ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

สยาม-ไทย: วาทกรรมชื่อประเทศ กับเส้นแบ่งระหว่าง ‘รักชาติ’ และ ‘คลั่งชาติ’

4
มิถุนายน
2568

ชื่อของประเทศคือสิ่งที่สะท้อนทั้งอัตลักษณ์ประวัติศาสตร์ และอุดมการณ์ของชาติ สำหรับประเทศไทย ชื่ออย่างเป็นทางการเดิมคือ “ประเทศสยาม” ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็น “ประเทศไทย” ในปี พ.ศ. 2482 การเปลี่ยนชื่อครั้งนั้น ไม่ใช่เพียงเรื่องของคำศัพท์หรือความคุ้นเคย แต่เกี่ยวพันกับแนวคิดทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างแนวคิด “ชาตินิยมพลเมือง” ที่เปิดกว้างและรวมผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ กับแนวคิด “เชื้อชาตินิยม” ที่เน้นความบริสุทธิ์ของสายเลือดไทย

 

“…เพราะการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างคนเชื้อชาติไทยที่มีทัศนะทางสังคมแตกต่างกัน คือฝ่ายหนึ่งถือ ‘ทัศนะรักชาติ’ (Patriotism)[1] กับอีกฝ่ายหนึ่งถือ ‘ทัศนะเชื้อชาตินิยม’ (Racism) ประกอบด้วย ‘ทัศนะคลั่งชาติ’ (Chauvinism)[2] ที่เกินขอบเขตยิ่งกว่าทัศนะคลั่งชาติของฮิตเลอร์ และแสนยานุภาพญี่ปุ่น”

— ปรีดี พนมยงค์

 

ความเป็นมาของชื่อประเทศ “สยาม” และ “ไทย” เป็นมากกว่าคำเรียกหรือข้อกฎหมาย หากแต่สะท้อนรอยปะทะของอุดมการณ์ที่ลึกลงไปถึงรากฐานความเข้าใจเรื่องชาติ และพลเมือง บทความนี้หยิบยกมุมมองของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ จากหนังสือ Ma Vie Mouvementée (2517) ซึ่งวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวอย่างเฉียบคม ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ การเมือง และทัศนะทางสังคม

ในขณะเดียวกัน ยังชวนผู้อ่านย้อนทบทวนว่า “ชื่อประเทศ” สะท้อนอะไรต่อจิตสำนึกของผู้คน และจะช่วยให้เราเข้าใจอนาคตของชาติได้อย่างไร โดยเฉพาะในโลกไร้พรมแดน ที่ความหลากหลายคือพลัง และความเสมอภาคคือหลักประกันของสันติภาพร่วมกัน

 

รากศัพท์ ‘สยาม’: จากภาษาโบราณถึงเอกสารทางราชการ

คำว่า “สยาม” เป็นชื่อที่เก่าแก่และปรากฏอยู่ในบันทึกของหลายภาษา นักภาษาศาสตร์ได้เสนอสมมุติฐานหลากหลายเกี่ยวกับรากศัพท์ของคำนี้ โดยหนึ่งในข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายคือ มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า “ศยามะ” (Syama) ซึ่งแปลว่า “สีดำ” หรือ “สีคล้ำ” แนวคิดนี้เคยถูกนำมาอธิบายว่า คำว่า “สยาม” อาจเป็นชื่อที่ชาวต่างชาติใช้เรียกดินแดนแถบนี้ ตามลักษณะผิวพรรณของผู้คน

อย่างไรก็ตาม ปรีดี พนมยงค์ ชี้ให้เห็นว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวตีความอย่างผิวเผิน และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด เช่น การเชื่อว่าคำว่า “สยาม” เพี้ยนมาจากคำจีนแต้จิ๋วว่า “เซี่ยมล้อ” ซึ่งเป็นเพียงเสียงเรียกในภาษาถิ่นของชาวจีนโพ้นทะเลบางกลุ่ม แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า จีนแผ่นดินใหญ่เรียกดินแดนสุวรรณภูมิหรืออยุธยาว่า “เซียนโล๋” มาแต่โบราณ ซึ่งต่างจากคำว่า “เซี่ยมล้อ” อย่างสิ้นเชิง การอ้างว่าคำว่า “สยาม” มาจากภาษาจีนแต้จิ๋วจึงไม่น่าเชื่อถือ

