ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

แนวความคิดพื้นฐานของท่านปรีดี พนมยงค์

15
สิงหาคม
2568

ปรีดี พนมยงค์

 

ทัศนะในทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม ตลอดจนนโยบายการต่างประเทศของท่านปรีดี พนมยงค์ สะท้อนแนวความคิดพื้นฐานบางประการของท่านรัฐบุรุษอาวุโส

แนวความคิดดังกล่าวในสาระสำคัญได้ปรากฏในปาฐกถาต่างๆ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, ค่อนข้างชัดเจนในข้อเขียน, สุนทรพจน์และเอกสาร ระหว่าง พ.ศ.2475 จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2, และได้รับการขยายความในข้อเขียน, คำบรรยายและคำให้ สัมภาษณ์ในระหว่างที่พำนักอยู่ในต่างประเทศจนกระทั่งถึงอสัญกรรมใน พ.ศ. 2526

 

อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ ที่ตั้งในบริเวณเดิมซึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของนายปรีดี

 

ปรีดี พนมยงค์ ในวัยหนุ่ม ระหว่างที่ศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส 
ที่มา: หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

สำหรับสิ่งที่มีอิทธิพลในการหล่อหลอมแนวความคิด พื้นฐานนั้น ท่านปรีดีฯ ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็น “จิตสำนึก” ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นแก่ตัวท่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นประถมอยู่ที่อยุธยาและเพิ่มพูนขึ้นเมื่อเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นการได้ยินได้ฟังเรื่องอันเกี่ยวกับการปกครองในระบอบรัฐสภาจากผู้หลักผู้ใหญ่และครูบาอาจารย์ ตลอดจนได้รับทราบเหตุการณ์ทางการเมืองเช่นการปฏิวัติของชุนยัดเซนในประเทศจีนและคณะ ร.ศ.130 ในตอนต้น รัชกาลที่ 6 เป็นต้น นอกจากนั้น ท่านก็ยังมีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตของชาวนาไทยซึ่งมีความอัตคัตขัดสนและถูกนายทุนเบียดเบียน, ต่อมาเมื่อเป็นนักเรียนกฎหมาย ก็ได้เรียนรู้ว่าในเมืองไทยขณะนั้นมีบุคคลบางประเภทที่มีอภิสิทธิ์นอกอำนาจศาลยุติธรรม. ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ท่านปรีดีฯ ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์, รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ซึ่งทำให้มีความรู้และความเข้าใจในแก่นแท้ของสังคมมนุษย์กอรปกับการถือกำเนิดในครอบครัวที่เคร่งครัดในธรรมะของพระพุทธศาสนา จึงก่อให้เกิดแนวคิดอันเป็นพื้นฐานของบรรดาทัศนคติต่างๆ ซึ่งค่อนข้างจะโดดเด่นในสังคมไทย.[1]

แนวความคิดพื้นฐานของท่านรัฐบุรุษอาวุโสมีสาระสำคัญ 5 ประการด้วยกันดังต่อไปนี้

1. มีความเชื่อใน “ความเป็นอนิจจังของสังคม” คือเชื่อ ว่าสังคมมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน อยู่ตลอดเวลา

ท่านปรีดีฯ ได้อรรถาธิบายเอาไว้ดังนี้ว่า

“สิ่งทั้งหลายในโลกนี้มิได้นิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งมีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ชีวิตย่อมมีด้าน บวกกับด้านลบ, มีส่วนใหม่ที่กำลังเจริญงอกงามกับส่วนเก่าที่เสื่อมซึ่งกำลังดำเนินไปสู่ความสลายแตกดับ. มนุษยสังคม ก็ดำเนินไปตามกฎแห่งอินิจจัง คือมีสภาวะเก่าที่ดำเนินไป สู่ความเสื่อมสลาย และสภาวะใหม่ที่กำลังเจริญ, ระบบสังคมใดๆ ไม่นิ่งคงอยู่กับที่ชั่วกัลปาวสาน คือระบบเก่าย่อมดำเนินเข้าสู่ความเสื่อมสลายเช่นเดียวกับสังขารทั้งหลาย ส่วนระบบที่เกิดใหม่ก็เจริญเติบโตจนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโต ต่อไปได้อีก ก็ดำเนินเข้าสู่ความเสื่อมสลายโดยมีระบบที่ ใหม่ยิ่งกว่าสืบต่อกันเป็นช่วงๆ ไป” และ

