่องมีลักษณะเหมือนชีวิตตัวละครในวรรณคดีโศกนาฏกรรมมากที่สุดหลายคนเห็นพ้องต้องกันคือ กรณีเหตุการณ์ล้อมปราบประชาชนณ ทุ่งนาโนนโพ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงพ.ศ. 2439-2444 หลายคนอาจเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ผู้เขียนกลับเห็นว่า การต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อสุนทรียะแห่งอิสรภาพ เสรีภาพและภราดรภาพซึ่งมีการปรากฏมโนธาตุพื้นฐานเข้มข้นกว่าการต่อสู้ของคนใดและครั้งใดในสายธารประวัติศาสตร์สองฝั่งแม่น้ำโขง นับตั้งแต่มีการสถาปนานครรัฐหลวงพระบางในราว พ.ศ. 1896 ที่เมืองเซา ซวา หรือ เมืองเซียงดงเซียงทอง ของพระเจ้าฟ้างุ้มก็คือ เรื่องราวของครูครอง จันดาวงศ์

ลานประหารครูครอง ที่สว่างแดนดิน สกลนคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากทัศน์เมื่อครูครองถูกประหารชีวิตสิ้นใจที่สนามบินสว่างแดนดิน กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปดูร่าง เมื่อมีคนไปบอกภรรยาของครูครองที่กำลังดำนาอยู่นั้น ภรรยาของครูครอง ทิ้งมัดกล้า วิ่งฝ่าสายฝนรินมา ขอให้นึกถึงภาพผู้หญิงชาวนาวิ่งฝ่าสายฝนทั้งน้ำตา ตรงนี้เองคือภาพฉากทัศน์ซึ่งมีความเป็นโศกนาฏกรรมแบบวรรณคดีสูงมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยปรากฏมาในโลกความเป็นจริงและในโลกของวรรณคดีของมนุษยชาติ และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า สภาวะสั่นสะเทือนของสุนทรียภาพชีวิต ทั้งจากครูครอง จันดาวงส์เองและผู้ได้รับฟังเรื่องราวดังกล่าวมานับไม่ถ้วน
การจะเข้าถึงสารัตถะหลักหรือแก่นเรื่อง (Theme) ของตัวบทเหตุการณ์ที่มีลักษณะพ้องกับวรรณคดีโศกนาฏกรรมของครูครองผู้อ่านจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เข้าใจทฤษฎีวิจารณ์วรรณคดีสุนทรียศาสตร์ เพื่อจะได้ใช้เป็นแว่นมองเห็นกระบวนความคิดและเข้าใจชีวิตของครูครองในฐานะปัญญาชนนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสันติ และมีภาพของผู้คนแสดงออกถึงความมีสุนทรียภาพสูงสุดต่อเพื่อนมนุษย์คือมองเห็นความดี ความงาม และความจริง บนพื้นฐานชีวิตและจิตใจได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้บทความนี้จึงไม่มีเจตนาแอบแฝงทางการเมืองและผลประโยชน์ใด ๆ นอกจากการชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตครูครองในทางประวัติศาสตร์และสุนทรียภาพที่มีคุณูปการต่อเพื่อนมนุษย์และพัฒนาการทางสังคมโดยจะต้องมุ่งไปที่วิธีการสันติภาพ เพื่อเรียนรู้และหลีกเลี่ยงแนวทางรุนแรงต่อผู้ที่รัฐเห็นว่ามีแนวคิดและพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมักจะเริ่มต้นในจิตสำนึกของผู้มีสิทธิและมีอำนาจสั่งการไปยังผู้ปฏิบัติการนั้นเอง
2.
