ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ทำไมดิฉันจึงรู้จักใกล้ชิดกับนักศึกษา 6 ตุลา

6
ตุลาคม
2568

 

ฉลบชลัยย์ พลางกูร ขณะอายุ 96 ปี เมื่อ พ.ศ. 2555
ที่มา : อัตชีวประวัติภาคปัจฉิมวัย

ดิฉันขอยกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาเป็นตอนต้นเรื่องชีวิตช่วงปัจฉิมวัย เพราะตอนนั้นดิฉันกำลังจะอายุครบ 60 ปี ซึ่งตามธรรมเนียมไทยโบราณก็ถือว่าแก่พอแล้ว อนึ่ง เรื่องตอนมัชฌิมวัยได้เขียนไว้มากมายติดต่อกัน มีทั้งเรื่องทุกข์และเรื่องสุข ไม่รู้ว่าจะแบ่งแยกตอนไหนดี จึงเห็นว่าตัดแบ่งตอนนี้น่าจะเหมาะที่สุด

เรื่องเกี่ยวกับนักศึกษา 6 ตุลา นี้ ดิฉันได้เคยตีพิมพ์ไว้แล้วในหนังสือบทความประกอบชีวประวัติของฉลบชลัยย์ พลางกูร (พิมพ์ในโอกาสอายุเจ็ดรอบ พ.ศ. 2543) แต่จะขอลอกมาลงในหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง พร้อมกับเรื่องราวต่อเติมซึ่งอยากเล่าสู่กันฟัง เพราะนักศึกษาเหล่านี้ส่วนมากก็ยังคงติดต่อกับดิฉันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ดิฉันจึงนับว่าเรื่องของเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของดิฉันด้วย

เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นนั้น ดิฉันเสียใจมากที่มิได้มีส่วนช่วยเหลืออะไรแก่พวกนักศึกษาเลย เพียงแต่ได้ไปเฝ้าดูให้กำลังใจเท่านั้น ดิฉันเชื่อแน่ว่าถ้าสามีของดิฉันยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งในการช่วยเหลือสนับสนุนไม่มากก็น้อย ดิฉันบ่นเรื่องนี้ให้ใคร ๆ ฟัง เขาก็พากันว่ามันเรื่องอะไรของเรา เราจะไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย ไม่เห็นเกี่ยวเลย

ใครจะว่าไม่เกี่ยวก็ช่าง แต่ดิฉันคิดว่าเกี่ยวแน่ ๆ ความคิดและอุดมการณ์ของพวกเขาเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน และน่าสรรเสริญ และเมื่อเขาถูกปราบปราม เราก็น่าจะต้องช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตาม ดิฉันติดตามเรื่องของพวกเขามาโดยตลอด ตอนแรกก็ด้วยความชื่นชมกับความสำเร็จที่ได้ประชาชนมาสนับสนุนมากมายเป็นประวัติการณ์ จนรัฐบาลต้องเปลี่ยนหลักการและบุคคลตามคำเรียกร้องของประชาชน แต่ต่อมาก็เฝ้าดูด้วยความเศร้า เสียใจ และเสียดาย ที่การเสียสละกำลังกายและกำลังใจของเขา ไม่ได้รับการสนับสนุนต่อไปอย่างถาวร ทุก ๆ อย่างค่อย ๆ ถอยกลับเข้าแบบเดิม การเสียสละของเขาได้ผลไม่คุ้มค่าเลย

พอเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้น ดิฉันไม่มีการนิ่งนอนใจ เมื่อได้ข่าวในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม ก็รีบบึ่งไปที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปจอดรถที่ประตูด้านถนนพญาไทซึ่งปิดสนิท มองเข้าไปเห็นพวกนิสิตอยู่ไกลมาก พยายามหาวิธีเรียกต่าง ๆ ก็ไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ยอมละความพยายาม คอยอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดความอดทนก็ได้ผล มีนิสิตคนหนึ่งเดินออกมา เขากำลังจะเดินไปที่ตึกวิทยาศาสตร์ที่อยู่ใกล้เราเข้ามา ดิฉันร้องเรียกเขาอย่างสุดเสียงและกวักมือด้วย เขาเห็นและได้ยินจึงเดินมาหา ดิฉันถามว่าขณะนั้น พวกนิสิตต้องการเครื่องใช้เครื่องกินอะไรบ้าง หรือจะให้ช่วยเหลืออย่างไร เขาตอบขอบคุณอย่างนอบน้อม และบอกว่าตอนนั้นเขามีทุกอย่างพร้อมและเพียงพอแล้ว ยังไม่ต้องการอะไรอีก ดิฉันคาดคั้นเขาอยู่นาน บอกว่ามีคนอยากจะมีส่วนช่วยเขา เขาบอกว่าขอให้รอดูไปก่อนก็แล้วกัน

ดิฉันคิดอยู่ชั่วครู่ว่าจะไปที่ไหนต่อไปดี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่ะ ไม่ต้องสงสัย เข้าไม่ได้แน่ เลยกลับบ้านก่อน เพราะบ้านดิฉันอยู่ถนนพญาไทนั่นเอง มาถึงบ้านเห็นใคร ๆ กำลังเอะอะ เพราะโทรทัศน์กำลังมีรายงานข่าวสด ที่ทหารตำรวจบังคับให้นักศึกษาหญิงที่ธรรมศาสตร์ถอดเสื้อ และนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้นดิน ดิฉันกำลังใคร่ครวญว่าจะลองไปที่ธรรมศาสตร์จะดีไหม ก็พอดีญาติคนหนึ่งมารายงานว่าหลานสาวของดิฉันคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง หายตัวไปตั้งแต่คืนก่อนยังไม่กลับมาเลย เท่านั้นแหละ ดิฉันไม่รออะไรอีกแล้ว ตรงไปยังมหาวิทยาลัยรามคำแหงทันที

ไปถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็อย่างที่คิดไว้ ประตูปิดหมด ทหารที่เฝ้าอยู่ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง จึงขยับรถไปที่สถานีตำรวจใกล้ ๆ นั้น ซักไซ้ได้ความว่านักศึกษาส่วนหนึ่งกำลังถูกนำตัวไปลพบุรีหรือสระบุรี อะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งเอาไปขังไว้ที่โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน ดิฉันตรงไปที่นั่นทันที ได้พบผู้ปกครองของนักศึกษาไปคอยกันอยู่มากมาย เขายังไม่พร้อมที่จะแจ้งว่าเด็กของเราอยู่ที่ไหน ให้คอยไปก่อน

