ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ลิ่มซุ่นหงวน จำเลยที่นายปรีดี พนมยงค์ว่าความแก้ต่างให้จนชนะคดี

2
มิถุนายน
2568

Focus

  • บทบาทของนายปรีดี พนมยงค์ในฐานะทนายคดีพลาติสัยที่สามารถว่าความจนชนะคดี ให้กับ ลิ่มซุ่นหงวน และบทความจะนำเสนอประวัติและบทบาทของลูกความที่นายปรีดี ว่าความจนชนะคดี

 


นายปรีดี พนมยงค์

 

เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นสำหรับชั่วชีวิตของ นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้เคยร่ำเรียนวิชากฎหมาย ที่เขาได้สวมบทบาทเป็นทนายความต่อสู้คดีในศาล โดยช่วยแก้ต่างให้กับทางฝ่ายจำเลยซึ่งมีนามว่า ลิ่มซุ่นหงวน

ย้อนกาลเวลาไปสมัยเพิ่งเข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หมาดใหม่ช่วงต้นทศวรรษ 2550 เรื่องราวของ นายปรีดี คือสิ่งที่ผมเอาใจใส่และหมั่นศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนนั้นผมกำลังจะมีอายุครบ 19 ปี จึงทำให้รู้สึกสนอกสนใจเป็นพิเศษต่อความสามารถอันลือลั่นของ นายปรีดี ในวัย 19 ปีเช่นกัน

จะว่าไปแล้ว มีใครต่อใครผู้สร้างชื่อเสียงตอนอายุ 19 อยู่มากรายที่จำหลักแนบแน่นในความทรงจำวัยเยาว์ของผม ดังเช่น

กาลิเลโอ กาลิเลอิ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน ด้วยวัยเพียง 19 เขาค้นพบกฎการแกว่งของลูกตุ้ม (pendulum) จนสามารถโต้แย้งทฤษฎีของอริสโตเติลได้สำเร็จ

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ขณะคว้าชัยในการประชันระนาดเอกกับนักระนาดรุ่นใหญ่อย่าง พระยาเสนาะดุริยาางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) อายุก็เพิ่งจะ 19

จึงไม่แปลกอะไรที่ผมย่อมจะตื่นเต้นครามครันเมื่ออ่านพบว่านักเรียนกฎหมายอายุ 19 นาม ปรีดี พนมยงค์  อาจหาญรับว่าความคดีซึ่งไม่มีทนายความคนใดในยุคนั้นรับต่อสู้ให้ทางฝ่ายจำเลย เพราะเชื่อว่าต้องแพ้แน่ๆ เนื่องจากได้เกิดคดีขึ้นกับชนชั้นนำสยาม

 


บริเวณพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
ที่มาภาพ https://www.matichon.co.th/region/news_2396152

                            

ช่วงปี พ.ศ. 2462 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดคดีความครึกโครมขึ้น กล่าวคือ อัยการจังหวัดสมุทรปราการได้เป็นโจทก์ฟ้อง ลิ่มซุ่นหงวน ให้ตกเป็นจำเลยในคดีประทุษร้ายส่วนแพ่ง สืบเนื่องจากเมื่อวันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2461 เวลากลางวัน เรือโป๊ะชื่อ “ตงหลี” นัมเบอร์ 38 ของ  ลิ่มซุ่นหงวน ซึ่งจอดริมแม่น้ำในเขตสมุทรปราการมีอันไปกระแทกโดนพลับพลาริมลำน้ำของในหลวง อันเป็นสถานที่ของรัฐบาลสยาม จนเกิดความเสียหายตีเป็นราคา 600 บาท อัยการมองว่าเหตุนี้เกิดขึ้นโดยความประมาทของฝ่ายจำเลย จึงขอให้ฝ่ายจำเลยใช้ค่าเสียหายทั้งหมด

ขณะนั้น นายปรีดี สอบไล่ผ่านโรงเรียนกฎหมายและสามารถสอบผ่านเนติบัณฑิตแล้ว เพียงแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเนติบัณฑิตสยาม ต้องรอให้อายุครบเกณฑ์เสียก่อน

ห้วงยามนั้นเอง นายปรีดี  ได้รับทราบถึงคดีความที่  ลิ่มซุ่นหงวน ตกเป็นจำเลย และไม่มีทนายความคนใดรับว่าความให้เลย ครั้นลองศึกษารูปคดี พิจารณาตัวบทกฎหมายตามพระบาลีในพระธรรมศาสตร์ และดูอุทาหรณ์จากคดีโบราณในกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ก็เล็งเห็นว่าเข้าข่าย “คดีพลาติสัย” หรือภัยนอกอำนาจ ซึ่งทางฝ่ายจำเลยไม่ถือเป็นผู้กระทำความผู้ผิด นายปรีดี จึงอาสารับเป็นทนายว่าความแก้ต่างคดีให้ฝ่ายของ  ลิ่มซุ่นหงวน โดยขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษต่อผู้พิพากษาเจ้าของคดี เนื่องจากตนเองยังอายุไม่บรรลุนิติภาวะ

การที่ นายปรีดี รับเป็นทนายความแก้ต่างให้ ลิ่มซุ่นหงวน กลายเป็นที่กล่าวขวัญ ทนายความอาวุโสทั้งหลายพากันยิ้มเยาะเย้ยหยันและปรามาสว่านักเรียนกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและไม่เคยว่าความมาเลยสักครั้งในชีวิต มีหรือจะต่อสู้คดีจนชนะได้ มิหนำซ้ำยังเป็นคดีใหญ่ที่เรือโป๊ะชนพลับพลาของพระเจ้าแผ่นดิน ย่อมมีแต่หนทางแพ้

