ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

“คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” พระยาพหลพลพยุหเสนา ท่านผู้หญิงบุญหลง และเมืองกาญจนบุรีใหม่หลังปี 2475

19
ธันวาคม
2568

(1) ร่องรอยมรดกความทรงจำเกี่ยวกับพระยาพหลฯ ที่กาญจนบุรี 

               กาญจนบุรีนับเป็นอีกเมืองที่มีร่องรอยมรดกความทรงจำเกี่ยวกับคณะราษฎรและการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยมรดกที่เกี่ยวข้องกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำคณะราษฎรเมื่อพ.ศ. 2475 อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง[1]

               เมื่อเดินทางสู่ภาคตะวันตกไปตามถนนแสงชูโต ผ่านท่าม่วงเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี เลยวงเวียนหน้าศาลากลางจังหวัดตรงไป หรือหากใช้ถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี (M81) เข้าตัวเมืองผ่านทางถนนพัฒนาการ  จะแลเห็น “โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา” ตั้งเด่นเป็นสง่า ภายในโรงพยาบาลยังมี “อนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนา” ยืนเด่นโดยท้าทาย อยู่ที่หน้าอาคารหลักของโรงพยาบาลอีกด้วย

อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ที่นี่ทำเป็นรูปประติมากรรมสูงขนาดเท่าตัวคนจริง 1.75 เมตร แวดล้อมด้วยสวนหินขนาดย่อมตกแต่งอย่างเรียบง่าย น้ำแดง พวงมาลัย ธูปเทียน ข้าวของเซ่นสรวงบูชา ไม่ว่างเว้นตามสไตล์วัฒนธรรมไทย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ที่นี่ถือเป็นสิ่งสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ป่วยและญาติที่มารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ 

               ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี สำหรับที่อื่นอาจถือเป็น “วันวาเลนไทน์” แต่สำหรับชาวโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนานี้แล้ว ถือเป็นวันสำคัญของโรงพยาบาลและชาวเมืองกาญจนบุรี เพราะเป็น “วันอสัญกรรมของพระยาพหลฯ” (พระยาพหลฯ ป่วยหนักและเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490) จึงมีการทำบุญเลี้ยงพระในโรงพยาบาลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แด่พระยาพหลฯ

 

อนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนา ตั้งอยู่หน้าอาคารหลักของโรงพยาบาลพหลพลหยุหเสนา จ. กาญจนบุรี
ที่มา : tripniceday

 

ถัดจากอาคารหลักไปทางซ้ายมือจะพบมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีนามว่า “พระพุทธเกษรพหลภิบาล” แพทย์ พยาบาล ตลอดจนพนักงานของโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “พระหมอ” เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ทำนองเดียวกับพระโพธิสัตว์ไวโรจนะ (พระโพธิสัตว์ด้านการแพทย์) ในคติพุทธมหายาน

จากอนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ไปทางขวามือ จะพบสถานที่ถ่ายรูปชิค ๆ ชิล ๆ คูล ๆ มีป้ายระบุ “ที่นี่พหลฯ” ถึงแม้คำว่า “พหล” ในที่นั้นจะหมายถึงโรงพยาบาล แต่ก็เป็นโรงพยาบาลชื่อเดียวกับพระยาพหลพลพยุหเสนา ที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ทั้งนี้เพราะมีความทรงจำลองถ้าเป็นพระยาพหลฯ แล้ว “คนกาน” (ชาวกาญจนบุรี) ขออะไรเป็นได้หมด 

ตรงไปจากนั้นไม่ไกลกัน จะเห็น “โรงงานกระดาษ” ซึ่งสร้างสมัยพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ภายในยังมี “ศาลพระยาพหล” ที่เป็นที่เคารพของชาวเมืองกาญจนบุรี เท่าที่ผู้เขียนสังเกตมา พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นคณะราษฎรคนเดียวที่มีศาลเคารพแบบ “ศาลผีประจำถิ่น” มีน้ำแดง ธูปเทียน พวงมาลัย มิได้ขาด ชาวบ้านชาวเมืองนิยมมาบนบานศาลกล่าวอยู่ตลอด

พ้นประตูโรงงานกระดาษออกไป ยังมี “สะพานพหลพลพยุหเสนา” ตั้งอยู่ชิดติดกับกำแพงเมืองเก่ากาญจนบุรี สำหรับข้ามคลองคูเมืองกาญจนบุรี จากสะพานนี้เลาะเลียบไปตามทางถนนวัดไชยชนะชุมพล (วัดใต้) ไปวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ภายในวัดเทวสังฆาราม ยังมีโบสถ์ที่คนเฒ่าคนแก่เรียกกันอย่างลำลองว่า “โบสถ์พระยาพหล” อีกด้วย เพราะเป็นโบสถ์มีประวัติว่าสร้างโดยพระยาพหลพลพยุหเสนากับข้าราชการชาวเมืองกาญจนบุรีในสมัยโน้น

ออกนอกตัวเมืองไปทางเลาะเลียบลำน้ำแควน้อย เมื่อถึงหมู่บ้านวังปลาหมู ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี บนเทือกเขาหับหมี จะมีสถานที่ที่เรียกว่า “ถ้ำพระยาพหล” หรือ “ถ้ำพหลโยธิน” หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกสั้น ๆ กันว่า “ถ้ำพหล” (ปัจจุบันมีอีกชื่อว่า “ถ้ำพระ” กร่อนมาจาก “ถ้ำพะ (หล)” อยู่ในความดูแลของวัดพุทธกาญจนมุนี (วัดวังปลาหมู) อ.เมือง จ.กาญจนบุรี) กับอีกถ้ำซึ่งอยู่บนเทือกเขาเดียวกัน ไม่ไกลกัน ก็มีชื่อเรียกว่า “ถ้ำพหลสอง” (ที่มีคำว่า “สอง” ก็เพื่อให้จดจำว่าเป็นคนละถ้ำกับถ้ำแรกนั่นเอง) กล่าวกันว่าเป็นถ้ำที่พระยาพหลฯ นิยมมาเที่ยวชมเพราะท่านเป็นนักท่องไพร และยังว่าเคยใช้เป็นสถานที่ประชุมปรึกษาข้าราชการในบางครั้งอีกด้วย

ในบรรดาอนุสรณ์ความทรงจำอดีต สำหรับสังคมไทยที่มีความเชื่อพุทธผสมผี คงไม่มีสิ่งใดที่ยืนยันถึงความเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนที่มีต่อบุคคลสำคัญผู้ล่วงลับไปในอดีต ได้ดีไปกว่าการทำให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับกาญจนบุรีแล้ว พระยาพหลฯ ที่มีตั้งแต่อนุสาวรีย์ พระพุทธรูป ศาลผี และยังมีพิธีกรรมเกี่ยวข้องอีกด้วย ย่อมสะท้อนในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คำถามที่เกิดขึ้นและเป็นคำถามนำทางง่าย ๆ ที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษาในที่นี้ก็คือ เพราะอะไร ทำไม คนกาญจนบุรีถึงได้รักและเคารพต่อพระยาพหลฯ มากถึงเพียงนั้น???     

