ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

PRIDI Sanjorn 68 : เสรีไทย กับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแห่งสกลนคร

28
พฤศจิกายน
2568

จากโครงการสนับสนุนการศึกษาและเสวนาสัญจร PRIDI Sanjorn ครั้งที่ 2 โดยมูลนิธิ-สถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เสรีไทยในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์การเมืองและขบวนการประชาธิปไตยในภูมิภาค ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาให้แก่โรงเรียนและนักเรียนในจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ที่ผ่านมา

สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอนำเสนอการถอดความการเสวนาในหัวข้อ “เสรีไทย กับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแห่งสกลนคร” เพื่อเผยแพร่ข้อคิดเห็นทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 ท่าน ได้แก่

  • คุณหทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการบริหาร The Isaan Record
  • คุณวิชาญ ฤทธิธรรม อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
  • คุณอาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักประวัติศาสตร์และนักเขียน
  • คุณวันใหม่ นิยม นักวิชาการจากสถาบันอาศรมศิลป์

โดยมีผู้ดำเนินรายการคือ ผศ. ดร.พุฑฒจักร สิทธิ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร

คุณพุฒจักร : 

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอขอบคุณมูลนิธิและสถาบันปรีดี พนมยงค์ ที่ให้โอกาสอันงดงามให้กับลูกหลานสกลนครในวันนี้นะครับ ถือเป็นโอกาสที่ให้พวกเราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสกลนครโดยแท้จริง โดยมูลนิธิ มีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนการศึกษาและให้แแนวทางว่า ลูกหลานสกลนครจะต้องเรียนรู้เข้าใจประวัติศาสตร์ของตัวเองให้ชัดแจ่มแจ้งในเรื่องราวความเป็นมาของเรา บัดนี้จะเข้าสู่เวทีที่สำคัญยิ่งนั่นก็คือ เสวนา วิชาการเกี่ยวกับ “เสรีไทยกับนักต่อสู้แห่งสกลนคร” ว่าจะมีท่านใดบ้างที่เป็นนักต่อสู้ของสกลนคร ที่ยิ่งใหญ่ตลอดการ ณ ดินแดนเทือกเขาภูพานแห่งนี้

ก่อนอื่นผมก็อยากจะนำเรียนเกริ่นว่า วันนี้เราจะเรียนรู้ความเป็นมาเริ่มต้นแท้ ๆ ว่า “เสรีไทย” มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร และจะทำให้พวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ได้ซึมซับความตระหนักรู้ว่าภูพานของเรามีความสำคัญยิ่งอย่างไร ในเบื้องต้นอยากจะให้คุณอาชญาสิทธิ์ ในฐานะนักประวัติศาสตร์ เกริ่นนำหน่อยว่าขบวนการเสรีไทยเป็นมาอย่างไรทำไมมาเกี่ยวข้องกับจังหวัดสกลนครครับ

ผศ. ดร.พุฑฒจักร สิทธิ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร

คุณอาชญาสิทธิ์ :

สวัสดีท่านผู้ฟังทุกท่าน ผมยินดีอย่างมากที่ได้มางานร่วมสนทนากับทุกท่านที่สกลนครครับ เริ่มต้นด้วยเรื่องขบวนการเสรีไทเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนะครับ ต้องย้อนไปประมาณสักปลายปี พ.ศ. 2484 จริง ๆ ช่วงก่อนหน้าก็เริ่มรู้แล้วว่าต้องเกิดสงคราม

ขอเล่าเป็นเกร็ดสนุก ๆ ให้ฟังนะครับ หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทางยุโรป ได้พิจารณาสถานการณ์ก็รู้ว่าเดี๋ยวจะเกิดสงครามขึ้นอีก เนื่องจาก การทำสนธิสัญญาแวร์ซายของฝรั่งเศสผู้ชนะสงครามกับเยอรมันฝ่ายพ่ายแพ้ พูดง่าย ๆ คือ เอาเปรียบเยอรมันพอสมควร เพราะไปตักตวงทรัพยากรของเยอรมัน คนก็คิดแล้วแบบนี้เยอรมันคงไม่ทน ก็เริ่มมีการมีการคาดเดาต่าง ๆ

อย่างในเมืองไทยจะมีสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนึ่งที่ขายดีมากในยุคนั้นจะคล้าย ๆ พยากรณ์ หนังสือนี้ขายดีมากเพราะได้พยากรณ์ไว้เลยว่า เดี๋ยวจะเกิดสงครามโลกอีก เพราะฉะนั้น เราการคาดเดาล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะอ้างว่ามีญาณทิพย์อะไรแบบนี้ แต่ถ้ามองว่าเป็นประวัติศาสตร์มันสามารถคาดเดาได้

เพราะฉะนั้น รัฐบาลยุคนั้นจึงเริ่มที่จะมีการเตรียมพร้อม มีการผลิตคู่มือต่าง ๆ อย่างเช่น คู่มือป้องกันตัวจากไอพิษ เพราะเขาเห็นว่าสงครามจะมีอาวุธแบบใหม่ ๆ หรือ คู่มือการรับมือจากการถูกทิ้งระเบิด มีการซ้อมในกรุงเทพฯ มีการซ้อมในหมู่ราชการ ทีนี้เรารู้ว่าจะเกิดสงคราม แต่ไม่คาดว่ามันจะมาเร็ว คือมาในปี พ.ศ. 2484 (จักรวรรดิญี่ปุ่นบุกไทย) รัฐบาลดูแล้วก็ไม่คาดว่ามันจะมาถึงเมืองไทย อย่างในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เกิดในยุโรป จึงคิดแต่ว่าถ้าจะมาถึงเอเชียไปที่ญี่ปุ่นและจีน แต่ไม่นึกว่ากองทัพญี่ปุ่นจะมาเมืองไทยด้วย

ที่นี้พอมันเกิดเหตุ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ไปเขมรอยู่ในตอนนั้น ปรากฏว่าวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกมาทางหลายจังหวัด ทั้งทางใต้ริมฝั่งอ่าวไทย หรือเข้ามาทางอรัญประเทศ คนก็ตกใจ ในส่วนของทางการคิดอยู่แล้วว่าต้องมาในสักวัน แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ ชาวบ้านที่รู้สึกเหมือนว่ามีข้าศึกมารุกราน ธรรมชาติของมนุษย์ก็ต้องป้องกันตัว อย่างภาคใต้ที่ผมมีประสบการณ์จากการฟัง คือรุ่นคุณปู่ผม ก็ตกใจมากพอญี่ปุ่นมา มีอาวุธอะไรก็สู้ ต่อต้านไว้ก่อน พอมีการปะทะ มีการยิงกัน พอสุดท้ายรัฐบาลมองว่าไม่อยากให้มีการปะทะ จึงพยายามให้ญี่ปุ่นผ่านเข้ามาได้ แต่ญี่ปุ่นคิดว่าไม่ใช่แค่ผ่าน แต่จะต้องไทยให้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพินธมิตรด้วย พูดง่าย ๆ คืออยู่ฝ่ายญี่ปุ่น

อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักประวัติศาสตร์และนักเขียน

เมื่อความคิดเริ่มไม่เหมือนกันในระดับผู้บริหารหรือรัฐบาล คือจอมพล ป. มองว่าถ้าเข้าร่วมกับญี่ปุ่นจะเป็นผลดีในแง่ที่ว่าญี่ปุ่นมีแนวคิดหนึ่งที่ว่า Plan For Asia คือจะรวมเอเชียทั้งหลายให้กลับมายิ่งใหญ่ ดินแดนต่าง ๆ ที่เคยถูกฝรั่งยึดไป ญี่ปุ่นจะช่วย ซึ่งจอมพล ป. มองว่าเรื่องนี้เป็นผลดีถ้าเข้าร่วมกับญี่ปุ่น จากที่เห็นว่าตอนนั้นเราจะได้รัฐมาลัยทางใต้ ที่ได้มาจากรัฐมลายู ทางฝั่งอีสาน นี่ก็ได้ดินแดนคืนมา จอมพล ป. คิดอย่างนี้

แต่อาจารย์ปรีดี ท่านมองอีกมุมว่าการร่วมกับญี่ปุ่นอาจเสียประโยชน์มากกว่า เพราะฉะนั้น ตอนนั้นจอมพล ป. มีอำนาจ แล้วจอมพล ป. กับ อาจารย์ปรีดี เป็นเพื่อนกัน ท่านคิดไว้แล้วว่าอาจารย์ปรีดี น่าจะไม่เห็นด้วยกับท่าน เพราะฉะนั้นจอมพล ป. จึงมีความพยายามและญี่ปุ่นก็แนะนำด้วย ว่าให้อาจารย์ปรีดี ไปอยู่ในตำแหน่งไม่สามารถใช้อำนาจได้

ในช่วงนี้อาจารย์ปรีดีเลยคิดกับกลุ่มเพื่อนหรือลูกศิษย์ ว่าเราต้องอะไรสักอย่าง ต้องมีขบวนการสักอย่าง ในขณะเดียวทางต่างประเทศมีการก่อตัวของนักเรียนไทยทั้งในยุโรปและอเมริกา ว่าเราไม่เข้ากับญี่ปุ่น ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจอมพล ป. อย่างเช่นในยุโรป ตอนแรกตั้งกลุ่ม “ไทยอิสระ” ยังไม่ใช่เสรีไทย อันนั้นก็คือความคิดในเมืองนอก

ในเมืองไทยอาจารย์ปรีดี เป็นหัวหน้าก็คิดว่าเราต้องมีขบวนการที่จะต่อต้านการเข้ามาของกองทัพญี่ปุ่น ก็เลยมีการครุ่นคิดกัน ประชุมกันที่บ้านของอาจารย์ปรีดี พอเริ่มก่อตั้งขบวนการเสรีไทย ก็มีการช่วยเหลือกันหลายฝ่ายทั้งในหมู่ของลูกศิษย์ จากกลุ่มที่ใกล้ชิดอาจารย์

แล้วมันเกี่ยวข้องกับสกลนครอย่างไร? นั่นเพราะบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในสกลนคร คือ คุณเตียง ศิริขันธ์ เดิมทีคุณเตียง รู้จักอาจารย์ปรีดี แต่ไม่ได้สนิทมาก คุณเตียงเดิมท่านเป็นครู เคยไปเรียนวิชาครูและได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อว่าคุณ จำกัด พลางกูร เป็นบัดดี้กับคุณเตียง จนคุณเตียงย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วคุณจำกัด ไปเรียนที่อังกฤษ แทบไม่น่าเชื่อว่าช่วงหนึ่งคุณเตียงเคยไปสมัครเรียนโรงเรียนกฎหมาย ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ปรีดีเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนกฎหมาย คุณเตียงเลยเห็นว่า “อ๋อนี่คือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม” แต่ยังไม่กล้าไปคุย อาจารย์เป็นคุณหลวง เขาไม่กล้าไปคุย ก็ได้เห็นแต่บทบาทของอาจารย์ปรีดี

แม้กระทั่งตอนที่ไปเรียนอักษรฯ จุฬาฯ ก็เห็นบทบาทของอาจารย์ปรีดี กระทั่งตอนหลังมาเป็น สส. ยิ่งเห็นว่าอาจารย์ปรีดีมีบทบาทในสภายังไงบ้าง แต่ไม่ได้คุย จนสุดท้ายวันหนึ่งตอนอาจารย์ปรีดีบอกว่า “จำกัดคุณจะต้องตั้งขบวนการการต่อต้านการเข้ามาของญี่ปุ่น ลองชวนเพื่อนที่คิดว่าไว้ใจได้” คุณจำกัดเลยนึกถึงคุณเตียง

คุณพุฒจักร : 

ขอถามคุณวันใหม่ต่อครับว่า ในวันที่อาจารย์ปรีดีรวบรวมสมัครพรรคพวกมีพวกกี่คน ที่ว่าโส่เหล่ (ตั้งวงพูดคุย) คุยกันว่า เราจะต้องตั้งเสรีไทย หรือ Free Thai มีใครบ้าง เขาคุยกันเรื่องอะไรบ้างครับ?

คุณวันใหม่ : 

เท่าที่อ่านจากหนังสือโมฆสงครามที่อาจารย์ปรีดีบันทึกเองแล้ว อาจารย์ใช้เวลาช่วงแรก ๆ ที่ญี่ปุ่นบุก พรรคพวกก็ทยอยกันมา มาจากคณะราษฎรสายพลเรือน เช่น พวกคุณทวี บุณยเกตุ พวกอาจารย์ดิเรก ชัยนาม หลวงวาทกรโกวิท ที่อยู่กระทรวงการคลังด้วยกันมาก่อน และอีกหลาย ๆ คน ผลจากการโส่เหล่คือต้องตั้งขบวนการนี่แหละ บอกว่าจะต้องสู้ญี่ปุ่นที่มารุกราน ต้องทำให้ฝรั่งเข้าใจว่าเราไม่ได้เข้าข้างญี่ปุ่น ภายหลังจากที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา

จึงต้องทำให้ฝรั่งเข้าใจว่าไม่ได้มาจากเจตนาประชาชนไทย และต้องให้การประกาศสงครามเป็นโมฆะ อันนี้เป็นหลักการเบื้องต้นสามอย่าง แต่กว่าที่พวกคุณจำกัด หรือพวกคุณเตียง จะแน่ใจว่าอาจารย์ปรีดีเอาด้วย ก็ล่วงเข้าสักเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมแล้ว เพราะอย่างที่คุณโอม (คุณอาชญาสิทธิ์) เกริ่นไป คุณเตียงยังไม่ค่อยคุ้นอาจารย์ปรีดี เท่าไรนัก

วันใหม่ นิยม นักวิชาการจากสถาบันอาศรมศิลป์

คุณพุฒจักร :

ขอบคุณมากครับ แล้วขบวนการเสรีไทยเริ่มต้นที่ต่างประเทศจากการคุยกันของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในยุคนั้น แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับทางอีสาน? ใครเป็นผู้เริ่มแนวคิดว่าต้องทำอย่างไร? ถึงจะขยับขยายเสรีไทยทั่วทั้งประเทศ? แล้วใครเป็นคนนำมาสู่อีสาน? อยากจะให้เติมประเด็นนี้หน่อยครับ เชิญอาจารย์วิชาญครับ

 

คุณวิชาญ : 

ขอคารวะท่านผู้อาวุโสครับ สวัสดีเพื่อนมิตร ครูบาอาจารย์ และก็ขอแสดงความคารวะต่อเยาวชนของชาตินะครับ ที่คุณลุงพุฒถามว่าแล้วขบวนการเสรีไทยมาเติบใหญ่ที่ภูพานสกลนครได้อย่างไร ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ จริง ๆ ขบวนการเสรีไทยมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย เป็นการลุกขึ้นสู้ของคนไทยที่มีต่อการเข้ามาครอบงำหรือยึดครองประเทศ ซึ่งมาจากฝ่ายอักษะอย่างญี่ปุ่น ญี่ปุ่นอยากเป็นเจ้าเอเชียเลยมีชื่อสงครามว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา”

ฉะนั้นการเข้ามาของญี่ปุ่นคือต้นเหตุที่ทำให้คนไทยรักกันมากในยุคนั้น ในยุคก่อนข้าราชการก็ดี ท้องถิ่นก็ดี ครูก็ดี ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รักกันหมดเพื่อปกป้องประเทศ นี่คือความงดงามของสิ่งที่เรียกว่าจิตใจของคนที่รักชาติ

คนที่รักชาติคือคนที่เสียสละทรัพย์สินและชีวิตเพื่อชาติ ไม่ใช่คนที่เที่ยวไปด่าคนอื่นว่าไม่รักชาติ อันนั้นหลงชาติเกินไป ในส่วนของภาคอีสาน จังหวัดสกลนครเป็นแห่งแรกที่มีการตั้งและขยายฐานทัพกองกำลังเสรีไทยโดยครูเตียง ศิริขันธ์ หรือขุนพลภูพาน ตำนานนี้ยิ่งใหญ่มาก

ครูเตียงท่านเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้ที่รักเคารพในอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ปรีดีเล็งเห็นศักยภาพในตัวของบรรดานักการเมืองอีสาน เพราะนักการเมืองในยุคนั้นไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ ไม่ใช่นึกอยากเป็นก็เป็นได้ ต้องอุทิศตัวจริง ๆ อย่างครูเตียงบอกอุดมการณ์ไปเลยว่า ต้องการให้ประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน มีความเสมอภาคกันในความเป็นคนไม่มีชนชั้น

วิชาญ ฤทธิธรรม อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

ดังนั้นจึงไปเข้ากันกับวิธีคิดที่ต่อมาก็เรียกว่าลัทธิปรีดี คือลูกศิษย์ของอาจารย์ปรีดี ที่รวมตัวกันทในภาคอีสานมากมาย แต่คนที่มีบารมีมากที่สุดในกลุ่ม สส. อีสานก็คือ ครูเตียง ศิริขันธ์ สส.สกลนคร อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ฉะนั้นที่สกลนคร ที่ภูพาน ครูเตียงมีบารมี ลูกน้องครูเตียงเยอะมาก ทั้งกำนัน ทั้งครู

ฉะนั้นการก่อตั้งฐานทัพเสรีไทยเพื่อต่อต้านทหารญี่ปุ่น ขอขยายเห็นภาพก่อนว่าในเมืองสกลนคร อุดรธานี ทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลยนะครับ ตอนนั้นฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป. ถูกญี่ปุ่นครอบงำคือประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ขณะที่คนไทยนำโดยกลุ่มลูกศิษย์อาจารย์ปรีดี ตั้งกลุ่มและใช้ชื่อว่า “ขบวนการเสรีไทย” ประกาศต่อต้านญี่ปุ่น เสรีไทยในสกลนครจึงถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างลับ ๆ เพื่อหลบสายตาของฝั่งบ้านเมือง ทหาร ตำรวจ และหลบสายตาของกองทัพญี่ปุ่นที่ส่งเครื่องบินลาดตระเวนตลอด

พอตกกลางคืนห้ามเปิดไฟ ห้ามจุดไฟตะเกียง ไม่งั้นเขาเห็นแสง เพราะเขากำลังสงสัยว่าครูเตียงปฏิบัติการอยู่ที่ไหน ฉะนั้นฐานลับที่สุดต้องอยู่บนภูพาน ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เกี่ยวพันกับชนบทบ้านเรา ภูพานเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ระดับโลก เกิดเหตุอะไรทีนี่ เมื่อ 80-90 ปี ก่อน

ฉะนั้นการก่อเกิดขบวนการเสรีไทยในสกลนคร นำเข้ามาโดยอุดมการณ์ของคนที่รักชาติรักประชาชนอย่างครูเตียง ศิริขันธ์ และได้ร่วมมือกับครูครอง จันดาวงศ์ ขยายขบวนการไปทั่วภาคอีสาน สกลนครเป็นแห่งแรกและขยายไปได้รวดเร็วไปทั่วอีสานร่วมกับ สส.อุบลราชธานี สส.มหาสารคาม สส.ร้อยเอ็ด ทั้งหมดนี้คือผู้นำคนท้องถิ่น ผู้นำสามัญชนในการลุกขึ้นต่อต้านการเข้าร่วมสงคราม

คุณพุฒจักร :  

ขอบคุณ อ. วิชาญครับ คุณวันใหม่ครับ แล้วระบบเศรษฐกิจในช่วงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเมือง การขับเคลื่อนเสรีไทย แล้วสภาพไทบ้านเป็นอย่างไรในตอนนั้นครับ?

คุณวันใหม่ : 

ผมขออนุญาตเสริมว่าทำไมต้องเป็นอีสานนะครับ หากเทียบกับภาคอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นจะอยู่เป็นหลักมากกว่า ทั้งในกรุงเทพฯ กาญจนบุรี ปักษ์ใต้ ลำปาง เพราะมีทางคมนาคมที่ชุมกว่า ทางรถไฟ เส้นทางแม่น้ำ และช่องทางที่จะออกประเทศพม่า ออกมลายู หรือตอนช่วงท้ายสงครามที่ญี่ปุ่นต้องตั้งรับจากมลายู และพม่า เท่าที่ผมเข้าใจสภาพอีสานนะครับ จะเป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่แต่มีเทือกเขากั้น ตั้งแต่เทือกเขาเพชรบูรณ์ขึ้นภูพาน ขึ้นเทือกเขาโคราช ที่ราบสูงโคราช ที่ราบสูงแอ่งสกล แถมยังมีภูพานบังอีกชั้น

ฉะนั้นการคมนาคมจะค่อนข้างไกลจากตัวเมือง ไกลจากโคราช อุบลราชธานี อุดรธานี ที่เป็นตัวเมืองหลัก สกลนครก็มีตัวเมืองแต่อาจไม่ได้อยู่เส้นทางหลักเท่า จึงเป็นภูมิศาสตร์ที่เอื้อให้เกิดเสรีไทยแห่ง อย่างที่ อ.วิชาญ ว่านะครับ ทำให้ห่างไกลจากการรับรู้ของกองทัพญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ไกลเมืองนะครับ มีการสนับสนุนข้าวปลาอาหาร เพราะตอนหลัง ราชการ ข้าหลวง อำเภอ ก็จะเป็นหน่วยสนับสนุนเสบียง

สภาพสังคมก็มีร้านรวง โรงสี มีการซื้อขาย อำนาจรัฐบางอย่างสามารถเกณฑ์อำนาจ ข้าหลวง ผู้ว่าฯ เกณฑ์ข้าวของอาหารให้เสรีไทยได้ หรือบางทีสภาพสังคมเองครูเตียงก็ยังปกปิดงานของเสรีไทย เช่น อ้างว่ามาทำน้ำตาล ขายโรงเหล้า แต่จริง ๆ มาสำรวจลู่ทางในการตั้งค่ายเสรีไทย ช่วงนั้นคือช่วงต้นสงครามยังติดต่อฝรั่งไม่สำเร็จ พอช่วงท้ายสงครามสามารถติดต่อสำเร็จได้อาวุธ ขออนุญาตเสริมว่าสกลนครเป็นแบบหนึ่งในสามค่ายแรกที่ได้ติดอาวุธสัมพันธมิตร จะมี สกลนคร หัวหิน และสารวัตรทหารในพระนครครับ

คุณพุฒจักร : 

มาทางเดอะอีสานเร็คคอร์ดกันดีกว่า ว่าภาคอีสานโดยเฉพาะสกลนคร มีส่วนอย่างไรในการเชื่อมต่อการต่อสู้ของชาติกับการมีส่วนร่วมของประชาชน มันเชื่อมต่อกันอย่างไรกับการต่อสู้ครับ?

คุณหทัยรัตน์ : 

ขอบคุณสถาบันปรีดี ที่ชวนมาร่วมงานเสวนาครั้งนี้นะคะ ขอแทนตัวเองว่าพี่ดีกว่านะคะ เราอายุใกล้กัน (พูดกับนักเรียน นักศึกษา) บ้านพี่อยู่หนองบัวลำภู รู้สึกว่าเราในฐานะที่เป็นคนอีสาน อิจฉาคนสกลนครมาก เพราะว่าพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนไทยได้มีสิทธิเสรีภาพขนาดนี้ เนื่องจากที่นี่เป็นฐานเรียกว่ากองกำลังเลยก็ว่าได้ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ เป็นพื้นที่ในการฝึกคนให้มากอบกู้บ้านเมือง

หทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการบริหาร The Isaan Record

ดังนั้นถ้าหากใครยังไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำเสรีไทย ที่ทางคุณครูเตียง ศิริขันธ์ ใช้เป็นสถานที่ในการฝึกกองกำลัง ย้อนไปประมาณปี พ.ศ. 2482 เขาเล่าว่าที่นี่เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ เทียบกับหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ ภาคกลาง ที่นี่ถือว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ช่อง Thai PBS เคยทำละครเรื่องหนึ่งคือ “บุญผ่อง” เป็นคนในพื้นที่จังหวักกาญจนบุรี ที่เอายาไปขายให้ทหารไทยในยุคสงครามโลก และอีกละครเรื่องหนึ่ง “คู่กรรม”

พื้นที่สกลนครเป็นพื้นที่ที่เขามาฝึกอาวุธที่นี่ พวกพี่ ๆ  สี่ห้าคนบนเวที เล่าไปอาจจะทำให้พวกเราจินตนาการไม่ออก ไปอ่านเพิ่มเติมในหนังสือก็ได้ ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมในเว็บไซต์ของอีสานเรคคอร์ด มีบันทึกของลุง วิชิต จันดาวงศ์ ว่าทำไมพ่อเขาไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เสรีไทย ทำไมคนอีสานไปเกี่ยวข้องยังไง เข้าใจว่าเว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์ ก็มีข้อมูล เด็ก ๆ สามารถไปศึกษาได้ค่ะ

คุณพุฒจักร :  

ท่านใดที่สนใจในประวัติศาสตร์เรื่องเสรีไทย ในเว็บไซต์ของสถาบันปรีดี พนมยงค์ มีครับลองคลิกเข้าไปอ่านศึกษาได้เลย

ทีนี้อยากจะถามทั้งสี่ท่านเลยครับ ว่าเหตุการณ์สำคัญในพื้นที่สกลนครที่เห็นภาพชัดเจน เกิดกระบวนการแล้วชาวบ้านมีแนวคิดประชาธิปไตยเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับขบวนการเสรีไทย มันมีเหตุการณ์ไหนที่เล่าแล้วเห็นภาพชัดเจนกับลูกหลานเราครับ? เชิญ อ.วิชาญ ก่อนเลยครับ

คุณวิชาญ :  

ผมได้ยินได้ฟังจากปากของอดีตเสรีไทย สมัยที่ติดตาม อ.ปรีชา อดีตอธิการบดีที่นี่ ที่เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์เสรีไทยภูพาน ผมมีโอกาสได้ตามไปเป็นผู้ช่วยนักวิจัยขึ้นเขาลงห้วยไปกับท่าน จึงมีโอกาสนั่งสัมภาษณ์อดีตเสรีไทย ตอนนั้นเหลืออยู่หลายสิบชีวิต แต่วันนี้ไม่อยู่สักคนแล้วครับ คนสุดท้ายคือคุณตาคอย เพิ่งเสียชีวิตไป เป็นคนเลี้ยงม้าให้กับครูเตียง ศิริขันธ์ คนสุดท้าย ได้ไปพบแกที่ค่าย A สว่างแดนดิน ก็บอกว่าตอนนี้ไม่มีใครเหลือแล้วนะ จะเหลือแต่ลูกหลานเหลนเสรีไทย ตัวเสรีไทยจริง ๆ ไม่เหลือแล้ว แต่เท่าที่เคยไปฟังจากปากคำของท่านเหล่านั้น ท่านเล่าอย่างสนุกนะครับ

ชีวิตที่ฝึกอาวุธปืน ไม่มีปืนนะครับ ต้องเอาไม้มาถากเป็นทรงปืนแล้วฝึก ใช้ปากทำเป็นเสียงยิง “ปัง ๆ ๆ” ในใจรอวันปะทะอย่างเดียว รอปะทะกับญี่ปุ่น เพราะโกรธมาก แค้นมาก ฝึกกันอย่างมีวินัย กลางวันทำมาหากินปกติไม่มีใครรู้ เก็บความลับไม่ให้เมียรู้ด้วย ให้อยู่ในบ้านตามปกติ กลางคืนครูเตียงก็จะเดินไปตรวจไปคุย

ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น อยากให้ลูก ๆ ได้ยินเรื่องนี้นะครับ “ครูเตียงหายตัวได้” ฝ่ายทางการตามจับ ญี่ปุ่นตามรอยครูเตียง เห็นขี่ม้ามาทางนี้ขึ้นไปบนภู  แต่อยู่ดี ๆ ก็หายไปเลย เขาบอกว่าครูเตียงหายตัวได้ คนบ้านเราหายตัวได้เพราะว่าความฮักแพง (มีความรักใคร่) ผูกพันซึ่งกันและกัน

คุณตาทองเพชร เคยเล่าให้ผมฟังที่หน้าอนุสาวรีย์ครูเตียง เรื่องครูเตียงลงหนองหานแล้วหายตัวไปอยู่ในเกาะ ที่ไหนได้ล่ะครูเตียงไปเจอชาวบ้าน ทีนี้ชาวบ้านบอกให้ถอดชุด แล้วใส่เสื้อขาด ๆ เข้าไป นุ่งผ้าโสร่งไป เพราะฝ่ายศัตรูไม่รู้จักหน้าครูเตียง รู้แค่ว่าครูเตียงขี่ม้ามา แล้วชาวบ้านก็เอาเสื้อผ้าครูเตียงไปเก็บ พอทางการมาถามว่า ครูเตียงผ่านมาทางนี้ไหม ชาวบ้านก็บอกว่า จั๊กแหล่วบ่เห็น (ไม่รู้ไม่เห็น) แล้วก็หายไปเลย ครูเตียงก็บอกว่า กูนั่งอยู่ก็บ่เว้าละเนาะ (ฉันนั่งอยู่ก็ไม่พูดละนะ)

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้ครูเตียงอยู่รอดปลอดภัยจนกระทั่งออกมา ครูเตียงตัดสินใจออกมาในช่วงที่มีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะว่าเพื่อนมิตรถูกจับกุมเป็นตัวประกัน ครูเตียงเลยยอมออกมาให้จับ อย่างนี้เป็นต้น

เหตุการณ์ที่สนุกในช่วงเสรีไทย ที่ผมได้เรียนรู้คือ ค่าย A ที่บ้านหนองหลวง คุณวันใหม่ก็ไปมาแล้วนะครับ ค่าย A บ้านหนองหลวงมีนักรบนิรนาม เป็นเสรีไทยที่ไม่ถูกบันทึกชื่อ เป็นชาวบ้าน เป็นผู้หญิงที่ไปฝึกอาวุธ ชื่อไม่ได้จดเอาไว้ ทำนองว่าไม่ต้องรู้จักชื่อฉัน เลยเรียกพวกเขาว่านักรบนิรนาม เป็นผู้รักชาติเช่นเดียวกัน

เมื่อความลับถูกเปิดทหารญี่ปุ่นจับได้ เลยต้องย้ายฐานทัพจากบ้านหนองหลวง ขึ้นไปที่วาริชภูมิ บ้านตากภูวงค์ ไปทำสนามบินลับไว้ที่นั่นเอาไว้ให้ฝ่ายสัมพันธมิตร คืออังกฤษ อเมริกาและจีน เป็นผู้ส่งอาวุธมาสนับสนุนเสรีไทยที่ภูพานสกลนครนี้ จึงทำสนามบินนี้ไว้ กว้างอยู่นะครับประมาณ 4-5 ไร่ได้

แต่พอขึ้นไปบนบ้านตากภูวงค์บนภูพาน ความลับก็แตกอีก ฝ่ายญี่ปุ่นพรุ่งนี้เช้าจะบินมาตรวจอีกแล้ว คุณลุงสวัสดิ์ ตราชู ได้บันทึกเอาไว้ว่า เมื่อข้าพเจ้าทำภารกิจลับคือถูกหลอกให้ไปเป็นเสรีไทย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเสรีไทยคืออะไร แต่ศรัทธาในครูเตียง ครูเตียงให้ทำอะไรก็ทำ เลยได้ไปเป็นเสรีไทย พอมารู้ทีหลังยิ่งภูมิใจ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือสนามบิน แต่เดี๋ยวเครื่องบินญี่ปุ่นบินมาตรวจ แล้วเห็นว่ามีสนามบินเราก็จะซวย เดี๋ยวระเบิดจะลง

คิดได้ดังนั้นก็ระดมชาวบ้านที่เป็นเสรีไทยด้วยกันไปซื้อต้นกล้า กล้าข้าว อามาดำนาในสบามบิน ดำค่อนแจ้ง ดำแต่หัวค่ำไม่ได้เดี๋ยวมันจะเหี่ยว ค่อนแจ้งค่อยดำ ประมาณการว่าสัก 1 ชั่วโมงเครื่องบินน่าจะมาแล้ว จึงรีบดำนาจนกลายเป็นทุ่งนาข้าวสีเขียว

พอญี่ปุ่นบินมา เห็นพื้นที่ตรงนี้ถูกรายงานว่าเป็นสนามบินลับเสรีไทย  พอบินมาดู เสรีไทยก็จอบอยู่เด้ (แอบซ่อน) ปรากฏว่าเครื่องบินร่อนลงต่ำลงมาแล้วก็บินผ่านไป เพราะเห็นว่ามันเป็นทุ่งนาข้าว นี่คือความชาญฉลาดของคนบ้านเรา ผมไม่ได้พูดเองนะ เสรีไทยที่เล่าบอกว่า ญี่ปุ่นมันคือปึกปานนี้แท้ (ฉลาดน้อย) นี่คือสิ่งที่ผมไปรับฟังมา

ฉะนั้นการต่อสู้ของคนบ้านเรา จากภูพานถึงวอชิงตัน ดีซี มันเป็นประวัติศาสตร์ร่วมกัน ผมถึงรู้สึกภูมิใจในคนบ้านเราที่มีส่วนร่วมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในประวัติศาสตร์ของโลกครับ

คุณวันใหม่ : 

เมื่อสักครู่ อ.พุฒิ (คุณพุฒจักร) ถามเรื่องการสร้างประชาธิปไตยด้วยกันไปได้อย่างไร อันนี้ความรู้จากการอ่านนะครับ เสรีไทยที่ครูเตียงฝึก ไม่ได้ฝึกแค่อาวุธ แต่ว่ามีการอบรมอุดมการณ์ อบรมประวัติศาสตร์ด้วย รวมถึงระบบการปกครอง เพราะฉะนั้นคนที่เป็นพลพรรค ในกองทัพเรียกทหาร แต่สมาชิกเสรีไทยเรียกพลพรรค จะได้ความรู้การเมืองบ่มเพาะไปด้วย

หลายคนที่เป็นเสรีไทยในอีกสิบปี ยี่สิบปีต่อมา ได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาล เป็น สส. หรือได้เป็น ครู ผู้นำครู ครูใหญ่ จนถึงเป็นบุคลากรชั้นนำของจังหวัด ส่วนหนึ่งมีการบ่มเพาะทางการเมือง สังคม ประวัติศาสตร์ และค่ายอื่น ๆ พวกค่ายท่านทองอินทร์ ค่ายท่านจำลอง ก็ทำในทำนองนี้ด้วย

ขออนุญาตขยายเสริมอ.วิชาญนะครับ ทำไมครูเตียงรู้ว่าความลับแตก คือโดยสังคมการเมืองช่วงแรก ๆ ที่ตอนต้นเป็นรัฐบาลจอมพล ป. เข้าข้างญี่ปุ่น แต่ช่วงที่ความลับแตกมันท้ายสงครามแล้ว คือช่วงเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ซึ่งนายกควง ยังบอกว่าเป็นพันธมิตรญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บอกว่าผมเป็นพันธมิตรญี่ปุ่นอย่างแน่นอนครับ แต่มีรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญหลายคนเป็นเสรีไทย ทั้งมหาดไทย ศึกษาธิการ กลาโหม บรรดามหาดไทยจึงสั่งผู้ว่าฯ พวกกระทรวงส่วนกลางในเมืองก็คาบข่าวเรื่องญี่ปุ่นรู้ความลับมาถึงผู้ว่าฯ ผู้ว่าฯ ก็ส่งข่าวให้ครูเตียง เลยทำให้รู้ว่าความลับแตกแล้ว จึงได้เริ่มทำนาคืนเดียว

ในบรรดาเสรีไทย ไม่ได้มีแต่ครู ด้านครูนั้นให้ศึกษาธิการจังหวัดเกณฑ์ แต่สิ่งที่ตามมากับครูคือ ลูกศิษย์ เด็กมัธยมปลาย ครูที่เป็นเพื่อนครูเตียง ชวนไปล่าเนื้อในป่า ปรากฏเด็กงงว่าทำไมเข้าป่าหลายชั่วโมงจัง ทำไมล่าเนื้อต้องนั่งรถบรรทุกไปตั้งแต่บ่ายยันค่ำ เข้าไปที่ค่าย A ดงพระเจ้าสว่างแดนดิน แทนที่จะได้ล่าเนื้อได้ไก่ย่าง สรุปเขาบอกว่าให้มาฝึกอาวุธเป็นเสรีไทยด้วย

เด็กมัธยมยุคนั้นอาจคล้าย ๆ ยุคนี้ที่มีเรียน รด .  ยุคนั้นมัธยมที่ผ่านการฝึกยุวชนทหารมาแล้วพอจะใช้ปืนเป็นเลยเอามาเป็นเสรีไทย เพราะฉะนั้นจะมีความใกล้ตัวนะ อย่างครูเข้มงวดที่เราเห็นหน้ากระดานเรียน พร้อมทิ้งชอล์กมาสละชีพเพื่อชาติ เด็กที่โต ๆ หน่อยก็ตามครูมาเป็นพลพรรคถือปืนด้วยเหมือนกันครับ

คุณพุฒจักร : 

คุณอาชญาสิทธิ์มีอะไรเพิ่มเติมไหมครับ ตรงเหตุการณ์เกี่ยวกับสกลนครตรงนี้ครับ

คุณอาชญาสิทธิ์ : 

จริง ๆ แล้ว การที่จังหวัดสกลนครมีจุดเด่นหรือกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ เหตุผลหนึ่งมองจากสายตาชาวพระนครหรือจากบางกอกยุคนั้น คือทหารญี่ปุ่นคิดว่าไม่น่าจะมีฝ่ายต่อต้าน เพราะในยุคนั้นสกลนครในสื่อสิ่งพิมพ์ที่กรุงเทพฯ สิ่งที่ดังมากคือ มีสาวภูไทไปประกวดนางงาม ถ้าเราอ่านหนังสือพิมพ์ยุคนั้นประมาณปีพ.ศ. 2482-2483 หนังสือพิมพ์จะสนใจว่าสกลนครมีสาวภูไท ไปประกวดนางงามวันรัฐธรรมนูญ คือที่สื่อสนใจ

ด้วยความที่สกลนครเป็นจังหวัดที่อยู่แถวภูพาน ตอนที่ทหารญี่ปุ่นมายึดอาณาเขตในเมืองไทย ยึดในกรุงเทพฯ ยึดทางใต้ ทหารญี่ปุ่นเองแม้ว่าจะมารุกราน แต่โดยมนุษย์ทั่วไปก็มีความกลัวเหมือนกัน เพราะรู้อยู่ว่ามายึดพื้นที่เขาต้องมีคนปะทะ ที่นี้พอทหารญี่ปุ่นมาอยู่นาน ๆ อาจมีความตึงเครียดในสงคราม เลยมีโครงการให้ทหารญี่ปุ่นมาเที่ยวเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าทหารญี่ปุ่นอยากมาเที่ยวทางภาคอีสาน เพราะเชื่อว่าน่าจะปลอดภัยทั้งที่จริง ๆ แต่ฐานที่มั่นใหญ่ในการต่อต้านทหารญี่ปุ่น อยู่ทางนี้หมดเลย นั่นเป็นเพราะทหารญี่ปุ่นคาดไม่ถึง

การเดินทางสมัยก่อนจะเป็นทางรถไฟ เวลาทหารญี่ปุ่นจะไปเที่ยวอีสานส่วนใหญ่จะไปทางอุดรธานี ไปทางหนองคาย ทหารและแม่ทัพญี่ปุ่นเคยมาเที่ยวเดินโสเหล่ที่นครพนม นางงามอุระ มาเดินที่นครพนม

ผมก็สงสัย ถ้าคิดแบบคนยุคนี้ว่าไปนครพนมทำไมไม่ผ่านสกลนคร? เพราะว่ายุคนั้นเขาไปทางหนองคายก่อนแล้วมาทางเรือ ทางแม่น้ำโขง ทีนี้สกลนครเป็นพื้นที่ที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาในช่วงแรก ทหารญี่ปุ่นไม่คิดว่าจะมีกองกำลังต่อต้าน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ ครูเตียงมองขาดมาก ว่าถ้าตั้งค่ายที่สกลนครศัตรูจะไม่ระแวงเลย แต่จริง ๆ สกลนครเป็นแหล่งที่ญี่ปุ่นควรจะกลัวที่สุด

ที่ผมประทับใจจากการที่ได้ศึกษาเพราะผมพบว่า ครูเตียงท่านเคยเป็นครูมาก่อน แล้วไปเป็น สส. ท่านจึงมีเพื่อนมีลูกศิษย์เยอะ และยังมีเพื่อนครูด้วย อย่างที่ผมเกริ่นไปว่า พอคุณจำกัดเอ่ยชวนครูเตียงแล้วครูเตียงตอบตกลง ครูเตียงจึงเริ่มได้สนิทกับอาจารย์ปรีดีมากขึ้น ตอนคุณจำกัดต้องไปจุงกิง กลายเป็นว่าครูเตียงยิ่งสนิทกับอาจารย์ปรีดีขึ้นไปอีก มีช่วงหนึ่งที่ประชุมกันตึงเครียด อาจารย์ปรีดีท่านเอ็ดคุณจำกัดว่าใจร้อน กลายเป็นครูเตียงต้องปลอบ เป็นจุดหนึ่งที่เห็นว่าครูเตียงกับอาจารย์ปรีดี แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ

พอคุณจำกัดไม่อยู่แล้ว ภายหลังจากที่ครูเตียงร่วมงานเคียงกับอาจารย์ปรีดี ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลก ผมคิดว่าท่านน่าจะเป็นคนรักเพื่อนพ้อง ใคร ๆ ก็เคารพ พอมาทำเสรีไทยเพื่อนที่เคยเป็นครู ที่เคยเรียนจุฬาฯ ด้วยกันท่านหนึ่ง ที่ผมอยากจะยกขึ้นมาคือ คุณสหัส กาญจนพังคะ เคยเรียนหนังสือด้วยกันที่จุฬาฯ แล้วบังเอิญช่วงนั้นคุณสหัสมาเป็นคล้าย ๆ ศึกษาธิการจังหวัดพอดี พอครูเตียงชวนสหัสก็มาร่วมด้วยเลย

คุณสหัสเป็นคนเก่ง เขาแปลหนังสือ แปลงานของนักคิดฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งว่าเพื่อนที่เป็นครูอีกคนอย่าง คุณละเอียด บ้านโนนหอม ตอนแรกเป็นครู  พอครูเตียงชวนมาเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยและบอกให้เป็นกำนันแทนเลย ทำให้เห็นว่า ครูเตียงท่านสามารถชวนเพื่อนทั้งหลาย แม้กระทั่งครูครอง จันดาวงศ์ ที่อยู่สว่างแดนดินมาร่วมขบวนการนี้

ผมคิดว่าครูในยุคนั้นมีบทบาทต่อชาวบ้านมาก กลายเป็นว่ามีชาวบ้านมาเข้าร่วมมากด้วย ชาวบ้าน ชาวนา แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยเรื่องทุนทรัพย์หรือเงินสนับสนุนแต่พร้อมช่วยเรื่องข้าว อาหาร ปลาแดก (ปลาร้า) ทุกคนสนับสนุนเป็นอาหาร สนับสนุนด้วยเรี่ยวแรง และสิ่งสำคัญที่สุดคือช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะเวลาขบวนการเสรีไทยหรือนักรบปฏิบัติการ ถ้ามีชาวบ้านบอกจะได้รู้ว่าญี่ปุ่นจะยังไง

นี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะชาวนา ชาวบ้าน บางทีไม่ได้เข้าไปในป่า อยู่ในเมืองช่วยเป็นสายว่าญี่ปุ่นเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง ซึ่งผมว่ามันน่าประทับใจที่ชาวสกลนครหรือแม้กระทั่งหลายท่านที่มาจากที่อื่นก็จริง แต่พอมาทำงานที่สกลนครแล้วก็ช่วยกันหมด ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ เลยทำให้สกลนครกลายเป็นฐานที่มั่นใหญ่ มีค่ายเยอะมาก  10 ค่าย เลยถือว่าเป็นแหล่งใหญ่มากในการต่อต้านญี่ปุ่น

คุณพุฒจักร :

มีเพิ่มเติมตรงแนวคิดของความเป็นประชาธิปไตยที่ซึมซับเข้าไปกับชาวบ้านจากเหตุการณ์นี้ แนวคิดตรงนี้ได้ส่งผลให้คนลุกขึ้นมาเรียกร้อง เข้ามารวมพลังกันเพื่อที่จะต่อต้านญี่ปุ่น ตรงจุดนี้ชาวบ้านซึมซับไปได้อย่างไรครับ?

คุณหทัยรัตน์ : 

อย่างที่คุณอาชญาสิทธิ์ได้พูดไป จากการอ่านข้อมูลมา การติดตั้งอาวุธทางปัญญาครั้งนั้นมันลงไปถึงรากหญ้า ลงไปถึงชาวนา ชาวไร่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้เข้ามามีส่วนร่วม เรียกได้ว่าเข้าถึงทุกระดับ ทำให้คนได้เข้าใจว่าการกอบกู้ประเทศเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำ ถ้าหากเราย้อนไปตอนปี พ.ศ. 2484-2488 ชาวบ้านยังไม่เข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตย แต่การที่ครูเตียง หรือเสรีไทยในยุคนั้นเข้ามาติดตั้งอาวุธทางปัญญาแบบนี้ ทำให้ชาวบ้านเริ่มเข้าใจว่าพวกเราต้องมีส่วนร่วม พวกเราได้เรียนรู้ประชาธิปไตยกลาย ๆ แล้ว ซึ่งตอนนั้นถือว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยมาก

ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังรู้สึกว่า เราขอบคุณเขานะ ที่เขาเห็นความสำคัญของสามัญชน ปกติแล้วการต่อสู้ก่อนหน้านั้นไม่มีการบันทึกว่าให้ความสำคัญคนรากหญ้าหรือคนที่เป็นชาวบ้านจริง ๆ แต่ประวัติศาสตร์ของเสรีไทยเริ่มให้ความสำคัญกับชาวบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหม่มาก และหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์ทางการเมืองตอนนี้ แทบจะไม่มีการบันทึกเลยว่าคนตัวเล็กตัวน้อยถูกกล่าวถึง แต่ตอนนั้น (สมัยเสรีไทย) เขามีการพูดถึงแล้ว

ไม่แน่ใจว่ามีการพูดถึงหรือเปล่านะคะ ว่าการติดตั้งอาวุธทางปัญญาของชาวบ้านที่เป็นชาวไร่ชาวนาในขณะนั้นได้พูดถึงเรื่องความอยุติธรรมเป็นหลัก ทำให้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เลยถือเป็นรากฐานในอนาคต พื้นที่หลาย ๆ อำเภอในสกลนคร ถือเป็นพื้นที่ที่ทางรัฐเรียกว่า พื้นที่สีแดง เพราะมีคอมมิวนิสต์เข้ามา เหมือนชาวบ้านอาจมีรากฐานในการถูกติดตั้งอาวุธทางปัญญาอยู่แล้ว ต่อมาเขาพัฒนาว่าเขาจะต้องเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ทำให้หลายคนประกาศตัวว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา

ทำให้รากฐานของความคิดแบบนั้นมันพัฒนามาเรื่อย ๆ เข้าใจว่าลูกหลานของเสรีไทย ลูกหลานของคอมมิวนิสต์ในอนาคต ก็เติบโตมาเป็นผู้นำทางการเมือง หรือผู้นำทางความคิดในสังคมอีสานหลายคนเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่เราได้เรียนรู้ในฐานะคนรุ่นหลัง เราว่าการที่เขาถ่ายทอดอุดมการณ์แบบนี้ ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นคุณูปการของคนอีสานค่ะ

คุณวันใหม่ : 

เรื่องติดอาวุธทางปัญญา ถ้าเกิดนอกเหนือจากเสรีไทยสายอีสาน เสรีไทยสายราชการ อย่างในกาญจนบุรี ที่เป็นแบบตำรวจคุมเสรีไทย เสรีไทยสายลำปางที่มี พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ คุมไม่มีการอบรมการเมือง ประวัติศาสตร์อะไรเลย มีแต่ฝึกอาวุธอย่างเดียวเลยครับ

คุณวิชาญ : 

กระบวนการในการกอบกู้เอกราชของชาตินี้ อย่างที่อาจารย์บอกว่า เป็นความร่วมมือครั้งที่ใหญ่มาก เหนียวแน่นที่สุดของชาติ ยังไม่เห็นคนไทยสามัคคีในประวัติศาสตร์เท่ากับการกอบกู้เอกราชเลยนะครับ ตั้งแต่ชนชั้นสูง เป็นเจ้าก็ดำเนินการติดต่อประสานงานกับทางสัมพันธมิตร

ขณะที่คนรากหญ้า คนตัวเล็กตัวน้อย คุณยาย ตาสีตาสา นางมีนางมา ที่เป็นชาวบ้านก็ฝึกอาวุธ คือทุกระดับเลย ทั้งข้าราชการ ทั้งครู กำนัน สามัคคีกันมากในยุคนั้น ยุทโธปกรณ์จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสัมพันธมิตร ยาก็สัมพันธมิตร เพราะขบวนการเสรีไทยจะไปมีอะไร เงินก็ไม่มี แต่สิ่งที่มีคือจิตใจ อุดมการณ์ความรักชาติ เหมือนตอนที่อาจารย์ปรีดี ได้ส่งคุณจำกัด พลางกูร ข้ามไปจีน สิ่งที่เขายึดถือคือเพื่อชาติ เพื่อ Humanity (มนุษยชาติ)

ดังนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกแทบไม่มี ชุดที่จะใส่ไปรบแทบไม่มีเลยครับลุงพุฒิ (คุณพุฒจักร) มีเป็นชุดทหารป่าที่สกปรกมากแต่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ผมจึงอยากเล่าให้ฟังเรื่องจิตใจที่สูงส่งของเสรีไทย ซึ่งนำโดยอาจารย์ปรีดี ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อภิวัฒน์ และต่อมาก็เป็นหัวหน้าชบวนการเสรีไทยในการกอบกู้เอกราชอีก

แต่บางทีมันเป็นความย้อนแย้ง คือประเทศเนี่ยเวลาสู้แล้วเรารักษาประเทศเอาไว้ได้  คนในชาติก็จะมาสู้กันใหม่ เป็นอย่างนั้นไปนะครับ

สิ่งที่เกิดขึ้นคืออา่จารย์ปรีดี ได้ต่อสู้ประสานงานในทางสากล เพื่อให้เอกราชช่วยคุ้มครองชีวิตจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยนะครับ และต่อมาชะตากรรมของอาจารย์ปรีดีและพวก ก็ถูกลัทธิพิบูลสงครามไล่กำจัด ให้หลบหนีออกจากประเทศไป และชะตากรรมของครูเตียง ศิริขันธ์ เอง ก็ถูกไล่กำจัด กระทั่งถูกสังหารโหด

ดังนั้นความสวยงาม ความภาคภูมิใจยังคงอยู่ แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากการทำประโยชน์เพื่อชาติ คือเมื่อชาติสงบแล้ว ชาติที่ดีคือชาติที่จะต้องไปประสานงานร่วมมือกับชาติอื่น ๆ เพื่อให้ประเทศตนเองได้ก้าวหน้าต่อไปในระดับโลก แต่เราไม่เดินไปข้างหน้าแล้วมาไล่กำจัดซึ่งกันและกันภายในชาติ มันเกิดมาจากหลายสาเหตุ

สาเหตุใหญ่จะเรียกกว้าง ๆ ได้ว่าเพราะความไม่ต่อเนื่องของระบอบประชาธิปไตย อะไรที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่ต้องเนื่อง นั่นคือเมื่อมีปัญหาในชาติ แต่ไม่ให้มีจุดจบในกระบวนการประชาธิปไตย แต่ให้จบด้วยกระบวนการอำนาจนิยมอยู่ตลอด ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์แบบเสรีไทย เพื่อชาติ เพื่อ Humanity มันยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยมากเท่าไรนัก

คุณพุฒจักร : 

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จบไป ทุกอย่างก็รู้สึกว่าจะดูดีขึ้น สว่างไสวขึ้น จากเหตุการณ์นี้มันส่งผลสะท้อนต่อคนรุ่นหลังอย่างไร? จะสร้างบรรยากาศความรักชาติเพิ่มมากขึ้นไหม? อยากให้คุณอาชญาสิทธิ์ช่วยเติมในประเด็นนี้สักนิดนึงครับ

คุณอาชญาสิทธิ์ : ต้องลองจินตนาการภาพอย่างนี้นะครับ เพราะคนรุ่นเราไม่ได้ทันเห็นสงคราม แต่ถ้าคนที่ทันเห็นจะรู้ว่าสงครามโหดร้ายมาก ต่อให้ไม่ได้เป็นสมรภูมิเต็มกำลังแต่เราก็ได้รับผลกระทบ มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด มีกองกำลังปะทะกัน เพราะฉะนั้นพอสงครามสิ้นสุดมันเป็นอะไรที่สำคัญมากที่เรียกว่า สันติภาพ

พอสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด คนทั้งโลกในยุคนั้น รุ่นปู่รุ่นย่าเราคิดกันว่าต้องทำยังไงก็ได้เพื่อจะไม่ให้มีสงครามอีก แต่ตราบจนปัจจุบันก็ยังมี สิ่งสำคัญที่สุด ที่ว่าแนวคิดเรื่องสันติภาพ เป็นสิ่งที่คนเริ่มตระหนักมากขึ้นและจะพยายามไม่ให้เกิดสงครามอีก เพราะสงครามไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ ทุกฝ่ายต่างสูญเสีย

ผมคิดว่าแนวคิดสันติภาพเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่กับแค่คนรุ่นถัดจากสงคราม กระทั่งปัจจุบันควรต้องคำนึงถึงว่าตราบใดก็ตามที่เราไม่รังแกกัน ไม่คิดที่จะประหัดประหารกันนั้นดีอยู่แล้ว และสันติภาพก็มีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดประชาธิปไตยด้วย เพราะแนวคิดประชาธิปไตยคือให้ทุกคนมาคุยกัน โดยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แสดงออก โดยไม่จำเป็นต้องรบกัน ไม่ว่าจะด้วยอาวุธ หรือกลวิธีต่าง ๆ ซึ่งผมคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ควรต้องคำนึงไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม

เรื่องสงครามทางอาวุธเรายังเห็นประปราย แต่เราต้องมีความหวังว่าแม้จะมีสงครามเล็กใหญ่บ้าง แต่ถ้าเรายังมั่นคงในแนวคิดสันติภาพ เราก็จะผ่านไปได้ มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง หวังว่าจะดีขึ้น และหวังให้โลกกลับมารักกัน ช่วยคิด แก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน เพื่อป้องกันการสูญเสียของชีวิต ทรัพยากร แทนที่มีอะไรก็ทะเลาะกัน รบกัน

คุณหทัยรัตน์ : 

หากว่าเราย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ในการชุมนุมของนักศึกษา ถามว่าได้ทิ้งอะไรให้ลูกหลานบ้างสำหรับแนวคิดประชาธิปไตย โดยเฉพาะคุณเตียง ศิริขันธ์ และครูครอง จันดาวงศ์ จะมี Motto (คำขวัญ) หนึ่งของครูครอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกเสรีไทย ก่อนที่ครูครองจะถูกประหารชีวิตโดยการยิงจากรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงปี 2500 น่าสนใจว่าการยิงเป้าครั้งนั้น ไปทำที่สนามบินลับของเสรีไทย มันสะเทือนใจมากเพราะครั้งหนึ่งครูครอง เคยต่อสู้ร่วมกับเสรีไทย แต่การประหารครูครอง กลับไปยิงที่สนามบินที่ครูครองเคยทำงาน

ก่อนที่ครูครองจะถูกประหาร ครูครองได้กล่าวว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” คำนี้เป็นคำที่ดังมากในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 ซึ่งผู้นำทางการเมืองในยุคนั้น เป็นคนอีสานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นไผ่ ดาวดิน ครูใหญ่อรรถพล ทั้งสองคนตอนนี้อยู่ในเรือนจำ ส่วนทนายอานนท์ นำพา บุคคลเหล่านี้ใช้แนวคิดเหล่านี้ของครูครอง ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในอีสาน และเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อคนไทย Motto เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ ที่ใช้ได้มาจากครูครอง

 

ส่วนความคิดในการกอบกู้อีสาน เขาได้จากคนที่เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ซึ่งดิฉันได้เคยสัมภาษณ์หลายคน เขาใช้บุคคลเหล่านี้เป็นฮีโร่ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง อานนท์ ที่อยู่ในเรือนจำก็ใช้ Motto ของเตียง ศิริขันธ์ ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากอานนท์ เป็นคนร้อยเอ็ด ซึ่งคนร้อยเอ็ดในเสรีไทยคือ ถวิล อุดล หนึ่งในสี่รัฐมนตรี ที่ถูกสังหาร ในปี พ.ศ. 2492 ซึ่ง จริง ๆ แล้วคนอีสานหลายคนในเสรีไทย ได้เป็นรัฐมนตรี มีบทบาททางการเมือง ได้ไปอภิปรายในสภา และมีบทบาทเด่น ๆ หลายคน

น้อง ๆ หลายคนก็สามารถขับเคลื่อนแบบนั้นได้ และสามารถนำความคิดของเสรีไทย หรือนักการเมืองที่เป็นคนในรุ่นก่อน มาใช้เป็นอาวุธทางปัญญาในการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือถ้าหากใครสนใจ สามารถอ่านประวัติของบุคคลเหล่านี้ได้ มันทำให้รู้สึกว่าประชาธิปไตยที่พวกเขารู้จักและพวกเรารู้จัก เป็นสิ่งที่ใกล้กันสามารถจับต้องได้ หากเราไปศึกษาจริง ๆ จะรู้ว่าพวกเขาทำเพื่ออีสาน แล้วคิดว่าอีสานสามารถพัฒนาไปได้อีก พวกเราก็สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาอีสานได้เช่นกัน นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียนรู้จากพวกเขาค่ะ

คุณพุฒจักร : 

เรามองว่าภูมิภาคอีสานเป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะป่าเขา ลำน้ำ แม่น้ำทั้งหลาย มีแอ่งสกลนคร แอ่งโคราช เหล่านี้ถือว่าเป็นจุดที่หลายคนอาจเมินเฉยในเชิงการทหาร แต่ด้านภูมิวัฒนธรรมถือว่าโดดเด่นที่สุด แนวคิดจากเสรีไทยโดยเฉพาะครูเตียง และครูครอง ของสกลนคร ท่านได้เติมเต็มแนวคิดเหล่านี้ ปูทางให้กับนักคิดทั้งหลายที่ร่วมขบวนการ มันจะส่งผลมาถึงรุ่นลูกหลานตอนนี้ ถ้าเราจะเติมแนวคิดของครูทั้งสองท่าน เราจะเอาคำคำไหน เอาวิธีการไหนให้ลูกหลานพวกเราได้ซึมซับครับ?

คุณหทัยรัตน์ : 

วันนี้มีน้องนักเรียน นักศึกษามาเยอะ สิ่งที่มันใกล้ตัวพวกเราคือเรื่องท่องเที่ยว ซึ่งจับต้องได้ง่าย อยากให้เราได้ไปทัศนศึกษา ให้รู้ว่าที่สกลนครบ้านเรามีอะไรสำคัญ ทุกที่มีประวัติศาสตร์ แล้วจะได้รู้ว่าบ้านเรามีความสำคัญอย่างไร ในสังคมประชาธิปไตย เรื่องเสรีไทย

เรื่องประชาธิปไตยถือเป็นเรื่องจับต้องยาก หลายคนยังไม่รู้ว่าแก่นคืออะไร รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งประธานโรงเรียน เลือกหัวหน้าห้อง ถ้าหากต้องการให้ the isaan recrod มาร่วมทำอะไร เชิญได้เลยค่ะ เราอยู่ใกล้กัน อยากจะมาช่วยสอนน้อง ๆ เรื่องอาวุธทางปัญญา อย่างเช่นในโซเชียลมิเดีย ก็อยากช่วยสอนในการทำสื่อ และอยากมีส่วนร่วมกับคนในเทือกเขาภูพานเหมือนกันค่ะ

คุณวิชาญ :

 สิ่งที่ต้องฝากเอาไว้ ขอฝากไว้ว่าเสรีไทยที่กู้ชาติ เขาขัดคำสั่งของรัฐบาล เพราะรัฐบาลตกอยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายอักษะ จึงต้องมีหลักการณ์ ความคิด ความรักชาติอย่างแรงกล้า เพราต้องกล้าปฏิเสธอำนาจที่ไม่เป็นธรรม โลกเข้าข้างประเทศที่เพราะมีผู้กล้าชื่อขบวนการเสรีไทย ความกล้าไม่ใช่ไม่กลัวแต่กล้าออกไปเหมือนจำกัด พลางกูร ข้ามจากนครพนมไปฝั่งโขงจนข้ามถึงประเทศจีน กล้าเสียสละชีวิต ฉะนั้นความกล้าเป็นสิ่งที่โลกรอให้เราแสดงออก

กลับมาที่สกลนคร ขอให้ทุกคนมาในวันนี้ได้อะไรจากคำนี้ “ภูพานบ้านนักรบ” ภูพานคือบ้านนักรบ รบเพื่อรักษาเอกราชในสมัยเสรีไทย ต่อมารบกับฝ่ายรัฐบาลในช่วงสงครามกลางเมืองในกรุงเทพฯ นักศึกษา ประชาชนเข้าภูพาน เพื่อทำการรบเพื่อประชาธิปไตย

อีกด้านหนึ่งบนภูพาน มีพระอริยสงค์สายอีสานเดินธุดงค์เต็มภูไปหมด ท่านก็เดินทางรบเช่นกัน รบเพื่อการพ้นทุกข์ แต่คนภูพานรบเพื่อคนทุกข์ ดังนั้นสัญลักษณ์ของคนภูพานคือมีจิตใจที่มีธรรมะ มีความร่มเย็น ขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่รักความเป็นธรมด้วย ดังนั้นขอแสดงความหวัง และความคารวะต่อเยาวชนของชาติครับ

คุณอาชญาสิทธิ์ : 

ในฐานะที่ผมไม่ใช่คนในพื้นที่นะครับ ตอนที่ผมยังเป็นเด็กเหมือนน้อง ๆ ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับจังหวัดสกลนคร ผมฟินมากเพราะสกลนครมีอำเภอที่ชื่อเพราะ โรแมนติกมาก อย่าง สว่างแดนดิน อากาศอำนวย ส่องดาว และผมยังได้อ่านเรื่องขบวนการเสรีไทยภูพาน พอมาแล้วยิ่งเจอ “อะเมซิ่งปิ้งงู” ก็ยิ่งสนใจ

เรื่องราวของครูเตียงและครูครอง ที่น่าสนใจคือตอนที่ครูเตียงยังเป็นวัยรุ่น ท่านก็มีความภูมิใจในสกลนคร ครูเตียงเคยเขียนเกี่ยวกับดอนสวรรค์ในหนองหาน ให้ชาวกรุงเทพฯ ได้อ่านกัน ส่วนครูครองมีความภาคภูมิใจในอ.สว่างแดนดิน จากที่เรามองมาจากที่อื่น เราชื่นชมว่าสกลนครมีนักต่อสู้ คนกล้าหาญ และมีนักประชาธิปไตยเยอะมาก ดังนั้น น้อง ๆ และทุกท่านที่เป็นชาวสกลนคร สามารถภูมิใจได้เลย ว่าจังหวัดเรา ชื่ออำเภอก็เพราะ มีนักคิดทางประชาธิปไตยที่กล้าหาญ แล้วเรายังต่อยอดไปได้ว่าจะดำรงไว้ในแนวคิดแบบนี้ โดยมีต้นแบบจากบรรพบุรุษในอดีต ถ้าในแง่การท่องเที่ยวผมว่าเราสามารถคุยได้เลยครับ

หมายเหตุ :

  • เรียบเรียงโดยกองบรรณาธิการ