ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

PRIDI Interview : สุธรรม แสงประทุม ความสัมพันธ์ระหว่างคุณฉลบชลัยย์ พลางกูร กับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ผ่านสายตาของลูกหลาน นักต่อสู้ และผู้ร่วมอุดมการณ์

19
พฤศจิกายน
2568

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

สวัสดีครับ ผม ประวิตร โรจนพฤกษ์ ในฐานะกรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์ วันนี้ได้รับเกียรติอันพิเศษจากท่าน ส.ส. สุธรรม แสงประทุม สำหรับรายการ PRIDI Interview

วันนี้ เราจะมาคุยกันในวาระครบรอบ ชาตกาล 109 ปี ของคุณครูฉลบชลัยย์ พลางกูร ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีชีวิตเชื่อมโยงกับนายปรีดี พนมยงค์ แล้วก็จะคุยถึงเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ซึ่งคุณสุธรรมก็เป็นหนึ่งในแกนนำนักศึกษา ผู้มีบทบาทในสมัยนั้น

ก่อนที่เราจะเริ่มคุยกัน ตอนนี้คุณสุธรรมอายุเท่าไหร่แล้วครับ?

 

สุธรรม แสงประทุม :

อายุ 70 แล้ว

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ก็อยากจะคุยทั้งเรื่อง 6 ตุลาฯ ทั้งตัวของครูฉลบชลัยย์ แล้วก็บทบาทของท่านปรีดี พนมยงค์ อยากให้คุณสุธรรมช่วยแนะนำตัวเองสักเล็กน้อย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่างตัวคุณสุธรรม กับครูฉลบชลัยย์ครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

สวัสดีครับ วันนี้เป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านประวิตร โรจนพฤกษ์ สำหรับผมก็เป็นคนเดือนตุลา เดือนตุลาจริง ๆ ตอน 14 ตุลาฯ ก็อยู่ปีหนึ่งที่นิติศาสตร์จุฬาฯ ก็เข้าร่วมในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่า พอเกิดการพลิกผัน มีการปะทะกันรุนแรง ผมก็ได้เข้าร่วมกับมวลชนด้วย ก็ถูกจับในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 แต่ถูกจับในสนามต่อสู้ ตอนนั้น หลังจากออกจากสวนจิตรลดา แล้วก็เกิดจลาจลขึ้น นักศึกษาก็ออกสู้ตามแนวของมวลชน มีประชาชน ก็เริ่มเผาป้อมยาม ตำรวจ เริ่มระบายอารมณ์ที่ตกค้างอยู่ ก็กลายเป็นจลาจล

ผมก็เข้าร่วมกับชาวบ้านที่บางลำพู แล้วก็ถูกจับไปขังที่โรงพักชนะสงครามประมาณสัก 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ถูกนำไปสอบสวนที่สโมสรทหารบก ตอนนั้น พันโทมนูญ รูปขจร เป็นคนนำรถถังลำเลียงพลมารับตัวที่โรงพักชนะสงคราม

ในการต่อสู้ทางการเมือง ฝ่ายผู้มีอำนาจก็มักจะอ้างว่ามีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนั้นนักศึกษาส่วนใหญ่จะไว้ผมยาว จะมีการกล่าวหากันว่า จอมพลประภาส หรือจอมพลถนอม ถูกหักหลังโดยพลโทวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ เพราะฉะนั้น เรื่องราวต่าง ๆ ที่จริงกำลังจะจบแล้ว แต่ว่าพวกนี้สร้างสถานการณ์ขึ้นมาใหม่ พวกผมเองก็ผมยาว ตอนปีหนึ่งไว้ผมยาว

 

ประวิตร โรนจพฤกษ์ :

ยาวขนาดไหนครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

ยาวขนาดนี้เลยครับ ผมยาวถึงบ่า เพราะว่าเป็นฮิปปี้ (Hippie) สะพายย่าม ผมยาว

 

สุธรรม แสงประทุม

 

ตอนนั้นเขาก็มีการกล่าวหาว่า วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ซึ่งเคยคุมกำลังเสือพรานอยู่ในลาว ได้ส่งเสือพรานเข้ามาสร้างสถานการณ์ เหตุการณ์จะสงบแล้ว ส่งมายิงโน่น ส่งมา สร้างสถานการณ์นี่ ผมก็ถูกจับในฐานะเป็นผู้นำประชาชนอยู่ที่สี่แยกบางลำพู ไปขัง ไว้พักหนึ่ง แล้วก็เอาไปสอบสวนที่สโมสรทหาร แถวเทเวศร์

ในขณะที่สอบสวนอยู่ก็มีหลายฝ่ายเข้ามาสอบ มีทหาร มีตำรวจ มีสันติบาล มี 11 คนที่ถูกจับมาจากที่ต่าง ๆ บางคนพอมีการเผากองสลาก เผากรมประชาสัมพันธ์ ก็กระโดดออกมา ก็ถูกจับทั้งหมด 11 คน

ระหว่างที่สอบสวนอยู่ สักประมาณ 2 ทุ่ม ก็มีตำรวจคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นยศพันตำรวจเอก เสมอ ดามาพงศ์ เป็นรองผู้การสอบสวนเหนือ เข้ามากระซิบกับผมว่า “น้องชาย ตอนเรียกสอบคิดว่าเป็นเสือพรานอยู่ที่ลาว และถูกส่งเข้ามาจารกรรม”

ผมตอบกลับไปว่า “ผมไม่มี ผมเป็นนักศึกษา เป็นนิสิตปีที่หนึ่ง” เขาก็สอบไปสักพักหนึ่ง ถามว่า “อยากกลับบ้านไหม”

ผมก็อยากกลับสิ ผมถามว่า “ถามทำไม กลับได้ด้วยเหรอ” เขาว่าถนอมลาออกพอดีเมื่อประมาณ 2 ทุ่ม เพราะฉะนั้น ฝ่ายนักศึกษาประชาชนก็คงได้รับการปล่อยตัวแล้ว ก็ปล่อยผมออกมา

ผมติดอยู่เกือบวันหนึ่งตอนนั้น แต่ถ้า 14 ตุลาฯ จอมพลถนอม ไม่ออกไป พวกผมก็คงถูกฆ่า ณ วันนั้นแล้ว เพราะว่ามันเหมือนกับเป็นหน่วยที่เข้ามาสร้างสถานการณ์ ก็เป็นเหยื่อเหมือนกับตอนหลังชายชุดดำ พวกชายชุดดำก็จะเป็นตำนาน เป็นบุคคลนิรนาม ที่ถ้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้องก็เป็นการโยนภาระของการต่อสู้ไปให้กับพวกอยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า จนวันนี้ พฤษภาทมิฬก็มีชายชุดดำ เห็นไหมครับ ทุกอย่างก็จะเป็นอย่างนั้น

