ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

บทเรียนจากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น กับพรรคประชาชนในเลือกตั้ง 2569 ตอนที่ 1 : กับดักชาตินิยม

28
ธันวาคม
2568

เมื่อพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้าต้องเผชิญหน้ากับกระแสชาตินิยมที่ถาโถมมาจากฝ่ายขวา คำถามสำคัญที่ต้องตัดสินใจคือ ควรจะ "ต่อสู้" หรือ "ร่วมมือ" กับกรอบวาทกรรมดังกล่าว ประวัติศาสตร์การเมืองในหลายประเทศได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การเลือกตามเกมของฝ่ายขวาด้วยความหวังว่าจะได้เสียงกลางนั้น มักจะนำไปสู่ความล้มเหลวที่ย่อยยับ พรรคฝ่ายก้าวหน้าไม่เพียงแต่ไม่ได้เสียงที่ต้องการ แต่ยังสูญเสียฐานเสียงเดิมที่เคยเชื่อมั่นในพวกเขาอีกด้วย

สำหรับพรรคประชาชนในบริบทไทย ภัยนี้มีความเป็นไปได้สูง เมื่อต้องเผชิญกับความกดดันที่จะต้องแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยและฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวาทกรรมเรื่อง "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" หากพรรคประชาชนเลือกที่จะพยายามพิสูจน์ว่าตนเอง "รักชาติ" พอ ๆ กับฝ่ายขวา นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้

ในกรณีของชาตินิยม เราต้องแยกให้ชัดเจนระหว่าง "ชาตินิยมแบบซ้าย" (Left Nationalism) กับ "ชาตินิยมแบบขวา" (Right Nationalism) ชาตินิยมแบบซ้ายเน้นเรื่องอธิปไตยทางเศรษฐกิจ การปกป้องผลประโยชน์ของคนทำงาน การต่อต้านจักรวรรดินิยมและทุนข้ามชาติที่เอารัดเอาเปรียบ ในขณะที่ชาตินิยมแบบขวาเน้นเรื่องความมั่นคง การปกป้องวัฒนธรรม "ความบริสุทธิ์" ของชาติ และการปิดกั้นกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็น "ภัยต่อชาติ"

เมื่อพรรคฝ่ายซ้ายหรือก้าวหน้าพยายามเลียนแบบนโยบายหรือวาทกรรมของฝ่ายขวาด้วยความหวังว่าจะดึงเสียงกลางมาได้ ผลที่ตามมามักจะตรงกันข้าม พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เสียงใหม่ แต่ยังทำให้ฐานเสียงเดิมผิดหวังและหันหลังให้ นี่คือกับดักที่หลายพรรคทั่วโลกได้ตกลงไปแล้ว กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดของกับดักนี้คือพรรคโซเชียลเดโมแครตเยอรมัน (Sozialdemokratische Partei Deutschlands - SPD) ในช่วงปี 2015-2021 ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่พรรคก้าวหน้าทั่วโลกควรศึกษา

SPD เป็นพรรคการเมืองที่ยาวนานและทรงอิทธิพลที่สุดพรรคหนึ่งในเยอรมนี ก่อตั้งเมื่อปี 1863 เป็นพรรคที่สร้างรัฐสวัสดิการเยอรมนีและเป็นตัวแทนของชนชั้นแรงงาน แต่ในช่วงหลังปี 2015 SPD ได้ตกอยู่ในภาวะลำบากเมื่อต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรค Christian Democratic Union (CDU) ของ Angela Merkel ในยุคที่เยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตผู้ลี้ภัย เมื่อปี 2015 เยอรมนีเปิดประตูรับผู้ลี้ภัยจากซีเรียและประเทศอื่น ๆ มากกว่าหนึ่งล้านคน นโยบาย "Willkommenskultur" (วัฒนธรรมแห่งการต้อนรับ) ของ Merkel ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างรุนแรง พรรค Alternative für Deutschland (AfD) พรรคขวาจัดและต่อต้านผู้อพยพได้ใช้ประเด็นนี้รณรงค์อย่างหนัก โดยอ้างว่าผู้ลี้ภัยคุกคามความมั่นคง วัฒนธรรม และงานของคนเยอรมัน

ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล SPD ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ฐานเสียงแรงงานของพรรคในภูมิภาคทางตะวันออกและในชนบทเริ่มหันไปสนับสนุน AfD ผู้นำ SPD ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ "Strategic Accommodation" พยายามเดินตามนโยบายของ Merkel ในเรื่องการควบคุมผู้อพยพให้เข้มงวดขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจาก SPD สนับสนุนกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นในการส่งผู้ลี้ภัยกลับ และพรรคเริ่มใช้ภาษาที่เน้นเรื่อง "ความมั่นคง" และ "การบูรณาการ" (Integration) มากขึ้น

แต่กลยุทธ์นี้กลับกลายเป็นหายนะ ในการเลือกตั้งปี 2017 SPD ได้คะแนนเสียงเพียง 20.5% ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ของพรรค (เทียบกับ 25.7% ในปี 2013) และ AfD กลับได้ 12.6% กลายเป็นพรรคที่สามในรัฐสภา การวิเคราะห์หลังการเลือกตั้งพบว่า SPD สูญเสียเสียงไปยัง AfD มากกว่า 500,000 เสียง โดยเฉพาะจากกลุ่มแรงงานในเมืองอุตสาหกรรมและภาคตะวันออก