การต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นนั้น ทางฝ่ายอัยการโจทก์เป็นผู้ชนะคดี เพราะแม้ศาลจังหวัดสมุทรปราการจะเห็นว่า เป็นเหตุที่เกิดจากลมพายุพัดเรือโป๊ะให้ไปกระแทกพลับพลาเสียหายดังที่จำเลยให้การต่อสู้ จนเหลือวิสัยที่ต้องป้องกัน และคนเรือก็ได้ลงสมอไว้แล้วถึงสองตัวรวมทั้งพยายามช่วยแก้ไขจนเต็มความสามารถ แต่มิอาจต้านทานพายุได้ จึงไม่ถือเป็นการกระทำโดยความประมาทดังที่อัยการโจทก์ฟ้อง แต่ยังพิพากษาให้ฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยผ่อนผันให้เหลือเพียงแค่ 200 บาท

นายปรีดี ในฐานะทนายฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยยกกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ และอ้างคดีตัวอย่างในสมัย พระเอกาทศรถ แห่งกรุงศรีอยุธยา กรณีที่ชาวจีนเช่าเรือสำเภาไปค้าขายแล้วถูกพายุอับปางลงกลางทะเล จนถูกเจ้าของเรือสำเภาเรียกค่าเสียหาย  ซึ่งคดีนี้ ในที่สุด พระเอกาทศรถ ทรงวินิจฉัยว่าเป็น “คดีพลาติสัย” หรือภัยนอกอำนาจ ผู้เช่าเรือไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย

ต่อมาศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ ได้มีคำพิพากษาให้ทางฝ่ายจำเลยชนะคดี เพราะเห็นว่าข้อต่อสู้ของฝ่ายทนายจำเลยนั้นมีน้ำหนักฟังขึ้น อย่างไรก็ดี ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฎีกา

ทนายฝ่ายจำเลยอย่าง นายปรีดี ยังคงอาศัยตัวบทกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จมาต่อสู้อีก

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2463 คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาอันได้แก่ พระยาศรีสังกร (ตาด จารุรัตน์) พระยาพิพากษาสัตยาธิปตัย (โป๋ คอมันตร์) และ พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตบดี (บุญช่วย วณิกกุล) ร่วมพิจารณาคดีแล้วเห็นชอบตามที่ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯพิพากษามา จึงพิพากษายืน และยังให้ฝ่ายโจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแทนฝ่ายจำเลยทั้งสามศาลเป็นเงิน 100 บาทด้วย

จะขอยกคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นมาแสดงไว้ดังนี้

คำพิพากษาที่ ๑๑๕ พ.ศ. ๒๔๖๓

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรรมการตรวจฎีกาโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ

อัยการสมุทรปราการ                            โจทก์

คดีระหว่าง

นายลิ่มซุ่นหงวน                                จำเลย

คดีโจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๑ เวลากลางวัน เรือโป๊ะชื่อตงหลีนำเบอร์ ๓๘ ของจำเลยซึ่งจอดอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการได้โดนพลับพลาสถานที่ของรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งลำน้ำเสียหายไปเปนราคา ๖๐๐ บาท โดยความประมาทของผู้เดินเรือ จำเลย จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเปนเงิน ๖๐๐ บาท ฯ

จำเลยให้การต่อสู้ว่า การที่เรือตงหลีโดนพลับพลานั้น ด้วยถูกลมพยุห์ใหญ่พัดมา หาใช่เปนเหตุเพราะความประมาทไม่ ฯ

ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิจารณา ลงความเห็นว่าเหตุที่ตงหลีของจำเลยโดนสถานที่ของรัฐบาลนั้น ได้ความว่าโดนเพราะเหตุจำเปนการเหลือวิษัยที่จำเลยฤๅพวกของจำเลยจะป้องกันไม่ให้เกิดเปนขึ้นได้ เพราะเกิดโดยลมพยุห์พัดจัดพร้อมทั้งฝนตก เรือก็ได้ทอดสมออยู่ก่อนมีลมพยุห์พัดมา แลที่ตรงนั้นก็เปนที่จำเปนจะต้องจอดเรือให้เจ้าพนักงานด่านตรวจทั้งเรือก็จอดห่างตลิ่งถึง ๒ เส้นเศษ เปนการสมควรอยู่เวลาพยุห์มาคนเรือของจำเลยก็ได้ลงสมออีกตัวหนึ่ง แต่ไม่อยู่สมอ ๒ ตัวทนแรงพยุห์หาได้ไม่ สมอได้เกาเข้ามาทางท้ายเรือ ตงหลีจึงได้กระแทกถูกสถานที่ของรัฐบาลหักพังไป คดีไม่มีทางที่จะเห็นได้ว่าคนของจำเลยได้กระทำไปโดยความประมาท เมื่อเปนเช่นนี้แล้วก็สมควรที่จะกรุณาแลผ่อนผันค่าเสียกับจำเลยให้น้อยลงอีกบ้าง จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เปนเงิน ๒๐๐ บาท ฯ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าการที่เรือของจำเลยโดนพลับพลานั้นไม่ได้เกิดจากความแกล้งฤๅความเลินเล่อของจำเลยเลย ตามกฎหมายจำเลยไม่มีความผิดแลไม่ต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จึงกลับคำพิพากษาศาลเดิมแลให้ยกฟ้องโจทก์เสียฯ

