สถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรมเสวนา PRIDI Talks #32: 80 ปี วันสันติภาพไทย : “อนาคตไทย-อาเซียน : ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่” ขึ้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30-12.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อมุ่งเน้นการถอดบทเรียนจากกรณีความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านมิติทางการเมือง ประวัติศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อบริบทภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากระเบียบโลกใหม่ที่มีต่อเส้นทางเศรษฐกิจและสันติภาพของไทย นอกจากนี้ ยังเปิดเวทีอภิปรายถึงแนวโน้มสงครามการค้าและอำนาจนิยมในระดับภูมิภาคและโลก ตลอดจนยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยควรดำเนินเพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว รวมถึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนระหว่างนักวิชาการ นักการเมือง ภาคประชาสังคม และผู้สนใจทั่วไป เพื่อร่วมกันเสนอทางเลือกสู่สันติภาพที่ยั่งยืน
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย รศ. ดร.มารค ตามไท อาจารย์ประจำวิชาสันติศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน คุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมี อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ดำเนินรายการ
ช่วงก่อนกิจกรรมการเสวนาได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหาร สถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวนำถึงปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอันเกี่ยวพันกับปัญหาระหว่างประเทศทั้งประเด็นพหุขั้วอำนาจที่จีนและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นสองขั้วอำนาจใหญ่ ได้เข้ามามีบทบาทในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกัมพูชาซึ่งส่งผลกระทบกับชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยและประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงเศรษฐกิจการค้าชายแดนที่หยุดชะงัก
ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลพลเรือนที่แสดงบทบาทผู้นำอย่างเข้มแข็ง เห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันต่ออธิปไตยและระบอบประชาธิปไตย หากกัมพูชามีระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงยิ่งขึ้นความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งเรื่องดินแดนและโอกาสของสงครามจะลดลง ทั้งนี้ยังกล่าวถึงความสำคัญของขบวนการเสรีไทยและวันสันติภาพไทยที่ทำให้ชนรุ่นหลังรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตย รวมทั้งบทบาทของไทยต่อการสร้างสันติภาพในกัมพูชาและนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เคยมีร่วมกัน
“ปรัชญาสันติภาพ”
รศ. ดร.มารค ตามไท กล่าวว่าโลกอาจเดินผิดทางในการสร้างสันติภาพ เพราะการสร้างสันติภาพมักอิงกับการใช้ความรุนแรง โดยอ้างความสงบสุขหรือความถูกต้อง
ทำไมเราจึงไม่สามารถสร้างสันติภาพโดนไม่ใช้ความรุนแรงได้ อาจต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจเรื่องสันติภาพซึ่งยากกว่าการทำความเข้าใจคณิตศาสตร์และปรัชญาหลายร้อยเท่า
โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่มีความเกลียดชังตั้งแต่เกิด แต่เรียนรู้จากครอบครัว โรงเรียน และสังคม ความกลัวที่ฝังอยู่ในสมองจากเรื่องเล่าที่ส่งผ่านการเรียนรู้เหล่านี้สร้างอคติและความรุนแรง หากอนุมาณว่าสาเหตุของความรุนแรงคือความเกลียดชัง การหันกลับมาตระหนักว่าเราทุกคนคือ homo sapiens เหมือนกัน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพที่ยั่งยืน
“โมเดลเศรษฐกิจไทยที่ควรเปลี่ยนแปลง”
ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร กล่าวว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ซึ่งทำให้เศรษฐกิจต้องรับความเสี่ยงจากความผันผวนของมหาอำนาจภายนอก รวมทั้งสร้างความเหลื่อมล้ำภายในสังคม เศรษฐกิจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องว่าเราสร้างตัวเลขนั้นด้วยอะไร แล้วมันจะมีผลข้างเคียงทางสังคมและวัฒนธรรมตามมา
ไทยต้องปรับโมเดลเศรษฐกิจให้มีความสมดุลระหว่างภาคการส่งออกและเศรษฐกิจภายใน โดยไม่เพียงแต่พึ่งพาภายนอก แต่ควรมุ่งเน้นการพัฒนาภาคการผลิตภายในเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น
มิติภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือในระดับภูมิภาค
รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม กล่าวว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สมดุลระเบียบใหม่ ท่ามกลางความหวาดระแวงต่างชาติและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระเบียบโลกประกอบด้วย Real politics, Transactionalism และบทบาทของ non-state actor กำลังถูกท้าทาย ส่งผลให้โลกมีความหลากหลายและเชื่อมโยงกันมากขึ้นโดยไม่ขึ้นกับการนำของมหาอำนาจใดเพียงฝ่ายเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยองค์กรและกลุ่มผลประโยชน์ระดับภูมิภาค
ในสมดุลใหม่นี้ ความร่วมมือแบบ Multilateralism คือความร่วมมือของประเทศเล็ก ๆ แล้วขยายสู่ Flexible multilateralism ที่ปรับเปลี่ยนสมาชิกได้ตามสถานการณ์ ทุกประเทศต้องรักษาผลประโยชน์ชาติไว้เป็นหลัก อาเซียนจะมีบทบาทสำคัญ หากสามารถใช้อำนาจต่อรองในเวทีระดับภูมิภาคอย่างเหมาะสม ก็อาจกำหนดทิศทางสู่สันติภาพได้ในอนาคต
“มิติการเมืองชายแดนและนโยบายรัฐ”
คุณจักรภพ เพ็ญแข กล่าวว่าในบริบทของโลกที่กำลังผันผวนและอำนาจรัฐที่เริ่มขาดศักยภาพ อาเซียนที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายนอกมากกว่าเจตจำนงของชาติสมาชิก ทว่าเมื่อโลกเข้าสู่ความไม่แน่นอนมากขึ้น อาเซียนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางรอดของไทยในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้จะเต็มไปด้วยความหลากหลาย ความต่างด้านการพัฒนา และความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ แต่อาเซียนก็สะท้อนความเป็นจริงของภูมิภาคที่ต้องอยู่ร่วมกัน
การจัดระเบียบโลกเป็นพลังจากประเทศมหาอำนาจที่เข้าควบคุมประเทศอื่น ซึ่งอาเซียนและไทยต้องมียุทธศาสตร์เพื่อเอาตัวรอดในภาวะไร้ระเบียบนี้ ขณะที่สันติภาพกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะในที่สุดแล้วความขัดแย้งจะคลี่คลายได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถลดความเกลียดชังออกไป
“สนามรบการใช้คำพูดที่เกิดจากโลกไร้พรมแดน”
ศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ กล่าวว่า Borderless world เคยเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นของ Globalization ทว่าความจริงในปัจจุบันกลับสะท้อนภาพตรงกันข้าม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนวคิดอย่างรัฐชาติ อธิปไตย พรมแดน ล้วนเป็นของนำเข้าแต่กลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ในวิธีคิดของเรา Globalization 4.0 ทำให้ความเหลื่อมล้ำขยายตัวมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความโกรธเกรี้ยวผู้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เมื่อ Social Media กลายเป็นสนามรบของคำพูดที่แสดงความเกลียดชัง ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาจากคำเสียดสีในโลกออนไลน์ กลายเป็น “War of Words” เราต้องตระหนักว่าความรุนแรงยุคใหม่ไม่ได้อยู่ที่ชายแดนหรือสนามรบ แต่เกิดขึ้นทุกวินาทีในพื้นที่ไร้พรมแดนอย่างโลกออนไลน์
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=TuI2P3oYm4w
ที่มา : PRIDI Talks #32 : “อนาคตไทย-อาเซียน : ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่” วันที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30-12.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์