ว่าด้วยวาทกรรมเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตยในบริบทไทย
ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองระส่ำระสายและประชาธิปไตยไทยยังไม่อาจตั้งหลักได้อย่างมั่นคง กลับปรากฏกระแสวาทกรรมใหม่จากกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ที่พยายามรื้อฟื้นจินตภาพแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านถ้อยคำที่แฝงด้วยเป้าหมายทางการเมือง เช่น การกล่าวหาว่า คณะราษฎรเป็นผู้ก่อรูป “ประชาธิปไตยชั่ว” จึงสมควรกวาดล้างประชาธิปไตยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”
เมื่อประวัติศาสตร์ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือในการผลิตซ้ำวาทกรรมที่ลดทอนบทบาทของประชาชน และแต่งเติมโครงสร้างอำนาจเดิมให้ดูสง่างามขึ้นภายใต้ชื่อใหม่ เช่น “ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” หรือถ้อยคำแนบเนียนว่า “สิทธิเสรีภาพมีอยู่ก่อนคณะราษฎร” สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงความเห็นที่หลากหลายในสังคม แต่เป็นกระบวนการบิดเบือนทั้งประวัติศาสตร์และหลักการประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธีการป้ายสีคณะราษฎร เพื่อลดทอนความชอบธรรมของการอภิวัฒน์ 2475 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประชาชนได้เริ่มมีส่วนร่วมในอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
บทความนี้มิได้มุ่งเพียงปกป้องสัจจะทางประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ที่ตั้งอยู่บนเจตนาเพื่อความเข้าใจอย่างรอบด้าน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปลุกระดมหรือสร้างความขัดแย้งในสังคม ความเห็นทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบของการศึกษาเชิงวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ และชวนให้สังคมไทยตั้งคำถามสำคัญร่วมกันอย่างตรงไปตรงมาว่า
ประชาธิปไตยไทยที่บิดเบี้ยวซ้ำซากตลอดหลายทศวรรษนั้น เกิดจากการ “อภิวัฒน์” หรือเกิดจากการ “บิดเบือน”? และระบอบเผด็จการที่สวมหน้ากากรัฐธรรมนูญ ยังควรถูกเรียกว่า “ประชาธิปไตย” ได้อีกหรือไม่ หากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงไม่มีเสียงในการกำหนดกติกา?
เมื่อเอ่ยถึงคณะราษฎร เรากำลังกล่าวถึงกลุ่มบุคคลที่ยืนยันว่า “ประเทศนี้เป็นของราษฎร” มิใช่ของอภิสิทธิ์ชน พวกเขารวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ "ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” โดยอิงหลัก 6 ประการเป็นแนวทางปกครองประเทศ ได้แก่ เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา
ไม่ใช่เพื่อช่วงชิงอำนาจส่วนตน แต่เพื่อคืนสิทธิและเสียงให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ที่เคยถูกกดทับในระบอบศักดินา
ผู้ที่บิดเบือนเจตนารมณ์นี้ มักกล่าวหาว่า “คณะราษฎรล้มเจ้า” ทั้งที่ในความเป็นจริง คณะราษฎรมิได้ล้มเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่ปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญนั้นก็ได้ประกาศใช้โดยความเห็นชอบของพระมหากษัตริย์ มิใช่การยึดอำนาจอย่างป่าเถื่อนหรือปราศจากความชอบธรรมอย่างที่ถูกกล่าวหา [อ่านเพิ่มเติม: https://pridi.or.th/th/content/2024/03/1895]
ความแตกต่างของถ้อยคำ “ภายใต้รัฐธรรมนูญ” กับ “ตามรัฐธรรมนูญ” อาจดูเล็กน้อย แต่ในทางหลักการรัฐศาสตร์มีความสำคัญ เพราะอาจสะท้อนแนวโน้มการตีความบทบาทของรัฐธรรมนูญในระบอบการเมือง ดังนั้น การอภิปรายเรื่องนี้จึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการส่งเสริมหลักนิติรัฐและความเข้าใจต่อบทบาทของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย และมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยต่อการตีความลำดับชั้นของอำนาจ
แน่นอนว่าประชาธิปไตยไทยไม่ได้เจริญรุดหน้าโดยไร้บาดแผล แต่สิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน มิใช่การอภิวัฒน์ของคณะราษฎร หากคือ “รัฐประหาร ปี 2490” ที่โค่นล้มรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับ 9 พฤษภาคม 2489 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ที่กำหนดให้สภาผู้แทนและวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง (ไม่ใช่แต่งตั้ง) และรับรองเสรีภาพในการดำรงชีวิต การพูด การรวมกลุ่ม และการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเสรี
เมื่อ “รัฐธรรมนูญ 2489” ถูกทำลาย ประเทศไทยก็ตกกลับสู่ห้วงเผด็จการที่ยืดเยื้อ และยังไม่หลุดพ้นจนถึงวันนี้ หากใครจะชี้ว่าประชาธิปไตยไทยล้มเหลว ก็ควรชี้ตรงไปยังต้นเหตุแห่งความล้มเหลวนั้น หาใช่การป้ายความผิดย้อนกลับไปยังคณะราษฎร ผู้เคยจุดประกายความหวังของสังคมไทยให้มีอธิปไตยของตนเอง