สกลนครในภาคพื้นฝั่งขวาแม่น้ำโขงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากจะเป็นดินแดนแห่งตำนาน (Myth) อันมีทั้งลักษณะแฟนตาซีและสัจนิยมมหัศจรรย์หลากหลายแล้ว ในโลกของความเป็นจริง สกลนครยังเป็นดินแดนเหนือสุดที่อารยธรรมขอมและจารีตนิยมการสร้างปราสาทหินแผ่ขยายขึ้นไปถึง จนถึงยุคสร้างนครวัดที่กำลังเขมรอ่อนแอลง การทะลักเคลื่อนไหลของคนกลุ่มชาติพันธุ์จากทางใต้ของจีน จากยูนนานและเชียงรุ่ง ทำให้อำนาจและบ้านเมืองซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองของขอมได้เสื่อมสลายลง และกลุ่มชาติพันธุ์ไทหรือไตและลาวได้เคลื่อนย้ายลงมามีอำนาจการสร้างบ้านแปงเมืองเป็นนครรัฐขนาดเล็กและเมืองการค้าจนถึงยุคอาณานิยม ยุคสงครามเย็น และยุคดิจิทัล
นอกจากเป็นอาณาบริเวณของตำนานปรัมปราผาแดงนางไอ่ อันมีลักษณะอนุภาคแห่งมหากาพย์ที่ก่อให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมภาษาวรรณศิลป์เป็นวรรณกรรมสมัยใหม่ทั้งบทเพลง เช่น หนองหารวิมานร้าง ริมฝั่งหนองหาร เป็นกลอนลำ เช่น ฟ้าร้องที่หนองหารแล้ว สกลนครมีเสน่ห์ลึกซึ้งในฐานะเป็นดินแดนหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษามากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของฝั่งขวาแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นหนึ่งในสามเส้นทางหลักของการอพยพเคลื่อนย้ายของคนกลุ่มชาติพันธุ์จากจีนตอนใต้ลงสู่คาบสมุทรทั้ง 3 แห่งคือ ปากแม่น้ำอิระวดีในเมียนมาร ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในไทย และปากแม่น้ำโขงติดเวียดนาม การอยู่ในเส้นทางสำคัญของการเคลื่อนย้ายประชากรมาตั้งแต่สมัยโบราณนี้เอง ทำให้สกลนครมีคนหลากหลายชาติพันธุ์และมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนาและความเชื่อ อาหาร ผ้าทอเครื่องแต่งกาย รวมทั้งโลกทัศน์ทางการเมืองการปกครองที่มีอัตลักษณ์เฉพาะและความเป็นตัวของตัวเองสูงไม่ต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย
ครูครองเกิดและเรียนรู้ คุณค่าความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจและผสมผสานโลกทัศน์ที่ลึกซึ้งกว้างไกลออกไปจากสภาพดั้งเดิม ก่อให้เกิดความคิดแบบมีมิติความสัมพันธ์ ความคาดหวังในชีวิตและการพัฒนาที่ก้าวหน้าเป็นฐานสำคัญ สกลนครก่อนยุคอาณานิคมในปลายศตวรรษที่ 19 ถูกแยกห่างจากนครรัฐกึ่งรัฐประชาชาติที่มีมาแต่เดิมเช่น เวียงจันทน์ หลวงพระบาง จำปาสัก และเวียดนาม
เฉพาะในทางอำนาจรัฐและชาติพันธุ์ เกิดสภาพเปิดกว้างต่อการเข้ามาถึงแนวคิดทฤษฎีการเมืองและคุณค่าความเป็นคนในมิติใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากในสมัยก่อนยุคอาณานิคมนั้น ยังไม่มีรัฐชาติและเส้นพรมแดนรัฐ ความสัมพันธ์ของผู้ครองนครรัฐเป็นไปแบบเครือญาติและยอมรับผูกพันกันด้วยเครื่องราชบรรณาการในแต่ละปี เมื่อสกลนครตกเข้ามาอยู่ในอำนาจของอยุธยาและสยามในสมัยต่อมา ยิ่งทำให้เกิดสภาวะบีบรัดทางมโนทัศน์ ความเป็นใคร (ชาติพันธุ์) และความเป็นของรัฐใด (ลาวหรือสยาม)