(2) พระยาพหลฯ ในฐานะ “ลูกเขยดีเด่นแห่งชาติ” ของชาวกาญจนบุรี 

               ปกติแล้ว ชาวเมืองใดก็ตามจะนับถือใครเป็นบรรพชนของตนได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนชาวบ้านชาวเมืองเดียวกับพวกเขา คือเป็นคนเกิดบ้านเดียวกัน แต่เราก็ทราบกันดีว่าพระยาพหลฯ เป็นชาวพระนครกทม. โดยกำเนิด เกิดที่บ้านข้างวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ไม่ได้เป็นคนกาญจนบุรี และไม่เคยรับราชการอยู่ที่กาญจนบุรีแต่อย่างใด ไม่เหมือนกรณีจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเคยรับราชการอยู่ที่ลพบุรีและพิษณุโลก ทำให้ชาวเมืองทั้งสองเคารพนับถือในภายหลังต่อมา และก็ยิ่งไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับกรณีปรีดี พนมยงค์ ที่พระนครศรีอยุธยา เพราะนั่นเป็นบ้านเกิดของท่าน

อย่างไรก็ตาม มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ทั้งสามท่าน (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ลพบุรี, ปรีดี พนมยงค์ ที่อยุธยา และพระยาพหลฯ ที่เมืองกาญจนบุรี) คือในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสามต่างก็เป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่ชาวบ้านชาวเมืองดังกล่าวนี้มาก่อนทั้งสิ้น แต่คำถามที่มีขึ้นมาอีกก็คือ เพราะเหตุใด ทำไม พระยาพหลฯ ถึงไปสร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองกาญจนบุรีจนกระทั่งติดตรึงแน่นในความทรงจำของชาวบ้านชาวเมืองสืบมาเยี่ยงนั้น   

               ในการสร้างอนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ซึ่งก็เป็นคราวเดียวกับที่สร้างโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ. เมือง จ. กาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2493 (แล้วเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อ พ.ศ. 2496) ได้มีบันทึกประกาศเกียรติคุณของพระยาพหลฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเมืองกาญจนบุรี เอาไว้ดังความต่อไปนี้ :

“พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้มาพำนักอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นประจำ ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างพระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ท่านได้พิจารณาเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ท่านมีความเห็นว่าเมืองกาญจนบุรีมีป่าไผ่มาก เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นวัสดุในการทำกระดาษ จึงได้ริเริ่มจัดตั้งโรงงานกระดาษของกรมแผนที่ กระทรวงกลาโหม ในจังหวัดกาญจนบุรี นับเป็นโรงงานกระดาษแห่งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ ก็ยังได้สำรวจพื้นที่ปลูกอ้อยเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการทำน้ำตาล 

           เนื่องจากคุณูปการที่ท่านมีต่อจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ท่านผู้หญิงบุญหลง ภริยาของท่านก็เป็นชาวกาญจนบุรี เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีของท่าน กระทรวงมหาดไทยโดยมติคณะรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ เชิญชวนข้าราชการและประชาชนให้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนก่อสร้างโรงพยาบาลและอนุสาวรีย์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาและให้ชื่อว่าโรงพยาบาลพหลพลหยุหเสนา ก่อสร้างแล้วเสร็จ กระทำพิธีเปิดและฉลองระหว่างวันที่ ๓-๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๖”[2]

               ปรากฏว่าพระยาพหลฯ อาจไม่ใช่คนกาญจนบุรีโดยกำเนิด แต่ท่านเป็นคนกาญจนบุรีผ่านทางการเป็น “เขย” คือแต่งงานกับสาวชาวเมืองกาญจนบุรีนั่นเอง เมื่อพ.ศ. 2542 กระทรวงศึกษาธิการกับกรมศิลปากรได้ร่วมมือกันจัดตั้งคณะกรรมการประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ เพื่อรวบรวมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแต่ละจังหวัด ในส่วนของจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการระบุให้พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็น “บุคคลสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี” อีกท่านหนึ่ง ก็โดยเหตุผลเดียวกันนี้ ก็คือว่าเพราะท่านเป็น “เขย” ของชาวกาญจนบุรี ดังที่คณะกรรมการดังกล่าวมีเอกสารบันทึกเอาไว้ดังนี้ :

“พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้เป็นชาวกาญจนบุรีโดยกำเนิดแต่ท่านก็มีภรรยาเป็นชาวกาญจนบุรี และได้ทำคุณประโยชน์ให้กับชาวกาญจนบุรี สมควรได้รับการเคารพยกย่องและสมควรเป็นตัวอย่างที่ดี”[3]

ก็เป็นอันเข้าใจได้ในแง่ว่า สตรีนั้นมีบทบาทอยู่ในหลายฉากหลายตอนของประวัติศาสตร์อยู่แล้ว และในส่วนนี้ก็ชัดเจนว่า พระยาพหลฯ ซึ่งไม่ใช่คนเกิดที่กาญจนบุรี แต่มีภรรยาเป็นคนชาวกาญจนบุรี ก็เป็นเงื่อนไขให้คนกาญจนบุรียอมรับนับถือพระยาพหลฯ เป็นญาติมิตรของตน ยิ่งเมื่อเป็นคนมีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงที่ส่วนกลาง ยิ่งได้การยอมรับนับถือจากคนในท้องถิ่น   

(3) ท่านผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา สตรีผู้นำพาให้ “เชษฐบุรุษ” มาหลงรักเมืองกาญจนบุรี

               เมื่อพิจารณาประวัติของท่านผู้หญิงบุญหลง พหลพลพยุหเสนา ภรรยาของพระยาพหลฯ ก็เห็นจริงตามนั้น ท่านผู้หญิงบุญหลง นามสกุลเดิม “ธนะโสภณ” เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2458 ที่ตำบลบ้านเหนือ เมืองกาญจนบุรี มณฑลราชบุรี (ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ในปัจจุบัน) เป็นบุตรคนที่ 11 ของตาเป๋ากับยายแดง ธนะโสภณ เป็นภรรยาคนที่สองของพระยาพหลฯ ภรรยาคนแรกชื่อ “พิจ” (บางแห่งเขียน “พิช” หรือ “พิชญ์”) เป็นพี่สาวของท่านผู้หญิงบุญหลง ภรรยาคนแรกไม่มีบุตรด้วยกัน ภรรยาคนที่สองมี 7 คน ทั้งภรรยาคนที่หนึ่งและคนที่สอง ต่างก็เป็นชาวกาญจนบุรี คนที่มีอิทธิพลต่อพระยาพหลฯ มาก คือท่านผู้หญิงบุญหลง     

               ท่านผู้หญิงบุญหลงเป็นคนสำคัญที่รู้เห็นและมีส่วนร่วมกับพระยาพหลฯ มาก ไม่เว้นแม้แต่เหตุการณ์สำคัญอย่างการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ดังจะเห็นได้จาก “เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕” ผลงานชิ้นสำคัญของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ซึ่งเรียบเรียงข้อมูลจากที่ได้จากการสัมภาษณ์พระยาพหลฯ ก็ได้ระบุถึงบทบาทของภรรยาคนนี้ไว้ด้วยว่า :