โจทก์ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาฯ

กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแลปฤษาคดีนี้ ซึ่งศาลล่าง ๒ ชี้ขาดว่ากิริยาที่เรือตงหลีโดนพลับพลาไม่ได้เกิดขึ้นจากความแกล้งฤๅความประมาทแห่งคนเดินเรือของจำเลยนั้น ชอบด้วยรูปความแล้ว แต่ที่ศาลเดิมบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังไม่ชอบด้วยทำนองคลองวินิจฉัย เพราะจำเลยหาความผิดมิได้ ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์นับเปนภัยนอกอำนาจด้วยเกิดจากลมพยุห์ผิดธรรมดาซึ่งพ้นวิษัยคิดว่าจะมีขึ้น

ส่วนพวกคนเรือของจำเลยก็ได้ช่วยแก้ไขจนเต็มความสามารถแล้วมิได้มีกิริยาที่เห็นว่าแกล้งฤๅประมาทแต่อย่างใดอีกเลย ตามกฎหมายจำเลยจึงไม่มีความผิดอันต้องรับผิดชอบแห่งผลที่เกิดเสียหายขึ้น ซึ่งศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย แลค่าทนายแทนจำเลยรวม ๓ ศาลเปนเงิน ๑๐๐ บาท ด้วยอีกฯ

วันที่ ๑๙ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

พระยาศรีสังกร

พระยาพิพากษาสัตยาธิปตัย

พระยาเทพวิทุร

ในเวลาต่อมา นายปรีดี ยังเคยพาดพิงถึงคดีที่ตนเองเป็นทนายความ โดยเอ่ยขึ้นขณะกล่าวคำปราศรัยต่อธรรมศาสตร์บัณฑิตและเนติบัณฑิตที่มาเยี่ยมเยียนตน ณ บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 อีกว่า

“ผมในฐานะทนายต่อสู้ว่าเป็นภัยนอกอำนาจ เวลานั้นยังไม่มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้ศัพท์ใหม่ว่า “เหตุสุดวิสัย” ผมจึงต้องใช้ศัพท์เก่าที่ปรากฏในกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จอ้างคดีตัวอย่างพระเอกาทธรฐ ในคดีจีนงุยจีนก๋งเส้งที่ผู้เช่าสำเภาไปค้าขายและถูกพายุอัปปางลงกลางทะเลเจ้าของเรือได้เรียกค่าเสียหาย คดีว่ากันถึงฎีกาต่อพระเอกาทธรฐซึ่งทรงวินิจฉัยว่าเป็นภัยนอกอำนาจ ผู้เช่าเรือไม่ต้องใช้ค่าเสียหาย”

สำหรับคดีที่ พระเอกาทศรถ ทรงวินิจฉัยกรณีที่จีนงุยจีนก๋งเส้งเช่าเรือสำเภาแล้วไปถูกพายุอับปางกลางทะเลตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 34 นั้น มีเนื้อความว่า

ศุภมัศดุ ๑๕๖๕ ศกกกุฏะสังวัจฉระเชษฐมาศศุกขปักษทัศมีดิถีจันทวารพระบาทสมเด็จเอกาทธรฐอิศวรบรมนารถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จสถิตย์อยู่ ณ พระที่นั่งบันลังรัตนมหาปราสาท โดยบูรพาภิมุขพระเกษมราชสุภาวดีศรีมณฑาดูลราช กราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว

ด้วยลูกค้าวานิชข้าขอบขันธเสมา แลนาๆ ประเทศสบไสมยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งบ้านเรือนอยู่ค้าขาย ณะกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ และจีนงุยจีนก๋งเส้งวิวาทแก่กันว่า จีนงุยเช่าสำเภาจีนก๋งเส้งไปค้าขายสำเภาต้องพยุหอัปปาง จีนก๋งเส้งเจ้าสำเภาจะคิดเอาค่าสำเภาแก่จีนงุยข้าพระพุทธเจ้ามิรู้ที่จะเรียกให้ฉันใด

ขอพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการพิพากษาจึ่งพระบาทสมเด็จเอกาทธรฐอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการมารพระบัณฑูรดำรัสแก่พระมหาราชครูประโรหิตาจารย์ราชสุภาวดีศรีบรมหงส์องค์บุรุโสดมพราหมณ พฤฒาจารย์ แลเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดชะชาติอำมาตยานุชิตรัตนราชโกษาธิบดีอไภยพิริยปะรากรมพาหุให้ตราเปนพระราชกฤษฎีกาไว้ แต่นี้สืบเมื่อน่าถ้าลูกค้าวานิชต่างประเทศสบไสมย เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งเรือนอยู่เปนข้าขอขันธเสมาก็ดี แลเข้ามาค้าขายตามกำหนดมรสุมก็ดี และชนสำเภานาวาแก่กันไปค้าขายยังประเทศอันใดอันสุดฟ้าเขียวแลสำเภาต้องพยุห และเสากระโดงหักแลจังกูดครืดครืด และอัปปางแตกเสียก็ดี แลไปกลางทเลสลัดตีเอาไปก็ดี ถ้าแลใช้ใบไปตลอดทอดท่าแล้วตกศึกก็ดี  แลอะสุนีตกต้องสำเภาก็ดีแลเพลิงไหม้หอบลามมาไหม้สำเภาเสียก็ดี

ท่านว่าเปนกาลกำหนดอายุสำเภานั้นต้องด้วยราชไภย โจรไภย อัคคีไภย อุทกะไภย แลจะเอาค่าเช่าสำเภาแก่กันมิได้เหตุใดจึ่งกล่าว ดังนี้ เหตุว่าถึงกาลวิบัติแห่งสำเภา…”

