หลังจากที่เราได้ศึกษากรณีของอิตาลีที่แสดงให้เห็นว่า ระบอบฟาสซิสม์สามารถดัดแปลงสหภาพแรงงานให้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐได้อย่างไร และกรณีของรัสเซียที่แสดงให้เห็นว่ารัฐเผด็จการสามารถใช้ทั้งการให้สัมปทานที่มีเงื่อนไขและความเกลียดชังทางเชื้อชาติมาควบคุมคนงานได้อย่างไร ตอนนี้เราต้องหันมามองที่บ้านของเราเอง ประเทศไทย คำถามสำคัญคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุโรปและรัสเซียเมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้วมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างไร
ความสำคัญของการศึกษากรณีไทยไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าเราต้องเข้าใจสังคมของตัวเอง แต่ยังอยู่ที่ว่ากรณีไทยท้าทายสมมติฐานหลายอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานกับประชาธิปไตย ในไทย ขบวนการแรงงานไม่เคยแข็งแกร่งเหมือนในยุโรป ไม่เคยมีสหภาพแรงงานที่มีอำนาจมากพอที่จะท้าทายรัฐหรือนายทุนอย่างจริงจัง แต่กลับมีปรากฏการณ์ที่คนงานบางกลุ่มกลายเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของรัฐประหารและระบอบเผด็จการ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ
ประวัติศาสตร์ของการควบคุมแรงงานในไทยเริ่มต้นตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงทศวรรษ 2480-2490 และ 2491-2500 ยุคนี้เป็นยุคที่รัฐไทยพยายามสร้างชาติสมัยใหม่ภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมแบบเผด็จการ จอมพล ป. ได้รับอิทธิพลจากฟาสซิสม์อิตาลีและนาซีเยอรมัน เขาพยายามสร้างระบบคอร์ปอเรติสต์แบบไทย โดยจัดตั้งองค์กรของรัฐที่ควบคุมทั้งนายจ้างและลูกจ้าง รัฐเป็นผู้กำหนดค่าจ้าง สภาพการทำงาน และไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือรัฐห้ามการนัดหยุดงานและห้ามการจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เป็นอิสระ การควบคุมแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างชาติที่ใหญ่กว่า ซึ่งรวมถึงการบังคับให้ผู้คนแต่งกายแบบสมัยใหม่ ห้ามเคี้ยวหมาก และส่งเสริมความเป็นไทยแบบที่รัฐกำหนด
หลังจากที่จอมพล ป. ถูกล้มอำนาจไปในปี 2490 และกลับมาอีกครั้งในปี 2491 ก่อนจะถูกโค่นล้มอย่างถาวรในปี 2500 รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สืบทอดและพัฒนาระบบการควบคุมแรงงานต่อไป แต่เปลี่ยนจากชาตินิยมแบบฟาสซิสต์มาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเผด็จการภายใต้สงครามเย็น

จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพล ผิณ ชุณหวัน เมื่อปี พ.ศ. 2496
ที่มา : Thailand Illustrate
จอมพลสฤษดิ์ใช้วาทกรรมการต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นเครื่องมือหลักในการปราบปรามสหภาพแรงงานที่เป็นอิสระ คนงานที่พยายามจัดตั้งองค์กรหรือเรียกร้องสิทธิถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกจับ ถูกทรมาน หรือแม้แต่ถูกสังหาร ในขณะเดียวกัน รัฐก็สนับสนุนให้มีสหภาพแรงงานที่ยอมทำงานร่วมกับรัฐและนายจ้าง ที่เรียกว่า "สหภาพแรงงานเหลือง" หมายถึงสหภาพที่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนงานจริง ๆ แต่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนงานกับฝ่ายบริหาร
ระบบนี้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะมีพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์และมีกลไกสามฝ่ายระหว่างรัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง แต่ในความเป็นจริง ดุลยภาพของอำนาจไม่เท่าเทียมกัน รัฐและนายจ้างมักจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ในขณะที่ตัวแทนฝ่ายลูกจ้างมักจะอ่อนแอ มีสหภาพแรงงานหลายแห่งที่ถูกนายจ้างจัดตั้งขึ้นเองหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของนายจ้าง ผู้นำสหภาพได้รับสิทธิพิเศษจากนายจ้าง เช่น ค่าจ้างที่สูงกว่า ตำแหน่งงานที่ดีกว่า เพื่อแลกกับการไม่ต่อสู้เพื่อสมาชิกอย่างจริงจัง กลไกนี้ทำให้คนงานส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจสหภาพแรงงาน และทำให้ขบวนการแรงงานในไทยอ่อนแอ