ในทางตรงกันข้าม คำว่า “สยาม” ปรากฏอยู่ในเอกสารราชการของไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีรากจากภาษาบาลีและสันสกฤตที่ใช้ในราชสำนัก เช่น ในกฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยาที่จารึกบนสมุดข่อย มีการใช้คำว่า “สามปเทส” (แปลว่า “แว่นแคว้นแห่งเมืองทอง”) ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับ “สยามประเทศ”

นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ไทยแต่ครั้งอดีต เมื่อมีพระราชสาส์นติดต่อกับประมุขของรัฐต่างประเทศ ก็มักทรงใช้ชื่อ “สยาม” แทนพระราชอาณาจักรของพระองค์ ส่งผลให้นานาชาติรู้จักประเทศนี้ในนาม “SIAM” มายาวนาน กล่าวได้ว่า “สยาม” ไม่ใช่ชื่อที่ต่างชาติบัญญัติขึ้นให้ หากแต่เป็นชื่อที่คนไทยใช้เรียกตนเอง และเป็นที่รู้จักในระดับสากลมาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะสามัญชนในสมัยก่อน มักเรียกประเทศของตนเองว่า “เมืองไทย” หรือ “ประเทศไทย” มากกว่าจะใช้คำว่า “ประเทศสยาม” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่นิยมใช้ในแวดวงราชการและการทูต ความคุ้นเคยกับคำว่า “ไทย” นี้เอง ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในเหตุผล (เชิงวาทศิลป์) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนชื่อประเทศในเวลาต่อมา โดยมีการอ้างว่า “ไทย” คือชื่อที่คนไทยเรียกตนเองอยู่แล้ว จึงควรใช้เป็นชื่อทางการของรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชน

ทว่าเบื้องหลังเหตุผลเชิงประชานิยมเหล่านี้ ยังมีมิติทางการเมืองและอุดมการณ์ชาติที่ลึกซึ้งกว่านั้น โดยเฉพาะแนวคิดชาตินิยมแบบเชื้อชาติเดียว (Ethnic nationalism) ซึ่งเริ่มแผ่ขยายขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2470 อันเป็นยุคเปลี่ยนผ่านทางอำนาจและอุดมการณ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และก่อนที่รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะผลักดันการเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2482

 

“ทรากของ ‘ทัศนะเชื้อชาตินิยม’ (Racism) ยังคงตกค้างอยู่ในหลายชาติ จึงเป็นเหตุให้คนจำนวนหนึ่งแห่งเชื้อชาติในชาตินั้น ๆ ถือว่าเชื้อชาติของตนอยู่เหนือเชื้อชาติและชนชาติอื่น ซึ่งเป็นส่วนข้างน้อยอยู่ในชาติเดียวกัน อันเป็นการบั่นทอนเอกภาพของชาติ ซึ่งทำให้ชนส่วนน้อย (Minority) ในชาติดิ้นรนแยกดินแดนดังปรากฏอยู่ในหลายประเทศ”

— ปรีดี พนมยงค์

 

การเปลี่ยนผ่านจาก ‘สยาม’ สู่ ‘ประเทศไทย’: บริบทการเมืองยุคคณะราษฎรและรัฐบาลจอมพล ป.

ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม เมื่อปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการยังคงใช้ว่า “สยาม” รัฐบาลไทยในช่วงปลายทศวรรษ 2470 ยังคงใช้ชื่อนี้ทั้งในด้านการทูตและกฎหมายอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2481 เมื่อ พันเอกหลวงพิบูลสงคราม (ต่อมาคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม) หนึ่งในแกนนำคณะราษฎรสายทหาร ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทย ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้นำพลเรือนอย่างนายปรีดี พนมยงค์ เริ่มถูกลดบทบาทลง

รัฐบาลจอมพล ป. เริ่มใช้นโยบายชาตินิยมอย่างเข้มข้น พร้อมผลักดันโครงการ “สร้างชาติ” ตามแบบตะวันตก โดยเน้นการหล่อหลอมอัตลักษณ์ “ความเป็นไทย” ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การประกาศ “รัฐนิยม” การกำหนดให้ยืนเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติทุกวัน การเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินสากล และการออกกฎหมายควบคุมการแต่งกายให้ทันสมัย ฯลฯ การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ในปี พ.ศ. 2482 จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้