วันที่ ๒ ขึ้น ๑๐ เดือน ๗ ปีระกา ศักราช ๑๕๖๕

หลังจากรับเป็นทนายความฝ่ายจำเลยคือ ลิ่มซุ่นหงวน และต่อสู้คดีจนชนะเมื่อกลางปี พ.ศ. 2463 แล้ว นายปรีดี ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก พร้อมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นเนติบัณฑิตสยาม เพราะอายุบรรลุนิติภาวะพอดี พอไม่กี่เดือนถัดมา ก็ยังได้รับทุนกระทรวงยุติธรรมเพื่อเดินทางไปศึกษาวิชากฎหมายต่อในประเทศฝรั่งเศสอยู่หลายปี จนกระทั่งสำเร็จปริญญาเอก ครั้นหวนกลับคืนเมืองไทยในปี พ.ศ. 2469 ก็เข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรม

ในปี พ.ศ.  2470  นายปรีดี ยังเขียนหนังสือตำรา คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ตนเคยเป็นทนายว่าความให้แก่ ลิ่มซุ่นหงวน พร้อมอธิบาย “เหตุสุดวิสัย” ตามข้อกฎหมาย

มาตรา ๘ คำว่าเหตุสุดวิสัย หมายความว่าเหตุใดๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดีจะให้ผลพิบัติก็ดี ไม่มีใครจะอาจป้องกันแม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบฤๅใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะเช่นนั้น

ทั้งแจกแจงอีกว่า

“เหตุสุดวิสัย” เป็นข้อแก้ตัวของลูกหนี้มิให้ต้องรับผิด ให้ดูประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ และ ๔๓๗ ฯลฯ เว้นแต่มีสัญญาบ่งไว้ว่าลูกหนี้จะต้องรับผิดเสมอ ถึงแม้เหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น หรือในกรณีที่เหตุสุดวิสัยนั้นเกิดขึ้นในระวางที่ลูกหนี้ผิดนัด หรือเป็นเพราะความผิดของลูกหนี้ ฯลฯ ให้ดูประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๗, ๒๑๘, ๒๐๒, ๓๗๒ ฯลฯ

เพราะฉะนั้น คำว่า “เหตุสุดวิสัย” ก็ตรงกับคำว่า “ภัยนอกอำนาจ” หรือ “ภัย ๔ ประการ” ตามกฎหมายลักษณเบ็ดเสร็จ บทที่ ๗๔ คือ ราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย ซึ่งมีความหมายรวมไปถึงภัยอื่นๆ อันบุคคลไม่สามารถป้องกันให้เกิดขึ้น เช่น พายุ (ดูคำพิพากษาฎีกา ๑๑๕/๒๔๖๓ (ธรมสารเล่ม ๔ หน้า ๑๒๘)

การที่จะเป็นเหตุสุดวิสัยได้ต้องประกอบด้วยเหตุ ๒ ประการ

๑. เหตุนั้นต้องเกิดขึ้นโดยมิใช่การกระทำของผู้ประสบ มีอาทิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้ แต่ถ้าไฟนั้นเป็นเพราะลูกหนี้ได้จุดขึ้นเองแล้ว ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย

๒. ผู้ประสบหรือใกล้จะต้องประสพเหตุนั้นไม่อาจจะป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ เมื่อใช้ความระมัดระวังตามสมควร เช่น นายแดงจอดเรืออยู่กลางแม่น้ำโดยเอาสมอลงหนึ่งตัวซึ่งเป็นการเพียงพอตามธรรมดา ครั้นเห็นพายุพัดจัดมานายแดงก็จัดการป้องกันเอาสมอลงอีกตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพายุนั้นได้ เรือจึงหลุดลอยมาโดนบ้านริมแม่น้ำเสียหาย ดังนี้เรียกได้ว่า นายแดงได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว (ฎีกาที่ ๑๑๕/๒๔๖๓ ที่อ้างข้างบน)

มีคดีเรื่องหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส คือ

ก. ทำสัญญาจะขายข้าวในนาให้ ข. ก่อนถึงกำหนด ค. เจ้าหนี้ของ ก. นำยึดข้าวในนานั้นครั้นถึงกำหนดสัญญาระหว่าง ก. กับ ข. แก้ตัวว่าตนไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าว กล่าวคือข้าวได้ถูก ค. เจ้าหนี้ยึด ดังนี้ ศาลวินิจฉัยว่า เหตุที่เจ้าหนี้ยึดไม่เป็นเหตุสุดวิสัย เพราะ ก. สามารถที่จะป้องกันมิให้เหตุนั้นเกิดขึ้นได้ คือชำระหนี้แก่ ค. เจ้าหนี้เสีย เจ้าหนี้ก็คงจะได้ถอนการยึด

๔. มีข้อสังเกตว่า “พลาติสัย” เป็นคำกฎหมายก่อนบัญญัติศัพท์ว่า “เหตุสุดวิสัย” ขึ้นในมาตรา ๘ ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คำแปลภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Force majeure” หรือ “Cas fortuit” ซึ่งเป็นคำที่ใช้อยู่ในกฎหมายฝรั่งเศสและมีความหมายกว้างถึงทุกเหตุการณ์ (tout evenement) ไม่ว่าจะเป็นเหตุธรรมชาติ (Force de la nature) การกระทำของรัฐ (Fait du prince) หรือเกิดจากการกระทำของบุคคลที่สาม Fait d’ un tiers) ความสำคัญขึ้นอยู่ที่ว่าไม่มีใครอาจป้องกันได้ จึงปลดเปลื้องจากความรับผิด (la force majeure est exonératoire)