“ท่านหัวหน้าคณะราษฎรได้เล่าอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า ในเวลาที่ตกลงปลงใจว่าจะทำการปฏิวัติการปกครองแผ่นดินนั้น ภรรยาของท่านกำลังเริ่มตั้งครรภ์บุตรคนแรก ท่านว่าความคิดที่จะดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายแผ่นดินครั้งนี้ เป็นเรื่องระหว่างความเป็นกับความตายก้ำกึ่งกัน และว่าตามจริงในส่วนตัวเจ้าคุณพหลฯ เอง มองเห็นข้างตายมากกว่าข้างเป็น เมื่อทำความใคร่ครวญดูแล้ว ท่านจึงรู้สึกว่า แม้นมิได้บอกความคิดเรื่องนี้ให้ภรรยาได้ทราบและได้พูดจาสั่งเสียการภายหน้าแก่ภรรยาไว้บ้างแล้ว ก็จะไม่วายห่วง จริงอยู่ พระยาทรงฯ ได้เคยพูดกำชับท่านไว้ว่า อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด เว้นเสียแต่ผู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ดี เจ้าคุณพหลฯ เอง เห็นว่า ท่านควรจะถือภรรยาเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายได้คนหนึ่ง

ดังนั้น เพลาเย็นวันหนึ่ง ท่านหัวหน้าคณะราษฎรจึงได้เรียกภรรยาไปสนทนากับท่านสองต่อสอง และเผยความคิดเรื่องนี้ให้ฟัง ได้ชี้แจงแก่ภรรยาของท่านอย่างตรงไปตรงมาว่า การที่คิดจะเปลี่ยนการปกครองแผ่นดินครั้งนี้ก็มิได้แน่ใจว่าจะทำไปสำเร็จดอก มองเห็นข้างศีรษะจะหลุดจากบ่านั้นมากกว่า แต่ที่เห็นแน่ตระหนักในใจก็คือ ถ้าไม่เร่งรัดจัดเปลี่ยนระบอบการปกครองเสียแต่ในเวลานี้แล้ว ต่อไปภายหน้าบ้านเมืองก็คงจะประสบความหายนะถึงล่มจมลงไปเป็นแน่ เพราะฉะนั้น จึงรู้สึกเป็นความจำเป็นที่จะต้องนำชีวิตเข้าเสี่ยงภัย ที่ว่ารู้สึกเป็นความจำเป็นนั้นอาศัยเหตุว่า บิดาของท่านเคยเป็นนายทหารผู้ใหญ่ก็ข้อหนึ่ง และตัวท่านเองก็เป็นนายทหารผู้ใหญ่ ซึ่งได้รับความอุดหนุนของบ้านเมืองให้ออกไปศึกษาวิชาการในต่างประเทศ ก็จำต้องคิดถึงบุญคุณของบ้านเมืองอีกข้อหนึ่ง เมื่อเห็นภัยจะมีมาสู่ประเทศของตน จะนิ่งนอนใจอยู่มิได้ จำต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบพลีชีพออกเสี่ยงภัย เพื่อกู้บ้านเมืองไว้ตามสติปัญญาที่จะทำได้ ดังนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จำต้องทำ

ภรรยาของท่านหัวหน้าคณะราษฎรได้ฟังสามีชี้แจงเหตุผลประกอบความตกลงปลงใจดังนั้นแล้ว ก็มีความเห็นชอบด้วยทุกประการ นอกจากจะมิได้ทำการขัดขวางแต่อย่างใดแล้ว ยังได้ให้ความสนับสนุนในทางกำลังใจอย่างเต็มที่”[4]

 

ครอบครัวพหลพลพยุหเสนา
ที่มา:พระยาพหลฯ เชษฐบุรุษ นายกรัฐมนตรี 5 สมัย   

 

ในส่วนที่เกี่ยวกับเมืองกาญจนบุรี จากบทสัมภาษณ์ที่คุณหญิงบุญหลง ได้เคยให้ไว้แก่คณะหนังสือพิมพ์ “สารพัดหมอ ฉบับเพื่อนชีวิต” ปีที่ 2 ฉบับที่ 3-4 (ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน 2527) ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า : 

               “ฉันโตมาในกองทหาร เป็นเด็กเมืองกาญจนบุรี และพบท่านเจ้าคุณ (พระยาพหลฯ-ผู้อ้าง) ที่นั่น เมื่อแต่งงานแล้วก็อยู่กับท่านเจ้าคุณในกองทหารมาตลอด อยู่กองทหารนี่ดีฉันชอบ เขาปลูกฝังให้มีความกล้า มีระเบียบวินัย นิสัยฉันเลยติดออกจะเป็นผู้ชายสักหน่อย[5]

               นอกจากเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่คนทั้งสองได้พบกันแล้ว วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ซึ่งต่อมาภายหลังพระยาพหลฯ จะมาสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้นั้น ร่องรอยหลักฐานอีกแห่งที่อยู่ในรูปบันทึกของบุตร-ธิดา ได้เล่าถึงมารดา (คือท่านผู้หญิงบุญหลง) ก็ได้ระบุถึงความผูกพันที่ท่านมีต่อวัดเทวสังฆารามดังนี้ :

               “ในสมัยเด็ก ท่านเคยไปสวดมนต์ที่วัดเทวสังฆารามกับญาติผู้ใหญ่ และได้เป็นผู้นำในการสวดมนต์ เป็นสิ่งที่ติดตาตรึงใจมิรู้ลืม เป็นความภาคภูมิใจในพระศาสนาเป็นครั้งแรกที่ท่านชอบเล่าถึง”[6]

วัดเทวสังฆารามมีโบสถ์ 2 แห่ง แห่งแรกเป็นโบสถ์เก่าแก่ของวัด มีอายุย้อนหลังกลับไปจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 เก่าแก่พอ ๆ กับเมืองกาญจนบุรีที่บริเวณปากแพรกเลยทีเดียว แต่เป็นโบสถ์เล็ก ไม่เหมาะใช้งานในการสวดมนต์ทำวัตรประจำวัน อีกโบสถ์หนึ่งเป็นโบสถ์ใหญ่ สร้างโดยพระยาพหลฯ กับข้าราชการและคหบดีชาวเมืองกาญจนบุรี โบสถ์นี้ดูเผิน ๆ ก็เหมือนโบสถ์ทั่วไป แต่ที่พิเศษกว่าที่ใด ก็คือหน้าบัน แกนกลางเป็นรูปสมอเรือ มีตัวอักษรระบุข้างใต้ว่า “สร้างโดยทุนคณะราษฎร์ พร้อมด้วยเจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี และประชาชนพลเมือง ที่มีใจศรัทธา” แถวล่างสุดมีศักราชระบุถึงปีสร้างแล้วเสร็จคือ “พ.ศ.๒๔๘๑”[7] ใครอยากเห็นอยากศึกษาว่าโบสถ์ที่สร้างสมัยคณะราษฎรก็สามารถไปเยี่ยมชมที่นี่ได้   

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากที่เป็นเมืองของญาติพี่น้องฝั่งภรรยาแล้ว กาญจนบุรียังเป็นหัวเมืองสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่าน เพราะเป็นเมืองมากด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งคณะราษฎรเองเล็งก็เห็นความสำคัญอยู่ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะพระยาพหลฯ เพียงแต่การที่พระยาพหลฯ มีสถานะเป็น “ลูกเขย” ของชาวกาญจนบุรี ทำให้เกิดความสนิทชิดเชื้อกันตามประสาวัฒนธรรมสังคมไทย ๆ