“สังคมของมนุษย์มีพลังใหม่ซึ่งเป็นด้านบวก และมีพลังเก่าซึ่งเป็นด้านลบ ที่ปะทะกันอยู่อันทำให้สังคมเคลื่อนไหวไปในทำนองเดียวกันกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายตามกฎของธรรมชาติ พลังเก่าเสื่อมสลายไป ระบบสังคมของ พลังเก่าก็เสื่อมสลายไปด้วย. พลังใหม่ที่เจริญเติบโต, ระบบ สังคมพลังใหม่ก็เจริญเติบโตไปด้วย, สภาวะเก่าหลีกเลี้ยงจากความเสื่อมสลายไปไม่พัน ส่วนสภาวะใหม่ก็ต้องดำเนิน ไปสู่ความเจริญ ซึ่งพลังเก่าไม่อาจด้านทานไว้ได้ ดังนั้นสภาวะใหม่ย่อมได้รับชัยชนะต่อสภาวะเก่าในวิถีแห่งการ ปะทะระหว่างด้านบวกกับด้านลบตามกฎธรรมชาติ”[2]

2. มีความเชื่อในธรรมะแห่งพระพุทธศาสนาว่าด้วยกฎแห่งกรรม และว่าด้วย “ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตน”

ท่านปรีดีฯ กล่าวไว้ว่า

“ชาวพุทธที่แท้จริงย่อมนึกถึงกฎแห่งกรรม. กรรมนั้นอาจประจักษ์ในระยะสั้นหรือในอนาคตต่อไปเร็วหรือช้า โบราณท่านเคยกล่าวถึงกรรมตามทันตาก็มี”[3] และ

“เราเป็นชาวพุทธจึงต้องปฏิบัติตามคติของพระพุทธองค์ให้มั่น. พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตน. ชาติไทยอยู่รอดจากการเป็น เมืองขึ้นมาได้ในอดีต ก็ถือคตินี้เป็นหลัก คือเราต้องพึ่งราษฎรไทยนี้เป็นหลัก ส่วนชาติอื่นก็เพียงอาศัยได้บ้างเป็นอุปกรณ์เท่านั้น”[4]

3. มีความเชื่อใน “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” ซึ่งประกอบด้วยเอกราชและอธิปไตยของชาติ, สันติภาพ, ความเป็นกลาง, ความไพบูลย์ของประชาชนและประชาธิปไตยของประชาชน

ท่านปรีดี พนมยงค์ไม่เคยอธิบายว่า “สังคมนิยม วิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” มีความหมายประการใด แต่ก็ได้ยืนยันว่า “ปรัชญาการเมืองของข้าพเจ้าคือ สังคมนิยม วิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย (Democratic Scientific Socialism) เพราะว่าประชาธิปไตยและสังคมนิยมควรมี พื้นฐานเป็นวิทยาศาสตร์”[5] และระบุว่า “สหกรณ์สังคมนิยม” ที่ท่านปรารถนาจะได้เห็นดำเนินการในประเทศไทยนั้นเป็น “ส่วนหนึ่งของปรัชญา สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย”[6]

“ประชาธิปไตย” ที่สมบูรณ์ในทัศนะของท่านรัฐบุรุษอาวุโสก็คือ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ, ประชาธิปไตยทางการเมือง, และทัศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน และมีอิทธิพลต่อกันและกัน