คำว่า “ไทย” ซึ่งแปลว่า “ผู้เป็นไท” หรือ “เสรีชน” ถูกนำเสนอในฐานะชื่อที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของชาติที่รักอิสระ สอดคล้องกับคำขวัญที่ว่า “ประเทศไทยนี้เป็นของชาวไทย” ชื่อใหม่จึงถูกมองว่าเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ไทย และแสดงออกถึงการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ที่แฝงนัยยะว่าเป็นดินแดนของชนชาติที่รักอิสระเสรี

อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งชี้ว่า การเน้นย้ำคำว่า “ไทย” ในเชิงชาติพันธุ์ ยังสะท้อนมิติการกีดกันคนเชื้อชาติอื่น โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่และมีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างมาก รัฐบาลจอมพล ป. จึงออกมาตรการหลายประการเพื่อลดบทบาทของชาวจีน เช่น การจำกัดการอพยพจากจีน การควบคุมโรงเรียนจีน (โดยให้สอนภาษาจีนได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง) และการส่งเสริมให้กิจการของชาวไทยแข่งขันแทนที่ธุรกิจของชาวจีน ท่าทีเหล่านี้สะท้อนแนวคิด “ไทยสำหรับคนไทย” อย่างชัดเจน

เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศ ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้บันทึกไว้ นั่นคือ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2482 หลวงวิจิตรวาทการ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และเป็นนักคิดคนสนิทของจอมพล ป.) ได้เดินทางไปกรุงฮานอย และนำแผนที่จากสำนักตะวันออกไกลแห่งฝรั่งเศส (EFEO) กลับมา

แผนที่ฉบับนั้นแสดงการกระจายของชนชาติที่พูด “ภาษาไท” ในภูมิภาคต่างๆ ของเอเชีย เช่น อินโดจีน พม่า จีนตอนใต้ ไปจนถึงมณฑลอัสสัมของอินเดีย หลวงวิจิตรฯ นำข้อมูลนี้มาใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อผ่านวิทยุกระจายเสียง พร้อมแต่งเพลงปลุกใจถึง “ชนเชื้อชาติไทย” ในต่างแดน และเสนอแนวคิดเรื่อง “มหาอาณาจักรไทย” ที่จะรวมพี่น้องเชื้อชาติไทยให้เป็นหนึ่งเดียว แนวคิดนี้มีลักษณะคล้ายกับแนวทางของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่พยายามรวบรวมชนชาติเยอรมันในยุโรปให้รวมศูนย์อยู่ภายใต้ “มหาอาณาจักรเยอรมัน”

ภายใต้กระแสชาตินิยมเชิงรุกรานเช่นนี้ จอมพล ป. ได้เสนอเรื่องด่วนต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “ประเทศไทย” โดยทันที พร้อมมอบหมายให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้อธิบายเหตุผลต่อที่ประชุม

หลวงวิจิตรฯได้ชูแผนที่ชนชาติไทยเป็นหลักฐานประกอบ และให้เหตุผลว่า คำว่า “สยาม” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ศยามะ” ซึ่งแปลว่า “ดำ” จึงไม่เหมาะกับชาติพันธุ์ไทยที่มีผิวเหลือง อีกทั้งยังเชื่อว่าคำนี้เพี้ยนมาจากภาษาจีนด้วย

โดยสรุป เหตุผลของฝ่ายรัฐบาลคือ “สยาม” เป็นชื่อที่ต่างชาติตั้งให้ และมีความหมายสื่อถึงลักษณะทางผิวพรรณที่ไม่ตรงกับชนชาติไทย จึงควรเปลี่ยนเป็นชื่อที่สะท้อนความเป็นเจ้าของและอัตลักษณ์ของชนชาติไทยเอง นั่นคือ “ประเทศไทย”

 

“ส่วนพวก ‘เชื้อชาตินิยม’ จำพวกที่กล่าวแล้ว ใช้วิธีแปลกประหลาด ง่ายยิ่งกว่าวิธีรุกรานทางแผนที่ คือใช้วิธีทึกทักเอาจากชื่อที่เรียกท้องที่ ว่าถ้ามีคำที่ออกเสียงว่า ‘ไท’ หรือ ‘ไต’ ก็ดี หรือเดาว่าเป็นคำไทยก็ดี ท้องที่นั้นเป็นของคนเชื้อชาติไทยมาก่อน ซึ่งไม่ถูกต้องตามความจริง”