ส่วนคำในกฎหมายอังกฤษใช้ Act of God มีความหมายแคบกว่าคำว่า “Force majeure” ของคำในกฎหมายฝรั่งเศส เพราะจำกัดเฉพาะเหตุการณ์ตามธรรมชาติไม่รวมถึงการกระทำของมนุษย์ (Act of man) ถ้าเทียบตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๗๔ ที่อ้างไว้ในข้อ ๒ ก็ไม่ครอบคลุมถึง ราชภัยและโจรภัย อันเป็นการกระทำของมนุษย์แต่อย่างไรก็ดี คำเก่าที่ธรรมศาสตร์ใช้กันมาว่า “ภัยนอกอำนาจ” ก็ยังมีความหมายที่แหลมลึกและใกล้เคียงกับคำว่า Force majeure มากกว่าคำว่า “เหตุสุดวิสัย”

บุคคลที่ให้ความสนใจต่อการเป็นทนายความของ นายปรีดี และข้อกฎหมายว่าด้วยเหตุสุดวิสัย เห็นจะมิพ้นนักกฎหมายอย่าง  ปรีชา สุวรรณทัต ซึ่งอุตสาหะค้นคว้าเรื่องราวนี้มาเขียนเผยแพร่สู่สายตาสาธารณชน

หากสำหรับผมแล้ว ใช่เพียงจะสนใจแค่บทบาททนายความของ นายปรีดี และคดีเหตุสุดวิสัยเท่านั้น ทว่าครั้งแรกที่ได้อ่านงานของ  ปรีชา ก็พลันเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า ลิ่มซุ่นหงวน เป็นใครกัน และเขามีบทบาทในสังคมไทยอย่างไรบ้าง

นานหลายปีที่ผมพากเพียรเสาะหาคำตอบ และคราวนี้ก็นับเป็นโอกาสดีเหลือเกินที่ผมจะได้บอกเล่าต่อมายังคุณผู้อ่านทั้งหลาย

ลิ่มซุ่นหงวน คือคหบดีชาวจีนคนสำคัญแห่งเมืองนครศรีธรรมราช หรือที่มีผู้เรียกขานติดปากกันว่า “เถ้าแก่ซุ่นหงวน” ซึ่งตั้งบ้านเรือนแถวตำบลท่าวัง ครอบคลุมคูถนนทั้งฟากตะวันออกและฟากตะวันตก

 


ขุนบวรรัตนารักษ์

 

ลิ่มซุ่นหงวน เป็นบุตรคนที่ 4 และเป็นบุตรชายคนโตของ นายเรือลิ่มเฮียนปู่ ชาวจีนแต้จิ๋วผู้มาจากมณฑลกวางตุ้ง กับ อำแดงโง้ปู่เนี่ยว ชาวจีนฮกเกี้ยนผู้เกิดที่เมืองนคร น่าจะลืมตายลโลกหนแรกในช่วงทศวรรษ 2400 มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 8 คน ได้แก่

  • อำแดงอิ่ม ซึ่งต่อมาแต่งงานกับ นายเรือตันยิ้ม พ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว และเป็นต้นสกุล “ตัญญพงศ์” ทั้งสองมีบุตรชายคือ ขุนบวรรัตนารักษ์ ซึ่งต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “บวรรัตนารักษ์” คหบดีผู้มีชื่อเสียงคู่เมืองนครศรีธรรมราชมาจวบปัจจุบันนี้
  • อำแดงกิมใช้
  • อำแดงตั้งกวย
  • ลิ่มซุ่นหงวน
  • ลิ่มซุ่นเฮ่ง ซึ่งต่อมาแต่งงานกับ อำแดงอบ บุตรสาวของ ขุนทิพย์ไกรลาส ต้นสกุล “ทิพยมงคล” มีบุตรสาวคือ ช้อย ที่ต่อมาแต่งงานกับ ขุนบวรรัตนารักษ์
  • อำแดงกิมจับ
  • ลิ่มซุ่นฮวด ซึ่งต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ขุนสุมนสุขภาร
  • อำแดงกิมแจ้ง

ลิ่มซุ่นหงวน มีภรรยาชื่อ อำแดงแดง ซึ่งเคยเป็นภรรยาของเถ้าแก่ใหญ่ละแวกย่านทรงวาด กรุงเทพมหานคร ก่อนที่จะเดินทางลงใต้มาเป็นสะใภ้ใหญ่แห่งบ้านคหบดีเมืองนครศรีธรรมราช

ลิ่มซุ่นหงวน ได้ประกอบกิจการหลายด้านจนสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและครอบครัว อีกทั้งการที่ อำแดงโง้ปู่เนี่ยว ผู้เป็นมารดานิยมการสร้างคุณประโยชน์ต่างๆนานาให้กับสังคม เช่น ก่อตั้งโรงเรียนของแม่ปู่เนี่ยวในทศวรรษ 2450 เป็นต้น จึงส่งผลให้ เถ้าแก่ซุ่นหงวน ตามรอยมารดาของตนด้วยการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆมากมายในเมืองนครศรีธรรมราช ดังเช่น การสร้างโรงเรียน และการขุดคลอง

 


ลิ่มซุนหงวน วัยหนุ่ม

 

ลิ่มซุ่นหงวน ยังหุ้นกับน้องชาย ลิ่มซุ่นฮวด ไปต่อเรือร่วมกับพ่อค้าชาวจีนที่บ้านดอน (ปัจจุบันคืออำเภอเมือง สุราษฎร์ธานี) เพื่อนำมาใช้เดินทะเล แม้ว่าเรือหลายลำอับปางจมหายกลางทะเล แต่ทั้งสองก็ยังไม่ย่อท้อ