ผู้มีใจเป็นธรรม ย่อมไม่เลือกหยิบอดีตเพียงบางส่วนมาใช้รับใช้เป้าหมายทางการเมือง การกล่าวโทษคณะราษฎรต่อวิกฤตประชาธิปไตยในปัจจุบัน คือการบิดเบือนเหตุและผล และเท่ากับเป็นการตัดรากความพยายามของผู้คนที่เคยลุกขึ้นสู้เพื่อสถาปนาระบอบที่อำนาจเป็นของประชาชน
หากจะกล่าวว่า “ประชาธิปไตยชั่ว” ก็ต้องถามให้ตรงว่า ความชั่วนั้นเกิดจากใคร? คำตอบไม่ใช่คณะราษฎร แต่คือรัฐประหาร 2490 ที่เปลี่ยนประชาธิปไตยซึ่งเพิ่งตั้งไข่ ให้กลายเป็นประชาธิปไตยจำแลง ที่ยืมชื่อประชาชน แต่ริบอำนาจไว้ในมืออภิสิทธิ์ชน เป็นเผด็จการในคราบรัฐธรรมนูญ
หากมีข้อเสนอใดที่มุ่งย้อนกลับไปยังโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ควรมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ และบริบททางสังคมร่วมสมัย เพื่อให้แนวทางการปกครองที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและหลักสิทธิมนุษยชน เพราะสิ่งใดที่ฝืนกฎแห่งอนิจจัง ย่อมไม่อาจดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ในท้ายที่สุด ประชาธิปไตยที่ยึดถือเจตจำนงของปวงชนเป็นใหญ่ ยังคงเป็นระบบเดียวที่ให้เกียรติและศักดิ์ศรีแก่ความเป็นมนุษย์อย่างเสมอหน้า
บทวิพากษ์เชิงวิเคราะห์ต่อไปนี้ มุ่งโต้แย้งข้อกล่าวอ้างข้างต้น ด้วยเหตุผลเชิงประวัติศาสตร์ การเมือง และปรัชญาการปกครอง โดยเน้นบริบทเฉพาะของสังคมไทย พร้อมเชื่อมโยงกับแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ อาทิ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ การธำรงเอกราชและอธิปไตยของชาติ สันติภาพ การยึดมั่นในรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ และการกระจายอำนาจสู่ประชาชน
1. คณะราษฎร: “คณาธิปไตย” หรือ “ผู้วางรากฐานประชาธิปไตย”?
ข้อกล่าวหาที่ว่า "คณะราษฎรเป็นคณาธิปไตย" มักถูกหยิบยกขึ้นเพื่อบั่นทอนความชอบธรรมของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ทว่าเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การที่คณะราษฎรเข้ามามีบทบาททางการเมืองในช่วงแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น เป็นเพียง “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” เพื่อวางโครงสร้างรัฐธรรมนูญ สภา และระบบการเลือกตั้ง มิใช่การยึดอำนาจเพื่อปกครองตนเองอย่างถาวร
วาทกรรม: มีการพยายามวาดภาพว่า “คณะราษฎรเป็นคณาธิปไตย” (oligarchy) คือเป็นเพียงกลุ่มคนส่วนน้อยที่ยึดอำนาจจากกษัตริย์ไปไว้กับตนเอง มิได้มอบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ประชาชน หากแต่สถาปนา “พวกตนเอง” ขึ้นเป็นผู้มีอำนาจแทน จึงไม่ควรได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้สร้างประชาธิปไตย”
ข้อโต้แย้ง: ข้อกล่าวหานี้ดูเผิน ๆ อาจฟังขึ้น หากตัดขาดจากบริบทประวัติศาสตร์ที่สยามในขณะนั้นยังไม่เคยรู้จักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ใครเป็นผู้ครองอำนาจหลัง 24 มิถุนายน 2475” แต่คือ “อำนาจนั้นถูกใช้เพื่อใคร?” หากเปรียบการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนั้นเป็นการเปิดประตู คณะราษฎรก็หาได้ตั้งตนเป็นเจ้าของอำนาจตลอดไป หากแต่ทำหน้าที่เปิดประตูแห่งประชาธิปไตยให้ประชาชนได้เริ่มก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่เคยถูกผูกขาดมาแต่เดิม
คณะราษฎรอาจเป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปจัดวางโครงสร้างรัฐธรรมนูญ สถาบันการเมือง และกลไกการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ใช่การยึดอำนาจเพื่อตน หากคือการรื้อถอนอภิสิทธิ์ของระบอบเก่าที่จำกัดอำนาจไว้กับเจ้านายไม่กี่คน แล้วจัดวางระบบที่เปิดทางให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิ์มีเสียงอย่างเป็นระบบ นี่ไม่ใช่ลักษณะของ “คณาธิปไตย” แต่คือกระบวนการ “เปลี่ยนผ่านอำนาจ” สู่ประชาชนอย่างมีทิศทาง
ในช่วงแรกหลังการยึดอำนาจ คณะราษฎรจำเป็นต้องเข้าบริหารประเทศชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีสถาบันประชาธิปไตยที่ดำเนินการอยู่มาก่อน ไม่มีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีคณะรัฐมนตรีตามระบบรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งสำคัญคือ คณะราษฎรได้วางโรดแมปเพื่อส่งมอบอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว ไม่ใช่ยึดอำนาจไว้กับตนเองอย่างถาวร
เช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ประกาศหลัก 6 ประการ ได้แก่ เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ ความเสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา โดยชี้แจงต่อหน้าประชาชนในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 หลักการเหล่านี้สะท้อนเจตนารมณ์ที่มุ่งสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทั้งในเชิงโครงสร้างอำนาจและคุณภาพชีวิตของราษฎร
