Focus
- บทความ “พระยาพหลพลพยุหเสนา พิทักษ์อภิวัฒน์ประชาธิปไตย” เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่มุ่งเน้นการยืนยันถึงหลักการของการยึดอำนาจในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ลำดับเหตุการณ์ทั้งหลายจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการกระทำของพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นการลุกขึ้นเพื่อปกป้องอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ท่ามกลางภาวะชะงักงัน และความขัดแย้งทางทางความคิดของระบอบใหม่
- กองบรรณาธิการจึงได้คัดสรร และเรียบเรียงจากบันทึกประวัติศาสตร์ ชีวประวัติของเชษฐบุรุษที่พิมพ์ในหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ศ. 2490 โดยมีนายประสิทธิ์ ลุลิตานนท์ เป็นผู้พิมพ์และโฆษณา ที่โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

พระยาพหลพลพยุหเสนากับการกู้ชาติ
ก่อนอื่นควรทราบนิสสัยใจคอตามลักษณะรูปร่างหน้าตาของพระยาพหลฯ บ้าง ตามที่ปรากฏอยู่ในประวัติของท่านผู้นี้แล้ว ตามลําดับมา พระยาพหลฯ ผู้นี้ ถ้าผู้ใดเคยเข้าใกล้ชิดถึงกับได้สนทนากันกับท่านแล้ว คงมีหลายคนออกปากว่า ท่านผู้นี้มีอาการแม้นผู้หญิง เพราะกิริยาอาการท่าทางอ่อนน่วมละมุนละไม วาจาอ่อนโยนยิ้มย่อง จังหวะของคําพูดไม่ช้าไม่เร็ว แต่มีกลเม็ดขบขันน่าฟัง ซึ่งเกิดแต่ความสุขุมรอบคอบชวนให้น่าเคารพนับถือ และน่ารักใคร่ยิ่งนัก (นายทหารชั้นผู้ใหญ่และเป็นคนสําคัญผู้หนึ่งกล่าวว่า “พระยาพหลฯ ต่อพอลืมตาขึ้นมีพิษ ประชาชนตื่นเต้นทั้งบ้านทั้งเมือง”)
ข้อนี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าพระยาพหลฯ มีนิสสัยใจคอเยือกเย็น และสุภาพเพียงไร แต่น้ําใจของท่านแข็งกล้าประดุจเหล็กเพชร ด้วย เหตุนี้และด้วยความพร้อมเพรียงของผู้รักชาติยิ่งกว่าชีวิต ซึ่งได้ร่วมคิดกันกับท่าน
เหตุการการอภิวัฒน์สยาม 2475
ครั้นวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ตรงกับวันศุกร์แรม 6 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก จุลศักราช 1294 ร.ศ. 151 เวลา 4 นาฬิกา พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงได้ออกจากบ้านพร้อมด้วยความตั้งใจยอมเสียสละชีวิตเลือดเนื้อบ้านช่องและครอบครัว ดวงจิตต์มุ่งตรงไปยังจุดสําคัญ คือชุมพลโดยมิได้มีอาการเหลียวหลังพว้าพวังสิ่งใดเลย พอได้ฤกษ์เวลา 5 นาฬิกา ก็สั่งเคลื่อนขะบวนแยกย้ายออกกระทําการตามที่ได้กําหนดไว้แล้วทุกประการ กิจจานุกิจได้ดําเนินไปโดยรวดเร็วฉับพลัน เพราะบรรดาผู้ร่วมคิดประหนึ่งกับชีวิตเดียวกันกับท่านนั้นต่างเข้าใจหน้าที่ของตนอยู่แล้วเป็นอันดีเลิศ และได้พร้อมใจกันปฏิบัติงานในหน้าที่ไปโดยปราศจากความสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงทําการอันสําคัญมหึมานี้สําเร็จลงได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
ในขณะที่กระทําการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินนี้ บรรดาเพื่อนร่วมตายของพระยาพหลฯ ได้พร้อมใจกันยกพระยาพหลฯ ขึ้นเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร จัดการรักษาความสงบราบคาบแห่งบ้านเมือง และร่วมมือกับฝ่ายพลเรือนดําเนินนโยบายให้กิจการลุล่วงเป็นสัมฤทธิ์ผลไปได้โดยสุขสันติทั้งมวล (ดังปรากฎพฤตติการณ์ประจักษ์แจ้งแก่ตาชาติมาตั้งแต่ต้นเป็นอันดับ) ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระบรมนามาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 พอรุ่งขึ้นวันที่ 28 ประชาชนพลเมืองสยามก็ชักธงไชโยให้แก่รัฐธรรมนูญสยามทั่วๆ ไป ในบ่ายวันนั้นเองสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีสมาชิก 70 นาย ที่ผู้รักษาพระนครได้ตั้งขึ้นได้เปิดประชุมเป็นปฐมวาร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โอกาสนี้แหละพระยาพหลฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดสภาผู้แทนราษฎรอย่างจับใจ ได้กล่าวถึงการกระทํา และความประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินมาโดยตลอด ในที่สุดพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก็ได้มอบหน้าที่การปกครองแผ่นดินสยามให้แก่รัฐสภาแห่งราษฎรสยามด้วยน้ำใสใจจริง และด้วยดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์แท้ที่เดียว