สำหรับ “สังคมนิยม” หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่ “สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและอำนวยให้สมาชิกของ สังคมร่วมมือกันในการผลิต โดยได้รับปันผลและสวัสดิการ ที่เป็นธรรม”[7] ระบบสังคมนิยมเป็นระบบของมนุษยสังคมที่จะเข้ามาเชื่อมต่อจากระบบทุนนิยมหรือที่ท่านปรีดีฯ เรียกว่า “ระบบธนานุภาพ”

ส่วน “วิทยาศาสตร์” นั้น ท่านปรีดีฯ ถือเอาความ หมายตามที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติไว้คือ “ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ, วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ, ขณะที่ “วิทยาศาสตร์สังคม” หรือ “สังคมศาสตร์” ก็คือความรู้ (ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าฯ) ว่าด้วยสังคมนั่นเอง

ในบริบทของปรัชญา “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตย” นั้น “ความรู้” ที่ท่านปรีดีฯ ได้ตั้งเป็นโจทย์เพื่อการค้นคว้าก็คือความรู้ว่าด้วย “สมุฏฐานของมนุษย์และมนุษยสังคม” ตามที่ปรากฏในนิพนธ์เรื่อง “ความเป็นอนิจจังของสังคม”[8] และประเด็นที่ท่านต้องการคำตอบที่ชัดเจนก็คือบทบาทของ “สสาร” ในฐานะสมุฏฐานของมนุษยสังคม ที่อาจเรียกว่า “สสารทางสังคม” ซึ่งอธิบาย “สาเหตุที่ดลบันดาลให้มนุษย์ต้องรวมกันอยู่เป็นสังคม

ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้วิเคราะห์ว่าในการดำรงชีวิตอยู่ ได้นั้น มนุษย์จำต้องมี “ชีวปัจจัย” คือปัจจัยที่จำเป็นหรือ ต้องการในการดำรงและดำเนินชีวิต ซึ่งมีทั้งปัจจัยทางกาย และปัจจัยทางใจ “ชีวปัจจัย” ดังกล่าวนี้ต้องมีการผลิตขึ้น ต้องมีบุคคลทำการผลิต, และต้องมีเครื่องมือในการผลิต, ซึ่งมนุษย์แต่ละคนไม่อาจจะผลิตชีวปัจจัยได้ครบถ้วน เพื่อสนองความต้องการ ด้วยเหตุนี้ “มนุษย์จึงไม่อาจอยู่โดด เดี่ยวโดยลำพังได้ คือจำต้องมีความสัมพันธ์กันอยู่เป็นสังคม เพื่อได้มาซึ่งชีวปัจจัยโดยการผลิต” ความสัมพันธ์การผลิตระหว่างมนุษย์ในสังคมมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่โบราณกาลใน ระบบทาส, ระบบศักดินาและระบบธนานุภาพ จนกระทั่งถึงระบบสังคมนิยม กระบวนการว่าด้วยการผลิตชีวปัจจัย ดังกล่าวนี้คือ “เศรษฐกิจ”[9], จึงถือว่าเป็นรากฐานของสังคม

เนื่องจากกระบวนการผลิตชีวปัจจัย หรือ “เศรษฐกิจ” จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของมนุษย์, การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี การผลิตหรือการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ของสังคมในการผลิต, ดังนั้นมนุษยสังคมจึงหลีกเลี่ยง ไม่พันที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง. สำหรับพลังงานที่ทำให้สังคม เคลื่อนไหวก็คือ “การขัดแย้งระหว่าง “พลังเก่า” และ “พลังใหม่” ที่ท่านปรีดีฯ นิยามศัพท์ “ไดอาเล็กติก” (Dialectics) ว่า “ประติการ”

ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเชื่อว่าหาก “หลักวิทยาศาสตร์สังคม” ตามที่ได้กล่าวมานี้เป็นที่ยอมรับกันแล้ว ก็จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าเพราะเหตุใดการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็ดีและระบบเศรษฐกิจก็ดีควรที่จะมีพื้นฐานเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งสาระสำคัญก็คือระบบการเมืองซึ่งเป็น แต่เพียงโครงร่างเบื้องบน และระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นเงื่อนไขของความสัมพันธ์ทางการผลิต จะต้อง “สมานกับความ ต้องการทางเศรษฐกิจของมวลมนุษย์ในสังคม”, ขณะที่ทัศนะทางสังคมก็ต้องสอดคล้องต้องกันด้วย

ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ภายใต้ปรัชญาและระบบ “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” จะนำมาซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติ, สันติสุข, ความเป็นกลาง, ความไพบูลย์และประชาธิปไตยของประชาชน

4. มีความเชื่อในสันติภาพและสันติวิธี โดยประณามการรุกรานและหลีกเลี่ยงการใช้กำลังตัดสินความขัดแย้ง

ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ สันติภาพและสันติวิธีมาโดยตลอด. ท่านเห็นการรุกราน และการใช้กำลังเป็นอาชญากรรมต่อสันติภาพที่กระทำต่อมนุษยชาติ, ความเชื่อดังกล่าวนี้ทำให้ท่านปรีดีฯ ขัดแย้งกับ “เผด็จการ” ทุกรูปแบบ เพราะ “เผด็จการ” จะใช้ความรุนแรงทำการรุกรานผู้อื่น เช่น “คติเผด็จการทาส-ศักดินา” ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่ว่า “การส่งทหารออกไปรบ นอกประเทศ เป็นวิธีดีกว่าให้มีสนามรบภายในประเทศ” และ “วิธีรุกดีกว่าวิธีรับ เพราะฝ่ายรุกมีอิสระในการปฏิบัติ ฝ่ายรับต้องทำตามใจฝ่ายรุก” เป็นต้น, แต่ในที่สุดฝ่ายที่ใช้กำลังรุกรานก็ตกเป็นผู้แพ้ทุกกรณี[10]

เมื่อปี พ.ศ. 2483 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 มี แนวโน้มที่จะขยายมาทางทวีปเอเซีย, ท่านปรีดี พนมยงค์ได้เขียนนวนิยายและสร้างภาพยนตร์เรื่อง The king of White Elephant (“พระเจ้าช้างเผือก”) ซึ่งเป็นภาพยนตร์พูดภาษาอังกฤษเสียงในฟิล์มเพื่อเผยแพร่ไปนอกประเทศ. วัตถุประสงค์ก็คือการแสดงทัศนคติเกี่ยวกับสันติภาพอันเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง ซึ่งเป็นการเตือนสติบรรดาผู้ที่สนับสนุนการทำสงครามทั้งภายในและภายนอกประเทศ. ท่านรัฐบุรุษอาวุโสได้เขียนคำนำของนวนิยายฉบับดังกล่าวมีความตอนหนึ่งว่า

 

ภาพส่วนหนึ่งจากภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก

 

“พระเจ้าจักราทรงกล้าหาญยิ่งในการรบ แต่ทรงรักสันติภาพ นวนิยายเรื่องนี้จึงเขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่สันติภาพเพราะว่าชัยชนะแห่งสันติภาพนั้นมิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามแต่อย่างใด[11]

ขณะที่นวนิยายเรื่องดังกล่าวได้จบลงด้วยคำพูดว่า “เพราะว่าพระองค์ทรงเห็นแจ้งว่า โดยวิธีนั้นย่อมเป็นทางไปสู่การหลีกเลี่ยงสงครามอันอาจเกิดขึ้นในอนาคต ทรง พระปรีชาสามารถนัก เพราะไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบ นัตถิ สันติปะรัง สุขัง”[12]

ในระหว่างการดำเนินเรื่อง ก็มีข้อความอีกตอนหนึ่งที่เตือนสติผู้บริหารบ้านเมือง “พระเจ้าจักราทรงไตร่ตรองถึงความรับผิดชอบของ พระองค์ต่อประชาราษฎร์ หน้าที่ในการรักษาสันติภาพนั้น ย่อมจะต้องได้รับการพิจารณาควบคู่กับความรับผิดชอบใน การป้องกันเอกราชของบ้านเมือง”[13] และอีกตอนหนึ่ง