รออยู่ที่หน้าประตูจนกระทั่งจวน ๆ จะค่ำ เห็นคุณพิชัย วาสนาส่งนั่งรถมากับตำรวจ ดิฉันปราดเข้าไปบอกว่ามาสืบข่าวเรื่องหลาน คุณพิชัยบอกว่าเดี๋ยวก็รู้แล้ว และก็จริง ๆ สักครู่เขาก็ประกาศรายชื่อของนักศึกษาที่ถูกขังอยู่ ณ ที่นั้น ปรากฏว่าหลานดิฉันอยู่ที่นั่นจริง ๆ ก็พอโล่งใจไปตอนหนึ่งที่ยังมีตัวอยู่ วันนั้นทำอะไรไม่ได้แล้วจึงกลับบ้าน

รุ่งเช้า 7 ตุลาคม ดิฉันจัดข้าวของเครื่องใช้และของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้หลาน แต่เขายังไม่อนุญาตให้พบ เป็นแต่รับของและลงทะเบียนไว้ บอกให้มาฟังวันหลังว่าจะอนุญาตให้เยี่ยมเมื่อไร

วันนั้นเป็นวันครบรอบวันตายของสามีดิฉัน ตามปกติดิฉันเคยทำบุญเลี้ยงพระมาทุกปี แต่ปีนี้เห็นว่าทำบุญช่วยเด็ก ๆ จะดีกว่าเป็นแน่ ได้ทราบข่าวจากพวกผู้ปกครองทั้งหลายว่ามีเด็กได้รับบาดเจ็บ ต้องให้เลือด เขาบอกว่าถ้าอายุครบ 60 ปีแล้ว เขาไม่รับ บังเอิญดิฉันเพิ่งอายุ 59 ปี 11 เดือน จึงมีสิทธิให้เลือดได้ หมอในห้องนั้นเล่าให้ฟังว่าท่านนั่งเรือข้ามฟากมาจากท่าพระจันทร์ มีนักศึกษาลอยคออยู่ในแม่น้ำหลายคน แต่พอเรือเบนหัวไปจะช่วยเด็ก ทหารก็ยิงกราดมาที่เรือ นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดใจที่สุด

ดิฉันไปที่โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขนทุกวัน เพราะเขาบอกว่าจะปล่อยนักศึกษาออกไปเป็นรุ่น ๆ (เพราะไม่มีที่จะให้นอน) แต่เขาไม่ได้ปล่อยออกไปเลย ต้องให้เซ็นรับทราบก่อนว่าจะต้องเอาเงินสดหรือโฉนดที่ดินไปประกันตัวให้ถูกต้อง ได้พบปะพูดคุยกับบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พูดเหมือน ๆ กันว่าเด็กของเขาเป็นเด็กดี ขยันเรียน ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเที่ยวเกะกะเลย ดิฉันจึงบอกว่าถ้าเด็กสูบกัญชา กินเหล้า หรือชอบอยู่ตามบาร์ ก็คงไม่ถูกจับมาขังเช่นนี้ !

ตอนที่หลานดิฉันได้รับการปล่อยตัวนั้น พอแกเห็นดิฉันก็ร้องไห้โฮและวิ่งถลาเข้ามากอด ท่าทางแกอิดโรยมาก เดินออกมาไม่ได้สวมรองเท้า บอกว่าถูกเขาริบไปหมด ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยง แดดจัด เราต้องเดินบนถนนซีเมนต์ยาวเหยียดกว่าจะถึงประตู ถนนร้อนระอุ หลานต้องวิ่งบ้างเต้นบ้าง น่าสงสาร ผู้ปกครองบางคนฉลาด เตรียมรองเท้าฟองน้ำมาให้ลูกหลานของตน

เราต้องนำโฉนดที่ดินไปทำการประกันตัวที่สถานีตำรวจดับเพลิงพญาไท วิธีการของเขาแสดงถึงความหย่อนสมรรถภาพอย่างเหลือหลาย คือนัดคนเป็นร้อยเป็นพันไปในวันเวลาเดียวกัน โดยไม่มีป้ายหรือประกาศ บอกว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ทุกคนจึงต้องไปรุมล้อมโต๊ะเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องคอยบอกซ้ำซากร้อยครั้งพันครั้ง ให้เราไปที่โต๊ะนั้น ๆ ไปเอาใบคำร้องมาเขียนก่อน ดิฉันนึกอยากจะกลับไปที่โรงเรียนของเราเหลือเกิน แล้วเอากระดานดำสัก 2–3 แผ่นไปเขียนประกาศให้ผู้คนทราบว่า จะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง-สอง- สาม จะได้ไม่ยุ่งยากเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ดิฉันประกันตัวหลานได้เรียบร้อย เขานัดให้ไปให้การกับตำรวจสองครั้ง ซึ่งดิฉันก็พาไปด้วยตัวเอง แล้วจากนั้นไม่นานนัก เรื่องก็จบด้วยดี เจี๊ยบ (หลาน) ไม่มีความผิด เขาบอกว่าให้กลับไปเรียนต่อตามเดิมได้แล้ว

แต่แล้วก็กลับไปมีเรื่องกับมหาวิทยาลัยรามคำแหงเข้าอีก เขาบอกว่าเจี๊ยบอยู่ในคณะกรรมการนักศึกษา โดยมีหน้าที่เป็นปฏิคม จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าพัดลมตั้งพื้นเจ็ดตัวของมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ในความดูแลของตน ตอนที่เกิดเรื่อง ถ้ายังไม่ชดใช้ค่าพัดลมให้เรียบร้อยก็เรียนต่อไม่ได้ เขาจะคัดชื่อออกเลย

ความจริงนั้นมันไม่ใช่ความผิดของเจี๊ยบสักนิด ตอนทหารบุกเข้ามา ปิดมหาวิทยาลัย ได้ยึดข้าวของทรัพย์สมบัติไปหมด ใคร ๆ ก็รู้ดี แต่เราไม่มีปัญญาจะไปโต้เถียงกับเขา เขาแนะให้ไปซื้อพัดลมมือสอง (second hand) จากร้านพรรคพวกของเขาใกล้ ๆ แพร่งสรรพศาสตร์ จะได้ทุ่นเงิน เพราะในบัญชีพัสดุไม่ได้ระบุว่าเป็นพัดลมยี่ห้ออะไร เราถูกบังคับให้ทำตามนั้นโดยปริยาย แล้วเรื่องก็จบ เจี๊ยบกลับไปเรียนต่อได้ตามเดิม

