ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ฟาสซิสต์กับคนแรงงาน ตอนที่ 1 : เมื่อขบวนการแรงงาน ถูกเผด็จการกลืนกิน

28
พฤศจิกายน
2568

เวลาที่เราคิดถึงคนงานและสหภาพแรงงาน เรามักจะนึกถึงภาพของผู้คนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ต่อสู้เพื่อค่าจ้างที่ดีขึ้น เวลาทำงานที่น้อยลง และสภาพการทำงานที่ปลอดภัย เราคิดว่าสหภาพแรงงานคือพันธมิตรของประชาธิปไตย คือกลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจของทุนและรัฐที่ไม่เป็นธรรม แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายขนาดนั้น บางครั้งคนงานและสหภาพแรงงานกลับกลายเป็นแรงสนับสนุนให้กับระบอบเผด็จการ กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายประชาธิปไตย

ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญและเราต้องมาศึกษามัน มีเหตุผลหลายประการ ประการแรก ในโลกปัจจุบันเรากำลังเห็นการเติบโตของขบวนการฝ่ายขวาและประชานิยมทั่วโลก เรากำลังเห็นผู้นำที่ใช้วาทกรรมชาตินิยม สัญญาว่าจะปกป้องคนงานจากการแข่งขันของแรงงานต่างชาติ สัญญาว่าจะนำความยิ่งใหญ่กลับมาสู่ชาติ และได้รับการสนับสนุนจากคนงานจำนวนมาก การทำความเข้าใจว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์และจบลงอย่างไร จะช่วยให้เราไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอย

ประการที่สอง ในบ้านเราเอง ประเทศไทย เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกัน มีคนงานบางกลุ่มที่สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนการจำกัดเสรีภาพ โจมตีขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลว่าเพื่อความมั่นคงของชาติหรือเพื่อปกป้องสถาบัน มีองค์กรแรงงานบางส่วนที่ทำงานร่วมกับรัฐและนายจ้างมากกว่าที่จะปกป้องสิทธิของสมาชิกตัวเอง ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือแปลกประหลาด แต่มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ยาวนาน การศึกษากรณีของอิตาลี รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเราได้ดีขึ้น

ประการที่สาม บทเรียนจากอดีตเตือนเรา ว่าไม่ควรคิดว่าประชาธิปไตยจะมั่นคงไปเองโดยอัตโนมัติ หรือคิดว่าคนงานจะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเสมอไป ในหลาย ๆ กรณี เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อมีความวุ่นวาย คนเริ่มกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวสูญเสียอาชีพ กลัวคนต่างชาติหรือคนต่างศาสนา ความกลัวเหล่านี้สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยผู้นำเผด็จการเพื่อให้คนงานยอมสละเสรีภาพแลกกับสัญญาว่าจะได้รับความมั่นคง การเข้าใจกลไกนี้จะช่วยให้เราระวังและต่อต้านมันได้

กรณีของอิตาลีภายใต้การนำของ เบนิโต มุสโสลินี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการที่สหภาพแรงงานถูกเปลี่ยนจากองค์กรที่ปกป้องคนงานไปเป็นเครื่องมือควบคุมคนงานเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของรัฐเผด็จการ

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อิตาลีตกอยู่ในวิกฤตหนัก เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานนับล้าน ราคาของสูงขึ้นเรื่อย ๆ คนงานออกมานัดหยุดงานเป็นประจำ บางครั้งก็ยึดโรงงานมาบริหารเอง สหภาพแรงงานที่เชื่อในลัทธิสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์มีอำนาจมาก พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถอนรากถอนโคน เจ้าของโรงงาน เจ้าของที่ดิน และคนชั้นกลางกลัวมาก พวกเขากลัวว่าอิตาลีจะเกิดการปฏิวัติแบบรัสเซียที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน กลัวว่าจะสูญเสียทรัพย์สินและสถานะทางสังคม

 

การยึดครองโรงงานในเมืองตูรินในช่วงการหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ในปี 1922 
ที่มา : socialistparty.org.uk

 