“ความสุขเป็นร้อยเท่าของบุคคลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ บ้านเมืองตนมีสันติภาพอย่างแท้จริง สันติภาพที่ค้ำประกันโดยสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของผู้ปกครอง มิใช่การยอมแพ้อย่างขลาดเขลาและไร้เกียรติ หากเป็นสันติภาพ และรางวัลของสันติภาพซึ่งมีค่าสุดประมาณ[14]

5. มีความเชื่อในสิทธิมนุษยชน และในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ในบทความเรื่อง “ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเขียนเมื่อ พ.ศ.2517 ท่านปรีดี พนมยงค์ได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนและปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนไว้ดังนี้

“สมาชิกสหประชาชาติรวมทั้งสยามที่เป็นภาคีแห่งองค์การนั้นได้ปฏิญญาณรับรองผูกพันกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ (Charter of the United Nations) ซึ่งมีบทบัญญัติเริ่มต้นว่าเราประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ตกลงเด็ดขาด.....ยืนยันความเชื่อถือในหลักการพื้นฐานสิทธิมนุษยชน, ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์, ในสิทธิเสมอภาคระหว่างชายและหญิง และระหว่างชาติ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก

ต่อมาสมัชชาใหญ่สหประชาชาติซึ่งสยามเข้าร่วมด้วย ใน ค.ศ. 1948 (พ.ศ.2491) นั้นได้ตกลงรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิแห่งมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ซึ่งบัญญัติสิทธิของพลเมืองไว้หลายประการอาทิ ชีวิต, เสรีภาพ, ความปลอดภัยในตัวบุคคล, เสรีภาพ จากการไม่ถูกจับกุมขังเนรเทศโดยพลการของเจ้าหน้าที่สิทธิในการได้รับการพิจารณาโดยเที่ยงธรรมและเปิดเผยจากศาลที่เป็นอิสระและไม่ลำเอียง, เสรีภาพในความคิด, ความเชื่อถือและศาสนา, เสรีภาพในการประชุมและการ ร่วมกันเป็นสมาคมอย่างสันติ ฯลฯ

“รัฐบาลสยามได้รับรองกฎบัตรและปฏิญญาดังกล่าว แล้ว โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาและสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์ได้เคยประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆ วัน วันละข้อ ติดต่อกันมาหลายปี ดังนั้น กฎบัตรแห่งสหประชาชาติ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังกล่าวนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญของ สยามหรือประเทศไทยด้วยพระราชบัญญัติและบทกฎหมาย ใดที่ขัดต่อกฎบัตรและปฏิญญาดังกล่าวแล้ว จึงเป็นโมฆะ”[15]

 

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 
ที่มา Legal UN

 

ความจริงท่านปรีดีฯ ได้ให้ความสำคัญต่อ “สิทธิมนุษยชน” มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่บรรยายวิชากฎหมายปกครอง ในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. 2474 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยได้บรรยายว่า

“ในบรรดาหลักกฎหมายทั่วไปซึ่งแอบแฝงอยู่ในวิชาต่างๆ ยังมีหลักกฎหมายทั่วไปประเภทหนึ่งซึ่งอาจยกขึ้น กล่าวในเบื้องต้นนี้ อันอาจจะเป็นประโยชน์ในการศึกษา กฎหมายปกครอง คือสิทธิของมนุษยชน

มนุษย์ซึ่งเกิดมาย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในอันที่จะดำรงชีวิต และรวบรวมกันอยู่ได้เป็นหมู่คณะ สิทธิและหน้าที่เหล่านี้ย่อมมีขึ้นจากสภาพตามธรรมดาแห่งการเป็นมนุษย์นั้นเอง และซึ่งจำแนกออกได้เป็น 3 ประการ คือ