ที่น่าสนใจคือ การวิจัยของ Matthijs Rooduijn และคณะ (2017) ที่ตีพิมพ์ใน European Journal of Political Research พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กังวลเรื่องผู้อพยพไม่ได้หันมาสนับสนุน SPD แม้พรรคจะเปลี่ยนท่าทีให้เข้มงวดขึ้น พวกเขาเลือก AfD หรือ CDU แทน เพราะ "ถ้าต้องการนโยบายขวาจัด ก็ควรเลือกพรรคขวาจัดของจริง" ในขณะเดียวกัน ฐานเสียงเดิมของ SPD ที่เชื่อในค่านิยมความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนรู้สึกถูกทรยศ กลุ่มคนหนุ่มสาวและคนเมืองที่เคยสนับสนุน SPD หันไปสนับสนุนพรรค Die Grünen (Green Party) แทน

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ SPD ยอมรับกรอบวาทกรรมว่า "ผู้อพยพเป็นปัญหา" ทำให้พรรคไม่สามารถนำเสนอทางเลือกที่แท้จริงได้ พรรคไม่สามารถพูดถึงประเด็นที่แท้จริงที่กระทบต่อชนชั้นแรงงานเยอรมัน อย่างเช่น ค่าแรงที่ไม่เพิ่มขึ้นตามผลิตภาพ การทำงานแบบ Precariat (งานที่ไม่มั่นคง) ระบบสวัสดิการที่ถูกทำลายโดยการปฏิรูป Hartz IV หรือความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น เมื่อการถกเถียงทางการเมืองหมุนอยู่รอบ "ผู้อพยพ vs คนเยอรมัน" พรรคฝ่ายซ้ายก็สูญเสียพื้นที่ในการพูดถึง "นายทุน vs แรงงาน" ซึ่งเป็นวาทกรรมที่พวกเขาควรจะนำเสนอ

จนกระทั่งปี 2021 เมื่อ SPD เปลี่ยนผู้นำเป็น Olaf Scholz และเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นประเด็นค่าจ้าง บำนาญ และนโยบายสภาพภูมิอากาศ พรรคจึงกลับมาชนะการเลือกตั้งได้ด้วยคะแนน 25.7% แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นในช่วง 2015-2019 ยังคงอยู่ AfD ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และได้ 10.3% ในการเลือกตั้งปี 2021 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปในภูมิภาคต่าง ๆ

บทเรียนจากเยอรมนีมีความเกี่ยวข้องกับบริบทไทยอย่างมาก พรรคประชาชนในฐานะทายาทของพรรคก้าวไกลต้องเผชิญกับแรงกดดันที่จะพิสูจน์ว่าตนเอง "รักชาติ" "เคารพสถาบัน" และไม่ใช่ "ภัยต่อความมั่นคง" ตามที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกล่าวหา หากพรรคประชาชนตกเข้าไปในกับดักนี้ โดยพยายามแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยหรือพลังประชารัฐในการแสดงออกถึง "ความรักชาติ" หรือ "ความจงรักภักดี" ผลที่ได้อาจจะเหมือนกับ SPD

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เชื่อในวาทกรรมแบบอนุรักษ์นิยมแบบเก่าก็จะไม่หันมาเลือกพรรคประชาชนอยู่ดี พวกเขาจะยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยหรือพรรคอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ เพราะ "ถ้าจะเลือกพรรคที่รักชาติ ก็เลือกพรรคที่รักชาติมาตลอด" ในขณะเดียวกัน ฐานเสียงหลักของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาว คนเมือง และผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจริงจัง อาจจะรู้สึกผิดหวังและไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับพรรคประชาชนคือการสร้างสนามใหม่ นั่นคือ "ชาตินิยมทางเศรษฐกิจแบบซ้าย" (Left Economic Nationalism) แทนที่จะโต้แย้งว่าพรรคประชาชน "รักชาติ" มากพอหรือไม่ ควรเปลี่ยนคำถามไปว่า "รักชาติอย่างไร" รักชาติโดยการปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยจากทุนข้ามชาติที่เอารัดเอาเปรียบหรือไม่? รักชาติโดยการเรียกร้องให้รัฐบาลใช้จ่ายเพื่อคนไทยแทนที่จะเป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่หรือไม่?

ตัวอย่างเช่น การผลักดันให้มีระบบบำนาญที่ยุติธรรมผ่านสูตร CARE ที่ได้รับการสนับสนุนจาก 77.93% ในการรับฟังความคิดเห็น นี่คือการ "รักชาติ" แบบที่ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยมากกว่า 570,000 คนที่ได้รับความเหลื่อมล้ำจากระบบเดิม การเรียกร้องภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดกเพื่อลดความเหลื่อมล้ำก็เป็นการ "รักชาติ" ที่แท้จริง เพราะช่วยสร้างสังคมที่เป็นธรรมมากขึ้น

ฝ่ายก้าวหน้าไม่ควรตกเข้าไปในกับดักของการพยายามพิสูจน์ว่าตัวเอง "ดี" พอตามมาตรฐานที่ฝ่ายขวากำหนด เพราะมาตรฐานเหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ฝ่ายซ้ายแพ้อยู่แล้ว แทนที่จะตามเกมของคนอื่น พรรคประชาชนควรสร้างเกมใหม่ที่ศูนย์กลางคือผลประโยชน์ของประชาชน ความเป็นธรรมทางสังคม และการกระจายอำนาจ

หากพรรคประชาชนเลือกเดินตามรอยเท้า SPD ของเยอรมนี โดยพยายามเป็นที่ยอมรับของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในประเด็นที่พวกเขากำหนด ผลที่ตามมาก็อาจจะเหมือนกัน คือสูญเสียทั้งเสียงใหม่และเสียงเดิม เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2569 จะเป็นการทดสอบว่าพรรคประชาชน จะเรียนรู้จากบทเรียนของประวัติศาสตร์หรือไม่