- ในด้านการเมือง: คณะราษฎรจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว และเสนอพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 โดยมีหลักการสำคัญว่า "อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร" และกำหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรที่มีอำนาจออกกฎหมายและตรวจสอบรัฐบาล ส่วนรัฐธรรมนูญถาวรฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ยังวางแผนเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ โดยกำหนดให้ในช่วงแรก สภาผู้แทนประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง และแต่งตั้งอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประชาชนก่อนขยายการเลือกตั้งอย่างเต็มที่
- ข้อครหาเรื่องเผด็จการในคณะราษฎร: เป็นความจริงที่ในบรรดาคณะราษฎรเองก็มีหลากหลายฝ่าย และบางคนในภายหลังเมื่อได้ครองอำนาจก็อาจปกครองอย่างเข้มงวด (เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปลายทศวรรษ 2480 ซึ่งมีลักษณะกึ่งเผด็จการทหารชาตินิยม) แต่กรณีนั้นเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองในระยะต่อมา ไม่ใช่หลักการตั้งต้นของคณะราษฎรโดยรวม นอกจากนี้ การเกิดเผด็จการทหารบางช่วงหลัง 2475 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกับกลุ่มอำนาจเดิม กษัตริย์นิยม และกองทัพ มิใช่เพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยของคณะราษฎรล้มเหลวโดยตัวมันเอง
- เปรียบเทียบกับระบอบเก่า: ในทางกลับกัน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่างหากที่สะท้อนคณาธิปไตยอย่างแท้จริง อำนาจรัฐในสมัยรัชกาลที่ 7 ถูกควบคุมโดยอภิรัฐมนตรีสภาซึ่งประกอบด้วยเจ้านายเพียง 5 พระองค์ โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศแต่อย่างใด
สรุปแล้ว การกล่าวหาว่าคณะราษฎรเป็นเพียงคณาธิปไตย จึงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ คณะราษฎรคือผู้วางรากฐานประชาธิปไตยไทย ทั้งในเชิงโครงสร้างและอุดมการณ์ แม้การเดินทางของประชาธิปไตยจะเผชิญอุปสรรคมากมาย แต่แนวคิด "อำนาจเป็นของปวงชน" ที่คณะราษฎรได้หยั่งรากไว้นั้น ยังคงเป็นมรดกทางความคิดที่สังคมไทยไม่อาจมองข้าม และเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
2. สิทธิและเสรีภาพ: เกิดก่อนหรือมาพร้อมประชาธิปไตย?
ก่อนปี 2475 สยามไม่มีรัฐธรรมนูญ ไม่มีสิทธิทางการเมือง เสรีภาพเป็นเพียงความเมตตาจากเบื้องบน ไม่ใช่สิทธิที่มีหลักประกันตามกฎหมาย การจะพูด จะรวมกลุ่ม หรือจะคิดต่าง ย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่ชนชั้นนำกำหนด รัฐธรรมนูญ 2475 คือครั้งแรกที่บัญญัติ “สิทธิของราษฎร” อย่างชัดเจน รวมถึงการเลือกตั้ง เสรีภาพในการพูด การรวมกลุ่ม และการศึกษา แม้จะไม่สมบูรณ์ในทันที แต่ก็เป็นจุดตั้งต้นที่เปลี่ยนให้ “ไพร่” กลายเป็น “พลเมือง” และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีอำนาจในระบบการปกครอง
วาทกรรม: มีผู้อ้างว่า “สิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกิดขึ้นก่อนที่จะมีระบอบประชาธิปไตย” โดยสื่อให้เข้าใจว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพโดยธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือเชื่อมโยงกับประชาธิปไตย หรือบางทีก็อ้างว่าคนไทยมีสิทธิเสรีภาพมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475
ข้อโต้แย้ง: ในทางปรัชญาการเมือง แม้จะมีแนวคิดที่เชื่อว่าสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมีโดยธรรมชาติ แต่ในทางปฏิบัติ สิทธิจะมีความหมายได้จริง ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองและคุ้มครองภายใต้ระบบกฎหมายและการปกครองที่ยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนอย่างมั่นคง ซึ่งก็คือระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในกรณีของไทย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า การรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยรัฐธรรมนูญฉบับแรกได้บัญญัติหมวด “สิทธิและหน้าที่ของชนชาวสยาม” ไว้อย่างชัดเจน ครอบคลุมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนา การแสดงความคิดเห็น การเขียน การพิมพ์ การชุมนุมโดยสงบ การรวมกลุ่ม การประกอบอาชีพ และการศึกษา ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดี
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนในนาม “ราษฎร” หรือ “พลเมือง” กลายเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่ใช่เพียง “ไพร่ฟ้า” ที่อยู่ภายใต้พระบารมีโดยไม่มีหลักประกันทางกฎหมาย หากถูกละเมิด ก็ไม่มีช่องทางเรียกร้อง