ปรากฏการณ์นี้เองทำให้เกิดการแตกหน่อทอยอดทางความคิดทางการเมือง ประกอบกับความวุ่นวายและการแย่งชิงอำนาจการนำในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้บทบาทของครูครองมีลักษณะถอยห่างจากความผูกพันรัฐศูนย์กลาง เนื่องจากการสัมพันธ์กับบทบาทของขบวนการเสรีไทยสายภาคอีสานและลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งมีแนวคิดเรื่องชาตินิยมแฝงฝังอยู่ทั้งในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เนื่องจากในช่วงการต่อสู้ปลดปล่อยชาติจากการยึดครองของชาติตะวันตก มีการพบปะทางความคิดและถ่ายโอนสำนึกทางการเมืองผ่านการพูดคุย การเขียนหนังสือ จดหมายการทูต และปฏิบัติการเชิงรุกของผู้นำในขบวนการปลดปล่อยในเขตการนำพาต่าง ๆ นั้นเอง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นฐานรากสำคัญที่ส่งผลให้แนวคิดทางชาติพันธุ์ รัฐและการใช้อำนาจปกครองได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีแนวทางชัดเจนมากขึ้นในเรื่องความเป็นอิสระทางวิถีชีวิตและสิทธิทางการเมืองที่จะจัดการตัวเองอย่างไม่ถูกลดทอนเรื่องความเป็นลาวและชาติพันธุ์อื่น ๆ และมีลักษณะเป็นสากล
การเคลื่อนไหวของนักคิด นักเขียน ปัญญาชน และประชาชนในระดับหมู่บ้านซึ่งมีฐานคิดทางการเมืองในแต่ละประเทศเป็นปรากฏการณ์ใหม่ โดยเฉพาะการรับรู้สภาพก่อนและหลังการปฏิวัติในรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงระบอบในจีนแผ่นดินใหญ่ สอดประสานกับการแพร่กระจายของแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เข้ามาในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเข้าสู่การรับรู้สนใจศึกษาของคนหนุ่มสาว เป็นเงื่อนไขและปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูครองรวมถึงนักการเมือง และนักเคลื่อนไหวคนอื่น ๆ ที่แสดงบทบาททั้งในพื้นที่สาธารณะและในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตั้งแต่ก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับความสนใจจากผู้มีอำนาจในชาตินิยมและได้เฝ้าติดตามประเมินผลพฤติการณ์อย่างต่อเนื่อง
กล่าวได้ว่า การดิสเครดิต การซื้อตัวผู้เห็นต่างและการทำลายนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในประเทศด้อยพัฒนาทั้งในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้รับการอ้างให้เป็นวิธีการหนึ่งที่อาจจะเป็นได้ถึงกระแสหลักด้วยซ้ำในกระบวนการสร้างชาตินิยมสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดกลไกและโครงสร้างการเมืองที่เข้มแข็ง ประเด็นสำคัญคือการปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำที่สร้างให้มีมาตั้งแต่ยุคสยามเก่าหรือหลังสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาให้คงรูปและมั่งคั่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ด้วยความหวาดระแวงและตั้งรับตามการเมืองในบริบทโลกซึ่งเริ่มขยายตัวและแผ่อิทธิพลเข้าในอินโดจีนฝรั่งเศสและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจนและเต็มกำลัง
ข้างต้นนี้คือปัจจัยและเงื่อนไข อันเป็นผลให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญของแนวคิดทางการเมืองของครูครอง อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า สกลนครเป็นเมืองที่มีความลึกความกว้างในสัมพันธภาพสืบเนื่องกับนครรัฐโบราณหลายแห่งในลุ่มแม่น้ำโขง ด้านสำนึกทางสุนทรียภาพ ความเป็นชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา ตำนานและวรรณคดี รวมทั้งความคิดที่มีต่อชนชั้นปกครองและรูปแบบการเมือง