บรรยากาศแห่งความกลัวนี้เองที่เป็นดินให้ ระบอบฟาสซิสต์ เติบโต มุสโสลินีเป็นคนฉลาด เขาเริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์สังคมนิยมด้วยซ้ำ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาเปลี่ยนท่าที เขารู้ว่าคนกลัวอะไรและต้องการอะไร เขาไม่ได้บอกว่าจะปราบปรามคนงานทั้งหมด แต่เขาบอกว่าเขามี "ทางที่สาม" ไม่ใช่ทุนนิยมแบบเก่าที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ที่จะทำลายทุกอย่าง แต่เป็นระบบใหม่ที่ทุกคนจะทำงานร่วมกันเพื่อความยิ่งใหญ่ของชาติอิตาลี

เมื่อมุสโสลินียึดอำนาจได้ในปี ค.ศ. 1922 ด้วยการรวบรวมพรรคพวกที่เรียกว่า "เสื้อดำ" เดินขบวนเข้ากรุงโรม สิ่งแรกที่เขาทำคือทำลายสหภาพแรงงานเก่าที่เป็นอิสระ กองกำลังเสื้อดำบุกโจมตีสำนักงานสหภาพแรงงาน เผาเอกสาร ทำร้ายผู้นำคนงาน บังคับให้องค์กรเหล่านี้ปิดตัวลง แต่เรื่องที่น่าสนใจคือมุสโสลินีไม่ได้ห้ามคนงานรวมตัวกันเลย เขาสร้างสหภาพแรงงานชุดใหม่ขึ้นมา แต่สหภาพใหม่เหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐฟาสซิสต์ นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า "คอร์ปอเรติสม์" ซึ่งจะกลายเป็นแบบอย่างสำคัญของการควบคุมคนงานในศตวรรษที่ยี่สิบ

ในปี ค.ศ. 1927 รัฐบาลฟาสซิสต์ประกาศใช้กฎบัตรแรงงาน เอกสารฉบับนี้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่หมดทุกอย่าง ข้อแรก คนงานทุกคนต้องเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่รัฐจัดตั้งขึ้นตามประเภทงาน ไม่มีสหภาพอื่นให้เลือก ไม่มีทางที่จะตั้งสหภาพอิสระได้ ถ้าคุณเป็นคนงานโรงงาน คุณต้องเข้าสหภาพคนงานโรงงานที่รัฐจัดให้ ถ้าคุณเป็นช่างไม้ ก็ต้องเข้าสหภาพช่างไม้ที่รัฐจัดให้ เป็นต้น

 

เบนิโต มุสโสลินี (1922-1943) อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี และผู้นำระบอบเผด็จการ “ฟาสซิสต์”
ที่มา : italy4.me

 

ข้อสอง ระบบนี้จัดแบบแนวตั้ง คือในแต่ละสาขาอาชีพจะมีสหภาพแรงงานอันหนึ่งและสมาคมนายจ้างอันหนึ่ง แล้วทั้งสองฝ่ายก็จะมารวมกันในองค์กรที่เรียกว่า "คอร์ปอเรชัน" โดยมีรัฐเป็นคนกลาง มุสโสลินีโฆษณาว่านี่คือวิธีใหม่ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแรงงานกับนายทุน ไม่ต้องต่อสู้กัน ให้ทั้งสองฝ่ายนั่งคุยกันแล้วตกลงกันเพื่อประโยชน์ของชาติ

แต่ในความเป็นจริง "ความร่วมมือ" นี้หมายถึงคนงานต้องยอมทุกอย่าง กฎบัตรแรงงานห้ามคนงานนัดหยุดงานโดยเด็ดขาด ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าจ้างหรือสภาพการทำงาน ต้องให้รัฐเป็นคนตัดสิน แต่ศาลแรงงานที่ตัดสินเรื่องเหล่านี้มักจะให้นายจ้างชนะเสมอ เพราะรัฐฟาสซิสต์ต้องการให้โรงงานผลิตของได้มาก ๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายสร้างจักรวรรดิและเตรียมพร้อมทำสงคราม สหภาพแรงงานฟาสซิสต์จึงไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องคนงานจริง ๆ แต่กลับเป็นเครื่องมือบังคับให้คนงานทำงานหนักขึ้นในนามของชาติ