หลังจากนั้นอีก 3 ปี นักศึกษาเริ่มมีเสรีภาพ หลัง 14 ตุลาฯ ก็มีการเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตย ประชาชนที่ถูกกดทับ กดขี่อยู่นาน ได้ระบายความรู้สึก ระบายความทุกข์ยากออกมา เป็นรูปกรรมกรเรียกค่าแรง มีการตั้งสมาคม สหพันธ์แรงงาน มีการตั้งองค์กรธรรมกร นักศึกษาเวลาเดียวกันก็ไปพบบุคคลทุกข์ยากอีกกลุ่มหนึ่ง คือชาวนา ไปจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย

เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่ถาวร อำนาจที่ได้มาหรือเสรีภาพที่ได้มาก็ควรจะให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจนี้ นักศึกษาก็เป็นสะพานเชื่อม ไปพบสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ก็ออกไปเผยแพร่ประชาธิปไตย

นักศึกษาก็มีโครงการกลับสู่บ้านเกิด 14 ตุลาฯ นะครับ เพราะนักศึกษานั้นเป็นคนบ้านนอกจริง แต่พอส่งมาเรียนก็ไปใช้สินค้าเมืองแล้ว กลายเป็นคนเมืองแล้ว ไม่เข้าใจความทุกข์ยากที่พี่น้องประชาชนมี จากกิจกรรมนั้นเลย ทำให้เราได้ไปพบว่า กรณี “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” มันเกิดขึ้นในประเทศไทย

 

ภาพวาดการเผาประชาชนลงถังแงด 
ที่มา : สินธุ์แพรทอง.ไทย

 

ชาวบ้านในชนบทหายไปหลายพันคน เพียงแต่ถูกกล่าวหาว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ถูกจับไปสอบสวนแล้วฆ่าทิ้ง ทั้งหมู่บ้านหายไปหมด นักศึกษาใช้โครงการกลับสู่บ้านเกิด เข้าไปรับรู้ โอ้โฮ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ถังแดงนี่คือเขาฆ่าก่อน แล้วนำศพเข้าไปใส่ในถังสีแดง?

 

สุธรรม แสงประทุม :

ระหว่างนั้นทรมานระหว่างสอบสวน สอบสวนไปก็ใช้ความรุนแรง บังคับให้สารภาพ แล้วก็เผาลงในถังเลย เผาทั้งเป็นเลย พอดีกับถังแดง

พวกผมก็ไปกับศูนย์นิสิตเป็นแกนนำ เข้าไปพบ มีพินิจ จารุสมบัติ มีเหวง โตจิราการ เหวงเป็นผู้นำนักศึกษา แต่ผมจะอยู่ปลายแถวอยู่ ยังเป็นเด็กเริ่มทำกิจกรรม หลังจากนั้น ความรุนแรงก็เริ่มมีการตอบโต้จากผู้มีอำนาจที่เสียอำนาจไปแล้ว ก็ร่วมกับอเมริกา ก็ได้ใช้ขบวนการมวลชนที่เคยใช้ในสงครามเวียดนาม เอามาใช้กับนักศึกษา

ส่งผลให้นักศึกษาเริ่มสร้างความแตกแยก แยกพลังอาชีวะออกจากศูนย์นิสิต เป็นการสลาย หรือ “Divide and Rules” (แบ่งแยกแล้วปกครอง) ก็จะให้ชาวบ้านเข้าใจนิสิตนักศึกษาผิด แบ่งแยก ก็มีกระบวนการสร้างความรุนแรงตอบโต้ เช่น สังหารผู้นำชาวนา สังหารผู้นำกรรมกร สังหารผู้นำนักศึกษา หลายคนก็บาดเจ็บล้มตาย เช่น อาจารย์บุญสนอง เลขาธิการพรรคสังคมนิยม ก็ถูกลอบยิงตายที่บ้านกลางเมืองที่กรุงเทพมหานคร ผู้นำชาวนาหลายคนก็ถูกลอบยิงตายโดยเฉพาะทางเหนือ ภาคกลาง ตายถึง 40-50 คน ก็เป็นความต้องการจะสยบให้เกิดความหวาดกลัว

แต่ยิ่งปราบ ยิ่งสลาย นักศึกษาก็มีการรวมตัวกันต่อสู้มากขึ้น นักศึกษาเองก็ยังใช้ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเป็นองค์กรในการเคลื่อนไหว เผยแพร่ประชาธิปไตย

มีการลงพื้นที่ไปรับฟังความทุกข์ของชาวบ้าน แล้วนำความทุกข์เหล่านั้นมาเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ อย่างกรณีถังแดงก็เอาคนพัทลุงที่รอดตาย ที่ญาติพี่น้องถูกฆ่าตายมาพูดกลางสนามหลวง มาเปิดโปงให้เห็น ถึงมีการรู้ว่าความรุนแรงแบบนี้มีอยู่

เมื่อปี 2519 ผมอยู่ปี 4 พอดี ก็ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ต่อจากเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ รุ่นผมก็มีประยูร อัครบวร เป็นรองเลขาฯ สุชีลา ตันชัยนันท์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไป เป็นรองเลขาฯ ฝ่ายสังคม การศึกษา แล้วก็คุณจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ก็เป็นรองเลขาฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เพิ่งเสียชีวิตปีนี้ เราก็รวมตัวกันทำกิจกรรม

แต่แล้วผู้มีอำนาจเมื่อ 14 ตุลาฯ 2516 ก็เริ่มฟื้นอำนาจของตัวเอง นำจอมพลถนอม จอมพลประภาส ซึ่งไปอยู่ต่างประเทศกลับมาประเทศไทย นักศึกษาก็รวมตัวกันต่อสู้ แล้วก็ไปชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ต่อ ต้องการให้รัฐบาลเสนีย์ในเวลานั้นนำจอมพลถนอมออก หรือจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ปรากฏว่ามีการสร้างสถานการณ์จนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519

เหตุการณ์นี้ก็มาจากนักศึกษาในธรรมศาสตร์ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ตอนนั้นไปใช้ธรรมศาสตร์เป็นที่ชุมนุม ก็ปรากฏว่ามีการสร้างสถานการณ์ ก็คือคนซึ่งเรียกร้องให้นำตัวจอมพลถนอมออก ถูกกระทำ ถูกนำมาแขวนคอ นักศึกษาก็ใช้เหตุการณ์เหล่านี้มาจำลองเหตุการณ์ว่า ผู้บริสุทธิ์ที่ลุกขึ้นสู้อย่างสันติถูกกระทำแบบนี้ นิสิต นักศึกษา ประชาชน จะอยู่เฉยได้อย่างไร ก็แสดงละครล้อเลียนเหตุการณ์นั้นที่ธรรมศาสตร์