(4) กาญจนบุรีก่อน 2475 

               กาญจนบุรีเป็นเมืองที่ปรากฏความสำคัญในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีฐานะเป็น “หัวเมืองหน้าด่าน” หรือ “เมืองท่าหน้าด่าน” ความสำคัญที่ว่านี้มีทั้งมิติด้านการเมืองการปกครอง การค้า การศึกสงคราม ฯลฯ แต่ไม่ใช่ในฐานะหัวเมืองชายแดน เพราะสมัยอยุธยา กาญจนบุรียังไม่ใช่เมืองปลายแดนสุดเขตทางทิศตะวันตกอย่างทุกวันนี้ สมัยโน้นถัดจากกาญจนบุรีไปยังมีเมืองมะริดกับเมืองทวาย แต่แม้ไม่ใช่หัวเมืองปลายแดนสุด กาญจนบุรีก็เป็นเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของหัวเมืองในภูมิภาค[8]

               เดิมเมืองกาญจนบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า เชิงเขาชนไก่ และลำน้ำห้วยลำตะเพิน แต่เนื่องจากได้รับความเสียหายจากสงครามรบกับพม่าสมัยศึกพระเจ้าปดุง (สงคราม 9 ทัพ) ในช่วงรัชกาลที่ 1 มาก ทำให้ผู้คนย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยและทำมาค้าขายอยู่บริเวณตอนใต้ช่วงตำบลปากแพรก จุดบรรจบกันระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแม่น้ำแควใหญ่ (เกิดเป็นแม่น้ำแม่กลองไหลลงสู่ราชบุรีและสมุทรสงคราม ตามลำดับ) จนกระทั่งตกถึงสมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้ทรงมีพระราชโองการให้จัดตั้งบริเวณปากแพรกเป็นเมืองกาญจนบุรีใหม่ บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของเมืองมาจนทุกวันนี้ 

               สถานะของการเป็น “หัวเมืองศูนย์กลางปลายแดน” เชื่อมต่อประสานระหว่างส่วนกลางกับหัวเมืองรายล้อม ทำให้เจ้าเมืองและชนชั้นนำท้องถิ่นมีอำนาจจัดการภายในเป็นอิสระของตนเองเรื่อยมา หัวเมืองแบบนี้สมัยอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์มีอยู่รอบทิศ ทิศเหนือคือเมืองพิษณุโลก ทิศใต้คือนครศรีธรรมราช ภาคอีสานคือเมืองนครราชสีมา ภาคตะวันออกคือเมืองปราจีนบุรีกับจันทบุรี เป็นต้น[9]

               แต่เมื่อถึงยุคปฏิรูปมณฑลเทศาภิบาลรัชกาลที่ 5 อำนาจอิสระ (Autonomous) ที่เคยมีของเจ้าเมืองและชนชั้นนำท้องถิ่นถูกทำให้เสื่อมสลายไป แทนที่โดยอำนาจรัฐส่วนกลางตามอย่างที่เรียกว่า “สมบูรณาญาสิทธิราช” (Absolute monarchy) สมัยนั้นกาญจนบุรีถูกนำไปรวมอยู่ใน “มณฑลราชบุรี” มณฑลนี้ประกอบด้วย ราชบุรี, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ และกาญจนบุรี[10]

               สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ถึงแม้กาญจนบุรีจะเป็นหมุดหมายของการเดินทางเสด็จประพาสของชนชั้นนำอยู่หลายครั้งด้วยกัน แต่นั่นเป็นเพียงการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ได้นำพาการพัฒนามาให้แก่ชาวเมือง การพัฒนาเมืองกาญจนบุรีเกิดขึ้นอย่างจริงจังก็ในสมัยหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว โดยมีพระยาพหลฯ เป็นผู้นำในเรื่องนี้

สภาพของเมืองกาญจนบุรีก่อนหน้าการอภิวัฒน์เป็นอย่างไร รวมถึงประเด็นที่เป็นความคาดหวังของข้าราชการท้องถิ่นที่มีต่อการปกครองระบอบใหม่ ก็ดังที่ปรากฏในเอกสารรายงานของหลวงอัศวินศิริวิลาศ คณะกรรมการจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีไปถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2483[11] ระบุไว้ดังความต่อไปนี้ : 

               “ด้วยท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี มีอาณาเขตต์ กว้างขวางมากกว่าในบางจังหวัด นอกจากนี้ยังมีอาณาเขตต์ ติดต่อกับประเทศพ ม่าของอังกฤษอีกด้วย คือ อำเภอสังขละบุรี กิ่งอำเภอทองผาภูมิ และกิ่งอำเภอไทรโยค ทั้งภูมิประเทศเป็นท้องที่กันดารกอป ด้วยป่าดงพงเขามีความไข้เจ็บชุกชุม ทั้งนี้ในท้องที่กิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน ท้องที่อำเภอและกิ่งอำเภอดังกล่าวนี้ทางการมีนโยบายจะบำรุงส่งเสริมให้บังเกิดความเจริญเช่นท้องที่แห่งอื่น ๆ พร้อมทั้งจะปรับปรุงสมรรถภาพของข้าราชการให้ดีกว่าแต่เดิมอีกด้วย เพราะท้องที่อำเภอและกิ่งอำเภอเหล่านี้เช่นกิ่งอำเภอทองผาภูมิมีแร่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นวัตถุสำคัญอันมีค่า มีชนต่างชาติได้เข้ามาลอบลักขุดขนเอาไปเป็นจำนวนมาก จนถึงกับทางราชการกระทรวงเกษตราธิการได้ไปตั้งหน่วยรับซื้อแร่เสียเอง

ทั้งนี้นับว่าเป็นท้องที่ซึ่งมีประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก เมื่อมาพิจารณาถึงผู้ที่บริหารราชการในท้องที่อำเภอและกิ่งอำเภอนี้ซึ่งต้องประจำรับราชการในท้องที่กันดาร การคมนาคมไม่สะดวก นับว่าต้องผจญกับความลำบากหลายประการผิดกว่าข้าราชการท้องที่อื่น ๆ ในจังหวัดเดียวกัน ในส่วนที่เกี่ยวกับความป่วยไข้นั้นแม้จะได้ระมัดระวังรักษาตัวอย่างใดก็ดี ก็ไม่พ้นที่จะต้องป่วยไข้ไม่เว้นแต่ละเดือน ๓ วันดี ๔ วันไข้ ทำให้ร่างกายทรุดโทรมบางคนต้องเป็นคนทุพพลภาพหรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็มี เพราะดินฟ้าอากาศวิปริตผันแปรไม่แน่นอน ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภคทุกอย่างต้องซื้อหาด้วยราคาแพงมาก เพราะเป็นที่กันดารไม่มีตลาดและร้านชำ การขนส่งลำบากกว่าจะนำของไปแต่ละคราวก็ต้องเสียเวลานานและสิ้นเปลืองค่าขนส่งมาก นอกจากนี้ข้าราชการจะต้องประจำรับราชการอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีกำหนดว่าจะได้ย้ายเมื่อใด