แล้วมุสโสลินีใช้ความคิดอะไรมาชักจูงคนงาน เขาและพวกนักคิดฟาสซิสต์บอกว่าความคิดเรื่องการต่อสู้ชนชั้นผิด พวกเขาบอกว่าการที่แรงงานกับทุนต่อสู้กันนั้นไร้สาระและทำร้ายชาติ แทนที่จะแบ่งสังคมออกเป็นชนชั้นต่าง ๆ ฟาสซิสม์มองว่าสังคมเป็นเหมือนร่างกายหนึ่งที่ทุกส่วนต้องทำงานไปด้วยกัน คนงานไม่ควรเรียกร้องสิทธิหรือค่าจ้างที่สูงขึ้น แต่ควรภูมิใจที่ได้ทำงานสร้างความยิ่งใหญ่ให้ชาติ การทำงานไม่ใช่แค่วิธีหาเงินมาเลี้ยงตัว แต่เป็น "หน้าที่" ที่ทุกคนมีต่อชาติและต่อรัฐ

นอกจากนี้ มุสโสลินียังสร้างเรื่องเล่าว่าอิตาลีเองก็เป็นชาติที่ยากจนและถูกกดขี่โดยประเทศมหาอำนาจที่รวยกว่า เขาบอกว่าคนงานอิตาลีไม่ควรโกรธนายทุนอิตาลี แต่ควรโกรธประเทศอื่นที่มาแย่งชิงทรัพยากรและตลาด ควรร่วมมือกันทุกชนชั้นเพื่อต่อสู้กับชาติอื่น ความคิดแบบนี้ทำให้มุสโสลินีสามารถเรียกร้องให้คนงานยอมรับค่าจ้างที่ต่ำและสภาพการทำงานที่แย่โดยอ้างว่าเป็นการเสียสละเพื่อชาติ

คนงานอิตาลีรู้สึกอย่างไรกับระบบนี้ คำตอบไม่ตรงไปตรงมา มีคนงานบางส่วนที่เชื่อในคำพูดของมุสโสลินีจริง ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เศรษฐกิจดูเหมือนจะดีขึ้น นั่นเพราะมุสโสลินีโฆษณาชวนเชื่ออย่างเก่ง แต่ยังมีคนงานส่วนใหญ่ที่ไม่มีทางเลือก การต่อต้านหมายถึงถูกไล่ออกจากงาน ถูกจับ หรือแม้กระทั่งถูกทรมาน สหภาพแรงงานที่เป็นอิสระถูกทำลายไปหมดแล้ว ผู้นำที่เหลือต้องหนีไปต่างประเทศหรือทำงานใต้ดินอย่างแอบแฝง ในสถานการณ์แบบนี้ คนงานส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะยอมรับและพยายามอยู่รอดภายใต้ระบบที่ถูกกำหนดมาให้

 

แรงงานชาวอิตาลีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ที่มา : Britt Marie Sohlström

 

แต่การต่อต้านไม่ได้หายไปหมด มีการนัดหยุดงานแบบเงียบ ๆ เช่น ทำงานช้าลง ขัดขืนคำสั่งโดยอ้างว่าไม่เข้าใจ มีการสร้างเครือข่ายใต้ดินของคนงานที่ยังคงเชื่อในอุดมคติสังคมนิยม เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นและเศรษฐกิจของอิตาลีเริ่มพัง ความไม่พอใจของคนงานก็พุ่งสูงขึ้น ในช่วงปลายสงคราม คนงานในภาคเหนือของอิตาลีกลายเป็นกำลังสำคัญในขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ และเมื่อมุสโสลินีพ่ายแพ้ สหภาพแรงงานอิสระก็กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

บทเรียนจากอิตาลีสำคัญมาก ระบบคอร์ปอเรติสต์แสดงให้เห็นว่าขบวนการคนงานสามารถถูกดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือของรัฐเผด็จการได้อย่างไร การมี "สหภาพแรงงาน" ไม่ได้รับประกันอะไรเลย สิ่งสำคัญคือสหภาพนั้นเกิดจากการรวมตัวที่แท้จริงของคนงานหรือไม่ มีอิสระจากรัฐและนายจ้างหรือไม่

ประสบการณ์ของอิตาลีเตือนเราว่าเมื่อประชาธิปไตยอ่อนแอ เมื่อคนกลัวและสับสน พวกเขาอาจยอมรับระบอบเผด็จการที่สัญญาความสงบและความเจริญ แม้ว่าราคาที่ต้องจ่ายคือเสรีภาพและศักดิ์ศรีของคนงานเอง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องศึกษาประวัติศาสตร์นี้ เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก