“ผมต้องมา เพราะว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมานาน”
พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ประโยคสั้น ๆ ข้างต้นเป็นถ้อยคำที่หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์กล่าวแก่ท่านปัญญานันทะภิกขุ “ปั่น ปทุมุตฺตโร” (พระพรหมมังคลาจารย์, พ.ศ. 2454–2550) ในเช้าวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 ขณะผู้คนจำนวนมากรอรับอัฐิของปรีดี พนมยงค์ ที่สนามบินดอนเมือง หลวงธำรงฯ เดินทางมาร่วมพิธีและปฏิเสธคำชวนให้นั่งพัก โดยยืนอยู่ในแถวต้อนรับจนขบวนอัญเชิญอัฐิถึงพื้นดินไทย
บรรยากาศที่สงบนิ่งในช่วงอัญเชิญโกศอัฐิ ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อผู้ร่วมงาน หากในมุมของหลวงธำรงฯ ภาพตรงหน้าเกี่ยวเนื่องกับความทรงจำทางการเมืองยาวนาน ทั้งการทำงานร่วมกับปรีดี พนมยงค์ การมีบทบาทร่วมกันในกระบวนการตัดสินใจด้าน
รัฐประศาสนศาสตร์ ตลอดจนการแยกจากกันหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 แม้ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งสั้น ๆ ที่กวางเจาใน พ.ศ. 2491 แต่ก็ไม่ได้พบกันอีกกระทั่งถึงวันที่มีพิธีรับอัฐิในครั้งนี้

พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (นามเดิม ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์ พ.ศ. 2444 - พ.ศ. 2531) คือบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการทางการเมืองไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง ทั้งในช่วงก่อนสงครามและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
อีกทั้งได้รับมอบหมายภารกิจที่มีความหมายเชิงสถาบัน ได้แก่ การอัญเชิญยุวกษัตริย์รัชกาลที่ 8 เถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2478 และการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาประดิษฐาน ณ วัดประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2483 ภายหลังสงคราม เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองเมื่อได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 ท่ามกลางบริบททางการเมืองที่ซับซ้อนจากกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 และภาวะความไม่มั่นคงในคณะรัฐมนตรี เส้นทางการบริหารราชการแผ่นดินของเขายุติลงด้วยเหตุรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ชีวิตในวัยเยาว์และเส้นทางจากครูสู่ทหารเรือ
พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นามสกุลเดิม ธารีสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 ณ ตำบลรอบกรุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายอู๋และนางเงิน ธารีสวัสดิ์ ในครอบครัวพ่อค้าที่มีบุตรธิดารวม 5 คน เขาเริ่มศึกษาในโรงเรียนตัวอย่างประจำจังหวัด ก่อนเข้ามาเรียนต่อในพระนครที่แผนกคุรุศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์จนสำเร็จชั้นมัธยม
หลังฝึกหัดเป็นครูอยู่ระยะหนึ่งและพบว่าไม่สอดคล้องกับอัธยาศัย จึงหันไปสอบเข้าโรงเรียนนายเรือพรรคนาวินเมื่อ พ.ศ. 2463 ช่วงชีวิตนักเรียนนายเรือนี้เองที่เขาได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในด้านความสามารถในการสอบได้อันดับหนึ่งตลอดสายการศึกษา กระทั่งสำเร็จหลักสูตรและได้รับยศเป็นนายเรือตรีใน พ.ศ. 2466 ต่อมาเลื่อนเป็นเรือโทใน พ.ศ. 2469 และเรือเอกใน พ.ศ. 2472
ระหว่างรับราชการช่วงต้น เขาได้มีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสชวาด้วยเรือรบหลวงพระร่วงระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึง 15 ตุลาคม พ.ศ. 2472 และยังได้เฝ้ารับเสด็จเมื่อพระองค์เสด็จกลับจากการเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาที่เกาะสีชังใน พ.ศ. 2474
ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้รับแต่งตั้งเป็นนายธงประจำเสนาธิการทหารเรือ พลเรือเอกพระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ทำให้มีความใกล้ชิดกับน้องชายของผู้บังคับบัญชา คือ ร้อยเอกสินธุ์ กมลนาวิน (ต่อมาคือหลวงสินธุสงครามชัย) ทั้งสองสนทนาแลกเปลี่ยนและเห็นพ้องกันในความคิดเกี่ยวกับทิศทางบ้านเมือง จนร่วมกันชักชวนผู้ร่วมอุดมการณ์ เข้าสู่ขบวนการที่มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475
นอกจากภาระหน้าที่ในราชการทหารเรือแล้ว ถวัลย์ยังศึกษากฎหมายอย่างเคร่งครัดจนสอบได้เนติบัณฑิต ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในนายเรือรุ่นแรก ๆ ที่ได้รับคุณวุฒินี้ การเรียนกฎหมายยังนำพาให้เขาได้รู้จักกับบรรดาศิษย์ของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์อีกหลายคน เช่น นายดิเรก ชัยนาม นายสงวน ตุลารักษ์ และนายซิม วีระไวทยะ ซึ่งกลายเป็นกำลังสำคัญในคณะผู้ก่อการรุ่นแรก
ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 นายเรือเอกถวัลย์ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ‘หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์’ แม้ว่าภายหลังจะกราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 แต่สังคมไทยยังคงเรียกเขาอย่างคุ้นหูว่า “หลวงธำรงฯ” ฉายานี้จึงติดตัวมาตลอดเส้นทางการเมืองและราชการทหารของเขา โดยเฉพาะในฐานะนายทหารเรือหนุ่มผู้มีความสามารถ โลดแล่นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทย ก่อนจะก้าวสู่บทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในเวลาต่อมา
เข้าร่วมก่อการ 24 มิถุนายน 2475
ปฏิบัติการอภิวัฒน์สยามอุบัติขึ้นเมื่อย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 หลวงธำรงฯ ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราสถานีตำรวจและกองพันทหาร รวมถึงร่วมขบวนของ พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) หนึ่งใน “สี่ทหารเสือคณะราษฎร” ในการนำกำลังเข้าควบคุม กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่วังบางขุนพรหม การปฏิบัติการสำเร็จด้วยดีโดยไม่เสียเลือดเนื้อ อันถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สงบที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงธำรงฯ ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และใน พ.ศ.2476 หลังการกบฏบวรเดช ท่านได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก “ทหารเรือในคณะราษฎร” สู่ “นักการเมืองเต็มตัว”

ปรีดี พนมยงค์ และ หลวงธำรงฯ
ภารกิจอัญเชิญยุวกษัตริย์และบทสนทนาที่ตำหนักวิลลาวัฒนา
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2477 (ปฏิทินเก่า) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (ปฏิทินใหม่) รัฐบาลคณะราษฎรได้มอบหมายให้คณะผู้แทน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา), ดิเรก ชัยนาม และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ออกเดินทางไปยังตำหนักวิลลาวัฒนา เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเข้าเฝ้าเจ้านายพระองค์น้อยในนามรัฐบาลสยาม ภารกิจครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังที่รัชกาลที่ 7 มีพระราชดำรัสขอสละราชสมบัติ และรัฐบาลจำเป็นต้องอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 8
เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกถ่ายทอดไว้อย่างละเอียดในหนังสือ ในหลวงอานันทน์ โดย สละ ลิขิตกุล ซึ่งบันทึกบทสนทนาระหว่างยุวกษัตริย์กับหลวงธำรงฯ อย่างมีชีวิตชีวา บทสนทนานั้นสะท้อนทั้งความเป็นธรรมชาติและความเปิดเผยตามวัยของเจ้านายพระองค์น้อย ตลอดจนความสำรวม สุขุม และกิริยานุ่มนวลของผู้แทนราษฎรผู้ทำหน้าที่ในภารกิจสำคัญครั้งนั้น ดังใจความบางตอนว่า
“หลวงธำรงฯ มาทำไมรึ” พระองค์เจ้าอานันทมหิดลตรัสถาม
“ข้าพระพุทธเจ้ามากราบทูลเชิญพระองค์ไปทรงราชย์” หลวงธำรงฯ ตอบ
“โอ๊ย...ฉันไม่อยากจะเป็น หลวงธำรงฯ ฉันเด็กเหลือเกิน ฉันยังทำอะไรไม่เป็น จะเอาฉันไปเป็นทำไม ฉันไม่เป็นไม่ได้หรือ”
“มิได้เป็นเช่นนั้น...เพราะกว่าใต้ฝ่าพระบาทจะเสด็จกลับเมืองไทยก็คงเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว. และแม้หากใต้ฝ่าพระบาทจะทรงเป็นกษัตริย์แล้ว. ก็ยังประทับที่นี่ต่อไป. และทรงสำราญได้ทุก ๆ อย่างที่ใต้ฝ่าพระบาททรงโปรด. อย่างปกติเช่นเคย”
พระองค์ตรัสต่อ “เป็นอย่างไรบ้าง หลวงธำรงฯ นั่งเรือบินมาสบายดีหรือ ไม่กลัวมันหรือ แต่...อ้อ เวลาฉันกลับเมืองไทย ต้องให้ฉันไปเรือบินน๊ะ หลวงธำรงฯ”
หลวงธำรงฯ ตอบด้วยรอยยิ้ม “ใต้ฝ่าพระบาทจะต้องประทับเครื่องบินกลับไปเมืองไทยอย่างแน่นอน”
ภารกิจลุล่วงในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2477 คณะผู้แทนเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ และเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับรองการเถลิงถวัลยราชสมบัติของรัชกาลที่ 8 ภายในคืนวันเดียวกัน ภาพของหลวงธำรงฯ ในภารกิจครั้งนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “คณะราษฎรผู้จงรักภักดี” ที่พยายามประสานระบอบใหม่กับสถาบันเดิมอย่างกลมกลืน

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมราธิบดินทร (รัชกาลที่ 8)
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม
การเมืองยุคสร้างชาติและบทบาทในรัฐบาลจอมพล ป.
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2478 ต่อมาเมื่อการเมืองไทยผลัดเข้าสู่สมัยหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายปี พ.ศ. 2481 หลวงธำรงฯ ก็ได้รับความไว้วางใจให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่าง พ.ศ. 2481–2487 โดยยังคงมีบทบาทสำคัญในฝ่ายบริหารของรัฐบาลที่กำลังจัดวางโครงสร้างรัฐสมัยใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ช่วงเวลานี้เป็นยุคของแนวคิด “สร้างชาติ” จอมพล ป. พิบูลสงครามผลักดันวัฒนธรรมรัฐนิยม การกำหนดอัตลักษณ์ใหม่ของชาติ และการขยายบทบาทของรัฐบาลส่วนกลาง หลวงธำรงฯ ซึ่งมีพื้นฐานกฎหมายและมีวาทศิลป์เฉียบคม ได้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงสำคัญในสภาและสื่อมวลชน อีกทั้งยังเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างอาคารศาลฎีกาที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเอกราชทางตุลาการไทยหลังการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และเป็นส่วนหนึ่งในการจัดวางสถาบันของรัฐยุคใหม่ให้มั่นคง
นอกจากงานภายในประเทศแล้ว หลวงธำรงฯ ยังมีบทบาทด้านการทูตระหว่างการเดินทางไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศใน พ.ศ. 2483 และ ในการเดินทางเยือนอินเดียครั้งนั้น ได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย พร้อมอัญเชิญกิ่งพระศรีมหาโพธิ์กลับมายังประเทศไทย เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน วัดสำคัญซึ่ง “คณะราษฎร” เดิมมีความประสงค์จะให้ใช้ชื่อว่า “วัดประชาธิปไตย” เพื่อสะท้อนอุดมการณ์ของรัฐชาติในห้วงเวลานั้นการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและวิกฤติ 2490
นายกรัฐมนตรีจากทหารเรือท่านแรกและท่านเดียว
หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 ประเทศไทยเข้าสู่ห้วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่มีการผลัดเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นายควง อภัยวงศ์ ที่ต้องลงจากตำแหน่ง นายทวี บุณยเกตุ ดำรงตำแหน่งชั่วคราวเพียง 17 วัน เพื่อรอ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา ก่อนที่นายควงจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจากการเลือกตั้ง และถูกโค่นลงกลางสภาโดยกลุ่มการเมืองฝ่ายปรีดี พนมยงค์
กระทั่งนายปรีดีขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2489 ระยะนั้น พรรคการเมืองยุคใหม่เริ่มจัดตั้งขึ้น พรรคสหชีพของนายเดือน บุนนาค ซึ่งมีอดีตเสรีไทยและนักการเมืองสายอีสานสนับสนุน เติบโตเคียงคู่กับพรรคแนวรัฐธรรมนูญที่มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นหัวหน้า ขณะที่นายควงหันไปจับมือกับกลุ่มอนุรักษนิยมตระกูลปราโมช ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์เพื่อต้านดุลอำนาจทางการเมืองของฝ่ายปรีดีในรัฐสภา

หลวงธำรงฯ แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2489
ที่มา : Wikimedia Commons
การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลปรีดีต้องเผชิญความสั่นคลอนครั้งสำคัญ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยกเลิกสมาชิกสภาประเภทที่ 2 และสถาปนาพฤฒสภาขึ้น แต่เพียงหนึ่งเดือนถัดมา ได้เกิดเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพฝ่ายบริหารอย่างรุนแรง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามที่ผันผวน ทั้งปรีดีและหลวงธำรงฯ ลงสมัครรับเลือกตั้งร่วมกันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในจังหวัดอยุธยา และได้รับเลือกเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489
ต่อมาในเดือนเดียวกัน นายปรีดีประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างปัญหาความเครียดและการถูกขัดขวางทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง รัฐสภาจึงเลือกหลวงธำรงฯ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 และยังให้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมควบคู่กันไป
รัฐบาลหลวงธำรงฯ ต้องเผชิญแรงเสียดทานจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจหลังสงคราม เงินเฟ้อ ราคาสินค้าสูง และสถานการณ์อาชญากรรมจากอาวุธตกค้างเป็นภาระเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำให้ไทยจำต้องคืนดินแดนสี่จังหวัดแก่ฝรั่งเศสในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2489 แต่ก็สามารถแลกด้วยการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมปีเดียวกัน นับเป็นความสำเร็จเชิงสัญลักษณ์ของรัฐบาล
หลวงธำรงฯ พยายามสร้างความโปร่งใสด้วยการยกเลิกระบบเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และถ่ายทอดเสียงการประชุมรัฐสภาไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคประชาธิปัตย์ยาวนานถึง 8 วัน 8 คืน ระหว่างวันที่ 19–27 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ได้สะท้อนความเปราะบางของรัฐบาล รวมถึงภาพลักษณ์ “นายกฯ ลิ้นทอง” จากวาทศิลป์ที่ไม่อาจแก้ปัญหาโครงสร้าง ทำให้ความไว้วางใจทางการเมืองถดถอยลงอย่างหนัก
ในครึ่งหลังของ พ.ศ. 2490 ข่าวลือรัฐประหารแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ทว่าหลวงธำรงฯ กลับกล่าวเชิงท้าทายว่า “ผมนอนรอปฏิวัติที่บ้านทั้งวันอาทิตย์ ไม่ยักกะปฏิวัติ” ซึ่งภายหลังถูกตีความว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ความประมาททางการเมือง
กระทั่งคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐบาลหลวงธำรงฯ ก็ล่มลงเมื่อคณะรัฐประหารนำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ ทำการยึดอำนาจ ขณะปรีดีถูกไล่ล่าที่ทำเนียบท่าช้างแต่สามารถหลบหนีลงเรือได้อย่างหวุดหวิด ส่วนหลวงธำรงฯ ซึ่งอยู่ในงานรื่นเริง ณ สวนอัมพร ได้รับแจ้งข้อความบนแผ่นนามบัตรว่า “ปฏิวัติแล้ว” จึงรีบปลีกตัวหนีออกมาได้ทัน เหตุการณ์ครั้งนี้ปิดฉากนายกรัฐมนตรีจากทหารเรือคนแรกของไทย พร้อมทั้งกลายเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบการเมืองยุคปรีดี–หลวงธำรงฯ อย่างสมบูรณ์
“ธำรงหนี” และการลี้ภัย–กลับมาตุภูมิ
คืนวันรัฐประหาร หลวงธำรงฯ กำลังร่วมงานรื่นเริงที่สวนอัมพร เมื่อมีผู้ส่งนามบัตรเล็ก ๆ พร้อมข้อความว่า “ปฏิวัติแล้ว” เขาจึงรีบออกจากงานทันทีและหลบไปยังวังเดิม กองทัพเรือ ขณะเดียวกัน “อาจารย์ปรีดี” ก็หลบหนีออกทางน้ำอย่างฉิวเฉียด ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งที่กองบัญชาการทหารเรือ ก่อนเคลื่อนย้ายไปพักที่ชลบุรี–สัตหีบ ภายใต้การอารักขาของนาวิกโยธิน
เหตุการณ์ช่วงนี้ได้รับการบันทึกอย่างมีสีสันในหนังสือ ธำรงหนี โดย “แหลมสน” (นามแฝง) ตีพิมพ์ พ.ศ. 2492 ถ่ายทอดบรรยากาศแห่งความหวาดระแวง การไล่ล่าทางการเมือง และความผูกพันของผู้ร่วมอุดมการณ์ วลี “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย” ที่ปรากฏในหนังสือนั้น จึงกลายเป็นสัญลักษณ์สะท้อนจิตวิญญาณคณะราษฎรช่วงปลายยุค
ต่อมาไม่นาน การเมืองไทยยังคงสั่นสะเทือนด้วยเหตุการณ์ “กบฏเสนาธิการ” (1 ตุลาคม 2491) และ “ขบวนการประชาธิปไตย” (26 กุมภาพันธ์ 2492 – ฝ่ายรัฐขนานนามว่า “กบฏวังหลวง”) ซึ่งเป็นความพยายามของอาจารย์ปรีดีในการยึดอำนาจคืน แต่ล้มเหลว ขณะที่หลวงธำรงฯ ลี้ภัยอยู่ที่ฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิด
วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2492 หลวงธำรงฯ กลับถึงสนามบินดอนเมือง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลใหม่ของเหมา เจ๋อตงเพิ่งประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” อย่างเป็นทางการ (1 ตุลาคม) ทำให้การกลับมาของเขามีนัยทางการเมืองอย่างน่าสนใจ ในขณะที่ปรีดี พนมยงค์ ปรากฏตัวบนลานเทียนอันเหมิน หลวงธำรงฯ กลับเลือกเดินทางกลับมาตุภูมิ และถูกนำตัวไปสอบสวนคดีการเมืองทั้งสองกรณี ณ วังปารุสกวัน ก่อนจะได้รับคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
ต่อจากนั้นเขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาช่วงสั้น ๆ ใน พ.ศ. 2493–2494 และต่อมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2502 ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญยาวนานถึงสิบปี จนประกาศใช้ใน พ.ศ. 2511
บั้นปลายชีวิตและความทรงจำร่วมของคณะราษฎร
เมื่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทยอยลาลับไปทีละคน หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ค่อย ๆ ถอยไปอยู่ในพื้นที่เงียบของความทรงจำคณะราษฎร แม้จะไม่ปรากฏตัวในเวทีสาธารณะบ่อยนัก แต่ชื่อของท่านยังมักปรากฏอยู่ในถ้อยคำรำลึกและคำไว้อาลัยของหนังสืองานศพผู้ร่วมก่อการอภิวัฒน์ 2475 อยู่เสมอ ก่อนวาระครบรอบห้าสิบปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2525 เมื่อมีผู้มาขอให้ท่านรำลึกเหตุการณ์ พ.ศ. 2475 หลวงธำรงฯ เพียงกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “อย่าเลย อย่าให้ผมพูด ให้ไปแล้วมันไม่สบายใจ” สะท้อนจุดยืนที่ไม่ประสงค์กล่าวถึงอดีตอันหนักหน่วงอีกต่อไป
และแล้วในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 หลวงธำรงฯ ซึ่งเคยยืนอยู่ท่ามกลางหัวใจของพายุการเมืองก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ สนามบินดอนเมือง เดินก้าวช้าตามวัย แต่ยังยืนมั่นเมื่อโกศอัฐิของปรีดี พนมยงค์ถูกอัญเชิญลงจากอากาศยาน ท่านปัญญานันทะภิกขุเล่าว่า “อุตส่าห์มา เพราะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมานาน” และภาพที่หลวงธำรงฯ ยืนเฝ้าจนขบวนอัฐิขึ้นรถในเช้าวันนั้น จึงมิได้เป็นเพียงองค์ประกอบของพิธีการ หากเป็นฉากปิดความสัมพันธ์ทางการเมืองของผู้ร่วมสร้างยุคสมัยเดียวกัน ความทรงจำที่ย้อนกลับไปสู่ถ้อยคำเปิดบท เรื่องราวร่วมทุกข์ร่วมหวัง และเส้นทางที่พวกเขาเคยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
ปัจฉิมลิขิต
แม้รัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์จะถูกล้มลงด้วยรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ซึ่งใช้อำนาจไม่เป็นธรรมและโยงความผิดมาสู่ฝ่ายบริหารในกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างสิงหาคม พ.ศ. 2489 ถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กลับเป็นห้วงที่มีผลงานสำคัญหลายประการ ทั้งการนำประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งฟื้นสถานะของไทยบนเวทีโลกหลังสงคราม และการอภิปรายไม่ไว้วางใจในปี พ.ศ. 2490 ที่หลวงธำรงฯ ต้องยืนชี้แจงติดต่อกันถึงแปดวันแปดคืน เหตุการณ์นี้กลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการทำงานฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในยุคหลังสงคราม และทำให้ร่วมสมัยขนานนามเขาว่า “นายกรัฐมนตรีลิ้นทอง” ในความหมายถึงผู้ใช้ถ้อยคำได้อย่างมีระเบียบและหนักแน่นท่ามกลางความตึงเครียดสูงทางการเมือง
เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปยังต้นรัชสมัย พ.ศ. 2478 หลวงธำรงฯ ยังมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์อีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือการได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ภารกิจนี้ต้องการความสุขุม รอบคอบ และความสามารถในการประคับประคองบรรยากาศทางการเมืองในห้วงที่ประเทศกำลังเปลี่ยนผ่าน หลวงธำรงฯ จึงเป็นทั้งนายทหารเรือผู้ร่วมกุมทิศทางของ “รัฐนาวา” ไทย และผู้ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับราชสำนักอันมีความละเอียดอ่อนสูง บทบาทสองด้านนี้ประกอบกันเป็นภาพรวมที่ทำให้ชื่อของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ยังคงมีความหมายในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่
บรรณานุกรม
- สิริ เปรมจิตต์. ชีวิตและงานของ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของไทย. กรุงเทพฯ: ธรรมสาร, 2532.
- สละ ลิขิตกุล. ในหลวงอานันทน์. กรุงเทพฯ: วิบูลกิจ, 2493.
- แหลมสน (นามแฝง). ธำรงหนี. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พนม, 2492.
- สงบ สุริยินทร์. ประวัตินายกรัฐมนตรี. กรุงเทพฯ: ประจักษ์การพิมพ์, 2514.
- บุณฑริกา บูรณะบุตร. “บทบาททางการเมืองของ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (พ.ศ.2475–2490).” วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534.
- สันติสุข โสภณสิริ, บรรณาธิการ. ปรีดีนิวัติ สัจจะคืนเมือง. กรุงเทพฯ: อักษรสาส์น, 2529.
- วรรณไว พัธโนทัย, ยอดประดู่ผู้ไม่รู้โรย, การฌาปนกิจศพ ร.อ.วัชรชัย ชัยสิทธิเวชช ร.น. ณ ฌาปนสถาน เมรุ 1 วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน วันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2539.
- พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์, คำไว้อาลัย ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรรณชีพ) ณ เมรุวัดธาตุทอง 27 ธันวาคม 2516, (ชวนพิมพ์).
- ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์, “ส่งต่อเพื่อสืบทอด” อนุสรณ์งานศพ เถลิง นาวาสวัสดิ์ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรนทราวาส วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2551, (สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์).
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์, ‘ธำรงหนี’ 8 พฤศจิกายน 2490 จุดสิ้นสุดอำนาจของคณะราษฎรสายพลเรือน จุดเชื่อมต่อ https://www.the101.world/luang-dhamrong-the-exile/
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์, หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกฯ ไทย หนึ่งเดียวที่เป็น ‘นายทหารเรือ’ ฉายา ‘นายกฯ ลิ้นทอง’ จุดเชื่อมต่อ https://www.thepeople.co/history/nostalgia/52676
- Dhanadis (ธนดิศ), หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ : ทหารเรือคนแรกที่เป็นนายกฯ (ตอนที่ 12/13) จุดเชื่อมต่อ https://www.youtube.com/watch?v=fHAjRhLo3W8
- หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2477.