— ปรีดี พนมยงค์

 

ปรีดี พนมยงค์ กับการคัดค้านเปลี่ยนชื่อประเทศ และข้อถกเถียงที่ยังไม่สิ้นสุด

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยยืนยันว่า “สยาม” เป็นชื่อที่ปรากฏในเอกสารกฎหมายและจารึกของราชสำนักมาแต่โบราณ ทั้งในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดฯให้ชำระ ก็ยังเรียกราชอาณาจักรนี้ว่า “สยามประเทศ” อีกทั้งหลักฐานทางภาษาศาสตร์ก็ไม่สนับสนุนสมมติฐานเรื่องคำจีนแต้จิ๋ว (เซี่ยมล้อ) ที่ถูกยกมาอ้างว่าเป็นต้นตอของคำว่า “สยาม” แต่อย่างใด

นายปรีดีมองว่าการเปลี่ยนชื่อประเทศครั้งนี้ มิได้มีรากฐานจากเหตุผลทางภาษา หากแต่มีแรงจูงใจทางการเมืองแฝงอยู่ โดยเฉพาะความพยายามผลักดันแนวคิด “ชาตินิยมแบบรวมไทย” (pan-Thai nationalism) ที่ต้องการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ไทในดินแดนอื่นให้เป็นส่วนหนึ่งของมหาอาณาจักรไทย

แม้จะมีการถกเถียงในที่ประชุม แต่คณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็เห็นชอบกับข้อเสนอของจอมพล ป. ให้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ส่งผลให้ปรีดีและรัฐมนตรีผู้คัดค้านตกเป็นเสียงข้างน้อยในรัฐบาล

ร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนชื่อประเทศถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 โดยไม่มีการตั้งคำถามในเชิงลึกต่อผลกระทบระยะยาว ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนามประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 (นับเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการเปลี่ยนชื่อประเทศโดยเฉพาะ)

 

“ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ความขัดแย้งเรื่องชื่อของประเทศนี้ สืบเนื่องจากรากฐานแห่งทัศนะทางสังคม ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญได้ยึดถือเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าทางวิชาการนิรุกติศาสตร์”

— ปรีดี พนมยงค์

 

อย่างไรก็ตาม แม้ชื่อ “ประเทศไทย” จะถูกใช้ในเอกสารทางราชการภาษาไทยตั้งแต่ปลายปี 2482 รัฐบาลยังคงใช้ชื่อ “Siam” ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสต่อไปในช่วงแรก โดยตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีผลเฉพาะในภาษาไทย เพื่อไม่ให้ต่างประเทศสับสน เอกสารราชการในเวลานั้น เช่น หนังสือเดินทาง ยังระบุชื่อประเทศเป็น “ประเทศไทย” ในช่องภาษาไทย ขณะที่ช่องภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสยังคงพิมพ์ว่า “Siam” และสัญชาติว่า “Siamois”

ทว่า กระแสชาตินิยมที่เร่งเร้าในยุคนั้น ทำให้รัฐบาลเปลี่ยนท่าทีในเวลาต่อมา โดยประกาศใช้ชื่อ “Thailand” (ในภาษาอังกฤษ) และ “Thaïlande” (ในภาษาฝรั่งเศส) อย่างเป็นทางการให้สอดคล้องกับชื่อภาษาไทย และชื่อนี้ก็ถูกใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งตอกย้ำความแตกต่างระหว่างสองแนวคิด: “ชาติพันธุ์” กับ “ชาติในความหมายพลเมือง” เมื่อจอมพล ป. นำประเทศไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น (ฝ่ายอักษะ) พร้อมขยายดินแดนเข้าไปในมลายาและอินโดจีนฝรั่งเศส ภายใต้แนวคิด “มหาอาณาจักรไทย” ซึ่งตั้งอยู่บนฐานความเชื่อเรื่องสายเลือดเชื้อชาติเดียวกัน