จึงทำให้เสียกำลังน้ำใจและไม่เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้น เพราะภูมิประเทศอันเป็นสิ่งแวดล้อมเป็นป่าดงพงเขาห่างไกลต่อความเจริญ ราษฎรโดยมากเป็นชาวป่าดง มีการครองชีพแต่เพียงพอมีกินมีใช้ไปชั่ววันหนึ่ง ๆ ไม่คิดขวนขวายหาความเจริญต่อไปในภายหน้า ข้าราชการที่ทางการราชการส่งไปประจำรับราชการที่แล้วโดยมากเป็นผู้ที่หย่อนสมรรถภาพหรือเป็นผู้ที่จวนจะถูกปลดออกจากราชการ หรือบางคนก็มีความผิดซึ่งยังไม่สมควรจะให้ออกจากราชการ ทางการก็ส่งไปให้รับราชการในท้องที่อำเภอและกิ่งอำเภอเหล่านี้เพื่อทำการแก้ตัวบ้าง โดยมากก็เป็นผู้ที่ไม่คิดหวังดีต่อราชการ เมื่อต้องไปอยู่ในท้องที่กันดารห่างหูไกลตาผู้บังคับบัญชาแล้ว แทนที่จะประพฤติตนให้ดีกลับเลวลงก็มี ทั้งนี้ย่อมทำความหนักใจให้แก่ข้าหลวงประจำจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้ารับผิดชอบราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาค

           เวลานี้ ก็เป็นโอกาสอันควรที่จะได้พิจารณาปรับปรุงสภาพของข้าราชการในท้องที่อำเภอสังขละบุรี กิ่งอำเภอทองผาภูมิ กิ่งอำเภอไทรโยค และกิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ ให้เป็นการเหมาะสมแก่กาลสมัย”

ตารางเปรียบเทียบจำนวนประชากรกาญจนบุรี ก่อนและหลัง 2475[12]

ก่อน 2475
พ.ศ.มีประชากร
2420ราว 10,000 คน
2441ราว 26,580 คน
2451ราว 35,700 คน
2468ราว 45,000 คน

หลัง 2475

(ทราบตัวเลขได้แน่ชัด เพราะมีการทำสำมะโนประชากรแล้ว)

พ.ศ.มีประชากร
2480114,335 คน
2490144,812 คน

(5) กาญจนบุรีหลัง 2475 

               จาก “แดนเถื่อน” “แดนลงทัณฑ์” หรือ “หัวเมืองเนรเทศ” สำหรับลงโทษข้าราชการที่ประพฤติผิดในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช กาญจนบุรีพบจุดเปลี่ยนมาเป็น “เมืองอุตสาหกรรมใหม่” ภายหลังจากที่มีการสร้าง “โรงงานกระดาษไทย” ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2476 แล้วเสร็จและเปิดเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2481 โดยได้มีการใช้งานบางส่วนเดินเครื่องกลไกและผลิตกระดาษมาตั้งแต่ พ.ศ. 2477 

               โรงงานกระดาษไทยที่เมืองกาญจนบุรีนับเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานจำนวนมาก จึงเกิดการย้ายถิ่นฐานจากเมืองข้างเคียงเข้ามาอยู่เมืองกาญจนบุรีมากขึ้นแบบเท่าทวีคูณ (ดูตัวเลขประชากรตามตารางเปรียบเทียบ) คนกาญจนบุรีรุ่นปัจจุบันนี้จำนวนไม่น้อยสืบเชื้อสายหรือมีเทือกเถาเหล่ากอมาจากแรงงานอพยพที่เข้ามาทำงานกับโรงงานกระดาษสมัยนี้

เมื่อมีพลเมืองมากขึ้น ก็ย่อมต้องมีสถานศึกษาเพื่อรองรับ จึงนำไปสู่การสร้างโรงเรียนให้แก่บุตรหลานชาวโรงงานกระดาษ ตั้งอยู่ฝั่งถนนตรงข้ามกับโรงงาน ปัจจุบันโรงเรียนนี้มีชื่อว่า “โรงเรียนเทศบาล 5 (กระดาษไทยอนุเคราะห์)” บริเวณรอบ ๆ โรงงานกระดาษนอกจากเป็นย่านตลาดการค้า ที่อยู่อาศัย สถานที่ราชการ แล้วจึงเป็นแหล่งสถานศึกษาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองกาญจนบุรีไปด้วย

จากหัวเมืองล้าหลังไกลความเจริญ ก็เกิดกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีการจ้างงาน และเมื่อมีโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ การค้าขายในละแวกย่านก็กระเตื้องขึ้น เศรษฐกิจในภาพรวมของเมืองก็คึกคักตามมา ดังที่นายดาบยู่เกียง ทองลงยา ผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2477 ดังความต่อไปนี้ : 

               “เวลานี้บริษัททำกระดาษกำลังตั้งรูปโครงที่จะก่อสร้างโรงงานซึ่งคาดว่าคงจะเดินเครื่องแล้วเสร็จได้ภายใน พ.ศ. ๒๔๗๙ โรงงานอุตสาหกรรมนี้จะใช้พรรณไม้ต่าง ๆ ในบริเวณป่าของจังหวัดกาญจนบุรีทำเป็นกระดาษ เป็นการช่วยอาชีพของพลเมืองให้มีงานทำขึ้นอีกเป็นอันมาก บริเวณป่าไม้อันกว้างขวางในพื้นจังหวัดกาญจนบุรีนี้ แม้ทางฝ่ายรัฐบาลจะได้คิดทำประโยชน์ก็จะทำได้โดยไม่ยากนัก”[13]

               ที่สำคัญ การสร้างโรงงานกระดาษไทยนี้เห็นได้ชัดว่า คณะราษฎรเห็นความสำคัญของสื่อการศึกษาอย่างหนังสือ เพราะเมื่อไทยมีโรงงานสำหรับผลิตกระดาษของตนเองแล้ว ก็เป็นเหตุให้เกิดการส่งเสริมแพร่หลายของการผลิตหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ต่อไป ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการพิมพ์หนังสือจะเข้ามาในสังคมไทยสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยผู้นำเข้าคือ “หมอบรัดเลย์” แต่ทว่าก็เป็นเวลานานนับร้อยปีที่ประเทศสยามจะต้องนำเข้ากระดาษจากต่างประเทศ แต่ตรงนี้ได้รับการแก้ไขปรับปรุงเมื่อมีการสร้างโรงงานกระดาษไทยในสังกัดกรมแผนที่ขึ้นที่เมืองกาญจนบุรี

 

โรงงานกระดาษไทย” เปิดเป็นทางการเมื่อพ.ศ. 2481
ที่มา : kanchanaburi.center

 

นอกจากนี้ ในด้านศิลปกรรม นอกจากการสร้างโบสถ์วัดเทวสังฆารามที่ตำบลบ้านเหนือ บ้านเกิดของท่านผู้หญิงบุญหลงแล้ว สมัยพระยาพหลฯ ยังมีความเคลื่อนไหวทางศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ภายหลังจากที่เดินทางกลับจากการเยี่ยมชมปราสาทเมืองสิงห์แล้ว ก็ได้มีการจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2477 (กรมศิลปากรกับกรมช่างสิบหมู่และกรมราชบัณฑิตเป็นคนละหน่วยงานกัน ข้อเท็จจริงก็คือ “กรมศิลปากร” ในฐานะหน่วยงานทำนุบำรุงรักษาโบราณสถานและศิลปวัตถุสำคัญของชาติ เพิ่งจัดตั้งในสมัยพระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรี) 