ปรากฏว่าภาพละครเหล่านี้ก็ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง กล่าวหาว่านิสิตนักศึกษาสร้างละคร แสดงละคร “หมิ่นองค์รัชทายาท” และมีการเผยแพร่ มีสถานีวิทยุยานเกราะ มีอะไรมาก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูกจัดตั้งขึ้น คล้าย ๆ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) ในปัจจุบัน เป็นหน่วยที่ใช้มวลชนต้านมวลชน ใช้มวลชนสร้างความแตกแยกเกิดขึ้น แล้วก็พอแสดงละครก็ลุกขึ้นมาปราบปราม ใช้ความรุนแรงกับนิสิตนักศึกษา

 

การปราบปรามนักศึกษา วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 
ที่มา : หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

เราไปชุมนุมในธรรมศาสตร์ ตอนนั้นอาจารย์ป๋วย ท่านก็เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านก็ไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น และอยากให้เราเองใช้ความสงบต่อสู้ ซึ่งในวันที่ 6 เช้า ชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ผมได้นัดหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ท่านก็เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการแสดงละครไปพบ ไปเล่าให้อาจารย์เสนีย์ฟังว่า การแสดงของนิสิตนักศึกษาไม่ได้เป็นการหมิ่นองค์รัชทายาท ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เป็นการแสดงต่อหน้าหน้าประชาชนนับพันคน ถ้าแสดงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างนั้น สันติบาลนับร้อยเขาคงจัดการแล้ว

แต่ว่าเมื่อเราไปพบอาจารย์เสนีย์ อาจารย์เสนีย์ก็ถูกยึดอำนาจไปแล้ว พวกผมก็ถูกจับขังที่กองปราบ 6 คน ก็มีสุรชาติ บำรุงสุข สุรชาติเวลานั้นเป็นรองนายกสมาคมสโมสรนิสิตจุฬาฯ ฝ่ายกิจการภายนอก และมีวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ก็เป็นคนแสดงชมรมนาฏศิลป์และการแสดง เป็นการแสดงละครล้อเลียนแขวนคอช่างไฟฟ้า อภินันท์ บัวหภักดี ก็ตัวเล็ก ก็ถูกจับขึ้นมาแขวนจำลอง อนุพงษ์ พงษ์สุวรรณ ก็เป็นประธานชมรมนาฏศิลป์และการแสดง เป็นผู้เกี่ยวข้อง ก็พาไปพบนายกฯ เสนีย์ เพื่อจะบอกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแสดง แล้วก็เกี่ยวข้องกับเรื่องละครหมิ่นรัชทายาทเลย แต่อาจารย์เสนีย์ก็ถูกยึดอำนาจไปแล้ว เราก็ถูกจับ นักศึกษาในในธรรมศาสตร์ก็ถูกปราบหมด

ผมถูกจับตั้งแต่วันนั้น และถูกนำไปขังไว้ 2 ปี แล้วก็นำขึ้นศาลทหารในเวลาไม่ปกติ เป็นศาลอาญาศึก พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ตั้งทนายความสู้คดี ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ ฎีกา เหมือนกับที่จอมพลสฤษดิ์ เคยจับนักโทษการเมืองไปขังไว้ รุ่นพี่ทองใบ ที่จริงคุณปาล (พนมยงค์) นี่ก็โดนนะ คุณปาลก็ถูกคดีกบฏสันติภาพ ถูกจับไปขังเหมือนกัน ก็โดนกันเยอะเมื่อก่อน

แต่ว่ามาหลัง 14 ตุลาฯ เราก็ถูกจับขังหลายที่ แต่ธรรมศาสตร์ก็ถูกกวาด แล้วก็เหลือจำนวนหนึ่งถูกส่งขึ้นฟ้องศาลทหาร มีสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็โดน ธงชัย (วินิจจะกูล) ถูกจับที่ธรรมศาสตร์ แต่ถูกส่งขึ้นฟ้องศาลพร้อมกับผม กลายเป็นที่เขาเรียกว่า “คดี 18 ผู้ต้องหา”

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

แล้วครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของคุณครูฉลบชลัยย์ นี่คือตอนไหน แล้วตอนนั้นบริบทเป็นอย่างไร

 

คุณครูฉลบชลัยย์ พลางกูร ได้รับทุน King’s Scholarship พ.ศ. 2479

 

สุธรรม แสงประทุม :

คุณป้าฉลบชลัยย์ พลางกูร ถือว่าเป็นคนซึ่งทำกิจกรรมเงียบ ๆ ช่วยเหลือสังคม แล้วก็มีส่วนร่วมในการสร้างประชาธิปไตยในเมืองไทย แต่อยู่เบื้องหลัง สามีคุณป้าก็คือคุณจำกัด พลางกูร เป็นเสรีไทย เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยรุ่นแรก ๆ และมีความผูกพันกับท่านอาจารย์ปรีดี รักและผูกพันอาจารย์ปรีดี ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ท่านเคารพมาก ให้เกียรติมาก

ที่เรารู้จักก็เนื่องจากปกติอยู่ในคุก เราถูกขังอยู่ 3 ที่ ผมถูกขังอยู่บางขวาง 6 คน มีสุรชาติ มีวิโรจน์ ที่โรงเรียนพลตำรวจก็มีธงชัย มีสมศักดิ์ พวกนี้ถูกขังอยู่ 10 กว่าคนแล้ว สุชีลา กับเสงี่ยม ผู้หญิง ถูกขังอยู่ที่ลาดยาว 2 คน ภารกิจคุณป้าก็คือไปเยี่ยมเยียนพวกเราทุกอาทิตย์ มารู้จักกันตอนนั้น รู้จักกันตอนไปเยี่ยมพวกเราตอนติดคุกอยู่ที่ต่าง ๆ

 

(แถวล่าง) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (หมายเลข 12) ธงชัย วินิจจะกูล (หมายเลข 14) และเพื่อนนักศึกษา บนดาดฟ้าเรือนจำชั่วคราว โรงเรียนพลตำรวจบางเขน

 

คุณป้าเป็นเจ้าของโรงเรียนดรุโณทยาน เป็นโรงเรียนที่ถูกจัดตั้งขึ้นก่อนที่คุณจำกัดจะเสียชีวิต คุณป้า คุณจำกัดก็ต้องการสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เป็นต้นแบบของสังคมขึ้นมา แต่ว่าพอสร้างขึ้นมา กระบวนการในสังคมมันเปลี่ยน บ้านเมืองเปลี่ยน มีการยึดอำนาจ เผด็จการการยึดอำนาจ ทางป้าก็ได้ใช้โรงเรียนเหล่านี้เป็นต้นแบบให้กับคนใกล้ชิด และลูกหลานของอดีตนักโทษการเมืองก็เข้าไปอยู่ที่นั่น

ที่โรงเรียนดรุโณทยาน เพิ่งรู้ว่านักเรียนที่มีหมายเลขอันดับหนึ่ง เป็นลูกคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็คือแพทย์หญิงสุรภิน สายประดิษฐ์ เป็นลูกคนแรก หลังจากนั้นก็มีพวกลูกอดีตนักโทษการเมือง ลูกคุณเตียง ศิริขันธ์ ลูกสี่รัฐมนตรี เรียนที่นั่นหมด คนป้ารับเลี้ยงหมด รับดูแล ก็เป็นที่พึ่งในยามยากของผู้ที่ถูกภัยเผด็จการ พวกผมท่านก็มาเยี่ยมทุกอาทิตย์ จะเอาอาหารที่รีบทำแต่โรงเรียนเลย เพราะท่านมีนักเรียนประจำ

 

โรงเรียนดรุโณทยาน บริเวณสะพานหัวช้าง ถนนพญาไท ถ่ายในช่วงปี พ.ศ. 2512

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ตอนนั้นคุณป้าอายุประมาณเท่าไหร่ครับ?