แต่สิ่งที่น่าสนใจและน่าวิตกกว่านั้นคือการเกิดขึ้นของการระดมพลคนงานโดยขบวนการฝ่ายขวาต่อต้านประชาธิปไตย กรณีที่เด่นชัดที่สุดคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ PAD หรือที่เรียกกันว่า "เสื้อเหลือง" ในช่วงปี 2549 ถึง 2557 PAD เป็นขบวนการที่ต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยอ้างว่ารัฐบาลเหล่านั้นทุจริตคอร์รัปชัน และที่สำคัญคือไม่เหมาะสมที่จะปกครองประเทศ พวกเขาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งในความเป็นจริงหมายถึงการจำกัดสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ PAD ได้รับการสนับสนุนจากคนงานและชนชั้นกลางล่างจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ คนงานเหล่านี้ไม่ได้ต่อต้านการเลือกตั้งเพราะพวกเขาเป็นนายทุนหรือชนชั้นสูง แต่พวกเขาถูกชักจูงด้วยวาทกรรมหลายอย่าง ประการแรก คือชาตินิยมและการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ PAD นำเสนอตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ปกป้องชาติ ต่อสู้กับผู้ที่จะทำลายความมั่นคงของประเทศ คนงานที่มีความรู้สึกรักชาติและเคารพสถาบันจึงรู้สึกว่าการเข้าร่วม PAD เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดี

กลุ่มพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ที่มา : gettyimages
ประการที่สอง คือวาทกรรมการต่อต้านคอร์รัปชัน PAD โจมตีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าทุจริตคอร์รัปชัน ซื้อเสียง ไม่สนใจประชาชน คนงานที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจและรู้สึกว่าถูกละเลยจากรัฐบาลจึงเห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์นี้ แม้ว่าในความเป็นจริง ผู้นำ PAD เองก็มาจากชนชั้นสูงและมีความเกี่ยวพันกับระบบอุปถัมภ์แบบเดียวกัน
ประการที่สาม คือความกลัวและความรู้สึกด้อยค่าของคนชั้นกลางล่างและคนงานในเมือง พวกเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามโดยชนชั้นล่างในชนบทที่มีจำนวนมากกว่าและมีสิทธิ์เลือกตั้งเท่ากัน พวกเขากลัวว่าประชาธิปไตยแบบหนึ่งคนหนึ่งเสียงจะทำให้พวกตนสูญเสียสถานะทางสังคม พวกเขาถูกชักจูงให้เชื่อว่าคนชนบทไม่มีการศึกษา ถูกหลอกง่าย และไม่ควรมีอำนาจในการเลือกรัฐบาล ความรู้สึกเหล่านี้คล้ายกับความกลัวของชนชั้นกลางอิตาลีที่กลัวคนงานสังคมนิยม หรือคนงานรัสเซียที่กลัวชาวยิว
ผลที่ตามมาคือคนงานบางกลุ่มกลายเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของรัฐประหารทั้งในปี 2549 และ 2557 พวกเขาออกมาเฉลิมฉลองเมื่อทหารยึดอำนาจ พวกเขายอมรับการจำกัดเสรีภาพ การห้ามชุมนุม การควบคุมสื่อ โดยเชื่อว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อยและเพื่อปกป้องสถาบัน พวกเขาไม่เห็นว่าการกระทำของตนเองกำลังทำลายประชาธิปไตยและทำลายสิทธิของคนงานทั้งหมด รวมถึงตัวพวกเขาเอง
หลังรัฐประหาร 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกกฎหมายและข้อบังคับที่จำกัดสิทธิของคนงานอย่างรุนแรง ห้ามการชุมนุม ห้ามการประท้วง ห้ามการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง มีการปราบปรามผู้นำสหภาพแรงงานที่พยายามต่อสู้เพื่อสิทธิของคนงาน บางคนถูกเรียกตัวไปพบทหาร บางคนถูกจับ บรรยากาศแห่งความกลัวแพร่กระจายไปทั่ว แต่คนงานที่เคยสนับสนุนรัฐประหารกลับเงียบ พวกเขาไม่ได้ประท้วง พวกเขายอมรับว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความสงบ

กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. (พ.ศ. 2556-2557) ที่ถูกมองว่าเป็น “วิวัฒนาการทางการเมืองสายมวลชน” อันต่อเนื่องมาจากกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
นอกจาก PAD แล้ว ยังมีปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงพลวัตแรงงานฝ่ายขวาในไทย ตัวอย่างหนึ่งคือในคณะกรรมการประกันสังคม ซึ่งเป็นองค์กรสามฝ่ายที่มีตัวแทนจากรัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง มีกรณีที่ตัวแทนฝ่ายลูกจ้างบางคนทำงานร่วมกับฝ่ายนายจ้างและรัฐมากกว่าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของคนงาน มีการต่อต้านการขยายสวัสดิการ การต่อต้านการปฏิรูปบำนาญ โดยอ้างว่าเพื่อความยั่งยืนของกองทุน แต่ในความเป็นจริงคือการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริหารกองทุนและนักการเมือง
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการแบ่งแยกคนงานตามภูมิภาค ศาสนา และชาติพันธุ์ ในภาคใต้ มีความตึงเครียดระหว่างคนงานมุสลิมกับคนงานพุทธ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความขัดแย้งระหว่างคนงานท้องถิ่นกับแรงงานข้ามชาติจากพม่า ลาว กัมพูชา คนงานไทยมักจะถูกชักจูงให้โทษแรงงานต่างชาติว่ามาแย่งงาน ทำให้ค่าจ้างต่ำลง แทนที่จะรวมตัวกันต่อสู้กับนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างชาติในราคาถูกและไม่ให้ค่าจ้างที่เป็นธรรมทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
เมื่อเปรียบเทียบกับอิตาลีและรัสเซีย เราจะเห็นความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่สำคัญ ความคล้ายคลึงคือการใช้ชาตินิยม อุดมการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์หรือการเมืองแบบประชาธิปไตย และการแบ่งแยกตามเชื้อชาติหรือภูมิภาคมาเป็นเครื่องมือในการควบคุมคนงาน ทั้งสามกรณีต่างก็มีรัฐที่พยายามสร้างหรือควบคุมสหภาพแรงงานเพื่อป้องกันการรวมตัวของคนงานที่เป็นอิสระจริง ๆ
ความแตกต่างที่สำคัญคือในอิตาลีและรัสเซีย ขบวนการแรงงานเคยเข้มแข็งมาก่อน ระบอบเผด็จการจึงต้องทำลายและสร้างใหม่ แต่ในไทย ขบวนการแรงงานไม่เคยเข้มแข็งตั้งแต่แรก รัฐจึงไม่ต้องทำลาย แต่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น อีกความแตกต่างหนึ่งคือในอิตาลีและรัสเซีย ระบอบเผด็จการล่มสลายในที่สุด และสหภาพแรงงานอิสระกลับมาเกิดใหม่ แต่ในไทย ระบบการควบคุมแรงงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปบ้าง

การเดินขบวนเฉลิมฉลองในกรุงโรมหลังจากการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการมุสโสลินี พ.ศ. 2488
ที่มา : britannica
สิ่งที่เราเรียนรู้จากสามกรณีศึกษานี้คืออะไร ประการแรก ขบวนการแรงงานไม่ได้เป็นพันธมิตรของประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติ ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นแรงงานกับระบอบการปกครองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความเข้มแข็งของสถาบันแรงงาน ลักษณะของอุดมการณ์ที่แพร่หลายในสังคม และโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง
ประการที่สอง เงื่อนไขที่ทำให้คนงานสนับสนุนระบอบเผด็จการหรือขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยมีหลายอย่าง หนึ่งคือความอ่อนแอของสถาบันแรงงานที่เป็นอิสระ เมื่อคนงานไม่มีองค์กรที่แข็งแกร่งในการปกป้องตัวเอง พวกเขาก็มักจะหาที่พึ่งจากรัฐหรือผู้นำที่สัญญาว่าจะปกป้องพวกเขา สองคืออุดมการณ์ชาตินิยมที่รุนแรง เมื่อคนถูกสอนให้เชื่อว่าชาติหรือศาสนาสำคัญกว่าชนชั้นหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ พวกเขาก็พร้อมที่จะเสียสละสิทธิของตนเองเพื่อสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม สามคือระบบอุปถัมภ์-ภัตตาคาร ที่ทำให้คนงานบางกลุ่มได้รับสิทธิพิเศษและกลายเป็น "ชนชั้นกรรมาชีพ" ที่กลัวการเปลี่ยนแปลงและการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกว่า
ประการที่สาม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิของคนงานต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ซับซ้อน มันไม่ใช่แค่การต่อสู้กับรัฐหรือนายทุน แต่ยังรวมถึงการต่อสู้กับอคติ ความกลัว และความหวังที่ผิด ๆ ของคนงานเอง ต้องมีการสร้างความเข้าใจว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร และต้องสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันข้ามเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ ศาสนา ภูมิภาค และสัญชาติ
สุดท้ายแล้ว ประวัติศาสตร์ของขบวนการแรงงานฝ่ายขวาในอิตาลี รัสเซีย และไทย เตือนเราว่าประชาธิปไตยไม่ได้มั่นคงไปเอง มันต้องอาศัยการปกป้องและการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง มันเตือนเราว่าความกลัว ความโกรธ และความรู้สึกไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยผู้ที่ต้องการทำลายประชาธิปไตย และมันเตือนเราว่าการปกป้องสิทธิของคนงานไม่ได้แยกออกจากการปกป้องประชาธิปไตย ทั้งสองอย่างเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก หากเราต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรมจริง ๆ เราต้องต่อสู้เพื่อทั้งสองอย่างพร้อมกัน และเราต้องระวังไม่ให้ตัวเองถูกหลอกให้เลือกระหว่างเสรีภาพกับความมั่นคง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การสูญเสียเสรีภาพจะนำไปสู่การสูญเสียทั้งสองอย่าง