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า เมืองกาญจนบุรีเดิมตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า ย้ายมาเป็นตัวเมืองบริเวณที่เป็นอำเภอเมืองในรุ่นปัจจุบันอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 3 ระหว่างนั้นเมืองกาญจนบุรีเก่าที่ตำบลลาดหญ้าถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่มีชุมชนอยู่อาศัย ในสมัยเมื่อ พ.ศ. 2477 ก็ได้มีการสร้างวัดกาญจนบุรีเก่าหรือวัดนางพิมขึ้นในย่าน รวมถึงมีการสำรวจและขึ้นทะเบียนวัดร้างในเมืองกาญจนบุรีเก่าเป็น “โบราณสถานสำคัญของชาติ” ก็ในสมัยนี้

วัดร้างเหล่านี้ก็เช่น วัดป่าเลย์ไลยก์, วัดขุนแผน, วัดแม่หม้ายเหนือ, วัดแม่หม้ายใต้, ป้อมเมืองกาญจนบุรีเก่า (เหลือซากเพียง 2 แห่ง), เจดีย์ร้างบนยอดเขาชนไก่ (ภายหลังถูกให้ความหมายว่าเป็นเจดีย์อนุสรณ์สงคราม 9 ทัพ สร้างโดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แต่ที่จริงเป็นเจดีย์เก่าอันเป็นส่วนหนึ่งเมืองกาญจนบุรีเก่า เพราะเขาชนไก่เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองกาญจนบุรีเก่านั่นเอง)[14]

ถึงแม้จะเป็นความเคลื่อนไหวโดยพระครูจวน วัดหนองบัว เป็นผู้นำหลัก แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพระยาพหลฯ แถมคหบดีซึ่งเป็นเครือญาติก็ให้การสนับสนุนการฟื้นฟูเมืองกาญจนบุรีเก่าขึ้นมาด้วย ใน พ.ศ. 2477 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์แบบสร้างวัดใหม่ขึ้นบนที่วัดร้างเก่า คือ “วัดนางพิม” หรือ “วัดกาญจนบุรีเก่า” โบสถ์ เจดีย์ และใบสีมา ที่นี่ (นอกจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ) แล้ว ช่วยให้ผู้เขียนสามารถนำเอาไปศึกษากำหนดอายุรูปแบบศิลปกรรมของยุคหลัง 2475 ได้เป็นอันมาก

บางแห่งเนื่องจากฝีมือช่างท้องถิ่นยังชำนาญงานช่างแบบโบราณ ก็มักจะสร้างทำของที่แลดูคล้ายของโบราณ หากปราศจากตัวอักษรและเลขศักราชกำกับไว้เป็นหลักฐานมั่นคง พิจารณาเพียงรูปแบบศิลปกรรม ก็อาจเข้าใจกำหนดอายุได้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้ว่าเป็นของเก่าสมัยอยุธยา แต่กรณีของวัดนางพิม เมืองกาญจนบุรีเก่า ถึงแม้เจดีย์ประธานจะเป็นแบบทรงระฆังแปดเหลี่ยม ก็มีหลักฐานลายลักษณ์บอกว่าเป็นของเพิ่งทำโดยการสร้างเจดีย์ใหม่ทับลงบนซากฐานเจดีย์เก่า และใบสีมาถึงจะเป็นวัสดุหินทรายแดงและลวดลายก็ตามอย่างช่างกรุงเก่า แต่มีเลขศักราชกำกับไว้ที่สีมาเอกหน้าโบสถ์ถึง พ.ศ. ที่สร้าง คือ พ.ศ. 2477 (สมัยพระยาพหลฯ)     

เนื่องจากว่ากลุ่มพระครูจวนกับคหบดีชาวกาญจนบุรี ต่างมีความชื่นชอบและประทับใจในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยที่ไม่รู้ชื่อเดิมของสถานที่ จึงได้นำเอาชื่อสถานที่ในวรรณกรรมเรื่องนี้มากำหนดเป็นชื่อสถานที่ อาทิ วัดป่าเลย์ไลยก์, วัดขุนแผน, เขาชนไก่ (ลานชนไก่ของขุนแผน), วัดนางพิม, ชุมชนบ้านนางพิมพิลาไลย์ ฯลฯ ขนบการให้ชื่อโบราณสถานเช่นนี้เป็นขนบเก่าที่อื่นก็พบ เช่น เมืองสุพรรณบุรีก็มีการใช้ชื่อโบราณสถานตามวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน หรืออย่างเมืองพิจิตรเก่า ก็มีใช้ชื่อตามวรรณกรรมเรื่องไกรทอง เป็นต้น   

(6) “กาญจนบุรี” อีกหนึ่ง “เมืองทดลอง” และปลูกฝังระบอบใหม่ 

               กาญจนบุรีอาจจะเคยเป็นหมุดหมายการเดินทางของชนชั้นนำมาก่อน แต่ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวและตรวจราชการเป็นหลัก แต่พระยาพหลฯ พยายามสร้างวัฒนธรรมใหม่ ไม่ให้ข้าราชการในพื้นที่เข้าใจผิดไปว่าตนจะมาจับผิดเหมือนเช่นเจ้านายในอดีต

จากจุดนี้ทำให้กาญจนบุรีสมัยนั้นยังมีอีกสถานะ นอกจากเป็น “เมืองของพ่อตา-แม่ยาย” (ของพระยาพหลฯ) ก็คือการเป็นเมืองสำหรับทดลองและปลูกฝังการเมืองการปกครองระบอบใหม่ เช่นเดียวกับพระนครศรีอยุธยายุคปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และลพบุรียุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องปิดบังอำพรางวัตถุประสงค์แต่อย่างใด ตรงข้ามเป็นเรื่องที่พระยาพหลฯ ผู้ซึ่งบอกว่าตนเองเป็นคนตรงไปตรงมานั้น ก็ได้บอกกล่าวแก่ข้าราชการชาวเมืองกาญจนบุรีอย่างเปิดเผยด้วย ดังจะเห็นได้จาก “โอวาทแก่ข้าราชการและชาวจังหวัดกาญจนบุรี”[14] พระยาพหลฯ แสดง ณ โรงงานกระดาษไทย จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2478 ดังเนื้อความต่อไปนี้ : 

 โอวาทแก่ข้าราชการและชาวจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ๒๔๗๘

           เรื่องที่ข้าพเจ้าใคร่พูดต่อท่านมีดังนี้ คือ ๑. ความสามัคคี ๒. การประสานงานตามหน้าที่ราชการต่าง ๆ และ ๓. การปฏิบัติงานตามหน้าที่เพื่อความก้าวหน้า 

           ในเรื่องความสามัคคี ข้าพเจ้าเห็นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะกิจการใดไม่ว่าราชการหรือส่วนตัว หากขาดความสามัคคีแล้ว กิจการนั้น ๆ ก็ยากจะสำเร็จไปได้ แต่หากผู้ปฏิบัติงานมีความรักใคร่สามัคคีปรองดองซึ่งกันและกัน กิจการนั้นก็ย่อมจักสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งผู้ผิดคิดมิชอบก็ยากที่จะปลุกปั่นเราเพื่อสำเร็จผลของเขา อันโน้มไปในทางทุจริตนั้น ๆ ได้ งานนั้น ๆ ก็จะไม่เสียหรือมีความเข้าใจผิดคิดเขวไป ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความสามัคคีนั้นแหละสำคัญ