 

สุธรรม แสงประทุม :

จำได้ว่า 60 ปี ตอนนั้น 26 มีนาคม วันยึดอำนาจล้มเหลวของพลเอกฉลาด แต่ตรงกับวันครบรอบ 60 ปีของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ปีนั้นเป็น 60 ปีของท่าน จำได้ว่ามี Dictionary สีแดง เล่มเล็ก ๆ ก็มีสอนภาษาอังกฤษ ท่านก็นำ Dictionary มาฝากพวกเรา คือ 3 คน 3 ที่ที่ถูกขังอยู่ วันพุธหรือพฤหัสเดี๋ยวก็จะต้องรอคุณป้า ทุกอาทิตย์คุณป้าก็จะมา ก็จะมีเรื่องมาเล่าเยอะแยะไปหมด

เราก็ศึกษาประวัติคุณป้า โอ้ เพิ่งรู้ว่าคนนี้เป็นภรรยาของคุณจำกัด พลางกูร เสรีไทยที่ไปเสียสละชีวิตเนื่องจากต้องการไปเชื่อมโยงกับประเทศที่เชื่อมโยงกับอาจารย์ปรีดี และต้องการสร้างให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นฝ่ายจำเลยในทางสังคมโลก

หลังจากนั้น ผมออกมาจากคุกจากการนิรโทษกรรม คุณป้าก็ถามว่า “สุธรรมไปอยู่ที่ไหนล่ะ?” ผมบอกไปอยู่บ้านญาติอยู่ที่ปากน้ำ สมุทรปราการ ท่านบอกว่าอย่าไปเลย ไกลมาก อาจจะมีขบวนการปองร้ายเกิดขึ้น ก็พามาอยู่กับท่านที่สามแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นั่นเป็นบ้านท่านนะที่ให้ลูกหลานอยู่ ก็มาอยู่ใกล้ชิดแล้วก็มาจัดการอยู่กับท่าน จนกระทั่งส่งเสียให้เรียน เรียนภาษาอังกฤษบ้าง แล้วก็จัดการ

 

คุณครูฉลบชลัยย์ และจำกัด พลางกูร กับศิษย์ดรุโณทยานรุ่นแรก 
หนึ่งในนั้นคือ ด.ญ.สุรภิน สายประดิษฐ์ บุตรสาวคนโตของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ “ศรีบูรพา” 
ที่มา : the101.world

 

ตัวผมมีกิจกรรมตอนแรกว่าจะไปเปิดงานในต่างประเทศ เปิดงานแนวร่วมในต่างประเทศ คุณป้าก็ไปส่งที่ฮ่องกง ให้นอนบ้านพี่ศุขปรีดา จำได้ พี่ศุขปรีดาตอนนั้นอยู่สถาบันการเงิน และพี่น้องให้ไป คุณป้าก็คือเคารพความคิดเรา แต่ก็ให้สติว่า ช่องทางในการทำงานเพื่อสังคมมันมีเยอะนะ คิดดูให้ดี เดินทางไปทำงานในต่างประเทศเหมือนกับที่คุณจำกัดเคยไป เขาก็เสี่ยงอยู่ ถ้าเลือกทำอะไรได้ที่มั่นคงเขาก็ให้ทำตรงนั้น

ท่านก็เล่าประวัติคุณจำกัดให้ฟังว่า ตอนลาไปทำภารกิจในต่างแดนเป็นอย่างไร แล้วเกิดอะไรยังไงขึ้นมา เพราะว่าคุณจำกัดเสียชีวิต ทราบข่าวการเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคม มันก็ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคมพอดี เพราะฉะนั้นท่านเองก็ทำบุญ 6 ตุลาฯ กับ 7 ตุลาฯ พร้อมกันไปเลย เพราะฉะนั้น กิจกรรมของพวกเรา ท่านก็จะเป็นคนสนับสนุน เป็นคนเชื่อมโยง ดูแลทุกข์สุข ผมกับอภินันท์ บัวหภักดี ซึ่งเป็นคนแสดงละคร ทางคุณป้าจะพาไปดูแลอยู่ 2 คน

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

แล้วอยู่กับคุณป้านานไหมครับช่วงนั้น?

 

สุธรรม แสงประทุม :

ช่วงนั้นอยู่จน 6 ตุลาฯ หลายปีครับ จนผมแต่งงาน ในการนี้คุณป้าก็แต่งให้ แต่งงานแต่งการคุณป้าก็แต่งให้ แล้วก็กิจกรรมอะไรที่คุณป้าทำ ท่านจะพาไปรู้จักหมดไปรู้จักท่านผู้หญิงพูนศุข ไปรู้จักครอบครัวอาจารย์ปรีดี เพราะคุณป้า พอปิดเทอมทีหนึ่ง ท่านก็จะลาไปยุโรปประมาณเดือนหรือ 2 เดือน เพราะว่าไปพบท่านอาจารย์ปรีดีด้วย ว่างเว้นจากการเรียน ในการสอนหนังสือ ปิดเทอมท่านก็จะไปอยู่กับอาจารย์ปรีดี อยู่กับท่านผู้หญิง เพราะว่าความผูกพันที่ท่านนับถือมาก และเป็นต้นแบบของนักการเมือง แล้วก็เชื่อมโยงให้พวกเราไปรู้จัก ไปรู้ประวัติการต่อสู้

 

คุณครูฉลบชลัยย์ ถ่ายคู่กับนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

ผมเองก็มีโอกาสไปพบอาจารย์ปรีดีที่ปารีส โดยคุณป้าได้ไปพูดคุย จำได้ว่าเมื่อตอนนั้นอาจารย์ปรีดีเขียนบทความ และเขียนหนังสือเรื่อง “War of Nerves, War by Proxy” เรื่องสงครามตัวแทน ตอนนั้นเวียดนามรบกัมพูชา ท่านก็ชี้ให้เห็นว่าสงครามตัวแทนมันจะเกิดขึ้น ท่านก็เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ในเมืองไทยหลายฉบับ แล้วก็พอไปพบกัน ท่านก็ให้อ่านบทความที่ท่านเขียน แล้วท่านจะอธิบาย ท่านมีความเป็นครูบาอาจารย์สูงจะอธิบายให้ฟังว่านี่หมายความว่าอย่างไร คุยกันสนุกสนาน ท่านเมตตามากกับเด็กรุ่นใหม่