ดังนั้น สกลนครในสายธารประวัติศาสตร์ที่ให้กำเนิดชีวิตและหล่อหลอมจิตวิญญาณของครูครองจึงส่งพลังความเป็นมนุษย์เชิงสร้างสรรค์ออกมาให้ซึมซ่านเข้าไปในจิตวิญญาณของความเป็นลูกหลานเครือญาติอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง เป็นนามธรรมที่สัมผัสได้ด้วยใจและส่งผลต่อพลังการปฏิวัติชีวิตในเชิงเสรีภาพบนเส้นทางอิสรภาพอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เราจะเห็นว่า สกลนครโดยนัยนี้จึงเกิดปรากฏการณ์ที่มีความสอดคล้องประสานกับเรื่องของครูครองหลายประการ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องราวสืบเนื่องกันมาในช่วงเวลา 1,000 ปีที่ผ่านมาหรือมากกว่านั้น เช่น การเกิดมีลำน้ำยาม แม่น้ำสงคราม หนองหาน ผาแดงนางไอ่ ขบวนการเสรีไทย เตียง ศิริขันธ์ โรงเรียนการเมืองการทหาร สรรนิพนธ์ประธานเหมา 5 ชิ้น จิตร ภูมิศักดิ์ อนุสรณ์สถาน ภูพานบ้านนักรบ และ คำสั่งที่ 66/2523 เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
ดังที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลหลัง พ.ศ. 2475 แม้จะมีความขัดแย้งในด้านการนำอำนาจรัฐ ระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือนก็ตาม แต่รัฐชาติสมัยใหม่ก็มีเจตนาดีในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประเทศชาติ ภายใต้แนวคิดรัฐในการเคลื่อนไหวสร้างสรรค์ภูมิปัญญาความเป็นมนุษย์อย่างยั่งยืน ทั้งในทางความรู้ เศรษฐกิจและการเมืองที่รับใช้ประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามอุดมการณ์รัฐสากล ซึ่งครูครองก็มีแนวคิดในกระแสนี้ด้วยเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของเสรีไทยสายอีสานบนภูพาน
กระนั้นก็ตาม การที่ครูครองมีภาพเสนอตัวตนที่มีความเป็นสุนทรียศาสตร์ชาติพันธุ์สูงกว่าคนทั่วไป จากการที่ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่และได้อ่านหนังสือ รับข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย จึงทำให้ผู้กุมอำนาจการรักษาความมั่นคงแห่งอำนาจรัฐ มองครูครองในเชิงศัตรู ด้วยการประกอบสร้างบุคลิกภาพของครูครองรวมเข้ากับความเป็นครู ซึ่งมีหน้าที่อบรมสั่งสอนความรู้และจริยธรรมแก่คนในสังคม การเคลื่อนไหวเป็นตัวแทนประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร การเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเสรีไทย สายอีสาน และประการสำคัญคือกระแสการตื่นตัวของแนวคิดเรื่องชาตินิยม การปลดปล่อยประชาชาติจากการยึดครองของประเทศมหาอำนาจ การเคลื่อนไหวแนวคิดและการจัดตั้งกองกำลังที่เชื่อมโยงกันไปทั่วทั้งภูมิภาคอินโดจีน จึงทำให้รัฐไม่ไว้วางใจในแนวคิดและบทบาทของครูครองรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ปรากฏตัวในแนวทางเดียวกันในเวลาต่อมา ทั้งหมดนี้ได้นำไปสู่ปรากฏการณ์ความรุนแรงหลายครั้ง
กล่าวได้ว่า ภาพลักษณ์ของครูครองที่ปรากฏเป็นมาเช่นนี้ เกิดจากอำนาจของสุนทรียภาพความเป็นลาวในประเทศไทยในช่วงที่ยังไม่มีความประนีประนอมและผ่อนคลายแนวคิดชาตินิยมต่อกัน ประการสำคัญคือ พลังสุนทรียภาพความเป็นลาวในฐานะชาติพันธุ์ซึ่งแพร่กระจายกันอยู่ในบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขงมาตั้งแต่สมัยก่อนเริ่มก่อตั้งหลวงพระบางแล้วนี้เอง ส่งผลให้รัฐมองสุนทรียภาพในตัวของครูครองในความหมายเชิงลบและปราศจากความเข้าใจ
อย่างไรก็ดี การปรากฏตัวของครูครองก็ไม่ต่างไปจากการปรากฏตัวของเตียง ศิริขันธ์ และจิตร ภูมิศักดิ์ ขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า ทั้งเตียง และจิตร ต่างก็เป็นลูกศิษย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย แม้มีพื้นกำเนิดต่างกัน กล่าวคือ เตียง เป็นคนสกลนคร สิ้นไปในกลางเมืองหลวง ส่วนจิตร เป็นคนปราจีนบุรี สิ้นไปในวาริชภูมิ แต่ความเหมือนคือ ทั้งสองต่างก็สิ้นไปด้วยระบบปฏิบัติการเพื่อขจัดสิ่งที่เรียกว่า เป็นภัยต่อความมั่นคง ของรัฐ ด้วยกัน ครูครองเองก็สิ้นไปด้วยเหตุนี้ แต่ชัดเจนกว่า แจ่มแจ้งกว่าในทางการใช้อำนาจรัฐ