           ทีนี้พูดเรื่องการประสานงาน เรื่องนี้ก็ต้องเนื่องมาจากความสามัคคีก่อน เมื่อข้าราชการทุกแผนกมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวเป็นกันเอง เช่นเมื่อฝ่ายหนึ่งหรือแผนกหนึ่งคิดจะกระทำงานใด ๆ ขึ้นเพื่อความก้าวหน้า ถ้าต่างฝ่ายไม่คิดเป็นอริกัน ก็ย่อมหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกัน เพื่อช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เมื่อมีหลายความคิดหลายความเห็นเช่นนี้ ผลของงานก็ย่อมดำเนินและสำเร็จไปโดยสะดวกสบายทุกประการ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถ้าจะคิดทำกิจการใด ๆ ถ้าได้ปรึกษาหารือกันเสียขั้นหนึ่งก่อนแล้ว ก็จะได้รับความสะดวกในทางปฏิบัติเป็นอันมาก ไม่เสียเวลาในการแย้งและโต้ตอบกันไปมา 

           ส่วนการปฏิบัติงานตามหน้าที่นั้นเล่าขอท่านอย่าได้มัวหวาดกลัวต่อผู้ใหญ่อยู่เลย เรามีหน้าที่จะต้องกระทำ ต้องปฏิบัติอย่างใด ก็กระทำไปในทางที่ถูกและตั้งใจดี มุ่งแต่งานมีเข็ม[15] ไปในทางสุจริต ใครเล่าจะมาตำหนิหรือลงโทษ เช่น ข้าพเจ้าเมื่อมาพักผ่อนในคราวนี้ ขออย่าได้เข้าใจไปว่า ข้าพเจ้าจะคอยมาจับผิดท่าน ขออย่าคิดเช่นนั้นเลย จะมีประโยชน์อันใดที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนั้น ถ้าพวกท่านทุกคนพากันคิดเช่นนี้แล้ว ราชการจะเจริญขึ้นได้อย่างไร เพราะท่านมัวหวาดกลัวเกรงจะผิดจะพลาด ไม่กล้าจับงานที่จะต้องรับผิดชอบ เลยไม่กล้าออกความคิดเห็น คอยดำเนินงานตามความเห็นของผู้ใหญ่อยู่เสมอไป ผู้ใหญ่จะเอาสมองมาคิดที่ไหนหวาดไหว ท่านต้องกล้าคิด ต้องกล้าทำด้วยด้วยตนเอง ผิดเป็นผิด ถ้าผิดนั่นแหล่ะเป็นครูละ ถ้าไม่ทำ แล้วทำไมจึงจะรู้ว่าผิดหรือถูกเล่า ต้องทำซิ ถึงจะรู้ ถ้าทำผิด แต่ว่าถ้ามีความปรารถนาดีแล้ว ผู้ใหญ่จะมาทำไม ใครบ้างทำงานไม่มีผิดพลาด ถ้าผิดพลาดโดยความตั้งใจดีแล้ว หน้าที่ของผู้ใหญ่ก็จะต้องติต้องสอน อย่าคิดว่าเป็นความเสียหาย นั่นคือผู้ใหญ่ต้องการให้งานนั้นเจริญ ผู้กระทำจะได้มีสติคิดให้ดียิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะมีใครในบรรดาท่านที่มาหรือไม่ได้มา ณ ที่นี้ ก็ดี คงจะมีความคิดความเห็นดั่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วบ้างเป็นแน่

           ข้าพเจ้าเป็นคนตรง จึงชอบพูดกันตรง ๆ ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก ตามหน้าที่ราชการ ซึ่งต้องว่ากันไปตามเรื่อง พอนอกเวลาแล้ว ทางส่วนตัวก็คงเป็นไปตามปกติเช่นเคย ไม่ผิดแปลกไปอย่างใด     

 

ภาพอนุสาวรีย์ พระยาพหลฯ ที่โรงงานกระดาษ จ.กาญจนบุรี
ที่มา : ประชาไท

 

(7) บทสรุปและส่งท้าย 

               ในบทปาฐกถาเมื่อ พ.ศ. 2515 ที่ปรับปรุงมาเป็นหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อ “จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม” ปรีดี พนมยงค์ ได้ชี้ให้เห็นว่า พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างถูกต้องตามระบอบใหม่ และเป็นผู้วางรากฐานสำคัญแก่การปกครองระบอบใหม่ : 

               “จริงอยู่ที่มีปรากฏการณ์ว่า นายทหารส่วนหนึ่งในคณะราษฎรได้ใช้อำนาจทหารเป็นกำลังให้นายทหารนั้น ๆ เป็นใหญ่ในรัฐบาล แล้วปกครองราษฎรตามระบอบเผด็จการทหาร แต่ตามจริงนั้นสมาชิกคณะราษฎรที่เป็นทหารยังมีอีกหลายคนที่ซื่อสัตย์ต่ออุดมคติประชาธิปไตยของราษฎร อาทิ พระยาพหลพลพยุหเสนา ที่ในระหว่างเป็นผู้บัญชาการทหารบกก็ดี เป็นนายกรัฐมนตรีก็ดี ไม่เคยกระทำการใดขัดต่อระบอบประชาธิปไตย และไม่เกาะแน่นในการครองตำแหน่งนั้น ๆ คือเมื่อถึงกำหนดออกตามวาระในรัฐธรรมนูญ ก็ลาออกโดยดุษณียภาพ”[15]

               อีกแห่งหนึ่ง ปรีดีก็ได้ระบุไว้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เช่นว่า เมื่อ “พันเอกพระยาพหลฯ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพระยามโนปกรณ์ฯ ได้ดำเนินกิจการบ้านเมืองตามระบอบประชาธิปไตยทุกประการ[16]

เมื่อการเมืองไทยในช่วงหลังมานี้ถอยห่างจากภาวะปกติ ไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ที่คณะราษฎรพยายามสร้างสรรค์ขึ้น อดีตผู้นำแบบพระยาพหลฯ ซึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญในยุคสมัยของท่าน ก็จึงได้สลับกลับกลายมาเป็น “บุคคลในอุดมคติ” (คนละความหมายกับเป็นคนดี) และแน่นอนว่า ผู้นำที่เข้าสู่อำนาจอย่างถูกต้องตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย โดยที่เมื่อถึงเวลาก็สามารถจากไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะเงียบ ๆ ของตนเอง ย่อมได้รับการยกย่องเป็นธรรมดา

การสร้างโรงงานกระดาษไทยขึ้นที่เมืองกาญจนบุรีนับเป็นสิ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านของพระยาพหลฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะการพิมพ์หนังสือนับว่าเป็นเครื่องส่งเสริมสติปัญญาของราษฎร และนั่นย่อมส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองต่อไป แต่เรามักไม่ค่อยมองเห็นบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะทั้งเมื่อมองพระยาพหลฯ และคณะราษฎรท่านอื่น ๆ