ในระหว่างที่เราติดคุก ก็มีขบวนการเรียกร้องให้มีการให้ความเป็นธรรมกับคดีเรา คล้าย ๆ กับนิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ที่ติดคุกอยู่ คดี 112 บ้างอะไรบ้าง ของผมจริง ๆ ก็โดนคดี 112 เลยนะ เพราะกล่าวหาว่าเราแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วจับกุมเรา สร้างความรุนแรงให้กับเด็ก ๆ ในเวลาเดียวกันก็แก้กฎหมาย 112 จาก 1-7 ปี มาเป็น 3-15 ปี เห็นไหม คือต้องการที่จะเอากรณีนี้มายัดเยียดให้เรา แล้วก็สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในในสังคมไทย แต่ว่าเนื่องจากว่าพอไปอยู่ 2 ปี แรงกดดันทางสังคมนั้นมีเยอะ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นกลางสนามหลวง ทางธรรมศาสตร์ คนก็รู้ทั่ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็เรียกร้องให้คืนความเป็นธรรมกับเรา

ตรงนั้น อาจารย์ปรีดี ซึ่งท่านอยู่กับคนไทยในฝรั่งเศสมานาน ท่านก็ร่วมเรียกร้องส่งหนังสือล่ารายชื่อ ส่งหนังสือมาที่ประเทศไทย รัฐบาลที่คุมขังเราก็ปล่อยเรา นิรโทษกรรมให้เรา แล้วก็ประสานกับกลุ่มคนไทยในต่างประเทศ หรือกลุ่มชาวต่างชาติที่คนไทยไปเกี่ยวข้องด้วย เกิดลุกขึ้นมาเรียกร้อง กลายเป็นกระแสทั้งโลก ซึ่งกระแสตรงนี้ ผมมานั่งทบทวนดูว่า อ้อ คนที่มีสายตายาวไกล สร้างมิตรทั่วโลกนั้นคืออาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ปรีดี สร้างมิตรไว้มาก

 

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และปรีดี พนมยงค์

 

เมื่อก่อน ก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ท่านอาจารย์ป๋วยในฐานะอธิการบดี ธรรมศาสตร์ ฐานะคณบดีธรรมศาสตร์ ท่านจะพยายามคัดเลือก Recruit คือหาทุนมาให้นิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ ใครเรียนในสาขาที่สังคมต้องการในอนาคต เช่น สมัยก่อน คนเรียนเก่งก็จะเรียนแพทย์ แต่ท่านบอกคนยากจนแทนที่จะไปถึงแพทย์ ให้เรียนเศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะเศรษฐศาสตร์จะเป็นวิชาสำคัญในอนาคต ก็หาทุน ใครอยากเรียนแพทย์ปริญญาตรี ไปเรียนจนถึงปริญญาเอกมากมาย

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ย้อนไปเรื่องความทรงจำเกี่ยวกับคุณครูฉลบชลัยย์สักเล็กน้อยว่า ช่วงนั้นมุมมองของคุณครูต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ คุณครูเคยพูดคุยกับคุณสุธรรมตอนนั้น คุณครูมีความคิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้น

 

สุธรรม แสงประทุม :

อย่างที่เรียนให้ทราบว่า คุณป้าได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้มามากแล้ว ตั้งแต่เขามาทำกับอาจารย์ปรีดี ตั้งแต่สมัยจอมพลผิน ยึดอำนาจ แล้วท่านก็ถูกแกล้ง ถูกค้นโรงเรียนดรุโณทยาน เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก การปราบปราม การยิงสี่อดีตรัฐมนตรี คุณเตียง ศิริขันธ์ นั้นเป็นกัลยาณมิตรที่สนิทกับคุณป้ามาก คุณเตียงถูกนำไปฆ่า คุณป้ารับรู้หมด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นท่านก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม และเป็นสิ่งที่เผด็จการทำกับประชาชนคนไทยอย่างลึกซึ้งมากเหมือนที่ผมเรียนมา ท่านได้เอาคนทุกข์ที่สุดไปดูแล โรงเรียนของท่านก็ประกอบด้วยลูกหลานของคนที่เสียชีวิต ครูได้รับเคราะห์กรรมจากอำนาจเผด็จการ และเสียสละให้ไปเรียนไปอยู่ แล้วภรรยาของคนเสียชีวิตก็เอามาเป็นแม่บ้าน เอามาช่วยงานโรงเรียน โรงเรียนนี้กลายเป็นศูนย์กลางของคนทุกข์ยาก

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ถ้าให้มองลักษณะเด่นของคุณครูฉลบชลัยย์ จะเป็นเรื่องอะไรครับ เป็นความกล้าหาญ ความอ่อนโยน ความโอบอ้อมอารีต่อคนที่ต่อสู้เพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือความมุ่งมั่น?

 

สุธรรม แสงประทุม :

ทุกอย่าง คุณป้านั้นเป็นที่พึ่งของคนยากลำบาก และไม่เลือกเราหรือเขานะ ไม่ได้เกี่ยวกับผม ผมไปสังเกต อ้อ ปรากฏว่าใครได้รับทุกข์ที่ไหนมาหา แล้วคุณป้าจะดูแล ดูแลโดยไม่ได้หวังประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

อย่างผม ผมอยู่ ผมแต่งงานแต่งการ แล้วได้รับทุนไปศึกษาเมืองนอก กลับมา ผมเกิดอุบัติเหตุ ภรรยาเสียชีวิต ท่านก็ขอร้องว่า รักษาแล้ว ไปอยู่กับคุณป้าดีกว่า ลูกของคนที่เหลืออยู่ก็พาไปให้เรียนหนังสือ เราก็เรียนหนังสือให้จบ จนกระทั่งผมไปเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว คุณป้าบอกว่า เออ เป็นผู้แทนราษฎร อยากพาไปอยู่ที่งามดูพลี เพราะเนื่องจากว่าตอนนั้นท่านไปซื้อที่ จริง ๆ ที่นี่ก็ของอาจารย์ปรีดีขาย ท่านก็ซื้อไว้ ซื้อไว้แล้วพอลูกหลานอาจารย์ปรีดีกลับมา ท่านก็ขายคืนให้ในราคาที่เป็นธรรม

คุณป้านี่อยู่ท่ามกลางคนลำบากหมด เพราะฉะนั้น ผมถือว่าเป็นจุดเชื่อมระหว่างคนทุกข์ยากกับคนภายนอก และความปรารถนาดีของท่านให้มีความเมตตาอย่างยิ่ง แล้วก็ทำให้เป็นตัวอย่าง นับถือใคร ปฏิบัติต่อใคร เพราะฉะนั้น ผมถือว่าถ้าในเวลาเดียวกัน ฉันแนะนำโดยปฏิบัติให้ดู พาเราไปที่ไหน การปฏิบัติตัวเป็นอย่างไร รู้จักคนดีอยู่ตรงไหน ครอบครัวท่านผู้หญิงมีกิจกรรมก็พาไปจนคิดว่า โอ้โฮ ถือว่าอธิบายยาก ผมคิดว่าเป็นแบบอย่าง

 

คุณครูฉลบชลัยย์ กับเหล่านักศึกษาที่เคยถูกจับกุม ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 
ที่มา : the101.world

 

ผมเคยเขียนกลอนให้คุณป้าว่า :

“เป็นแบบอย่างคุณความดีของชีวิต
เป็นมิ่งมิตรของคนจนทั้งผอง
เป็นความรัก ความหวัง เป็นรางรอง
เป็นผู้ครองที่ยิ่งใหญ่กลางใจชน”

ก็แต่งให้ท่านว่าท่านเป็นคนเรียบง่าย ให้เกียรติทุกคน และการปฏิบัติแบบนี้ของท่านต่อทุกคน ต่อพี่น้องของท่าน ต่อลูกหลานของท่าน ต่อคนที่ถูกรังแก ถูกฆาตกรรม และสู้อย่างไม่หวังอะไรทั้งสิ้น ไม่ยอมจำนน

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ในส่วนของคุณครูฉลบชลัยย์ที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาในต่างประเทศ ไม่ทราบว่าคุณสุธรรมพอทราบ หรือยังการติดต่ออยู่หรือไม่

 

สุธรรม แสงประทุม :

อย่างนี้นะครับ มันมีความผูกพันกับคุณป้า อย่างผมตอนที่ออกจากคุก ก็ได้รับการเชิญจากองค์กรทางสากล ไม่ว่าองค์กรทางศาสนา องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อยู่ทั่วทุกมุมโลก เขาเรียกร้อง เพราะเขามีส่วนในการเรียกร้องให้ปล่อยตัวเรา เขาพาผมกับพี่ทองใบไป ไปขอบคุณเขา แล้วคนไทยที่ไปเรียนหนังสืออยู่ก็จะมาต้อนรับ มาพูดคุย มาใกล้ชิดด้วย

ปรากฏว่าคนที่ได้รับทุนส่วนใหญ่เป็นคนที่เรียนจากโรงเรียนดรุโณทยานมาก่อน เพราะท่านสอนภาษาอังกฤษเนี๊ยบมาก คนพวกนี้จะได้โอกาสดี คือภาษาภาษาอังกฤษดี พอไปเรียนเตรียมก็จะสอบชิงทุนไป คนได้ทุนส่วนใหญ่จบจากโรงเรียนอรุโณทยานทั้งนั้น ก็รู้จักเรา รู้จักคุณป้า

ท่านทุ่มเทในการเรียนการสอนมาก ตอนเที่ยงท่านก็ไม่หยุด ตอนเที่ยงท่านก็รวบรวมเด็กเรียนอ่อนมา แล้วก็ทานข้าวเที่ยงไปด้วย สอนไปด้วย ภาษาอังกฤษของแกเก่งมาก เด็กทุกคน ทั้งพื้นฐานภาษาอังกฤษ การแสดงออก ทุกอย่าง เนื่องจากท่านได้ทุนไปเรียนวิชาอนุบาลที่ประเทศอังกฤษ ได้มาตั้งโรงเรียนดรุโณทยาน ก็เหมือน “Kindergarten” ต้นแบบ ก็กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ เป็นที่พึ่งพิงของคนยากคนจน ก็โรงเรียนดรุโณทยาน ภรรยาพี่ศุขปรีดา พี่น้อย จีรวรรณ เป็นน้องของ “รพีพร” พี่อู๊ด (สุวัฒน์ วรดิลก) พี่อู๊ดถูกจับ ก็ไม่มีใครดูแลครอบครัว พี่น้อยเรียนธรรมศาสตร์ คุณป้าก็พามาเป็นเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียน ได้เรียนหนังสือไปด้วย อะไรไปด้วย เห็นไหม ผูกพันกันมา เชื่อมโยงกันหมด แล้วคุณป้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งนึกไม่ถึงว่าจะจะถักทอเชื่อมโยงคนได้ขนาดนี้

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ในแง่นี้ อยากให้คุณสุธรรมขยายเล่าเพิ่มเติมเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวท่านปรีดี พนมยงค์

 

สุธรรม แสงประทุม :

รายละเอียดนั้น จริง ๆ พวกเราพอนึกถึงคุณป้า ก็จะมีกิจกรรม อย่างพี่ดุษฎี ก็เขียนเรื่อง “คุณป้าที่เรารู้จัก” ก็จะทำหนังสือกัน

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ในแง่ของมิตรภาพ แล้วก็การเกื้อกูลกันในเรื่องของอุดมการณ์ประชาธิปไตยระหว่างครอบครัวพนมยงค์ กับทางครอบครัวของคุณป้าครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

คุณป้าถือว่าคุณจำกัด พลางกูร ก็เป็นคนใกล้ชิดที่เคารพรักท่านอาจารย์ปรีดี ท่านจัดตั้งเสรีไทยขึ้นมาก็หาคนเสียสละที่จะไปเชื่อมโยงกับประเทศที่เป็นพันธมิตรกับเสรีไทย ก็หาอาสาคนเสียสละไปก็ได้ คุณจำกัด พลางกูร อาสาไปประเทศจีนครับ เห็นไหมครับ แล้วก็ไปตกระกำลำบากจนกระทั่งเสียชีวิต

 

คุณครูฉลบชลัยย์ และจำกัด พลางกูร ขณะอยู่ที่ยุโรป

 

เพราะฉะนั้นเขามีความผูกพันสูงมาก คุณป้าก็ทั้งเสียใจและภูมิใจในตัวคุณจำกัด และก็ภูมิใจในอาจารย์ปรีดีที่เป็นผู้เมตตา และการเสียสละในวันนั้นทำให้ท่านนับถืออาจารย์ปรีดียิ่งกว่าพ่อแม่ ถือว่าผูกพันกันตั้งแต่วันนั้นครับ เป็นญาติมิตร เป็นพี่เป็นน้อง ก็เหมือนกับท่านพุทธทาสกับท่านปัญญานันทภิกขุ เป็นกัลยาณมิตร ผูกพันยิ่งกว่า