แต่เมื่อสงครามยุติลงใน พ.ศ. 2488 รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีนายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทบทวนนโยบายชาตินิยมสุดโต่งหลายเรื่อง และประกาศให้กลับไปใช้ชื่อประเทศว่า “Siam” ในเอกสารภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส โดยให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนชื่อประเทศในรัฐธรรมนูญปี 2482 ครอบคลุมเฉพาะในภาษาไทยเท่านั้น การกลับมาใช้ชื่อ “Siam” จึงสอดคล้องกับความคุ้นเคยของประชาคมโลก และสะท้อนเจตนารมณ์สู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตหลังสงคราม

ช่วงปี พ.ศ. 2488–2490 เอกสารทางราชการและหนังสือเดินทางของไทยจึงกลับมาใช้ชื่อ Siam/Siamois อีกวาระหนึ่ง ตามแนวคิดของปรีดีที่เคยเสนอไว้ตั้งแต่ต้น

อย่างไรก็ตาม การเมืองภายในประเทศกลับพลิกผันอีกครั้งเมื่อเกิด รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จอมพล ป. พิบูลสงคราม หวนคืนสู่อำนาจในเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 และยกเลิกนโยบายของรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนหน้าทั้งหมด รวมถึงการกลับไปใช้ชื่อประเทศว่า Thailand/Thaïlande ในเอกสารภาษาต่างประเทศ ซึ่งใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

แม้ชื่อ “ประเทศไทย” จะได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ประเด็นเรื่องชื่อประเทศก็ยังไม่หายไปจากเวทีการเมืองไทย ในการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2517 ได้มีสมาชิกรัฐสภาและกรรมาธิการบางส่วนเสนอให้เปลี่ยนชื่อประเทศกลับไปเป็น “สยาม” ทว่าเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วย

ข้อเสนอดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แม้เวลาจะผ่านมาหลายทศวรรษ แต่ “ชื่อประเทศ” ยังคงเป็นประเด็นที่เกี่ยวพันกับอุดมการณ์ การตีความความเป็นชาติ และวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของไทยอย่างลึกซึ้ง

 

วาทกรรม ‘ชาติพันธุ์’ vs. ‘ความเป็นชาติ’: ข้อถกเถียงระหว่างปรีดี กับฝ่ายชาตินิยมสุดโต่ง

การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ไม่ได้เป็นเพียงการรีแบรนด์หรือเปลี่ยนชื่อในเชิงสัญลักษณ์ หากแต่เป็นจุดปะทะระหว่างสองแนวคิดพื้นฐานเรื่อง “ชาติ” ที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง

ฝ่ายหนึ่ง ซึ่งนำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และผู้สนับสนุนอย่างหลวงวิจิตรวาทการ ยึดถือแนวคิดเชื้อชาตินิยม หรือ “ลัทธิชาตินิยมทางชาติพันธุ์” (ethnic nationalism) ที่มองว่าประเทศควรเป็นของ “ชนชาติไทย” โดยเน้นสายเลือดและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์หลัก แนวคิดเช่นนี้มักโน้มเอียงไปสู่การกีดกัน หรือกลืนกลายชนกลุ่มน้อยที่มีอยู่ในประเทศ

อีกฝ่ายคือนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งยืนหยัดในแนวคิด “ชาตินิยมแบบพลเมือง” (civic nationalism) ที่ให้คุณค่ากับความเป็นพลเมือง โดยไม่คำนึงถึงเชื้อสาย เขามองว่า ประเทศคือของประชาชนทุกคนที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันอย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด โดยเคยอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า แม้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะเป็นชนชาติไทย แต่ก็มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน การใช้ชื่อ “สยาม” จึงเหมาะสมในฐานะชื่อที่รวมทุกชนชาติอย่างเท่าเทียมกัน และสะท้อนอุดมคติของสันติภาพในดินแดนสุวรรณภูมิ

ในมุมมองของปรีดี การยืนยันชื่อ “สยาม” คือการยืนยันอุดมการณ์ “เอกภาพบนความหลากหลาย” (unity in diversity) เป็นการคัดง้างกับกระแสชาตินิยมแบบคลั่งเชื้อชาติที่กำลังเบ่งบานในยุคนั้น

ขณะที่ฝ่ายจอมพล ป. และหลวงวิจิตรกลับเห็นว่า การใช้ชื่อ “ประเทศไทย” จะช่วยปลุกเร้า “จิตวิญญาณชาติ” ที่มั่นคงและภาคภูมิในเชื้อสายไทย อันเป็นรากฐานของการสร้าง “รัฐชาติ” (nation-state) สมัยใหม่ตามแบบอย่างตะวันตก