กล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของทั้งสามคน เป็นการปรากฏขึ้นของสารัตถะทางประวัติและอำนาจความเป็นมนุษย์ที่อำนาจภายนอกนั้นไม่อาจปฏิเสธและกลายเป็นความไม่ชอบธรรมขึ้นมา และในขณะเดียวกัน การสิ้นไปของคนทั้งสามในกระบวนทัศน์ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดินแดนลาวล้านช้างฝั่งขวาแม่น้ำโขง นับตั้งแต่หลุดพ้นจากราชอาณาจักรลาวเข้าอยู่ภายใต้อำนาจสยามในฐานะเมืองขึ้นและมาสู่ความเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยสมัยใหม่ในนามภาคอีสานก็คือการยืนยันในการถืออำนาจเหนือกว่าของรัฐพันลึกแห่งนี้และเป็นการทำลายสุนทรียภาพชาติพันธุ์ที่เด็ดขาดและรุนแรงจนก่อแรงสั่นสะเทือนหนักหน่วงและยาวนานมาจนปัจจุบัน และอีกนัยหนึ่งการเข่นฆ่าทำลายฝ่ายตรงข้ามกับรัฐชาตินิยมศูนย์กลางนั้นเป็นความชอบธรรมและนัยนี่ก็ได้ปรากฏมาโดยสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ผู้เขียนใคร่จะอธิบายต่อไปว่า เหตุใดสุนทรียภาพทางชาติพันธุ์ของบุคคล จึงกลายเป็นปัจจัยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดสภาวะขัดแย้งในทางการเมืองของรัฐ และชาตินิยมอย่างคาดไม่ถึงและรุนแรงในกาลต่อมา
3.
จะเห็นว่า ความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงสุนทรียภาพในจิตวิญญาณของครูครอง เป็นผลมาจากการใช้อำนาจรัฐจนก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน เกิดการต่อสู้แย่งชิงในระบบการผลิตทางเศรษฐกิจ การผูกขาดวิธีคิดและการเมืองเรื่องอำนาจรัฐที่สร้างความหวาดกลัวและหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และนำมาซึ่งการสิ้นสุดของครูครองในกาลต่อมา
ชนชั้นนำในรัฐโบราณและรัฐชาตินิยมสมัยใหม่ต่างดิ้นรนภายใต้บริบทโลก บนวิถีการปะทะ เสียดทานและการผสมผสานของอนุภาคจีนกับอินเดีย รวมทั้งชาติตะวันตก ซึ่งประกอบไปด้วยการสื่อสารด้วยความเหนือกว่า การครอบงำทางชาติพันธุ์ ศาสนา ลัทธิการเมือง อำนาจรัฐ เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดิจิทัลโปรดักส์และสหวิทยาการด้านอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดกระแสโลกาภิวัตน์หลากหลาย เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐและการใช้อำนาจต่อพลเมืองที่มีทั้งแบบดีงามและชั่วร้าย
นับแต่สมัยโบราณมาแล้ว เราจะพบว่า การปะทะกันของอำนาจรัฐ โดยผู้นำกับผู้ต่อต้านหรือผู้เห็นต่าง ได้ส่งผลต่อความมั่งคงในชีวิตของปัจเจกชนที่มีความเป็นนักคิด ปัญญาชน และนักการเมือง ที่มีสถานะเป็นเสมือนตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยในรัฐนั้น ๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้เคลื่อนไหวเป็นแนวหน้าโดยตรงก็ตาม เนื่องจากการปกครองแบบรัฐรวมศูนย์มองทุกปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากแนวคิดและปรัชญาของรัฐเป็นสิ่งบ่อนทำลายรัฐและเป็นภัยต่อความมั่นคงรัฐในระยะยาว
โดยนัยนี้ครูครองเป็นผู้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบที่ยกมาข้างต้น โดยเฉพาะการสร้างแนวคิดเรื่องชาตินิยมของรัฐไทยในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีความเข้มข้นสูง เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวและแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐที่ถูกสถาปนาและครอบครองอำนาจกับผลประโยชน์โดยชนชั้นนำ และด้วยเหตุนี้เอง ครูครองจึงถูกแรงเหวี่ยงทางประวัติศาสตร์ผลักเข้าไปอยู่เส้นวงโคจรของพื้นที่ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนำมาซึ่งการกวาดล้างพลังสุนทรียภาพของชาติพันธุ์หรืออีกนัยหนึ่งคือการทำลายจิตวิญญาณสร้างสรรค์ความเป็นมนุษย์นั้นเอง
ในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยสถานะบทบาทผู้แทนของปวงชน ครูครองจึงมิอาจหลีกเลี่ยงการยืนยันแนวคิด อุดมการณ์ และการเข้าสู่การเคลื่อนไหวในระดับโครงสร้างลึกในพื้นที่สาธารณะ ทั้งในชุมชนหมู่บ้าน ในสภาผู้แทนราษฎรและแนวร่วมอื่น ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดคำถามผูกโยงกับความเป็นลาวในรัฐชาติสมัยใหม่ว่า มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน สถาปนารัฐใหม่ หรือจะนำภาคอีสานกลับไปอยู่ภายใต้ราชอาณาจักลาวหรือไม่ คำถามที่มีลักษณะชี้นำไปสู่ความผิดนี้นับว่าแหลมคมและรุนแรงอย่างยิ่ง ในบริบทการเมืองโลกที่ยังมีการก่อตั้งกองกำลังปฏิวัติและการปลดปล่อยประชาชาติในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในขณะนั้น
จึงกล่าวได้ว่า สถานการณ์โลกในทางการเมืองและเศรษฐกิจในขณะนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีความมั่นคงของรัฐชาตินิยมไทยปรับตัวอย่างขนานใหญ่ และพร้อมกันนั้นก็ได้ฉายไฟส่องมายังภาคอีสานที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ลาวเป็นจำนวนมาก ทั้งยังพูดภาษาลาว ภาษาผู้ไท ภาษาเขมร และภาษาญ้อ รวมทั้งภาษาอื่น ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 50 ภาษาในขณะนั้น และออกแบบการสร้างผลลัพธ์ความมั่นคง ด้วยการปราบปรามผู้เห็นต่างและมีท่าทีแปลกแยกจากการเป็นพลเมืองรัฐที่ดี ด้วยวิธีการที่ไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเสรีภาพหรือคุณค่าความเป็นมนุษย์อันเป็นหลักสากลแต่ประการใด และแน่นอนว่า ครูครองและปัญญาชนนักเคลื่อนไหวคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจสามารถจะหลีกหนีหรือหลบเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ไปได้เช่นกัน
จึงนับได้ว่า ครูครองเป็นปัญญาชนคนหนึ่งที่ได้เกิดและเติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและการแตกแยกทางความคิด ในขณะเดียวกัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ สภาวะความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำด้วยกัน ระหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยลุกลามบานปลายไปทั่วทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคพื้นลุ่มแม่น้ำโขงที่รัฐชาติไทยสมัยใหม่ต้องปรับโครงสร้างทางการทหารและอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ จนในที่สุด สถานะของครูครองก็ตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นทางการเมือง สภาพกดดันที่อันตรายและการคาดหวังจากหลายส่วน จึงอาจเรียกได้ว่า ครูครองตกอยู่ในสถานการณ์ซึ่งเรียกได้ว่า อยู่ระหว่างเขาควาย หรือ กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ก็เป็นได้นั้นเอง