ช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2456  ลิ่มซุ่นหงวน ได้เกิดความคิดที่จะสร้างโรงเรียนขึ้นในวัดท่ามอญ ริมคลองท่าเรียน ในท้องที่ตำบลท่าวัง ซึ่งเป็นวัดเก่ามาแต่ครั้งสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นโดยกลุ่มชาวมอญที่เข้ามาอาศัยละแวกนั้นแล้วยึดอาชีพปั้นหม้อและทำเครื่องปั้นดินเผา จึงได้ชื่อวัดตามกลุ่มคนที่สร้าง เจ้าอาวาสรูปแรกคือ พระเรือง กระทั่งเจ้าอาวาสรูปที่หกคือ พระห้องกิ้ม ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูศรีสุธรรมรัต ซึ่งเมื่อมรณภาพในต้นทศวรรษ 2490 พระสมุห์ดำ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูศรีสุธรรมรัต เจ้าอาวาสรูปที่เจ็ด การที่เจ้าอาวาสได้รับคำนำหน้าว่า “ศรี” สองรูปติดต่อกัน จึงทำให้คนขนานนามวัดใหม่ว่า “วัดศรีทวี ” อันแปลว่าวัดที่มีพระครูศรีสุธรรมรัตถึงสองรูป

ครั้น เถ้าแก่ซุ่นหงวน แจ้งความประสงค์ว่าตนจะสร้างโรงเรียนต่อทางธรรมการเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2456 ผู้ดำรงตำแหน่งธรรมการเมืองขณะนั้นคือ รองอำมาตย์โทผัน จึงได้มีหนังสือรายงานไปยัง รองอำมาตย์เอก ขุนบำเหน็จวรสาร ธรรมการมณฑลนครศรีธรรมราช ความว่า

ที่ ๑๒/๖๐             โรงเรียนศรีธรรมราช

วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖

ธรรมการเมืองนครศรีธรรมราช เรียนมายัง รองอำมาตย์เอก ท่านขุนบำเหน็จวรสาร  ธรรมการมณฑลนครศรีธรรมราช

ด้วยเรื่องที่เถ้าแก่ซุ่นหงวน ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จะสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดท่ามอญนั้น บัดนี้ได้เตรียมไม้และอิฐไว้พร้อมแล้ว ยังขาดแต่แปลนที่จะวางรูปก่อสร้างต่อไป จึงได้ขอให้ข้าพเจ้ากะแปลนให้ แต่การทำแปลนนั้นเปนอันเกินความสามารถที่ข้าพเจ้าจะทำให้เหมาะและเปนตัวอย่างอันดีต่อไปได้ เหตุฉนั้นจึงได้เรียนมาเพื่อให้ช่วยขอแปลนจากกรมศึกษาธิการมาสร้างไว้ให้เปนตัวอย่างอันดีและเปนที่พอใจของผู้สร้างด้วย

ตามความประสงค์ของผู้สร้างนั้น ต้องการเปนตึก ๒ ชั้นมีห้องเรียน ๔ ห้อง กับมีห้องประชุม ห้องพักครู และห้องรับแขกพร้อม โดยกะประมาณทุนทรัพย์ตั้งแต่ ๓๐๐๐ ถึง ๔๐๐๐ บาท แต่แม้ตามทุนทรัพย์ที่กะประมาณไว้นี้ เห็นว่าไม่เปนการเพียงพอ จะลดลงเปนตึกชั้นเดียวก็ได้ ขอแต่ให้ส่วนอื่นๆคงที่ไว้ แม้แปลนที่ขอมานี้โปรดส่งไปเมื่อไรก็จะได้ลงมือก่อสร้างทันที

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

นายผัน

ธรรมการเมือง

ล่วงมาถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนปีเดียวกัน  ธรรมการมณฑลนครศรีธรรมราชได้มีหนังสือแจ้งความมายังธรรมการเมืองนครศรีธรรมราชว่า

ด้วยตามหนังสือที่ ๑๒/๖๐    ลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ว่าเถ้าแก่ซุ่นหงวน ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จะสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดท่ามอญ และบัดนี้ได้เตรียมไม้และอิฐไว้พร้อมแล้ว ยังขาดอยู่แต่แปลน ขอให้ทำแปลนส่งมานั้น แจ้งแล้ว

บัดนี้ได้ทำแปลนส่งมาให้พร้อมกับคำสั่งฉบับนี้  ขอให้ชี้แจงแก่เถ้าแก่ซุ่นหงวนให้เปนที่เข้าใจว่า  ความประสงค์ของเราก็มีอยู่แต่ให้มีห้องกว้าง  เสาไม่เกะกะดังแปลนที่ได้ส่งมา  และให้มีอากาศและแสงสว่างเข้าได้มากๆ ส่วนรูปทรงและเครื่องประดับ เช่นลวดลาย  แล้วแต่ความพอใจของ (.....เนื้อความส่วนนี้เป็นลายมือเขียนที่อ่านได้ไม่ชัดเจน..…)

อนึ่ง ตามที่ท่านเห็นว่าควรจะมีแปลนที่ดีไว้เปนตัวอย่างนั้นดี  จะได้ดำริห์ต่อไป  แต่จะขอไปยังกรมศึกษาธิการนั้นดูจะเปนการหยุมหยิมเกินไปเพราะกรมศึกษาธิการเคยได้ชี้แจงเรื่องการทำแปลนโรงเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว

รองอำมาตย์โทผัน ธรรมการเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 ยังได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “อินทรรัต” (Indrarat) และพอปี พ.ศ. 2460 ก็ได้บรรดาศักดิ์เป็น ขุนบำเหน็จวรสาร

นับแต่ปี พ.ศ. 2456 เรื่อยมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพระราชทานนามสกุล ลิ่มซุ่นฮวด น้องชายของ ลิ่มซุ่นหงวน สมัครเข้าเป็นเสือป่าและรับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็น  ขุนสุมนสุขภาร จึงได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “ลิมปิชาติ”  ทำให้บุตรชายของ นายเรือลิ่มเฮียนปู่ กับ อำแดงโง้ปู่เนี่ยว พากันใช้นามสกุลนี้