อย่างไรก็ตาม ความพยายามสร้างอัตลักษณ์ชาติแบบใหม่ในนาม “ไทย” ได้ล้ำเส้นไปสู่ลัทธิเชื้อชาตินิยมและการคลั่งชาติอย่างรุนแรง (Chauvinism) ปรีดีถึงกับกล่าวว่าทัศนะของผู้นำบางคนในยุคนั้น “เกินขอบเขตยิ่งกว่าทัศนะคลั่งชาติของฮิตเลอร์ และลัทธิแสนยานุภาพของญี่ปุ่น” เช่น การทะเยอทะยานจะรวบชนชาติไทยทุกแห่งหนมาอยู่ใต้ธงเดียวกันโดยไม่สนใจความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่การเหยียดชื่อ “สยาม” ว่าแปลว่า “ดำ” จึงไม่เหมาะกับคนไทยผิวเหลือง ซึ่งสะท้อนทัศนะเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน

ปรีดีได้เสนอทางออกแบบประนีประนอม โดยยอมรับว่าหากเปลี่ยนชื่อประเทศในภาษาไทยเป็น “ประเทศไทย” ก็ยังควรคงใช้ชื่อ Siam ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสต่อไป เพื่อไม่ให้ชาวโลกสับสน พร้อมยกตัวอย่างประเทศอื่น เช่น เยอรมนี ที่ในภาษาเยอรมันเรียกตนเองว่า “Deutschland” แต่ก็ยอมรับให้เรียกชื่อประเทศตามภาษาที่คนต่างชาติคุ้นเคยว่า “Germany/Allemagne” หรือ ญี่ปุ่น ที่ภาษาไทยเรียกว่า “นิปปอน” แต่ทั่วโลกก็รู้จักในชื่อ “Japan/Japon” เป็นต้น

นอกจากนี้ ปรีดียังแสดงความกังวลว่า การเติมคำว่า “แลนด์” (Land) ต่อท้ายคำว่า “ไทย” จนเป็น Thailand อาจทำให้ดูคล้ายดินแดนอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น Nyasaland หรือ Somaliland ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยนั้น เขาจึงเสนอว่าหากจะเปลี่ยนจริง ควรทับศัพท์เป็น “Muang Thai” (เมืองไทย) ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเสียเลย เพื่อรักษาอัตลักษณ์ที่แท้จริงของคนไทย แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการรับรองในที่ประชุม เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ต้องการเปลี่ยนให้ตรงตามชื่อไทยอย่างเคร่งครัด คือ Thailand และ Thaïlande

ข้อเสนอต่างๆ ของปรีดีจึงเป็นความพยายามรักษาดุลระหว่างประวัติศาสตร์ กับกระแสชาตินิยมใหม่ เป็นทางสายกลางที่เคารพรากเหง้าเดิม โดยไม่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทว่าแนวคิดนี้กลับไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของผู้นำในยุคนั้น ที่ต้องการ “สร้างชาติใหม่” ด้วยการตัดขาดจากสัญลักษณ์เดิมแล้วสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมดตามแบบตะวันตก

สิ่งที่ตามมาหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศ คือ การผลิตซ้ำวาทกรรมชาติพันธุ์นิยมในสังคมไทยอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปรับเนื้อเพลงชาติไทยในปี 2482 ให้ขึ้นต้นว่า “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ซึ่งเน้นความเป็นชาติพันธุ์เดียว และถูกวิพากษ์ว่า ขัดกับความเป็นจริงทางสังคมวิทยา เพราะประชากรไทยมีหลากหลายเชื้อสาย และชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ก็ล้วนมีบทบาทในการสร้างชาติไม่น้อยไปกว่าคนเชื้อสายไทย

แม้เนื้อเพลงดังกล่าวจะถูกวิจารณ์ แต่ด้วยอำนาจรัฐและกระแสสังคมในยุคนั้น ก็ถูกใช้ซ้ำอย่างต่อเนื่องจนฝังรากเป็นทัศนคติในสังคมไทย และส่งอิทธิพลต่อความเข้าใจเรื่อง “ความเป็นไทย” มาจนถึงทุกวันนี้

 