นอกเหนือจากเพราะเป็น “เขยเมืองกาญจน์” แล้ว การที่พระยาพหลฯ ให้ความสำคัญแก่เมืองนี้ยังเป็นเพราะศักยภาพของเมืองกาญจนบุรีเองด้วย ที่บุคคลสำคัญอย่างพระยาพหลฯ กับคณะราษฎรต่างเล็งเห็น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชนั้น เมืองกาญจนบุรีถูกละเลย ตกอยู่ในสภาพเป็น “แดนเนรเทศ” หรือ “แดนลงทัณฑ์” แก่ข้าราชการที่ประพฤติผิด เพราะถือเป็นถิ่นทุรกันดาร ถึงจะเคยมีการเสด็จพระราชดำเนินเที่ยวประพาสเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้นำพาการพัฒนาอย่างใดมาให้ จนกระทั่งหลัง 2475 จึงเกิดการพัฒนาครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งโรงงานกระดาษไทยขึ้นที่ตัวเมือง   

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่านผู้หญิงบุญหลง จะปรากฏบทบาทเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระยาพหลฯ มาโดยตลอด ทั้งที่กรุงเทพฯ และเมืองกาญจนบุรี ทั้งในเหตุการณ์การอภิวัฒน์ 2475 จนถึงการสร้างโรงงานกระดาษไทย ฯลฯ แต่อนิจจาเมื่อต้องสร้างอนุสรณ์ความทรงจำเพื่อได้รับการจดจำรำลึกในหมู่ชนรุ่นหลัง แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีอนุสาวรีย์ของท่านผู้หญิง อยู่ที่ใดในเมืองกาญจนบุรี พระยาหลฯ เลยยังคงยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวเอกาอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลที่มีชื่อเดียวกับท่าน จนถึงทุกวันนี้

เดิมทีผู้เขียนไม่คิดจะเขียนถ่ายทอดเรื่องราวอะไรแบบนี้ เพราะในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่เรื่องราวยุคสมัยคณะราษฎรถูกกีดกัน มรดกบางอย่างถูกบิดเบือน และพยายามลบล้างทำลาย จึงไม่อยากเขียนอะไรที่อาจนำไปสู่การ “ชี้เป้า” แต่เมื่อพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว ก็กลับเห็นความจำเป็นที่จะต้องถ่ายทอดเรื่องราวและมรดกเหล่านั้นมากกว่าช่วยปิดบังอำพรางซึ่งเป็นการช่วยลบล้างทำลายโดยอ้อม อีกทั้งสิ่งสำคัญที่สุดในกรณีแบบนี้นั้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของหรือสถาปัตย์อย่างใด หากแต่คือ “ความรู้” ที่จะอยู่กับเราและอนาคตคนรุ่นหลัง

มรดกคณะราษฎรยังมีอีกมากมายตามหัวเมืองต่างจังหวัด จากที่ผู้เขียนสำรวจและศึกษากรณีเมืองกาญจนบุรีในที่นี้ก็เพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากที่รอการค้นพบและศึกษากันต่อไป...     

เชิงอรรถ

[1] เกียรติยศอันหนึ่งซึ่งเป็นของพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน ก็คือการที่แม้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีไทยคนแรก แต่ทว่าก็เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ขอให้ดู กำพล จำปาพันธ์. “พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) “เชษฐบุรุษ” นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง” https://pridi.or.th/th/content/2025/11/2683 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568).

[2] กรมศิลปากร. อนุสาวรีย์ในประเทศไทย เล่ม ๒. (กรุงเทพฯ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2541), หน้า 171

[3] วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดกาญจนบุรี. (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากรและกระทรวงศึกษาธิการ, 2542), หน้า 327.

[4] กุหลาบ สายประดิษฐ์. เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕. (กรุงเทพฯ: สนพ.แสงดาว, 2565), หน้า 142-143.

[5] ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ (บก.). ๑๑๑ ปี ฯพณฯ พระยาพหลพลพยุหเสนา “เชษฐบุรุษ” ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๑ นายกคนซื่อ ๕ สมัย สุภาพ

[6] เรื่องเดียวกัน, หน้า 830.

[7] เนื่องจากว่า พ.ศ. 2481 ที่ระบุไว้ในหน้าบันนี้ เป็นปีเดียวกับปีสุดท้ายที่พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นปีแรกเริ่มสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปว่า โบสถ์นี้สร้างเสร็จในสมัยพระยาพหลฯ หรือจอมพล ป. อีกต่อไป เพราะผู้เขียนได้ค้นพบเอกสารจำนวนหนึ่งที่ระบุว่า โบสถ์นี้สร้างเสร็จในสมัยพระยาพหลฯ เนื่องจากปรากฏว่าในวันเดียวกับที่พระยาพหลฯ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีและได้เดินทางไปทำพิธีเปิดโรงงานกระดาษเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2481 นั้นได้เดินทางไปดูโบสถ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่นี้ด้วย เอกสารที่ผู้เขียนอ้างถึงนี้คือ หจช. มท. ๒.๒.๕/๕ เรื่องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางท่าน และอัครราชทูตเยอรมัน ไปในการทำพิธีเปิดโรงงานทำกระดาษที่จังหวัดกาญจนบุรี (พ.ศ. 2481).

[8] ดูรายละเอียดใน วรวุธ สุวรรณฤทธิ์. ประวัติศาสตร์เมืองกาญจนบุรี. (กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2543), บทที่ 5.

[9] แนวมองเช่นนี้ผู้เขียนใช้มาก่อนใน กำพล จำปาพันธ์. “แม่ตาก” (เมืองตากของพระเจ้าตาก) ใครว่าเล็ก? “หัวเมืองศูนย์กลางปลายแดน” ในลุ่มน้ำแม่ปิง กับ ความสัมพันธ์บนทางสามแพร่ง (อยุธยา-ล้านนา-พม่ารามัญ)” https://www.lannernews.com/16072567-01/ (เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567).

[10] ดูรายละเอียดใน ชยันต์ ออไอสูญ. “สภาพเศรษฐกิจมณฑลราชบุรี พ.ศ.๒๔๓๗-๒๔๕๓” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2526. 

หจช. มท. ๒.๒.๕/๑๓ เรื่องคณะกรรมการจังหวัดกาญจนบุรีชี้แจงเรื่องสภาพของข้าราชการที่รับราชการอยู่ในท้องที่กันดารพร้อมด้วยการเสนอความเห็นในการปรับปรุง (พ.ศ.2483).

[11] ปรับปรุงจาก มณฑล แถวทอง. ประวัติศาสตร์กาญจนบุรี. (กาญจนบุรี: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏกาญจนบุรี, 2542), หน้า 171-172.

[12] ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรเรื่องสภาพของจังหวัดต่าง ๆ. (กรุงเทพฯ: สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น-ไทย, 2539), หน้า 142.

[13] ดูรายละเอียดใน กรมศิลปากร. เมืองกาญจนบุรีเก่า. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2534.

[14] ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ (บก.). ๑๑๑ ปี ฯพณฯ พระยาพหลพลพยุหเสนา “เชษฐบุรุษ” ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๑ นายกคนซื่อ ๕ สมัย สุภาพบุรุษประชาธิปไตย ขวัญใจประชาชน. (กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ, 2552), หน้า 700.

[15] ปรีดี พนมยงค์. จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม. (กรุงเทพฯ: สนพ.สายธาร, ๒๕๔๓), หน้า ๓๕.

[16] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๐.