ถึงบอกว่าทุกปี ท่านก็ไปอยู่กับอาจารย์ปรีดี ไปให้ความเคารพ อยู่รับใช้ใกล้ชิด คือการประพฤติปฏิบัติของท่านไม่ได้อยู่นอกแนวของคนที่ทำดีเพื่อบ้านเมือง ความเห็นต่างกันอย่างไร ท่านก็ให้เกียรติก่อน เล่าให้ฟัง แล้วก็ให้เกียรติเสมอต้นเสมอปลาย ผูกพัน เสียสละ เป็นผู้ให้อย่างเดียว เราเองยังมีทุกข์อะไรก็ตาม บางทีก็ไม่กล้าบอกคุณป้าในช่วงแรก ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยได้ คุณป้าตอนนั้นเป็นคนช่วยหมด

 

คุณครูฉลบชลัยย์ และนายปรีดี ที่บ้านอองโตนี ประเทศฝรั่งเศส

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

อยากให้คุณสุธรรมเล่าช่วงหนึ่งในเหตุการณ์การลาของคุณจำกัด พลางกูร และของคุณป้า ที่ท่านกล่าวว่า “เพื่อชาติ เพื่อ Humanity” วลีนี้มีความสำคัญอย่างไร ช่วยเล่าบริบทสักเล็กน้อยครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

พอคุณจำกัดอาสานำสารจากท่านอาจารย์ปรีดีไปเมืองจีน ท่านก็ไปส่งคุณจำกัด มีคุณเตียง ศิริขันธ์ และภรรยาคุณเตียง กับคุณป้า ไปส่งที่หนองคาย แล้วท่านก็รู้ว่าโอกาสที่จะเจอกัน บางทีก็ถ้าไม่ชนะก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะมาครองชีวิตร่วมกันอีกแล้ว แต่ว่าจำเป็นที่จะต้องเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่

ท่านรำพึงรำพันให้ฟังว่า ตอนไปส่งท่านก็คิดแล้วคิดอีก แล้วก็ของที่มีในการเดินทาง ในบางทีชะตากรรมวันข้างหน้าก็ไม่รู้จะเกิดอะไร ภาพที่คุณเตียง ศิริขันธ์ ถอดแหวนถอนอะไรทั้งหมดที่มีอยู่ให้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง เป็นทรัพย์สินในการเดินทาง และหลังจากนั้นท่านก็รอฟัง

 

จำกัด และคุณครูฉลบชลัยย์ พลางกูร ขณะอยู่ที่ยุโรป 
ที่มา : เฟซบุ๊ก 100 ปีชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

จนอาจารย์ปรีดีเชิญท่านไป เป็นการบอกกล่าวว่าได้ข่าวว่าคุณจำกัดเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันนั้นมา และคุณป้าถึงผูกพันกับอาจารย์ปรีดี ก็ยืนยาวนะครับ เพราะฉะนั้นคำว่า “เพื่อชาติ เพื่อมนุษยธรรม หรือสิทธิมนุษยชน” ก็คือคำกล่าวของท่าน

ท่านเป็นคนที่ถือว่าอาจารย์ปรีดีเป็นที่พึ่ง แล้วท่านเข้าร่วมในการต่อสู้เพื่อเสรีไทยมาก งานต่าง ๆ ที่ใต้ดิน งานใต้ดินคุณป้าก็เป็นคนหนึ่งที่รับช่วงมา เราค่อย ๆ รู้จักคุณป้าจากการที่เห็นกิจกรรมท่าน แล้วมาอ่านประวัติท่านแล้วถึงจะรู้หมด ท่านไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้ใครฟังมากในเรื่องนี้

จนวันนี้ผมถือว่าอะไรที่ทดแทนคุณป้าได้นั้นยากมาก ของเรา ลูกหลานเรา รุ่น 6 ตุลาฯ คุณป้าก็จะเป็นคนเชื่อมโยง จัดกิจกรรม 6 ตุลาฯ ทุกปี นอกจากจัดที่ธรรมศาสตร์แล้ว ก็จัดที่โรงเรียนท่านอีก ผมคิดว่าท่านจัดตรงนี้เพราะว่ารำลึกให้คุณจำกัด พลางกูร ตรงกับวันที่ 7 ท่านก็ทำ

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

แล้วถ้าคุณสุธรรมจะเปรียบเทียบท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ กับคุณครูฉลบชลัยย์ คิดว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เพราะถือว่าเป็นสตรีทั้งสองท่านที่มีบทบาทสำคัญ

 

สุธรรม แสงประทุม :

เหมือนมาก อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเหตุการณ์ ของการเสียสละ ของการต่อสู้ กล้าหาญ เสียสละ แล้วก็พร้อมจะอยู่ทั้งหน้าหลัง และบทบาทดีมาก เพราะว่ามีความนับถือกัน ท่านผู้หญิง คุณป้าก็พาไปกราบเรื่อยในกิจกรรม แล้วท่านผู้หญิงก็ปฏิบัติตัวเหมือนกับคุณยายคนหนึ่ง วางตัวง่าย ๆ ครับ แล้วก็พูดน้อย ค่อย ๆ สอนค่อย ๆ เรียน ผมคิดว่าทั้ง 2 ท่านนี้หาคนทดแทนยาก และเขานับถือกันมาก ให้เกียรติกันมาก

 

คุณครูฉลบชลัยย์ และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

แล้วมีอะไรที่คุณครูเคยกล่าวแล้ว อาจจะถือว่าเป็นสิ่งที่คุณสุธรรมยังจำได้ถึงทุกวันนี้ แล้วคิดว่ามีค่า และอยากจะส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังบ้างไหมครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

คือเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน นี่คือคุณป้า และแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจในทุกวาระ ทุกโอกาสที่ท่านช่วยได้ท่านก็จะยินดี แล้วก็ไขว่คว้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ ให้ความรู้ ที่จริงเป็นคนสนุกด้วย เล่าอะไรก็สนุกสนาน เป็นคนซึ่งเป็นต้นแบบทุกอย่าง ผมถึงบอกว่า จนวันนี้ ไม่มีคุณป้าแล้ว ก็ยังหาใครมาทดแทนไม่ได้

ทุกปีของการเสียชีวิต พวกเราลูก ๆ หลาน ๆ ก็ไปกันที่วัดพระศรีฯ ทุกปีเหมือนกัน จะไปรำลึกถึงท่าน เพราะท่านให้กับทุกคน เราก็ต้องการให้กับคนอื่นตอบด้วย และนี่คือสิ่งซึ่งเป็นมรดกตกทอด ท่านให้กับทุกคน ทั้งให้ความใกล้ชิด ให้ความอบอุ่น ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ นี่คือสิ่งที่เป็นต้นแบบของท่านโดยไม่ได้คำนึงอะไรเลย ไม่แอบอ้าง ไม่คำนึง ไม่ต้องความช่วยเหลือตอบแทน