ทำไม ‘สยาม’ จึงควรถูกจดจำ: บทเรียนเพื่อสังคมพหุวัฒนธรรมร่วมสมัย

แม้ในปัจจุบันชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศเราคือ “ประเทศไทย” แต่อุดมคติและความหมายที่เคยแฝงอยู่ในคำว่า “สยาม” ไม่ได้สูญหายไปไหน ตรงกันข้าม ชื่อนี้ได้กลายเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า โดยเฉพาะสำหรับสังคมไทยร่วมสมัยที่ประกอบด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และความเชื่อ

“สยาม” ควรถูกจดจำในฐานะสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคของผู้คนต่างชาติต่างภาษา ดังที่ ปรีดี พนมยงค์ เคยอธิบายว่า พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตเลือกใช้คำนี้อย่างมีความหมาย เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายใต้พระราชอาณาจักร และเน้นย้ำอุดมการณ์แห่งสันติภาพ ความเท่าเทียม และการอยู่ร่วมกันของทุกชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ

ในมุมมองนี้ “สยาม” จึงไม่ใช่แค่ชื่อเรียกดินแดน แต่คืออุดมการณ์ที่โอบรับผู้คนต่างเชื้อสายให้สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยปราศจากการกีดกัน เหยียดหยาม หรือแบ่งแยก

ในทางตรงกันข้าม บทเรียนจากการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับชี้ให้เห็นถึงโทษของแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง ที่ยึดติดกับความ “บริสุทธิ์” ทางเชื้อชาติ การพยายามสร้างชาติที่มีอัตลักษณ์เดียวโดยละเลยความหลากหลาย นำไปสู่ความขัดแย้ง ความรุนแรง และนโยบายกีดกันที่ทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของประชาชนในชาติเดียวกัน — ดังที่ประจักษ์มาแล้วจากประวัติศาสตร์โลก เช่น นาซีเยอรมนี หรือแม้แต่ประเทศไทยในช่วงหนึ่ง ที่เคยมีนโยบายเลือกปฏิบัติต่อประชากรบางกลุ่ม

การเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่านจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ช่วยให้เราได้ฉุกคิดถึงความหมายของ “ความเป็นไทย” อย่างสร้างสรรค์ ว่า “ความเป็นไทย” ไม่ควรผูกขาดอยู่กับเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง หากแต่คือการยอมรับและภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองของรัฐเดียวกัน ไม่ว่าแต่ละคนจะสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ใด

ในปัจจุบัน สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของความหลากหลายมากขึ้น เราเห็นความพยายามเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งชาวไทยภูเขา ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยเชื้อสายมลายู ฯลฯ  แนวคิดเรื่อง “รัฐพหุวัฒนธรรม” (multicultural state) เริ่มได้รับความสนใจในวงวิชาการและนโยบายมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนของการนิยาม “ชาติ” และ “อัตลักษณ์” ใหม่อย่างรอบด้าน

การหวนมองประวัติศาสตร์ชื่อประเทศของเราเองผ่านมุมมองของปรีดี พนมยงค์ จึงเสมือนการทบทวนรากเหง้าอุดมการณ์ของชาติ ที่ครั้งหนึ่งผู้นำและปัญญาชนไทยบางคนได้พยายามชี้ให้เห็นว่า อัตลักษณ์ของ “สยาม” คือการเปิดกว้าง โอบรับความหลากหลาย อย่างเท่าเทียม และยืนอยู่บนหลักสันติภาพอย่างแท้จริง เป็นบทเรียนเตือนใจมิให้เราหลงไปกับวาทกรรมชาตินิยมสุดโต่งหรือการเหยียดเชื้อชาติที่อาจฟื้นคืนมาได้ในคราบใหม่ของการเมืองปัจจุบัน

ท้ายที่สุด ไม่ว่าประเทศจะใช้ชื่อว่า “สยาม” หรือ “ไทย” สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณค่าที่เราหมายรวมไว้ในชื่อนั้น ชื่อประเทศควรเป็นภาพสะท้อนของความคิด ความฝัน และอุดมการณ์ของประชาชนในยุคสมัยนั้นๆ การศึกษาประวัติศาสตร์และแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ เปิดพื้นที่ให้เราได้ตั้งคำถามว่า เราอยากให้ประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้า เป็นประเทศแบบไหน?