  1. ความเป็นอิสระ หรือเสรีภาพ (Liberte)
  2. ความเสมอภาค หรือสมภาพ (Egalite)
  3. ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันฉันท์พี่น้อง หรือ  ภราดรภาพ (Fraternite)[16] และต่อจากนั้นก็ได้อธิบายสาระสำคัญของ “สิทธิมนุษยชน” ในรายละเอียด ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการยกเอาเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” มาพูดกันอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

พื้นฐานของแนวความคิดทั้ง 5 ประการดังกล่าวมานี้เป็นปัจจัยที่กำหนดทัศนะในทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม ตลอดจนนโยบายการต่างประเทศของท่านรัฐบุรุษอาวุโสซึ่งอาจเป็น “ทางเลือก” ในเชิงปรัชญาและอุดมการณ์ที่ปวงชนชาวไทย เจ้าของอำนาจอธิปไตย หรือแม้กระทั่งปัจเจกบุคคลก็อาจนำมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจตามวิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับอนาคตของชาติบ้านเมืองได้

ทัศนะเหล่านี้ แม้จะได้แสดงไว้ในอดีตกาล นับจากในปัจจุบันย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลา 20-70 ปีก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเป็น “คำตอบ” และ “คำอธิบาย” ที่มีประโยชน์อีกทั้งเป็น “อาหารสำหรับความคิด” สำหรับการวิเคราะห์ปัญหาระดับชาติหลายๆ ปัญหาในปัจจุบัน

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขรวิธีสะกดตามต้นฉบับ
  • ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. แนวความคิดพื้นฐานของท่านปรีดี พนมยงค์. วรุตม์ ทองเชื้อ, สันติสุข โสภณสิริ, นาถยา กัลโยธิน. ปรีดีสาร ฉบับ คู่มือประชาธิปไตย ทางเลือกด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ตามแนวคิดของท่าน ปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด; 2548, น. 35-49.

 

บรรณานุกรม :

  • ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. แนวความคิดพื้นฐานของท่านปรีดี พนมยงค์. วรุตม์ ทองเชื้อ, สันติสุข โสภณสิริ, นาถยา กัลโยธิน. ปรีดีสาร ฉบับ คู่มือประชาธิปไตย ทางเลือกด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ตามแนวคิดของท่าน ปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด; 2548, น. 35-49.

 

เชิงอรรถ

[1] จากหนังสือ “ประสบการณ์และความเห็นบางประการของ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์”, ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, โครงการฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์, 2542.

[2] จากข้อเขียนของท่านปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “ความเป็นอนิจจัง ของสังคม”, วารสารหมอความยุติธรรม, 2531.

[3] จากหนังสือ “วาทะปรัชญาเมธี”

[4] จากหนังสือ “วาทะปรัชญาเมธี”

[5] จากหนังสือ “ปรีดีทัศน์ รวมทัศนะนักวิชาการต่อปรีดี พนมยงค์” โครงการฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ 2542.

[6] จากหนังสือ “ประสบการณ์และความเห็นบางประการของ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์”

[7] จากหนังสือ “ปรีดีทัศน์ฯ”

[8] จากหนังสือเรื่อง “ความเป็นอินจจังของสังคม”

[9] จากหนังสือเรื่อง “ความเป็นอนิจจังของสังคม”

[10] จากหนังสือ “อนุสรณ์ นายปาล พนมยงค์”, 2525.

[11] จากหนังสือ “The king of white elephant” (พระเจ้าช้างเผือก), สมาคมธรรมศาสตร์นครลอสแองเจอลีส, 2533.

[12] จากหนังสือ “The king of white elephant” (พระเจ้าช้างเผือก)

[13] จากหนังสือ “The king ofwhite elephant” (พระเจ้าช้างเผือก)

[14] จากหนังสือ “The king of white elephant” (พระเจ้าช้างเผือก)

[15] จากหนังสือ “แนวความคิดประชาธิปไตยของ ปรีดี พนมยงค์” มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535.

16] จากหนังสือ “ประชุมกฎหมายมหาชนและเอกชนของ ปรีดี พนมยงค์”, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526.