ท่านจะดีใจเมื่อให้กับคนอื่น อย่างผมพอได้เข้ามาทำงานการเมือง เราก็ได้รับโอกาสเป็น ส.ส. บ้างเป็น รัฐมนตรีบ้าง พอเราเป็นรัฐมนตรี ท่านก็เขียนบันทึกเล็ก ๆ “ยินดี” ให้กับคนอื่น ให้กับบ้านเมืองเถอะ ไม่ต้องมาให้ตอบแทนคุณป้า คุณป้าอยู่ได้อยู่แล้ว แต่ท่านชื่นชมว่ามือที่ท่านหยิบยื่นไปช่วยเหลือ เป็นมือที่หยิบยื่นไปช่วยเหลือคนอื่นได้อีกครับ เป็นกำลังใจครับ เป็นอะไรให้ทุกอย่าง

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

ถ้าวันนี้คุณป้ายังมีชีวิตอยู่ คุณสุธรรมอยากจะบอกอะไรกับคุณป้าครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

บอกว่าสิ่งที่คุณป้าได้ประพฤติปฏิบัติเป็นต้นแบบทุกอย่าง เป็นสิ่งที่พวกเรารำลึกแล้วก็นำไปปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา คำว่าคุณป้าก็คือภาพตัวแทนเมตตา กรุณา กล้าหาญ แล้วก็เสียสละ นี่คือคุณป้า

ผมเชื่อว่าถ้าคุณป้ายังอยู่ เรื่อง 112 เดี๋ยวคุณป้าก็เข้ามาช่วยลูกหลานพวกนี้ ไม่ได้อยู่เฉย ๆ คงไปทำกับข้าวไปเลี้ยงพวกนี้ต่อ นี่คือคุณป้านะครับ ทุกเรือนจำพอเห็นคุณป้ามาก็ยิ้ม ผู้คุมก็ยิ้ม ว่ามาแบบ F-16 อีกแล้ว มาพูดดัง เสียงดังฟังชัด ก็สนุกสนาน มันยิ่งใหญ่ตรงนั้น วัน ๆ หัวเราะทั้งน้ำตาเวลาเจอคุณป้า

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

คำถามสุดท้ายสำหรับคุณสุธรรม อยากจะฝากอะไรกับเยาวชนและนักศึกษาในยุคปัจจุบันที่อาจจะยังไม่รู้จักชื่อของคุณป้าฉลบชลัยย์ พลางกูร บ้างครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

คนเราอย่าศึกษาอะไรจากใครนะครับ ก็ต้องดูในทุกด้านของชีวิต คุณป้าไม่ใช่เป็นคนโฆษณาแบบหิวแสงนะ เพราะผมรู้จักคนป้า เราถึงอ่านต่อไป เรารู้จักคุณเตียง ศิริขันธ์ เพิ่งรู้ว่านักการเมืองรุ่นนั้นเป็นแบบอย่าง เป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างยิ่ง เพียงแต่ไม่มีใครพูดถึงมากเท่านั้นเอง คุณเตียงก็เป็นต้นแบบของนักการเมืองที่น่ารักมาก เขาเองก็ผูกพันกับอาจารย์ปรีดี ผูกพันกับคุณป้า

คุณป้าก่อนเสียชีวิต คุณป้าให้ผมไปตามคุณตึ๋ง ลูกของคุณเตียง ศิริขันธ์ ที่ยังเหลืออยู่คนเดียว ให้มาพบป้า เพราะป้าจะได้เอาทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ป้ามีอยู่ให้ไว้ เนื่องเนื่องจากรำลึกถึงคุณเตียง ศิริขันธ์ ว่าเคยถอดแหวน ถอดอะไรให้ป้า ผมก็ไปตามไปอะไร คุณป้าก็จะใช้เรา แล้วก็อธิบายให้เราฟังว่าเรื่องนี้เป็นยังไง ทำไมถึงต้องพบคนนี้ คนนี้มีบุญคุณยังไงต่อเรา มีบุญคุณยังไงต่อบ้านเมือง มีบุญคุณอย่างไรต่อขบวนเสรีไทย น่ารักมาก นี่เป็นต้นแบบ

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

วันนี้คุณสุธรรมมีอะไรอยากจะเสริมไหมครับ

 

สุธรรม แสงประทุม :

ผมขอบคุณรายการที่มารำลึกถึงคนดี ๆ พูดถึงคนดี ๆ คนที่ทำงานเพื่อส่วนรวม คนที่ทั้งหน้าทั้งหลัง หน้าอย่างหลังอย่างไม่มี เป็นคนที่ซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นคนที่คิดอย่างไร ปฏิบัติอย่างนั้น และเป็นคนที่ให้เกียรติคนดี นับถือคนดีอย่างอาจารย์ปรีดี อาจารย์ป๋วย อาจารย์สุลักษณ์ (ศิวรักษ์) คนเหล่านี้เป็นคนที่มีคุณประโยชน์และคุณค่ามหาศาล จนวันนี้ผมว่าพวกเรา คนรุ่นหลังจริง ๆ ไม่ถึงครึ่งของท่านเลยในการทำงาน หรือการอุทิศให้กับบ้านเมือง ทั้งความประพฤติส่วนตัวและการเสียสละ

 

รูปงานศพของคุณครูฉลบชลัยย์ ซึ่งเป็นรูปที่ครูฉลบระบุไว้ในจดหมายการจัดงานศพของตนเอง 
ที่มา : Matichon

 

อาจารย์ป๋วยก็น่ารักมาก ผมเองก็เคยไปเยี่ยมอาจารย์ป๋วยที่อังกฤษ หลังจากท่านพูดไม่ได้แล้ว ท่านก็เขียนชื่อ นามสกุลพวกเรา แล้วก็แลกเปลี่ยนคุยกันแบบนี้ หายากมาก ผมว่าอาจารย์ปรีดี ท่านผู้หญิง ครอบครัวของท่านล้วนแต่เป็นแบบอย่างที่ดีทั้งนั้น และอาจารย์ป๋วยก็เหมือนกัน อย่างอาจารย์สุลักษณ์ก็เหมือน ผมกลับรักอาจารย์ป๋วย อาจารย์สุลักษณ์ เหมือนกับเป็นกัลยาณมิตรมาเอง น่ารักใช่ไหมครับ

 

ประวิตร โรจนพฤกษ์ :

วันนี้ ทางรายการ PRIDI Interview ต้องขอขอบพระคุณคุณสุธรรม แสงประทุม เป็นอย่างยิ่งนะครับ ที่ได้กรุณาสละเวลาอันมีค่ามาคุยเรื่องบุคคลสำคัญ ที่จริง ๆ แล้วคนทั่วไปควรจะรู้จักมากกว่านี้

 

สุธรรม แสงประทุม :

เราก็ยังอยากรู้จักมากกว่านี้ครับ