ระหว่างที่เรื่องยังไม่เรียบร้อย ดิฉันพาเจี๊ยบไปเยี่ยมพวกที่ถูกจับไปขังในที่ต่าง ๆ

แรกทีเดียวไปที่ที่คุมขังถนนเศรษฐศิริ เพราะอดีตลูกศิษย์ของดิฉันชื่อพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ถูกขังอยู่ที่นั่น ณ ที่นี้ เจี๊ยบได้พบกับมหินทร์ ตันบุญเพิ่ม ประธานนักศึกษารามคำแหง ซึ่งถูกขังอยู่กับเพื่อนอีก 2–3 คน จึงแนะนำให้ดิฉันรู้จัก

หลังจากนั้นไม่นาน เขาถูกย้ายไปขังที่โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน

เราก็ตามไปเยี่ยมและได้รู้จากเขาว่าสุธรรม แสงประทุม หัวหน้านักศึกษา กับเพื่อน ๆ นักศึกษารวม 10 คน ถูกแยกไปขังที่คุกบางขวาง และนักศึกษาหญิงอีกสองคนถูกขังที่ทัณฑสถานหญิง ติดกับเรือนจำคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน บางเขน

ต่อจากนั้น เราไปคุกบางขวาง ขอพบสุธรรม กับอภินันท์ บัวหภักดี  คนหลังนี้เป็นคนสำคัญที่ถูกกล่าวหาว่าเล่นละครแขวนคอล้อเลียนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ดิฉันบอกสองคนนี้ว่าในเมื่อเขาไม่รู้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู เขาก็ควรจะพูดด้วยความระมัดระวัง แต่ดิฉันเพียงอยากทราบเรื่องที่แท้จริงจากปากของเขาเอง เพราะดิฉันไม่เชื่อว่านักศึกษาจะตั้งใจก่อเรื่องเช่นนั้น

ดิฉันแนะนำตัวเอง และแนะนำเจี๊ยบ โดยบอกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมใหม่ ให้เขาไปสืบเอาเองว่าประวัติดิฉันเป็นอย่างไร และเขาควรจะบอกความจริงแก่ดิฉันได้แค่ไหน ดูเหมือนสุธรรมจะมีพรรคพวกมากพอใช้ พอดิฉันไปพบเขาครั้งที่ 2 เขาก็แสดงว่ารู้เรื่องของดิฉันพอสมควร เขาเรียกดิฉันว่า “คุณป้า” ตามอย่างเจี๊ยบ

ดิฉันไปเยี่ยมนักศึกษาหญิงอีกสองคนที่ทัณฑสถานหญิง เป็นอันว่าได้เยี่ยมครบ 18+1 คน (คนหลังนี้คือบุญชาติ เสถียรธรรมมณี ซึ่งถูกจับสมทบทีหลัง และส่งฟ้องแยกกัน)

เมื่อได้ทราบว่าเด็กพวกนั้นต้องขึ้นศาลพิเศษ ดิฉันก็ยิ่งนึกถึงสามีของดิฉันว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องช่วยเหลืออย่างสุดฤทธิ์ เพราะชีวิตของเขาเองนั้นถูกมรสุมร้ายแรงก็เพราะเรื่องเกี่ยวกับศาลพิเศษนี่แหละ ฉะนั้นดิฉันจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะพยายามช่วยเหลือเด็กพวกนั้นเท่าที่จะทำได้ช่วยอะไรอย่างอื่นไม่ได้ เพียงช่วยให้กำลังใจก็ยังดี

ดิฉันไปเยี่ยมเด็กทั้งสามแห่งทุกสัปดาห์ ตามวัน-เวลาที่เขาอนุญาตให้เยี่ยมได้ และไปเยี่ยมในวันที่เขานัดไต่สวนที่ศาลพิเศษชั่วคราว ที่ตั้งขึ้นที่กรมพลาธิการทหารบก ถนนติวานนท์ ใกล้ปากเกร็ดด้วย

ในการไปเยี่ยมทุกครั้งได้จัดอาหารสดใส่ปิ่นโตใหญ่พิเศษไปให้พร้อมกับอาหารแห้ง เช่น น้ำปลา น้ำตาล กุ้งแห้ง ฯลฯ เพิ่งได้รับความรู้ตอนนั้นว่าอาหารทุกอย่างให้ใส่ภาชนะพลาสติก ของที่เป็นแก้วห้ามเข้า น้ำส้มสายชูสำหรับทำกับข้าวก็ห้ามเข้าด้วย เพื่อนฝูงของดิฉันต่างช่วยเหลือโดยหากล่อง–ขวดพลาสติกทั้งใหญ่และเล็กมาให้ โดยที่ดิฉันไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาเที่ยววิ่งหาให้ลำบาก

เมื่อตอนเป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยช่วยคุณแม่ทำกับข้าวทุกวัน แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ เป็นนักเรียนประจำเมื่ออายุ 11 ขวบ ก็ไม่ได้มีโอกาสทำอาหารอีกเลย มาคราวนี้ต้องทำอาหารเอง เพราะไม่อยากกวนคนครัวของโรงเรียนซึ่งมีงานเต็มมืออยู่แล้ว ถ้าเป็นแกง ก็ทำเสร็จเสียแต่ตอนกลางคืน  ถ้าเป็นของทอด ผัด ยำ ก็เตรียมหั่นใส่กล่อง ใส่ตู้เย็นไว้ พอรุ่งเช้าก่อนไปจึงลงมือทำ เพื่อน ๆ พากันแปลกใจ เพราะเพิ่งทราบว่าดิฉันทำกับข้าวเป็นก็ในตอนนี้เอง