เชษฐบุรุษ
ณ ท่ามกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติพร้อมกันให้พระยาพหลฯ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้หนึ่ง แทนสมาชิกที่ขาดอัตราไปจาก 70 นาย ในชั้นต้นพระยาพหลฯ หายอมรับไม่ เพราะตั้งใจจะเป็นผู้ก่อให้เพื่อสานกันต่อไปเท่านั้น แต่เมื่อสมาชิกได้ให้เหตุผลอันเป็นการสมควรที่ท่านต้องรับ ท่านจึงจําเป็นต้องรับเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยผู้หนึ่ง กับประธานคณะกรรมการราษฎรได้เลือกพระยาพหลฯ เป็นสมาชิกในคณะกรรมการราษฎรด้วยอีกตําแหน่งหนึ่งในวาระเดียวกันนั้น
ต่อมาเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้จัดโครงการกระทรวงกลาโหมขึ้นใหม่แล้ว พระยาพหลฯ ก็ได้รับคําสั่งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อมา
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ได้รับตําแหน่งพิเศษเป็นกรรมการกลางกลาโหม เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 จึงได้รับตําแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นรัฐมนตรี เมื่อคราวพระยามโนฯ ทําการปิดสภาผู้แทนราษฎร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นรัฐมนตรีอีก เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476
20 มิถุนายน พ.ศ. 2476
ภายในเดือนมิถุนายน แต่ก่อนวันที่ 20 ของเดือนนั้น พ.ศ. 2476 ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการเป็นนายทหารกองหนุน มุ่งหมายจะไม่ทําการเกี่ยวข้องกับหน้าที่ราชการแต่อย่างใด แต่ถูกเหตุการบังคับให้จัดการเปลี่ยนคณะรัฐบาล เพื่อให้กลับใช้รัฐธรรมนูญโดยบริบูรณ์ จึงเชิญนายทหารซึ่งเป็นผู้บังคับกองพันมาปรึกษา ก็ได้รับคําแนะนําว่าควรจะทําการปฏิวัติอีกครั้ง การปกครองของเราจะได้เดินเข้าสู่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ และขอร้องให้เป็นผู้นําอีก
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 เวลาย่ำรุ่งได้กระทําการปฏิวัติเป็นผลสําเร็จอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้มีการนองเลือดเลย นับแต่นั้นมาการปกครองประเทศก็ดําเนินเข้าสู่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญตลอดมาจนทุกวันนี้
วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพื่อบริหารราชการแผ่นดินไปจนกว่าจะเปิดสภาฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อไป ในวันที่ 24 เดือนเดียวกันนี้ เมื่อครบกําหนด 15 วันแล้วได้กราบถวายบังคมลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะไม่สันทัดในวิชาการเมือง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ ม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นที่ปรึกษา ทั้งสภาผู้แทนราษฎรก็ได้แสดงความไว้วางใจด้วย จึงได้รับตําแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2



พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ทรงขอให้พระยาพหลพลพยุหเสนาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
อ่านเอกสารชั้นต้นเพิ่มเติมได้ที่นี่: พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 เปิดสภาผู้แทนราษฎรแล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก เพราะมีรับสั่งในลายพระราชหัตถเลขาว่า “ทรงไว้วางพระราชหฤทัย” โดยทรงรู้สึกว่าเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงต้องรับตําแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งรับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับเป็นนายกกรรมการรักษาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนอีกด้วย
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้ เป็นผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 1
วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2476 เป็นประธานกรรมการสอบสวนเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2476 ได้ลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เข้ารับตําแหน่งแทนที่ เพราะปรากฏว่าพระสารสาสน์ประพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยอยู่นั้น มีความสามารถพอที่จะว่าการกระทรวงธรรมการได้ และจะทําให้การศึกษาก้าวหน้า และทั้งประสานกิจการทางพระสาสนาให้ดําเนินสอดคล้องกันไปกับการอบรมพลเมืองได้ดีด้วย และวันเดียวกันนั้นได้ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเข้ารับหน้าที่นี้ต่อไป เพราะเป็นผู้ที่จะเข้าจัดการปกครองแบบเทศบาล ซึ่งเป็นการปกครองที่จะทําให้ประเทศรุ่งเรืองได้เร็วและทันสมัย
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 ต่อมาคงรับราชการในตําแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และประธานกรรมการศาลพิเศษ
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2477 ได้รับตําแหน่งเป็นนายกกิตติมศักดิ์ ของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 เป็นประธานคณะกรรมการคลัง
ครั้นวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2477 สภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมลงมติเห็นชอบด้วยสัญญาจํากัดยาง คณะรัฐบาลจึงลาออกทั้งคณะ ฉะนั้นจึงได้ออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ได้รักษาหน้าที่ดังกล่าวแล้วตลอดมาจนถึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่
เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2477 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับตําแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกและได้เข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงากรต่างประเทศอีกตําแหน่งหนึ่งส่วนทางราชการประจําคงเป็นผู้บัญชาการทหารบกตามเดิม ส่วนตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น เห็นว่า จอมพล แปลก พิบูลสงคราม มีวุฒิสามารถ สมควรจะดํารงตําแหน่งนั้นสืบไป
นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 พระยาพหลพลพยุหเสนา ยังคงรับราชการในตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายทหาร ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และประธานกรรมการศาลพิเศษ แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของท่านในโครงสร้างอำนาจรัฐภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ถัดมาในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2477 พระยาพหลฯ ได้รับตำแหน่งเป็นนายกกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งขึ้นตาม “หลักการศึกษา” และการมีส่วนร่วมของราษฎรในกิจการของบ้านเมือง และในวันที่ 15 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการคลัง มีบทบาทดูแลด้านการคลังของชาติในระยะต้นของระบอบใหม่
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองก็เริ่มปรากฏเด่นชัด เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2477 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติไม่เห็นชอบกับสัญญาจำกัดยาง ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีของพระยาพหลฯ ต้องลาออกทั้งคณะ ท่านจึงพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้กระนั้น ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต่อเนื่องอยู่ จนกระทั่งได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2477 พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับรับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มเติม ขณะที่ในสายงานทหาร ท่านยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเช่นเดิม ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ได้เสนอให้จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ซึ่งมีความสามารถเหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวสืบไป
ในเวลาต่อมา วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2477 พระยาพหลฯ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกหนึ่งตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ท่านได้รับในการบริหารกิจการด้านเศรษฐกิจการคลังของประเทศ
พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับพระราชทานยศเป็นนาวาเอก และนาวาอากาศเอก เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2480 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และในวันที่ 10 สิงหาคม ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
ต่อเนื่องจากนั้น วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 พระยาพหลฯ ยังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในฐานะ “บททหารทั่วไป” ซึ่งสื่อถึงการให้ท่านทำหน้าที่ในภาวะวิกฤตทางการเมืองควบคู่กับบทบาทในกองทัพ ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2480 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นจเรทหารทั่วไปอีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่มีหน้าที่ตรวจสอบและให้คำแนะนำในกิจการของกองทัพ
กระทั่งวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2481 พระยาพหลฯ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากสุขภาพไม่สมบูรณ์ แต่ยังคงรับราชการในตำแหน่งจเรทหารทั่วไปเพียงตำแหน่งเดียว และในที่สุด เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปิดฉากบทบาททางการเมืองและการทหารของท่านอย่างเป็นทางการ

พระยาพหลฯ ชมการสร้างท่าเรือกรุงเทพ

ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ และเสือสามตัว ในดุมจักร ตราประจำตัวพระยาพหลฯ
ที่มา: เอกสารพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา, (พจน์ พหลโยธิน)
ภาคผนวก: คติพจน์ในวันชาติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482

คติพจน์
ให้นําลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ
ในวันที่ระลึกแห่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
ซึ่งเป็นวันสําคัญของชาติ
ประเทศชาติความเป็นอยู่ประดุจเดียวกับมนุษย์ บุคคลใคร่จะมีชีวิตอยู่ด้วยพรสี่ประการฉันใดเหมือนกันประเทศชาติก็ต้องการฉันนั้น เหมือนกัน
1.ประเทศชาติจะมีอายุยืนนานได้ก็โดยอาศัยรัฐประสาสโนบายอย่างสุขุมคัมภีรภาพของประเทศนั้น
2. ประเทศชาติจะมีวรรณะดีงามได้ก็โดยอาศัยการทํานุบํารุงส่งเสริมให้มีความเจริญก้าวหน้า ประกอบไปด้วย ศีลธรรม และวัฒนธรรม
3. ประเทศชาติจะมีสุขได้ ก็โดยอาศัยความสงบเรียบร้อย ปราศจากภัยภายในและภายนอก
4. ประเทศชาติจะมีกําลังได้ ก็โดยอาศัยความสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนพลเมืองและมีความสามัคคีพร้อมเพรียงในการเสียสละเพื่อส่วนรวม
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้มีการตัดทอนเนื้อหาตามความเหมาะสม
อ้างอิง:
- ประวัติของ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา,พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ณ เมรุวัดเบญจมบพิตร วันที่ 17 เมษายน 2490, (ม.ป.ท. : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2490) ,หน้า ธ-พ.