ลิ่มซุ่นฮวด ยังได้แต่งงานกับ นางจือ และมีบุตรชายคนหนึ่งคือ นายเจียม ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงนั่นคือ  หลวงชาติตระการโกศล ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2490-2494

ลิ่มซุ่นหงวน ยังขยับขยายกิจการของตนให้กว้างขวางขึ้น  โดยไม่เพียงดำเนินงานอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือภาคใต้ แต่แพร่กระจายมาจนถึงกรุงเทพมหานคร เถ้าแก่ซุ่นหงวน จึงเป็นเจ้าของกิจการโรงฟอกหนังและบ้านหรูหราในจังหวัดพระนคร ทั้งยังเป็นเจ้าของเรือโป๊ะตรงปากน้ำเมืองสมุทรปราการ ซึ่งเพราะเรือโป๊ะนี่เองที่ทำให้ต้องถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยในที่สุด

ภายหลังจากชนะคดีความกรณีเรือโป๊ะตงหลี นัมเบอร์ 38 ถูกพายุพัดไปกระแทกพลับพลาในปี พ.ศ. 2563 ซึ่ง นายปรีดี เป็นทนายความแก้ต่างให้ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น  ลิ่มซุ่นหงวน ก็ยังคงประกอบกิจการไปพร้อมๆกับบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆต่อเมืองนครศรีธรรมราชอยู่เสมอ ดังในปี พ.ศ. 2466  ก็ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตประทานบัตรทำเหมืองแแร่ดีบุกและวุลแฟรมที่แถวกะทูน ฉวาง และสิชล 

ในฐานะคหบดี เถ้าแก่ซุ่นหงวน มักจะให้ความช่วยเหลือกิจการงานของรัฐบาลสยามอยู่เสมอนับแต่ยุครัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนยุครัฐบาลคณะราษฎรภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รวมถึงหากเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ก็จะยินดีมอบรางวัลให้เพื่อเป็นกำลังใจ ดังในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2480 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481) เถ้าแก่ซุ่นหงวน ได้มอบนาฬิกาข้อมือหนึ่งเรือนให้แก่ นายสวาสดิ์ จินดาขันธ์ ผู้ตรวจทางสายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช-ร่อนพิบูลย์ เพื่อเป็นรางวัลในการที่  นายสวาสดิ์ เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติงานเป็นอย่างดีเยี่ยม โดย ขุนบูรณวาท (พร้อย ณ นคร) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราชทำหนังสือนำเรียนไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรัฐมนตรีขณะนั้นก็คือ  หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ มีบัญชาให้นำนาฬิกาข้อมือส่งไปยังอธิบดีกรมโยธาเทศบาลเพื่อส่งมอบให้ นายสวาสดิ์ ต่อไป

ต่อมาในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2482 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนมกราคม พ.ศ. 2483) ลิ่มซุ่นหงวน ยังเสนอความคิดเห็นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งขณะนั้นคือ หลวงพิบูลสงคราม เรื่องที่จะขอขุดคลองเพื่อความสะดวกแก่การคมนาคมในนครศรีธรรมราชและจะทุ่นค่าใช้จ่ายกว่าการสร้างถนน ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือมาสอบถามทางคณะกรมการจังหวัดนครศรีธรรมราช กระทั่งคณะกรมการจังหวัดส่งหนังสือลงวันที่24 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน เพื่อรายงานไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ความว่า

หนังสือที่ ๒๔๖๐๔/๒๔๘๒ ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๒ ส่งเรื่องของนายลิ่มซุ่นหงวนที่เสนอความคิดเห็นต่อรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเรื่องการขุดคลอง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมว่าเป็นการทุ่นรายจ่ายดีกว่าการสร้างถนนมาให้ทราบนั้น