เราจะสามารถธำรงไว้ซึ่งความหลากหลาย ความเสมอภาค และสันติภาพ ในขณะเดียวกันก็รักษาความภูมิใจในความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่?

ในโลกไร้พรมแดน ที่ความหลากหลายคือพลัง การนำบทเรียนจากอดีตมาใช้อย่างรู้เท่าทัน จะช่วยให้สังคมไทยก้าวพ้นกรอบอันคับแคบ และก่อร่างอุดมการณ์ร่วมที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมต่อทุกคนในชาติอย่างแท้จริง.

 

อ่าน “ความเป็นมาของชื่อ ประเทศสยาม กับ ประเทศไทย” โดย ปรีดี พนมยงค์ (2517) ฉบับเต็ม ได้ที่นี่: https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/pridibook050.pdf

 


[1] ถ้อยคำนี้มาจากข้อเขียนของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อ พ.ศ. 2517 ซึ่งอธิบายความหมายของ “ทัศนะรักชาติ” (Patriotism) ไว้ว่าเป็นทัศนะประชาธิปไตย ที่เคารพความหลากหลายของเชื้อชาติภายในชาติเดียวกัน โดยกล่าวว่า:

“…ทัศนะรักชาติ (Patriotism) เป็นทัศนะประชาธิปไตย ซึ่งรักทุกเชื้อชาติและชนชาติที่ประกอบเป็น ‘ชาติ’ เดียวกัน ครอบครองดินแดนประเทศเดียวกัน คือเป็นปิตุภูมิ (patrie) เดียวกัน มีความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจอันเป็นรากฐานของสังคมเดียวกัน ยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อชาติและปิตุภูมิเป็นส่วนรวม ทุกชาติในปัจจุบันนี้ ต่างกับกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่ประกอบด้วยคนเผ่าพันธุ์เดียวหรือเชื้อชาติเดียว ทุกชาติเป็นผลแห่งวิวรรตการทางประวัติศาสตร์ช้านาน ซึ่งประกอบด้วยหลายเชื้อชาติและชนชาติ…”

[2] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นมาของชื่อประเทศสยามกับประเทศไทย, คัดจากบางตอนใน Ma Vie Mouvementée (2517).

“ทัศนะเชื้อชาตินิยม (Racism) เป็นทัศนะที่นิยมหรือรักเฉพาะคนเชื้อชาติเดียว อันเป็นทัศนะคับแคบที่สืบมาจากทัศนะสังคมต่างกลุ่มเผ่าพันธุ์ โดยมิได้คำนึงถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน และในประวัติศาสตร์และวิวรรตการของ ‘ชาติ’ ดังกล่าวในข้อ (2) ทรากของ ‘ทัศนะเชื้อชาตินิยม’ (Racism) ยังคงตกค้างอยู่ในหลายชาติ จึงเป็นเหตุให้คนจำนวนหนึ่งแห่งเชื้อชาติในชาตินั้น ๆ ถือว่าเชื้อชาติของตนอยู่เหนือเชื้อชาติและชนชาติอื่น ซึ่งเป็นส่วนข้างน้อยอยู่ในชาติเดียวกัน อันเป็นการบั่นทอนเอกภาพของชาติ ซึ่งทำให้ชนส่วนน้อย (Minority) ในชาติดิ้นรนแยกดินแดน ดังปรากฏอยู่ในหลายประเทศ พวก ‘เชื้อชาตินิยม’ ได้ผลักดันทัศนะของตนเป็นการ ‘คลั่งเชื้อชาติ’ หรือ ‘คลั่งชาติ’ (Chauvinism) เพราะถือว่าชาติเป็นของเชื้อชาติเขาเท่านั้น ครั้นแล้วก็คิดรวมคนเชื้อชาติเดียวกันที่อยู่ในดินแดนต่าง ๆ เข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน เช่นที่ฮิตเลอร์ได้ดำเนิน ซึ่งเป็นการล้มเหลวและนำความพ่ายแพ้มาสู่ประเทศเยอรมัน ส่วนในสยามนั้น ความฝันของพวกเชื้อชาตินิยมที่จะสถาปนามหาอาณาจักรไทย รวบรวมคนเชื้อชาติไทยต่าง ๆ ในอาเซียนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ซากความฝันนั้นก็ยังคงมีอยู่ที่เป็นมรดกตกทอดมา…”