เนื่องจากต้องไปเยี่ยมสัปดาห์ละสามแห่ง บางครั้งดิฉันสับสน จำไม่ได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วทำกับข้าวอะไรไปให้พวกไหน และเอาของแห้งอะไรไปให้แล้วบ้าง จึงต้องเริ่มจดเป็นเรื่องเป็นราว และทำไปให้เหมือน ๆ กันทุกแห่งในแต่ละสัปดาห์ แล้วทำเป็นตำราเลย ตีตารางจดลงไปว่า ที่บางขวาง 10 คน บางเขน 7 คน และผู้หญิง 2 คนนั้น ถ้าเป็นแกงเนื้อจะต้องใช้เนื้อวัวสำหรับพวกไหนเท่าไร กะทิเท่าไร น้ำพริกแกงเท่าไร หรือผัดก๋วยเตี๋ยวพวกไหนจะต้องใช้ก๋วยเตี๋ยวกี่กิโล เนื้อสัตว์เท่าไร ผักเท่าไร เช่นนี้เป็นต้น เพื่อว่าตอนทำซ้ำจะได้ไม่ต้องคำนวณใหม่ให้เสียเวลาอีก

ดิฉันถามเด็ก ๆ ว่าใครอยากกินอะไร แล้วก็พยายามทำไปให้ บางอย่างไม่เคยทำเลยก็ลองหัดทำดู คิดว่าพอไปได้ สนุกดีเหมือนกัน เมื่อถึงวันเกิดใคร หรือวันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ ก็จะมีของพิเศษนิดหน่อย ดิฉันปฏิบัติอยู่เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาที่พวกเขาถูกขังอยู่ จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อเดือนกันยายน 2521 (เกือบสองปี)

เด็ก ๆ พวกนี้น่ารักทุกคน วันปีใหม่เขาทำบัตร ส.ค.ส. ให้ดิฉันอย่างสวยงามและอย่างฉลาด ยังจำได้ว่าบัตรใบหนึ่งทำเป็นรูปนกถูกขังในกรง และกระดาษที่เป็นรูปซี่กรงนั้นเปิดได้ด้วย บัตรอื่น ๆ ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความหมายทั้งสิ้น ในวันปีใหม่นั้น ที่บางเขน เขาขออนุญาตให้หัวหน้า (อารมณ์ พงศ์พงัน) ออกมายืนนอกห้องขัง โดยที่คนอื่น ๆ ยืนเป็นแถวเรียงกันอยู่ข้างหลังในห้องขัง หัวหน้าออกมากล่าวคำขอบคุณดิฉันและอวยพรดิฉันอย่างจับใจ ดิฉันยังจำภาพนั้นได้ดีจนบัดนี้

อยากจะขอเล่าเสริมเรื่องวันไปฟังศาลพิเศษสักหน่อย ทางการบอกว่าจะจัดที่นั่งในห้องพิจารณาคดีให้ผู้ปกครองและประชาชน 50 ที่นั่ง โดยมีพวกนักข่าวนั่งแยกออกไป ใครมาทีหลังเกิน 50 คน จะต้องนั่งฟังที่เต็นท์ในสนามข้างหน้าตึก โดยมีเครื่องขยายเสียงให้ฟัง แต่ปรากฏว่าทุกครั้งที่พวกเราไป เขาจะบอกว่ามี “ประชาชน” เข้าไปนั่งก่อนเราแล้ว 20–30 คน พวกเราประหลาดใจ วันหนึ่งจึงตกลงกันว่าให้ไปถึงแต่เช้า ก่อนประตูใหญ่ที่ถนนจะเปิด เราไปยืนเกาะประตูอยู่นาน พอประตูเปิดเราก็เป็นพวกแรกที่เข้าไป แต่เขากลับแจ้งว่ามีคนเข้าไปนั่งในห้องแล้วตั้ง 40 คน พวกเราเอะอะไม่ยอม จะเอาเรื่องให้ได้ เพราะทหารที่อยู่ด้านหน้าทุกคนก็เห็นว่าเราเป็นพวกแรกที่เข้าไปตอนประตูเปิด คิดว่าวันนี้เป็นไงเป็นกัน จะต้องร้องเรียนให้จงได้ ในที่สุดเขายอมแพ้ ปล่อยให้เราเข้าห้องไปหมด ซึ่งก็มีไม่เกิน 30 คนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

พวกเราเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ก็เห็นคนนั่งอยู่แล้วจริง ๆ รวมทั้งพวกเราด้วยก็เต็มที่นั่งทั้งหมด เราเริ่มสนใจกับ “ประชาชน” พวกนั้น ฟัง ๆ ไปได้หน่อยก็นั่งหลับกันเป็นแถว บางคนไม่รู้อะไรเลย ใครเป็นโจทก์ใครเป็นจำเลย ไม่รู้ทั้งสิ้น คนหนึ่งถามดิฉันว่าพวกที่นั่งแถวนั้นเป็นฝ่ายไหน และแถวนี้เป็นฝ่ายไหน พวกเขาได้รับการ “เชิญชวน” ให้มาฟัง โดยได้ค่าตอบแทนพิเศษ บางคนมาจากสมุทรปราการบ้าง สมุทรสาครบ้าง เวลาพักกลางวันเขาไม่ต้องนำอาหารมากินอย่างพวกเรา เขาเดินแถวกันไปกินในห้องอาหารของสถานที่นั้นเอง เขาเข้ามาทางประตูหลัง เราจึงไม่เห็น แต่เมื่อได้เห็นได้ฟังเช่นนี้แล้ว เราก็ได้แต่สังเวชใจ

มีเรื่องน่าขันอยู่เรื่องหนึ่ง คืออดีตลูกศิษย์ (หญิง) ของดิฉัน ไปเป็นนายตำรวจ และได้ถูกส่งมาสังเกตการณ์และเก็บข่าวกรอง พอมาเห็นว่าดิฉันมากับพรรคพวกจำเลย ฝ่ายตรงข้ามกับเขา เขาก็พูดว่า “แล้วกัน ! ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ครูเรามากับพวกนั้นเสียนี่ !” –ตอนหลังมีลูกศิษย์หลายคนมาซักไซ้ดิฉันใหญ่ว่าไปสนิทสนมกับพวก 19 คนนั้นตั้งแต่เมื่อไร ?