ก่อนปี 2475 สยามไม่เคยมีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดที่ระบุสิทธิของประชาชนอย่างเป็นระบบ สิทธิบางอย่างอาจมีอยู่ในลักษณะ “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก็มิได้มีหลักประกันใด ๆ ว่าประชาชนจะสามารถเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิของตนหากผู้ปกครองละเมิด เนื่องจากอำนาจอธิปไตยในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์โดยสิ้นเชิง ประชาชนจึงอยู่ใต้พระราชอำนาจ ไม่มีสิทธิทางการเมืองหรือเสรีภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “สิทธิในการเลือกตั้ง” ซึ่งไม่เคยปรากฏในระบอบเดิม แต่เกิดขึ้นหลังมีรัฐธรรมนูญ 2475 โดยเฉพาะการให้สิทธิผู้หญิงไทยในการออกเสียงเลือกตั้งในระดับชาติ ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สิทธิสตรีของภูมิภาค สิ่งนี้ตอกย้ำว่า สิทธิทางการเมืองของประชาชน ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการกำเนิดประชาธิปไตยในสังคมไทย
แนวคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ มิได้จำกัดอยู่เพียงโครงสร้างรัฐสภา หรือการมีเลือกตั้ง แต่หมายถึงการเปลี่ยนผ่านจากระบอบที่ประชาชนเป็นเพียง “ผู้ถูกปกครอง” ไปสู่ระบอบที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ปรีดีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า:
“คำว่า ‘ประชาธิปไตย’ จะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากความหมาย ‘แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่’ เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน ซึ่งมีสิทธิกับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน”
แต่เมื่อผู้ที่ยึดถืออำนาจเดิมไม่ต้องการให้ “มติปวงชน” เป็นใหญ่ ประชาธิปไตยจึงมักกลายเป็นเพียงฉากหน้า เป็นเพียง “เปลือก” ที่ไร้เนื้อใน เป็นประชาธิปไตยจำแลงที่แปลงกายภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ปกครองด้วยจิตวิญญาณแห่งเผด็จการ ดังวาทะของปรีดีที่เตือนว่า
“บุคคลใดยึดถือทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตย ก็ดำเนินการปฏิบัติไปได้เพียงกึ่งประชาธิปไตย บุคคลใดยึดถือทัศนะที่ตกค้างมาจากระบบทาส ก็ดำเนินการปฏิบัติให้มีการปกครองเยี่ยงระบบทาส และเป็นกำลังเกื้อกูลให้ระบบเผด็จการที่ปกครองราษฎรเยี่ยงระบบทาส”
สรุป: แม้สิทธิเสรีภาพจะเป็นหลักการสากลที่มนุษย์พึงมีโดยธรรมชาติ แต่การที่ประชาชนไทยจะ “ครอบครอง” และ “ใช้สิทธินั้นได้จริง” อย่างมีหลักประกัน จำเป็นต้องอาศัยระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญรองรับ ในอดีตที่ยังไม่มีประชาธิปไตย สิทธิต่าง ๆ ของราษฎรเป็นเพียงสิ่งที่ “ผู้มีอำนาจจะเมตตาหยิบยื่นให้” หาใช่สิ่งที่ยึดถือได้โดยกำเนิดและมีความคุ้มครองทางกฎหมายไม่ ดังที่รัฐธรรมนูญ 2475 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า
“อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
สิทธิเสรีภาพจึงไม่ใช่ของขวัญที่ผู้ปกครองจะมอบให้ตามอำเภอใจ หากแต่เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องได้ครอบครองโดยชอบธรรม ภายใต้ระบบการปกครองที่ยึดถือหลักอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นแกนกลาง และนั่นคือสาระสำคัญที่สุดของประชาธิปไตย
3. ความเป็นธรรมและสิทธิในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
วาทกรรม: มีผู้เสนอความเชื่อว่า “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีความเป็นธรรม และประชาชนได้รับสิทธิมากกว่าเมื่อเทียบกับยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ความเชื่อนี้มักยึดโยงกับภาพจำของพระมหากษัตริย์ในอดีตที่ทรงห่วงใยราษฎรดุจ “พ่อปกครองลูก” บ้านเมืองดูสงบเรียบร้อย ไร้ความขัดแย้งทางการเมือง ไม่มีความวุ่นวายหรือการแย่งชิงอำนาจเหมือนในระบอบประชาธิปไตย
ข้อโต้แย้ง: การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม โดยโครงสร้างแล้ว มิได้ตั้งอยู่บนหลักความเสมอภาคหรือสิทธิที่เท่าเทียมของราษฎร หากแต่ยึดโยงกับลำดับชนชั้นและอภิสิทธิ์ของกลุ่มชนชั้นปกครองอย่างเข้มงวด
- ระบบศักดินาและชนชั้นนำ: ก่อนปี 2475 สังคมไทยมีโครงสร้างแบบชนชั้นชัดเจน ราษฎรส่วนใหญ่เป็น "ไพร่" หรือ "บ่าวไพร่" ซึ่งต้องขึ้นต่อเจ้านายหรือขุนนาง และจำนวนไม่น้อยต้องถูกเกณฑ์แรงงานหรือรับราชการโดยไม่มีค่าตอบแทน แม้สมัยรัชกาลที่ 5 จะมีการเลิกทาสและยกเลิกระบบไพร่อย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดเรื่องอภิสิทธิ์เหนือราษฎรของชนชั้นสูงยังคงฝังรากลึก ตำแหน่ง ยศถา และบรรดาศักดิ์ยังให้สิทธิพิเศษที่คนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง และความยุติธรรมก็อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับราษฎรธรรมดา
- ไม่มีหลักประกันความยุติธรรมทางกฎหมาย: ในยุคที่กษัตริย์ทรงมีอำนาจสิทธิขาด พระองค์ทรงเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ใช้กฎหมาย ในทางทฤษฎี แม้พระมหากษัตริย์จะทรงตั้งใจปกครองด้วยทศพิธราชธรรม แต่ในทางปฏิบัติ “ความยุติธรรม” ขึ้นกับพระราชวินิจฉัยหรือดุลยพินิจของผู้ปกครองเป็นหลัก ไม่มีกลไกอิสระในการตรวจสอบถ่วงดุลหรือปกป้องสิทธิประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ยกตัวอย่างเช่น การบังคับใช้กฎหมายอาญาสมัยเก่าที่ลงโทษอย่างรุนแรง หรือกรณีที่ขุนนางใช้อำนาจข่มเหงราษฎร ราษฎรแทบไม่มีช่องทางร้องเรียนเรียกความเป็นธรรมได้นอกจากร้องทุกข์ผ่านลำดับชั้นซึ่งผลลัพธ์ไม่แน่นอนและอาจเป็นภัยแก่ผู้ร้องเอง
- อภิสิทธิ์ของชนชั้นเจ้า: คณะราษฎรได้ชี้ให้เห็นปัญหานี้ไว้อย่างชัดเจนใน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ข้อ 4 ที่ว่า “จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้” ประโยคนี้สะท้อนว่าสภาพสังคมการเมืองก่อน 2475 นั้น “พวกเจ้า” (เจ้านายและขุนนาง) มีสิทธิพิเศษเหนือราษฎรจริง การกล่าวอ้างว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีความเป็นธรรมมากกว่าประชาธิปไตย จึงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง เพราะในระบอบเดิมนั้น ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิเลือกผู้แทน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือการตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งเริ่มมีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม
- บทบาทของกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม vs. ระบบที่ไม่มีหลักประกัน: จริงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎร เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงเลิกทาสและพัฒนาประเทศ รัชกาลที่ 6-7 ที่ทรงวางรากฐานการศึกษา กองทัพ แต่คุณูปการเหล่านี้เป็นผลจากพระราชประสงค์ส่วนพระองค์ ไม่ใช่ผลจากระบบการปกครองที่ยึดหลักการปกครองโดยกฎหมายและสิทธิพลเมือง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความยุติธรรมในยุคนั้นขึ้นอยู่กับพระคุณของผู้ปกครอง หากพระองค์ทรงธรรม ประชาชนก็อยู่ร่มเย็น แต่หากไม่ ก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ คุ้มครองประชาชนจากอำนาจที่เกินควบคุม
- สิทธิบางอย่างที่ขยายในระบอบเก่า เกิดจากแรงกดดันและเหตุผลเชิงประโยชน์: เช่น การเลิกทาส มีแรงหนุนจากกระแสโลกและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากกว่าจากหลักสิทธิมนุษยชนโดยตรง หรือการจัดตั้งสุขาภิบาลในบางพื้นที่ตั้งแต่ พ.ศ. 2440 ก็เป็นไปเพื่อการบริหารจัดการสุขอนามัยในเมือง ไม่ใช่เพื่อกระจายอำนาจหรือส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน (สุขาภิบาลยุคนั้นยังอยู่ภายใต้การบริหารของข้าราชการจากส่วนกลาง มิใช่องค์กรปกครองท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง)
สรุป: ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยตัวมันเองไม่ได้ประกันความเป็นธรรมในสังคมไทยมากไปกว่าระบอบประชาธิปไตย ตรงกันข้าม มันคือระบบที่รวมศูนย์อำนาจและอภิสิทธิ์ไว้ที่กลุ่มชนชั้นปกครองอย่างเข้มข้น ส่วนประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ใต้ปกครองที่ไม่มีเสียงหรือสิทธิ การเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย จึงเป็นความพยายามแก้ไขความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างนี้ ด้วยการนำหลัก เสมอภาคภายใต้กฎหมาย และ สิทธิเสรีภาพของราษฎร เข้ามาเป็นหัวใจของระบอบใหม่ ดังเช่นรัฐธรรมนูญที่ตามมาหลังปี 2475 ก็ได้กำหนดว่า “บรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่ทำให้เกิดเอกสิทธิ์ใด ๆ เลย” เพื่อย้ำหลักความเท่าเทียมกันของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือผู้มีบรรดาศักดิ์ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาก่อน และนั่นคือความหมายแท้จริงของการเริ่มต้นประชาธิปไตย
4. “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” กับ “ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”
การเปลี่ยนคำเพียงเล็กน้อยจาก “ภายใต้รัฐธรรมนูญ” เป็น “ตามรัฐธรรมนูญ” มิใช่เพียงการปรับถ้อยคำ หากแต่คือกลยุทธ์ทางภาษาเพื่อสลับจุดศูนย์ถ่วงของอำนาจ โดยลดบทบาทของรัฐธรรมนูญในฐานะกรอบจำกัดอำนาจ และแปรให้กลายเป็นเพียงฉากรองรับราชอำนาจ เป็นการลดทอนบทบาทของประชาชน และเพิ่มความชอบธรรมให้แก่โครงสร้างอำนาจที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย
“ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” (constitutional monarchy) เป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในทางการเมืองสากล หมายถึงระบอบที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทรงดำรงตำแหน่งในฐานะประมุขโดยไม่ใช้อำนาจบริหารโดยตรง และต้องกระทำการใด ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ โดยยึดหลักว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
แต่การเปลี่ยนถ้อยคำจาก “ภายใต้” เป็น “ตามรัฐธรรมนูญ” อย่างที่บางกลุ่มพยายามเสนอในที่สาธารณะนั้น มิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นความพยายามบิดเบือนความหมายอย่างมีเจตนา เพื่อลดทอนแก่นแท้ของประชาธิปไตย และเปิดช่องให้ตีความอำนาจอธิปไตยใหม่ตามกรอบของชนชั้นนำบางกลุ่ม
- จาก “ภายใต้” สู่ “ตาม”: ความเปลี่ยนแปลงของจุดยืนอำนาจ คำว่า “ภายใต้รัฐธรรมนูญ” สื่อถึงลำดับอำนาจอย่างชัดเจน – รัฐธรรมนูญอยู่เหนือ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจภายในขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการยอมรับว่าระบบกฎหมายและหลักประชาธิปไตยคือหลักสูงสุดของการปกครอง ตรงกันข้าม คำว่า “ตามรัฐธรรมนูญ” เปิดช่องให้ตีความว่ารัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรองรับราชอำนาจ เป็นเอกสารตามใจผู้ร่าง ไม่ใช่กรอบที่จำกัดอำนาจตามหลักนิติรัฐ ถ้อยคำว่า “ตาม” จึงทำให้เกิดความคลุมเครือว่า รัฐธรรมนูญอาจต้องปรับให้สอดรับกับราชาธิปไตย แทนที่จะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการควบคุมอำนาจอย่างเท่าเทียม
- นัยทางการเมือง: บิดเบือนเพื่อแทรกอำนาจนอกระบบ เมื่อคำว่า “ตาม” แทนที่ “ภายใต้” ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างประชาชนกับสถาบันกษัตริย์ก็เปลี่ยนไปอย่างแนบเนียน จากที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด กลับกลายเป็นเพียงผู้จัดระเบียบรองรับอำนาจที่ดำรงอยู่แล้ว การบิดคำเพียงคำเดียวจึงมีผลเทียบเท่ากับการเปลี่ยนรากฐานของระบอบการปกครอง ป็นการลดทอนอำนาจอธิปไตยของประชาชน และยกระดับความชอบธรรมของอำนาจนอกระบบให้ดูเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของระบอบโดยไม่ต้องผ่านความยินยอมจากสาธารณชน
กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนจาก “ภายใต้” เป็น “ตาม” อาจดูเล็กน้อยในทางถ้อยคำ แต่ในทางการเมือง มันคือการเลื่อนแกนของอำนาจอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นการใช้วาทกรรมอย่างแนบเนียนเพื่อลบล้างรากฐานของประชาธิปไตยไทยที่คณะราษฎรได้วางไว้
5. ‘ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ’ คือคำตอบสุดท้ายของไทยจริงหรือ?
วาทกรรม: แนวคิดนี้เสนอว่า “ประเทศไทยควรปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” โดยเชื่อว่านี่คือทางออกที่ลงตัวที่สุด คือมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศ ซึ่งฟังผิวเผินดูสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของคณะราษฎรในปี 2475 อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เสนอวาทกรรมนี้บางส่วนมักแฝงนัยว่า เพียงมีพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญก็เพียงพอแล้วสำหรับสังคมไทย โดยไม่จำเป็นต้องพัฒนาประชาธิปไตยในมิติต่าง ๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิ เสรีภาพ การตรวจสอบอำนาจ หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับโครงสร้าง วาทกรรมลักษณะนี้จึงอาจกลายเป็นเครื่องมือทำให้ “รูปแบบประชาธิปไตย” ถูกคงไว้ แต่ “เนื้อหา” ของประชาธิปไตยกลับไม่เติบโต
ข้อโต้แย้ง: ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) เป็นรูปแบบการปกครองที่หลายประเทศใช้และประสบความสำเร็จ เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น หรือสวีเดน แต่ปัจจัยสำคัญมิใช่เพียงคำว่า “ภายใต้รัฐธรรมนูญ” หากอยู่ที่ว่า “รัฐธรรมนูญนั้นเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่”
“มีผู้เข้าใจผิดว่าประเทศใดมีรัฐธรรมนูญ ประเทศนั้นก็มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อันที่จริงนั้น รัฐธรรมนูญเป็นเพียงระเบียบการที่เขียนเป็นกฎหมายว่าประเทศ (รัฐ) นั้น ๆ ปกครองกันแบบใด แทนที่จะปล่อยให้ผู้มีอำนาจปกครองกระทำตามความพอใจของตนโดยไม่มีข้อกำหนดไว้”
— ปรีดี พนมยงค์
|
ในกรณีของไทย นับตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยมีสถานะเป็นราชอาณาจักรภายใต้รัฐธรรมนูญมาโดยตลอด แต่จะกล่าวว่านี่คือ “คำตอบสุดท้าย” ของประชาธิปไตยไทย อาจเร็วเกินไป เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลัง 2475 สะท้อนว่า:
- การมีรัฐธรรมนูญ ≠ การมีประชาธิปไตย: แม้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองแล้วถึง 20 ฉบับ แต่หลายฉบับเป็นเพียงกฎหมายสูงสุดในนาม มิได้ยึดหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง บางฉบับเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลเผด็จการหรือคณะรัฐประหารที่ต้องการสืบทอดอำนาจ ดังนั้น คำว่า “รัฐธรรมนูญ” จึงต้องพิจารณาด้วยว่าฉบับใดที่ยึดหลักสิทธิเสรีภาพ การถ่วงดุลอำนาจ และการมีส่วนร่วมของประชาชนจริง โดยผู้แทนปวงชนต้องมาจากการเลือกตั้ง มิใช่การแต่งตั้ง
- บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในทางการเมือง: ในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ควรดำรงอยู่เหนือการเมือง และใช้อำนาจผ่านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลักการนี้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับตั้งแต่ 2475 อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ สถาบันยังคงถูกอ้างอิงในการเมืองอยู่เสมอ เช่น การที่คณะรัฐประหารมักอ้างความจงรักภักดีเพื่อสร้างความชอบธรรม ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายบางมาตรา รวมถึงประมวบกฎหมายอาญามาตรา 112 ในบางกรณี ได้เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการตรวจสอบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และมีข้อพิจารณาว่าอาจส่งผลต่อความสมดุลของหลักการบางประการ
- รัฐประหารและการสืบทอดอำนาจนอกระบบ: แม้จะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ไทยประสบกับการทำรัฐประหารสำเร็จแล้วกว่า 13 ครั้ง แต่ละครั้งมักอ้าง “ความมั่นคง” หรือ “ปกป้องสถาบัน” เป็นเหตุ สุดท้ายประชาชนสูญเสียสิทธิ รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยถูกฉีก รัฐสภาถูกยุบ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า การมีระบอบตามทฤษฎี ไม่อาจรับประกันประชาธิปไตย หากวัฒนธรรมทางการเมืองยังไม่เข้มแข็ง หรือหากสถาบันหลักยังสามารถถูกกล่าวอ้างเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญได้อยู่เสมอ
- หลักนิติรัฐและรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์: ปรีดีให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมี “รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” และหลัก “นิติรัฐ” (Rule of Law) โดยท่านมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญ 2489 ซึ่งถือว่าเป็นฉบับที่ประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่ง โดยรัฐสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และมีหมวดสิทธิเสรีภาพที่ก้าวหน้า พร้อมทั้งยืนยันหลักการว่ากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และปราศจากบทบาททางการเมืองโดยตรง หลักนิติรัฐ หมายถึงทุกคนและทุกสถาบันต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน กฎหมายต้องมีอำนาจเหนือบุคคล หากยึดหลักนี้อย่างแท้จริง จะไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมาย และไม่อาจใช้โครงสร้างอำนาจนอกระบบล้มล้างเจตจำนงของประชาชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
- การกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น: ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชสำนักและขุนนาง แต่หลังปี 2475 คณะราษฎรได้วางรากฐานการกระจายอำนาจ เริ่มต้นด้วยการจัดตั้งเทศบาลในปี 2476 เพื่อให้ประชาชนท้องถิ่นมีผู้แทนของตนเอง แม้กระบวนการจะหยุดชะงักในยุคเผด็จการหลายครั้ง แต่แนวคิดนี้ก็เติบโตและหยั่งราก จนปัจจุบันการปกครองท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล อบต. และผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ จากการเลือกตั้ง) เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองไทยแล้ว
สรุป: “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” โดยตัวมันเองเป็นกรอบที่ดี แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พร้อมกันนั้น วัฒนธรรมประชาธิปไตยจะต้องหยั่งรากทั้งในหมู่ประชาชนและชนชั้นนำ
ทางออกของสังคมไทยจึงไม่ใช่เพียงการมีระบอบที่เรียกว่า “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ตามชื่อ แต่คือการบรรลุถึง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ ระบอบที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างเต็มที่ภายใต้หลักนิติรัฐ มีหลักประกันด้านสวัสดิการและคุณภาพชีวิต มีสันติภาพในบ้านเมือง และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญที่ประชาชนร่วมกันร่างและยึดถือร่วมกัน
นั่นต่างหาก คือคำตอบที่สังคมไทยควรเดินหน้าไปให้ถึง
6. หากประชาธิปไตยไทยมีปัญหา ควรถามว่าระบอบใดทำให้มันบิดเบี้ยว?
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ประชาธิปไตยล้มเหลวหรือไม่” แต่คือ “สิ่งใดทำให้มันล้มเหลว?”
คำตอบที่ตรงที่สุดคือ การรัฐประหาร ที่เกิดขึ้นกว่า 13 ครั้งในประวัติศาสตร์ไทย มิใช่การอภิวัฒน์ 2475 หากแต่คือ การโต้อภิวัฒน์ (Counter Revolution)—คำที่ปรีดี พนมยงค์ ใช้เรียกกระบวนการถอยหลังทางการเมือง หลังการรัฐประหารปี 2490 ที่ล้มล้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและทำลายเจตนารมณ์ของคณะราษฎร
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือ ประชาธิปไตยจำแลง ระบบที่อ้างรูปแบบประชาธิปไตยแต่ไร้เนื้อใน อำนาจยังคงอยู่ในมือกลุ่มเดิมที่ไม่ได้มาจากประชาชน และรัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นเครื่องมือรับรองการสืบทอดอำนาจ มากกว่าจะเป็นฉันทามติของปวงชน
“ประชาธิปไตยไทย” จึงมิได้ล้มเหลวเพราะการเปลี่ยนแปลง แต่เพราะ โครงสร้างอำนาจเดิมไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ความพยายามของประชาชนในการเป็นเจ้าของอำนาจถูกบั่นทอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกลไกนอกระบบ ทั้งการรัฐประหาร รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ และการบิดเบือนวาทกรรมประชาธิปไตยจนเหลือเพียงเปลือก
การเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จึงไม่ใช่ผลลัพธ์ของการอภิวัฒน์โดยคณะราษฎร แต่คือผลสืบเนื่องจาก การต่อต้านอภิวัฒน์ โดยระบอบเก่าที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง
บทสรุป
คณะราษฎรไม่ใช่คณาธิปไตย หากแต่เป็นกองหน้าของประชาชน ที่เปิดพื้นที่ให้เกิดรัฐธรรมนูญ สิทธิ เสรีภาพ และสถาบันการเมืองสมัยใหม่ หากประชาธิปไตยไทยยังล้มลุกคลุกคลาน นั่นไม่ใช่เพราะคณะราษฎร แต่คือผลพวงจากโครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยวหลังรัฐประหาร 2490 และกลไกที่ยังเปิดช่องให้คนกลุ่มหนึ่งผูกขาดอำนาจ โดยอ้าง “ความมั่นคง” หรือ “ประเพณี” เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ต้องมีคำต่อท้าย ไม่ต้องมีข้อแม้ ไม่ต้องยืมศักดิ์ศรีจากอดีตเพื่อปิดทางตรวจสอบอนาคต หากจะมีระบอบราชาธิปไตย ก็ต้องเป็น “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” และรัฐธรรมนูญนั้นต้องยึดประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ประชาธิปไตยไม่ใช่คำที่อธิบายได้ด้วยโวหาร แต่ต้องพิสูจน์ได้ด้วยระบบ ด้วยโครงสร้าง และด้วยเจตนารมณ์ และหากเรายังปล่อยให้ประวัติศาสตร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือบิดเบือนความหมายของประชาธิปไตยเพื่อรับใช้อภิชน ความหวังในการมีประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศไทย ก็อาจกลายเป็นเพียงความทรงจำที่ถูก “ปั้น” ให้เลือนหายไปตามกาลเวลา
บทส่งท้าย: บทเรียนจากปรีดี พนมยงค์ สู่อนาคตประชาธิปไตยไทย
ปรีดี พนมยงค์ นิยาม “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ว่าเป็นประชาธิปไตยในความหมายองค์รวม ที่ครอบคลุมทั้งมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการมีเลือกตั้ง แต่ต้องหมายถึงการที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตย มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่วางกติกาการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม และมีหลักนิติรัฐที่กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าผู้มีอำนาจใด ๆ รวมถึงการกระจายอำนาจที่ทำให้ทุกชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและมีเสียงในการปกครองตนเองได้
เมื่อพิจารณาข้อโต้แย้งทั้งหมดที่ผ่านมา จะเห็นว่าวาทกรรมที่พยายามลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตย หรือบิดเบือนบทบาทของคณะราษฎร ล้วนขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยเกิดขึ้นและเติบโตได้จากการต่อสู้เพื่อผลักดันระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรแม้จะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ก็เป็นกลุ่มที่ยอมสละสถานะและเสี่ยงชีวิตเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างสังคม เปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่มีสิทธิ มีเสียง และมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นพลเมือง “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” จึงจะมีความหมายได้ ก็ต่อเมื่อดำเนินควบคู่กับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง
บทเรียนสำคัญคือ การสร้างประชาธิปไตยให้หยั่งรากลึกต้องใช้เวลา ความอดทน และความร่วมมือจากทุกฝ่ายในสังคม ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยการหวนกลับสู่อดีต หรือความเชื่อในบุคคลผู้ทรงคุณธรรม หากขาดระบบที่มีการถ่วงดุลตรวจสอบ ประเทศไทยผ่านการลองผิดลองถูก ทั้งระบอบเก่า ระบอบใหม่ ระบอบกึ่งประชาธิปไตย และเผด็จการหลายรูปแบบ
ทั้งหมดนี้ช่วยยืนยันข้อวิเคราะห์ที่กล่าวมาว่า สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตยคือสิ่งที่ต้องสร้างและปกป้องด้วยระบบที่เหมาะสม มิใช่คุณสมบัติที่ดำรงอยู่ได้โดยลำพัง หากปราศจากระบอบการเมืองที่เอื้ออำนวย และเส้นทางที่ไทยเลือกเดินเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แม้จะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่ก็เป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้ประชาชนไทยได้เข้าใกล้สถานะ “เจ้าของประเทศ” อย่างแท้จริง
ปรีดี พนมยงค์ เชื่อมั่นว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่อาจหยุดอยู่เพียงโครงสร้างทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่ต้องฝังรากลึกในทัศนคติและวัฒนธรรมของสังคม สังคมที่มี “จิตสำนึกประชาธิปไตย” เท่านั้น จึงจะยืนหยัดเคียงข้างหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคได้อย่างแท้จริง
ผู้ใดเสนอให้เปลี่ยนระบอบเป็นประชาธิปไตย แต่กลับปราศจากจิตสำนึกประชาธิปไตยในตนเอง ระบอบที่เขาเสนอ แม้จะเรียกว่า “ประชาธิปไตย” ก็ไม่อาจนำพาไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีได้
หมายเหตุ:
- ภาพปกของบทความชิ้นนี้ได้รับแรงบัลดาลใจจากงานศิลปะของ "Jitdrathanee" ที่เคยแสดง ณ งานนิทรรศการศิลปกับสังคม "70 ปี ประชาธิปไตย 70 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลง" สถาบันปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2545