การที่ครูครองนำพาชีวิตเข้าไปสู่เข้าไปสู่สถานการณ์ต่อสู้ทั้งทางความคิดและทางอาวุธ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญในชีวิต แต่ด้วยการมีสุนทรียภาพทางจิตวิญญาณแห่งชาติพันธุ์ที่เข้มข้น หนักแน่นและมีพื้นที่การปะทะเสียดทานที่คาบเกี่ยวระหว่างสองแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้เอง ทำให้ยากแก่การสื่อสารแนวร่วมและควบคุมทิศทางการต่อสู้ให้แม่นยำได้อย่างต้องการ จึงทำให้ครูครองรับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งนี้การทำลายสุนทรียภาพทางจิตวิญญาณของความเป็นชาติพันธุ์ของครูครองนั้น ทำให้เรามองเห็นสภาพการระเบิดของความขัดแย้งและการปะทะกันระหว่างอำนาจรัฐ ความเป็นคนของรัฐ บนพื้นฐานผลประโยชน์ที่ได้รับการประกอบสร้างขึ้นมาภายใต้พื้นที่ เวลา และขอบเขตเส้นพรมแดนสมมุติได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เราได้พบว่า คนและขบวนการชาตินิยมที่ได้อาศัยอำนาจรัฐสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ทั้งปกปักรักษาอำนาจและผลประโยชน์ทั้งหลายนั้น ไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลและศีลธรรมจรรยาใด ๆ นอกจากการทำลายเสี้ยนหนามแห่งอำนาจที่หอมหวานให้สิ้นซากไปเสียอย่างรวดเร็ว
4.
การอธิบายพรรณนาวิเคราะห์ถึงความเป็นมาและสภาพการเปลี่ยนแปลงของสุนทรียภาพความเป็นมนุษย์ของครูครอง ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหาที่เป็นปรากฏการณ์และกระบวนทัศน์ทางประวัติศาสตร์อันเป็นมูลเหตุปัจจัยสำคัญอย่างน้อย 7 ประการ คือ (1) การเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์จากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง (2) เงื่อนไขจากบริบทและปัจจัยทางเศรษฐกิจ การผลิต และทรัพยากร (3) ลัทธิศักดินา การเมือง การทหาร และกระบวนการสร้างรัฐศูนย์กลาง (4) ความเชื่อศาสนา มโนทัศน์ดั้งเดิมแบบผี พราหมณ์และพุทธ (5) โลกทัศน์เกี่ยวกับโลก จักรวาลและจิตวิญญาณ
กล่าวได้ว่าครูครองเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองที่เป็นอนุภาคปรากฏการณ์ขนาดใหญ่ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง นับตั้งแต่สมัยโบราณจำนวน 6 ครั้ง ประกอบด้วย (1) การสถาปนานครรัฐหลวงพระบาง (2) การเคลื่อนย้ายเมืองหลวงมาที่เวียงจันทน์ (3) การตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม (4) การสูญเสียพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพระเจ้าอนุวงศ์ (5) การตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสและการเสียฝั่งขวาแม่น้ำโขง (6) การยุบระบอบราชอาณาจักรและตั้งสาธารณรัฐใหม่
ครูครองเป็นผู้ที่เกิดมาในช่วงการเปลี่ยนแปลงของรอยต่อระหว่างโลกสมัยโบราณกับโลกสมัยใหม่ที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาของการสร้างสรรค์สังคมใหม่ และเป็นช่วงซึ่งมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตในวิถีวัฒนธรรมแบบเก่ากับแบบใหม่ รวมทั้งการมองเห็นคุณค่าและความหมายของชีวิตภายใต้เสื้อคลุมความเป็นชาติพันธุ์ที่อาจจะไร้ค่าที่สุดหากมองจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ จึงทำให้ครูครองเกิดการตื่นรู้ (Awakening) เกิดพลังแห่งอำนาจที่จะต่อรองได้อย่างมีเหตุผล เป็นธรรม และออกแบบการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้มีสิทธิและเสรีภาพในนามแห่งชาติพันธุ์ในดินแดนอันเป็นมาตุภูมิที่มีมาตั้งแต่ต้น เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
กล่าวได้ว่า ครูครองเป็นผู้มาก่อนกาล นั้นคือกาลที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอย่างเป็นมติมหาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดก็ตาม แนวคิดและวิถีการต่อสู้ของครูครองนั้นได้ทำให้เรารู้สึกว่า นี่ละคือสุนทรียภาพของความเป็นชาติพันธุ์ที่แท้จริง และเป็นสุนทรียภาพที่แน่นหนักในจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และปราศจากความเศร้าหมองใด ๆ ในชะตากรรมของตนเอง
5.