พวกนักศึกษา 6 ตุลา นี้ สัญญากันว่าเมื่อเขาได้รับการปลดปล่อยจากห้องขังทั้งสามแห่งแล้ว จะให้ดิฉันจัดเลี้ยงต้อนรับเขาเป็นคนแรก ดิฉันจัดเลี้ยงที่โรงเรียนดรุโณทยาน ตอนกลางวันของวันที่สองที่เขาได้รับการปล่อยตัวออกมา นายกรัฐมนตรี เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อยากจะเลี้ยงด้วย จึงต้องขอให้เลี้ยงเป็นอาหารเช้า ออกจากบ้านนายกฯ แล้วเขาก็ตรงมาโรงเรียนดิฉันเลย มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิดซึ่งรู้เรื่อง ก็พากันนำอาหารมาสมทบด้วย จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดโอริสสาพอดี เราจึงทำป้าย “ขอต้อนรับสู่อิสรภาพ” กับ “สุขสันต์วันเกิด” ด้วย

ก่อนอื่นดิฉันพาพวกเขาไปทำความเคารพรูปอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งอยู่ในห้องรับแขกโรงเรียนดรุโณทยาน แล้วพวกเขา โดยการนำของสุธรรม ก็มอบกระเช้าดอกไม้ให้ดิฉัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเองและสดชื่นรื่นเริง เสียงถามเสียงตอบประชันกันแซดไปหมด ฟังไม่ได้ศัพท์เลย

เมื่อกินเสร็จ เราจัดให้เขาแต่ละคนปล่อยนก (กระดาษ) ซึ่งผูกติดกับลูกโป่งให้ลอยขึ้นไป น่าดูทีเดียว แต่ละคนเชียร์นกของตนให้ลอยสูง ๆ นอกจากนก 19 ตัวแล้ว พรรคพวกยังพลอยปล่อยลูกโป่งเปล่า ๆ ขึ้นไปสมทบด้วย

ตอนนั้นสุธรรมซึ่งเป็นหัวหน้านักศึกษาทั้งหมด จะต้องมีคนมาเยี่ยมเยียนและสัมภาษณ์มากราย แต่สุธรรมไม่มีบ้านในกรุงเทพฯ เขาต้องไปอยู่กับญาติที่สมุทรปราการ ซึ่งโทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่สะดวกเลย–บังเอิญบ้านของลูกสาวดิฉันซึ่งเป็นเรือนไม้สองชั้นเล็ก ๆ ว่างอยู่ เพราะเจ้าของไปอยู่ต่างประเทศ เลยบอกให้สุธรรมมาอยู่ บ้านนี้อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถนนงามวงศ์วาน ใกล้สามแยกเกษตร ซึ่งจะเข้าออกทางถนนพหลโยธินก็ได้ด้วย มีรถประจำทางผ่านหลายสาย โทรศัพท์และเครื่องใช้ไม้สอยในการกินการนอนมีพร้อมทุกอย่าง เพียงมาแต่ตัวเท่านั้นก็อยู่ได้แล้ว

ได้ขอร้องมหินทร์ซึ่งบ้านอยู่ทางฝั่งธนฯ ให้มาอยู่เป็นเพื่อนสุธรรมด้วย (บ้านนี้มีสองห้องนอน) ระยะนั้นต้องระวังความปลอดภัยไว้ก่อน เพราะประชาชนยังสับสน ยังมีคนที่เข้าใจผิดและจงเกลียดจงชังนักศึกษา (โดยเฉพาะหัวหน้าคนนี้) อีกไม่น้อย บ้านหลังนี้ข้างหนึ่งติดกับบ้านหลานดิฉันเองซึ่งนับว่าปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่งติดบ้านคนอื่น เราไม่ไว้ใจ ต้องให้ปิดหน้าต่างทางด้านนั้นทั้งชั้นล่างและชั้นบนตลอดเวลา

อภินันท์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีคนจ้องปองร้าย เขาไม่มีบ้านในกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับสุธรรม แต่จะให้อยู่รวมกันไม่ได้ เพราะจะเป็นที่หวาดระแวงว่าอาจมีการมั่วสุมกันอีก ตอนนั้นเขาอาศัยอยู่ที่บ้านอนุพงศ์ แต่เขาเกรงใจคุณพ่อคุณแม่อนุพงศ์ เพราะตัวเขาเองต้องเข้า ๆ ออก ๆ วันละหลายครั้งจนถึงตอนกลางคืนด้วย บางทีต้องปีนเข้าบ้าน–ก็บังเอิญอีกนั่นแหละ ที่ดิฉันมีบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งอยู่บนถนนงามวงศ์วานเหมือนกัน แต่อยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี ใกล้สี่แยกพงษ์เพชร บ้านหลังนี้เป็นที่มาพักผ่อนนอนเล่นในวันเสาร์-อาทิตย์ จึงให้ชื่อว่า “กระท่อมสุดสัปดาห์” แต่ทั้งบริเวณบ้านเรียกว่า “ทับแคราย”

ในบริเวณเดียวกับกระท่อมสุดสัปดาห์ มีเรือนแถวเล็ก ๆ ชั้นเดียวสองห้องและมีห้องน้ำด้วย เรือนแถวนี้เตรียมไว้ให้คนงานอยู่ถ้าดิฉันย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่เลย (ตอนนั้นดิฉันยังอยู่ที่โรงเรียนดรุโณทยาน ถนนพญาไท) ดิฉันเอาตู้-เตียงและเครื่องใช้ที่จำเป็นใส่ในเรือนแถวห้องหนึ่ง เพื่อให้อภินันท์อยู่ น้ำ-ไฟมีพร้อม แต่ไม่มีมุ้งลวด ต้องใช้กางมุ้งเอา โทรศัพท์อยู่ในเรือนอีกหลังหนึ่งซึ่งดิฉันให้คนเฝ้าอยู่ ถ้าจำเป็นก็ไปขอเขาใช้ได้ คนเฝ้านี้เป็นผู้หญิงกลางคน อยู่กับดิฉันมากว่า 20 ปีแล้ว ดิฉันฝากให้เขาช่วยดูแลอภินันท์ ให้ปิดประตูรั้วบ้านไว้ตลอดเวลา เพราะอภินันท์มีกุญแจไขเข้า-ออกเอง ใครถามก็ให้บอกว่าอภินันท์เป็นหลานของเขาซึ่งจะมาขออยู่ชั่วคราว อภินันท์ดูเหมือนจะเป็นคนแรกที่ไปเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์ จากบ้านนี้เขาเดินทาง

สะดวก ขึ้นรถประจำทางทอดเดียว ไม่ต้องต่อ-เปลี่ยนรถ เป็นอันหมดห่วงไปคนหนึ่ง

คนอื่น ๆ ค่อย ๆ กลับไปเรียนต่อทีละคน แต่มีอยู่หลายคนที่เกิดความเบื่อหน่าย หมดความกระตือรือล้น ต่างก็พูดว่าปริญญาเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว ไม่มีความหมายอะไร ดิฉันต้องอ้อนวอนขอร้องแกมบังคับ อธิบายว่าถ้าพวกเขาตกงานในกาลภายหน้า อย่างน้อยกระดาษแผ่นนั้นก็คงจะช่วยเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย ในที่สุดทุกคนก็เรียนต่อจนสำเร็จ