ขอเรียนว่า นายลิ่มซุ่นหงวนผู้นี้ได้เคยเสนอความคิดเห็นในการสร้างทางสายนครฯ - ปากนคร มาแล้วแต่ในชั้นเดิม ประกอบทั้งสมาชิกสภาจังหวัด และทางจังหวัดก็เห็นชอบด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ กรมโยธาเทศบาลได้อนุมัติเงินมาให้ก้อนหนึ่ง ทางจังหวัดจึงได้จัดทำโปรแกรมงานก่อสร้างทางสายนี้ส่งไปยังกรมโยธาเทศบาล และทางกรมโยธาเทศบาลเห็นชอบด้วย  ทางเจ้าหน้าที่จึงได้เริ่มสำรวจแนวทางเพื่อตกลงในเรื่องที่ดินซึ่งทางผ่านไป โดยมากราษฎรไม่ยินยอมยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะ เรียกค่าเสียหายรายละหลายร้อยบาท ซึ่งทางการก็ไม่มีเงินที่จะชดเชยให้ ต่อมานายลิ่มซุ่นหงวนมีหนังสือถึงจังหวัดว่ายินยอมยกที่ดิน สวน.นา ซึ่งเป็นของส่วนตัวให้ทำทางสายนี้โดยยาวทั้งสิ้นประมาณ ๓๐ เส้น ทางจังหวัดจึงแจ้งไปยังอำเภอขอให้สืบสวนว่าที่ดินรายนี้มีหลักฐานอย่างไรหรือไม่ ทางอำเภอตอบมาว่า ได้สอบสวนแล้ว นายลิ่มซุ่นหงวนมีที่ดินสวนตรงถนนที่ตัดเข้าข้างพลับพลาจริง แต่ได้ทำสัญญาจำนองไว้กับนางสงัด สกุลกันเป็นเงิน ๕๐๐.๐๐ บาท  ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๔  ส่วนที่นานั้นปรากฏว่ามีอยู่จริง แต่ไม่ได้อยู่ติดกับสวนอยู่เยื้องไปทางเหนือและมีนาเจ้าของอื่นขั้นอยู่ ๘ เจ้าของ ทางจังหวัดจึงได้มีหนังสือที่ ๑๗๐๙๙/๒๔๘๑ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๘๑ ถามนายลิ่มซุ่นหงวนไปอีกว่า ที่ดินรายที่จำนองไว้นั้นได้ไถ่ถอนคืนหรือได้จัดการไปแล้วอย่างไร หากไม่มีอุปสรรคอย่างใด ก็จะได้เริ่มจัดการสร้างตามความจำนงค์เดิม นายลิ่มซุ่นหงวนก็ไม่ตอบว่าอย่างใด ประจวบกับจวนสิ้นปีเงินจำนวนนี้จึงถูกตัดปีไป ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๘๒ นายลิ่มซุ่นหงวนได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยอีก ความว่าขอให้ขยายถนนดังกล่าวแล้วมาต่อกับถนนราชดำเนิน ซึ่งห่างจากแนวเดิมอีก ๑๐ เส้นและยินดียกที่ดินรายดังกล่าวแล้วให้อีก กับรับรองว่าจะซื้อที่ดินให้กับรัฐบาลโดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเวนคืน ทางกรมโยธาเทศบาลจึงได้ส่งคำร้องดังกล่าวแล้วมาให้จังหวัดชี้แจง ทางจังหวัดได้ชี้แจงตอบไปยังกรมแล้วตามหนังสือที่ ๕๔๓๗/๒๔๘๒ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๘๒ มาบัดนี้ได้รับหนังสือของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวแล้วแต่ข้างต้น เสนอความคิดเห็นว่าให้งดการสร้างทางสายนี้เสียเพราะได้ประโยชน์น้อย ควรเอาเงินจำนวนนี้ไปขุดและตัดคดคลองปากนครจะสะดวกและถูกกว่า เพราะบริษัทมิตซุยได้ลงมือก่อสร้างทางสายนครศรีธรรมราช-ปากพนังจะแล้วเสร็จในเร็ววันนี้  เมื่อขุดตัดคดคลองแล้วก็ทำท่าเรือที่สะพานหัวตรุด การขนส่งก็จะสะดวกเข้า คือลำเลียงสินค้าจากปากนครมาขึ้นที่สะพานหัวตรุดโดยทางเรือแล้วก็ถ่ายจากเรือมาขึ้นรถยนต์ตรงมาสถานีรถไฟหรือที่ตลาดทีเดียว เมื่อพิจารณาตามความคิดความเห็นของผู้เสนอแล้ว การขนส่งก็เป็นการยอกย้อนสองต่อไม่สะดวกและรวดเร็ว  ประกอบทั้งกรมโยธาเทศบาลก็ได้อนุมัติมาตามโปรแกรมงานที่ขอไป ทางจังหวัดได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าถนนหนทางในจังหวัดนี้มีน้อย และการขุดคลองก็เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว เห็นควรทำไปตามโปรแกรมงานเดิมดีกว่า จึงเรียนมาเพื่อทราบ.

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

(พระสาครบุรานุรักษ์)

ในสมัยของรัฐบาลคณะราษฎรนั้น ลิ่มซุ่นหงวน อยู่ในวัยชรามากแล้ว แต่ก็ยังพยายามทำเพื่อสังคมอยู่เนืองๆ ทั้งยังมีเรื่องเล่าอีกว่า นายปรีดี ซึ่งครองบทบาททางการเมืองอย่างสูงในรัฐบาลคณะนี้ ก็เคยหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนและคารวะ เถ้าแก่ซุ่นหงวน เช่นกัน

การเป็นทนายความครั้งแรกและเพียงครั้งเดียวของ นายปรีดี พนมยงค์ ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความสามารถในชั้นเชิงทางกฎหมายของคนหนุ่มอายุ 19 ปีซึ่งจะกลายมาเป็นมันสมองของคณะราษฎรเท่านั้น  แต่ยังมีเรื่องราวของผู้ตกเป็นจำเลยในคดีที่ นายปรีดี ว่าความแก้ต่างให้จนชนะอย่าง ลิ่มซุ่นหงวน ที่น่าสนใจมิใช่น้อยอีกด้วย

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขรและการสะกดตามหลักฐานชั้นต้น และต้นฉบับของนักเขียน

เอกสารอ้างอิง :

  • หจช (2) ศธ8/47 เถ้าแก่ซุ่นหงวนจะสร้างโรงเรียนที่วัดท่ามอญเมืองนครศรีธรรมราช (15 - 24 พ.ย. 2456)
  • หจช มท 0201.1.1/671  นายลิ่มซุ่นหงวน ส่งนาฬิกาข้อมือให้นายสวาสดิ์ จินดาขันธ์ผู้ตรวจทาง ในการที่ได้ปฏิบัติการไปด้วยดี (พ.ศ. 2480)
  • หจช มท 0201.1.1/1346 นายลิ่มซุ่นหงวน เสนอความคิดเห็นเรื่องขุดคลอง (พ.ศ. 2482)
  • กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉะบับกรุงธนบุรี. ขุนบวรรัตนารักษ์ พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอิ่ม ตัญญพงศ์ มารดา. ม.ป.ท.,2479.
  • ปรีชา สุวรรณทัต. ๑๒๐ ปี ชาตกาลปรีดี พนมยงค์และเจตนารมณ์ของ คณะราษฎร 2475 ที่ยังไม่ตาย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563.