จากสภาพภูมิศาสตร์สกลนคร ภูเขา ทุ่งหญ้า นาข้าว แม่น้ำและอากาศ เป็นพื้นที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรพืชและสัตว์ รวมทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ ในภาคพื้นลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งความหลากหลายในภูมิปัญญาแห่งชาติพันธุ์และประเพณีวัฒนธรรม คือความลุ่มลึกและแผ่ซ่านไปในดวงจิตวิญญาณของครูครองให้เกิดก่อสุนทรีภาพอันสวยงาม ทรงพลังมากและสืบเนื่องมายาวนาน ส่งผลให้ครูครองเกิดมโนทัศน์ลึกซึ้ง นอบน้อมและสวยงามตลอดการมีชีวิตอยู่
กล่าวได้ว่า การยอมรับอย่างอ่อนน้อมต่อคุณค่าความเป็นมนุษย์นี้ คือ สุนทรียภาพที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของครูครองและไม่ใช่สุนทรียภาพเฉพาะชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเท่านั้น แต่คือสุนทรียภาพของเป็นมนุษย์ที่เป็นสากลและเป็นสัจธรรม
อำนาจเผด็จการใดก็อาจทำลายร่างสังขารของครูครองลงได้ แต่มิอาจทำลายพลังสุนทรียภาพความเป็นมนุษย์ที่ครูครองได้หว่านโปรยเมล็ดน้อยนิดไปในสวนอุทยานแห่งชีวิตอันกว้างใหญ่ไพศาลและค่อยผลิหน่อทอยอดขึ้นมาในจิตวิญญาณของผู้คน
หมายเหตุ :
- อักขร และการสะกดคำเฉพาะคงไว้ตามต้นฉบับ
บรรณานุกรม :
- กุสุมา รักษมณี, การวิเคราะห์วรรณคดีไทยตามแนวทฤษฎีวรรณคดีสันสกฤต (กรุงเทพฯ: โครงการตำรามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 2534)
- ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, อัตวิสัยวัตถุวิสัยในสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558)
- จิตร ภูมิศักดิ์, ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ (กรุงเทพฯ: แม่คำผาง, 2556)
- ทวีศักดิ์ เผือกสม และคณะ, สถานภาพองค์ความรู้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา. พิษณุโลก (พิษณุโลก: นเรศวร, 2567)
- ทวีป วรดิลก, ประวัติศาสตร์จีนจากสงครามฝิ่นถึงการปฏิวัติซินไฮ่ (กรุงเทพฯ: ยุคใหม่, 2524)
- ธีรยุทธ บุญมี, โลก MODERN & POST MODERN (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2547)
- พระญาลิไทย, ไตรภูมิพระร่วง (กรุงเทพฯ: คุรุสภา, 2503)
- สุเนตร ชุตินทรานนท์, ขาตินิยมในแบบเรียนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน, 2552)
- เอเจียน แอมอนิเย, บันทึกการเดินทางในลาว ภาคหนึ่ง พ.ศ. 2438, แปลโดย ทองสมุทร โดเร และ สมหมาย เปรมจิตต์ (เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม, 2539)
- เจริญ ตันมหาพราน, นครหลวงพระบาง (กรุงเทพฯ: อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, 2555)
- แคน สาริกา, ครอง จันดาวงศ์ ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ (กรุงเทพฯ: ดวงกมลวรรณกรรม, 2561)
เกี่ยวกับผู้เขียน "ชัชภน จินภัทรพรกุล" คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