ระยะนั้นเรายังไม่ไว้ใจทางการมากนัก เขาอาจเปลี่ยนใจหรือหาเหตุเก็บตัวเด็กพวกนี้กลับไปขังอีก จึงให้ทุกคนไปทำหนังสือเดินทางไว้ เอะอะจะได้เดินทางออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้น ไม่อยากให้เสียเวลาไปอยู่ในห้องขังโดยไร้ประโยชน์

สมัยนั้น ดิฉันเดินทางไปต่างประเทศทุก ๆ เดือนเมษายน–พฤษภาคม ระหว่างโรงเรียนปิดภาคปลายในฤดูร้อน สุธรรมจะแต่งงานกับวชิราภรณ์ (รุ้ง) แต่เขารอให้ดิฉันกลับมาก่อน ดิฉันได้จัดพิธีรดน้ำสังข์ให้เขาอย่างเรียบ ๆ ที่โรงเรียนดรุโณทยาน โดยที่ท่านผู้หญิงพูนสุข พนมยงค์ กรุณามาเป็นประธาน และญาติมิตรที่ใกล้ชิดร่วมเป็นสักขีพยาน หลังจากเลี้ยงพระแล้ว พวกเราก็ร่วมรับประทานอาหารและสังสรรค์กัน เป็นอันจบพิธีน้อย ๆ ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวพอใจ

ในตอนเย็นวันเดียวกันนั้น เพื่อน 6 ตุลา เป็นเจ้ากี้เจ้าการช่วยกันจัดการเลี้ยงอาหารที่โรงแรมราชศุภมิตร ไม่มีบัตรเชิญ ได้แต่บอกต่อ ๆ กันไปในวงเพื่อนฝูง แต่ประชาชนที่ชื่นชมนักศึกษา 6 ตุลา โดยเฉพาะผู้ที่มีศรัทธาในหัวหน้านักศึกษาคนนี้ ได้หลั่งไหลมาโดยมิได้นัดหมายกัน มาแสดงความยินดีด้วย น้ำใสใจจริง จำนวนแขกเกินกว่าที่ได้แจ้งไว้กับทางโรงแรมหลายต่อหลายเท่า ถือเป็นประวัติการณ์ทีเดียว

สุธรรมและรุ้งได้รับเชิญให้ไปเยือนยุโรป แต่เพียงชั่วเวลาเป็นเดือนเท่านั้น หลังจากกลับมาแล้วเขาไปซื้อบ้านผ่อนส่งที่ซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว จึงย้ายไปจากบ้านลูกสาวดิฉัน ปล่อยให้มหินทร์อยู่ต่อไปคนเดียว ซึ่งไม่นานนัก มหินทร์ก็แต่งงาน และย้ายออกไปด้วย ส่วนอภินันท์ยังคงอยู่ในบริเวณทับแครายต่อไป

อาจมีบางคนสงสัยว่า ทำไมดิฉันจึงเล่าแต่เรื่องของสุธรรม มหินทร์ และอภินันท์ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นไม่ได้เอ่ยถึงเลย ขอตอบว่าที่เอ่ยถึงสามคนนี้ก็เพราะมีเรื่องพัวพันกันอยู่เสมอ คนอื่น ๆ ได้พบกันเป็นครั้งคราว ส่วนมากเขาจะมาพบกันที่บ้านสุธรรม หรือไม่ก็ที่ทับแคราย บ้านดิฉัน และทุก ๆ วันที่ 6 ตุลาคม เราจะต้องไปพบกันที่โรงพยาบาลสงฆ์ เวลา 10.30 น. (โดยมิต้องมีการเตือนกัน) เพื่อทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุลให้แก่เพื่อน ๆ ที่เสียชีวิตในกรณี 6 ตุลา 2519 บางคนจะไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อน เพราะเขามีการตักบาตรทุกปี หลังจากนั้นจึงจะมาต่อที่โรงพยาบาลสงฆ์

ต่อมาหลาย ๆ ปีเข้า เราเห็นว่าโรงพยาบาลสงฆ์มีเจ้าภาพวันละตั้ง 20–30 คน ทั้ง ๆ ที่เราจองล่วงหน้าตั้ง 1–2 เดือน ก็ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงพระ เป็นแต่ได้ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์อาพาธ แล้วก็ได้บังสุกุลหลังจากที่เจ้าอื่นเขาเลี้ยงพระแล้ว เราจึงเปลี่ยนมาทำบุญกันที่ทับแคราย ซึ่งเราได้เลี้ยงพระเต็มที่ และก็เป็นส่วนตัว ไม่ต้องปะปนกับใคร เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ยังได้ร่วมรับประทานอาหารและสังสรรค์ ใครไม่มีกิจธุระอะไร จะอยู่คุยกันไปอีกกี่ชั่วโมงก็ได้ สะดวกดี

พวก 6 ตุลา นี้ ส่วนมากได้รับทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในเวลาต่าง ๆ กัน ฉะนั้นการมาพบกันจะไม่ค่อยครบ ปีนี้ขาดคนนั้น ปีต่อไปจะขาดคนโน้น สุชีลาไปเนเธอร์แลนด์ กลับมาอยู่ได้พักหนึ่งก็ได้ไปประเทศอังกฤษ ธงชัย ครั้งแรกไปออสเตรเลีย ตอนหลังได้ไปอเมริกา วิโรจน์ไปปักกิ่ง  สุรชาติ-โอริสสา ไปอเมริกา เป็นต้น

คนที่มีครอบครัวเป็นหลักฐานและอบอุ่น คือเสงี่ยม ซึ่งอยู่ถึงจังหวัดตรัง แต่ไม่เคยขาดประชุมวันที่ 6 ตุลาคมเลย พวกนี้ขณะนี้ส่วนมากแต่งงาน และมีลูกกันคนละ 1–2 คนแล้ว มีแต่อภินันท์และสุชีลาซึ่งยังครองโสดอยู่

สุธรรมกับรุ้งไปอเมริกาประมาณสองปีกว่า พอกลับมาได้ไม่เท่าไรก็ประสบอุบัติเหตุ รุ้งถึงแก่กรรม ดิฉันเห็นว่าเขายังไม่มีรายได้อะไร จึงแนะนำให้เอาบ้านให้เช่าเสียแล้วกลับมาอยู่บ้านลูกสาวดิฉันใหม่ เพราะบ้านก็ว่างอยู่ตลอดเวลา เอาลูกชายทั้งสองมาเข้าโรงเรียนดิฉัน และตอนเช้าให้นั่งมากับรถโรงเรียน เพราะรถต้องไปรับกับข้าวและรับครูที่นั่นอยู่แล้ว ทำเช่นนี้จะไม่เปลืองค่าใช้จ่ายเลย สุธรรมรับปากว่าจะมา แต่ยังไม่ทันได้มา จริง ๆ เขาก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ดิฉันคิดว่าเขาคงจะล้มเลิกความคิดแล้ว เพราะบ้านนี้เล็ก พวกผู้แทนฯ มักจะต้องต้อนรับแขกมาก แต่ปรากฏว่าสุธรรมมาอยู่จริง ๆ เขาปรับปรุงเพิ่มเติมขยายตัวบ้านให้ใหญ่ขึ้น ตลอดเวลาที่เขาสอบตก ไม่ได้เป็นผู้แทนฯ แล้วตอนหลังได้เป็นผู้แทนฯ กรุงเทพฯ จนกระทั่งได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เขา

ก็ยังไม่ได้ย้ายไปไหน

หลายคนคงคิดว่าดิฉันให้เวลา ให้ความสำคัญแก่พวก 6 ตุลา มากไป แต่ดิฉันเห็นว่าพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิฉัน ดิฉันอุทิศเวลาให้นักเรียนของดิฉันมากที่สุด ถัดมาก็ให้แก่ญาติมิตร พวก 6 ตุลานี้ ถึงไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ญาติสนิทเสียด้วย ครั้งหนึ่งท่านปรีดี พนมยงค์ พูดกับดิฉันที่ปารีส เอ่ยถึงพวกนี้ว่า “ลูก ๆ ของคุณ” ดิฉันถามว่า “ลูกไหนคะ ?” ท่านว่า “ก็พวก 6 ตุลา นั่นไง” ดิฉันแย้งว่าไม่ใช่ลูก เป็นหลาน เพราะเขาเรียกดิฉันว่า “คุณป้า” ท่านปรีดีว่า “ก็เหมือนกันนั่นแหละ”

สุธรรมเขียนในหนังสือที่แจกตอนงานศพรุ้งว่าเขาถือว่าดิฉันเป็นแม่คนที่สองของเขา ซึ่งดิฉันปลื้มใจมาก คิด ๆ ดูแล้วก็แปลกดี จู่ ๆ คนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนเลย ได้มาพบกันแล้วสนิทสนมกลมเกลียวกันมากเช่นนี้ ดิฉันได้หลาน (ลูก) โต ๆ พร้อมกันถึง 19 คน !

บางทีชาติก่อนเราคงจะเป็นครอบครัวเดียวกันกระมัง ?

เรื่องเกี่ยวกับนักศึกษา 6 ตุลา 19 นี้ ดิฉันได้เคยตีพิมพ์ไว้แล้วในหนังสือ บทความประกอบชีวประวัติของฉลบชลัยย์ พลางกูร แต่ได้ตัดตอนมาลงไว้ในหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง พร้อมกับเรื่องราวเพิ่มเติมซึ่งอยากเล่าสู่กันฟัง เพราะนักศึกษาเหล่านี้ส่วนมากก็ยังคงติดต่อกับดิฉันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ขอย้อนไปเล่าถึงตอนที่พวกเขาได้รับอิสรภาพใหม่ ๆ ดิฉันไม่ไว้ใจในรัฐบาลขณะนั้นนัก เกรงว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วพวกนี้จะถูกจับกลับไปขังไว้อีก จึงพยายามให้คนที่ดิฉันพอจะติดต่อได้ ไปขอทำหนังสือเดินทางเอาไว้ เตรียมตัวไว้ให้พร้อม เกิดเอะอะกันขึ้นจะได้หลบหนีได้ทัน–ตอนนั้น พันตำรวจเอก เสฐียร สินธุเสน ซึ่งรู้จักกับดิฉันอย่างดี เป็นใหญ่อยู่ในแผนกนี้ ท่านได้ให้ความช่วยเหลือมากเหลือเกิน จนดิฉันรู้สึกเกรงใจมาก วันหนึ่งดิฉันจึงไปที่ที่ทำการตำรวจสันติบาลเอง โดยไม่แจ้งให้ท่านทราบ แตบังเอิญลูกน้องคนสนิทของท่านเห็นดิฉันเข้า ได้ไปรายงานต่อท่าน ท่านยังโทรศัพท์มาต่อว่าเป็นการใหญ่

ยิ่งกว่านั้น ตอนที่สุธรรมจะต้องไปในการประชุมนักศึกษาหลายประเทศที่ฮ่องกง มีเรื่องติดขัดเล็กน้อย (เรื่องอะไรจำไม่ได้ แต่สุธรรมคงจำได้) คุณเสฐียรยังอุตส่าห์เขียนรับรองด้วยลายมือของท่านเองอย่างยืดยาว ดิฉันบอกสุธรรมว่าเขาเสี่ยงตัวช่วยเราอย่างนี้ เราต้องพยายามอย่าทำให้ เขาลำบากเป็นอันขาด (คือในใจดิฉันเกรงว่าถ้าสุธรรมเห็นท่าไม่ดี อาจไม่กลับเข้ามาก็ได้ ดิฉันเองจะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่)

นอกจากนี้ยังจัดให้ สุธรรม มหินทร์ (และให้ชวนเพื่อนคนอื่นด้วย) ไปหัดขับรถยนต์ เอาใบอนุญาตขับขี่เป็นทางการไว้ เผื่อจะได้ช่วยตัวเองหรือช่วยคนอื่นได้ด้วย

สมัยนั้น ดิฉันไปฮ่องกงบ่อย เพราะมีที่พักพิง คือคุณศุขปรีดา พนมยงค์ ลูกชายของท่านปรีดี ทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพที่นั่น ตอนสุธรรมไปฮ่องกงนั้น ดิฉันอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว แต่กระนั้นยังมีข่าวแพร่ออกไปว่าดิฉันเป็นคนพาสุธรรมไปฮ่องกง !

ดิฉันไปประเทศอังกฤษทุก ๆ เดือนเมษายน ตอนโรงเรียนปิดเทอมปลาย เพราะลูกสาวเรียนอยู่ที่นั่น ได้พบนักเรียนหลายคนที่สนใจมาถามข่าวความเป็นอยู่ของนักศึกษา 6 ตุลา ผู้นำของนักเรียนเหล่านั้นบอกว่าพวกเขาเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ได้เงินพอใช้ไม่ลำบาก เขาอยากจะมีส่วนช่วยพวก 6 ตุลาบ้าง โดยเจียดเงินรวมกันให้เป็นทุนเล่าเรียนแก่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ขอให้ดิฉันช่วยจัดการให้ด้วย

ดิฉันทำตามที่เขาขอร้องมา บอกพวก 6 ตุลา ว่าพี่ ๆ ที่ประเทศอังกฤษเขาอยากมีส่วนช่วยพวกเรา และได้จัดให้พวกเราคนหนึ่งรับไว้ เดือนละไม่มากนัก ตามที่เขาต้องการ โดยมีเงินให้พิเศษต่างหากในตอนสอบทุกครั้งตามจำนวนที่เขาจะต้องจ่าย ทำอยู่เช่นนี้จนกระทั่งเขาเรียนจบ

เมื่อดิฉันไปอังกฤษในเดือนเมษายน ดิฉันก็บอกกับหัวหน้านักเรียนที่นั่นว่า น้องที่ได้รับทุนเขาฝากขอบใจพวกพี่ ๆ ทุกคน (ซึ่งเป็นความจริง) แต่ดิฉันไม่ยอมรับเงินจากเขา โดยบอกว่าตามปกติดิฉันก็ให้ทุนแก่นักเรียนทั่วไปอยู่แล้ว เท่าที่พวกเขามี น้ำใจคิดช่วยเหลือพวกน้อง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญมาก ถึงแม้เขาไม่ได้ให้เงินจริง ๆ (โดยดิฉันออกให้แทนนั้น) ก็ขอให้เขาภูมิใจได้ว่าเขาได้ทำสิ่งที่ดี และดิฉันจะไม่บอกน้องคนนั้นในเรื่องที่ดิฉันออกเงินแทนไปเลย–ซึ่งเขาก็ไม่เคยรู้จนบัดนี้

หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แล้ว ต่อมาอีกหกเดือน เมษายน 2520 ดิฉันไปปารีส และได้ไปร่วมงานสงกรานต์ของนักเรียนไทยที่นั่น เพราะเขาเชิญท่านปรีดี พนมยงค์ ไปรับรดน้ำสงกรานต์ด้วย มีนักเรียนหลายคนซึ่งดิฉันไม่เคยรู้จักมารุมล้อมดิฉัน และเรียกดิฉันว่า “คุณป้า” อย่างสนิทสนม ได้ความว่าเขาชื่นชมที่ดิฉันได้มีส่วนช่วยเหลือพวก 6 ตุลา เขาจะรู้เรื่องจากทางไหนไม่ทราบ แต่มีแปลกที่คนหนึ่งบอกว่าได้รู้ชื่อดิฉันจาก “ในป่า” ดิฉันไม่ได้ซักไซ้อะไร เพราะเห็นว่าไม่สมควรในขณะนั้น แต่ดิฉันดีใจมากที่เห็นว่านักเรียนที่นั่นมีความเป็นห่วงพวก 6 ตุลา กันแทบ

ทุกคน

จะขอแอบเล่าเรื่องพวก “ในป่า” สักหน่อย เพราะเดี๋ยวนี้คงไม่ถือว่าเป็นความลับแล้ว

สมัยนั้นมีพวกที่ออกมาจากป่าซึ่งเป็นญาติของดิฉันกับคนอื่น ๆ ด้วย ดิฉันเห็นว่าเขาไม่ได้เข้ามาทำอันตรายอย่างใด บางคนเข้ามาหาซื้อเมล็ดพันธุ์ผักและเชื้อเห็ดฟาง บางคนมาซื้อยารักษาโรคที่จำเป็น ฉะนั้นดิฉันจึงจัดให้เขาอยู่ที่บ้านของดิฉัน ซึ่งที่จริงก็ไม่ค่อยดีอยู่เหมือนกัน เคยคิดว่าถ้าตำรวจจับได้ก็คงจะได้ชิมรสคุกบ้างละ !

ในการที่ดิฉันได้รู้จักพวก 6 ตุลา เป็นอย่างดีนั้น ทำให้ดิฉันได้พลอยรู้จักพวก 14 ตุลา 2516 ไปด้วยอีกหลายคน บางคนพบกันในเมืองไทยโดยมีคนแนะนำ และบางคนก็มาแนะนำตัวเอง หลายคนได้พบในต่างประเทศ เช่นที่ปารีสและลอนดอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อดิฉันได้รับเชิญไปประเทศจีนโดยไปกับท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์และคุณวาณีลูกสาวของท่าน ทางการจีนเขาดีมาก เขามาถามท่านผู้หญิงว่ามีพวก 14 ตุลา เป็นคณะรวม 3 คน ได้มาประชุมหรือดูงานอะไรก็จำไม่ได้ จะมาขอพบท่าน ท่านจะอนุญาตให้พบหรือไม่ ท่านผู้หญิงตอบรับด้วยความเต็มใจ เพราะอันที่จริงท่านก็เคยพบพวกนี้มาแล้วที่ปารีส ดิฉันก็เคยพบเหมือนกัน สามคนนั้นได้แก่คุณธีรยุทธ บุญมี คุณพินิจ จารุสมบัติ และคุณวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ และซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ดิฉันเพิ่งจะได้รู้จัก

ถึงแม้เดี๋ยวนี้เหตุการณ์บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปจนดิฉันตามไม่ทัน (หรือไม่อยากตาม) ดิฉันก็ยังถือว่า พวก 6 ตุลาและ 14 ตุลา ที่ดิฉันได้กล่าวถึงมาแล้วยังเป็นเพื่อนที่ดีของดิฉันอยู่ ที่ยังติดต่อกันก็มีคุณประสาร มฤคพิทักษ์ คุณพีรพล ตริยะเกษม และคนอื่น ๆ ที่มาร่วมงานวันที่ 6 ตุลาคม

หมายเหตุ :

  • คงอักขรวิธีสะกดตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ฉลบชลัยย์ พลางกูร, 2459-2560 (2559). อัตชีวประวัติ ภาคปัจฉิมวัย. ม.ป.พ.