ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

บทเรียนจากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นกับพรรคประชาชน ในเลือกตั้ง 2569 ตอนที่ 2 : เทคโนแครตกับรากหญ้า

30
ธันวาคม
2568

ในยุคที่ข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมีความสำคัญมากขึ้น การมี "ผู้เชี่ยวชาญ" ในพรรคการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่พรรคต่าง ๆ แข่งขันกันโชว์ นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชาการ และ "คนเก่ง" จากมหาวิทยาลัยชั้นนำถูกดึงเข้ามาเป็นผู้สมัคร ด้วยความเชื่อว่าความรู้และความสามารถทางเทคนิคจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ

แต่ประวัติศาสตร์การเมืองได้เตือนเราไว้แล้วว่า ความเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ พรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนต้องมีทั้ง "สมอง" และ "ราก" ต้องมีทั้งผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจนโยบายและผู้แทนจากรากหญ้าที่เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจริง ๆ เมื่อพรรคการเมืองเน้น "เทคโนแครต" มากเกินไป จนลืมความสำคัญของ "ตัวแทนจากรากหญ้า" ผลที่ตามมามักจะเป็นความล้มเหลวที่ไม่คาดคิด

สำหรับพรรคประชาชน การมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญคุณภาพสูงเป็นจุดแข็งที่สำคัญ แต่หากพรรคเน้นแต่การนำเสนอ "คนเก่ง" "คนการศึกษาดี" หรือ "คนสมัยใหม่" จนละเลยการสร้างฐานรากในชุมชน การมีผู้นำท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง และการเชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนจริง ๆ นั่นอาจกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่ทำให้พรรคแพ้การเลือกตั้ง

ในทางทฤษฎีการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่าง "Technocracy" (เทคโนแครซี - การปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญ) กับ "Democracy" (ประชาธิปไตย - การปกครองโดยประชาชน) เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมายาวนาน เทคโนแครซีเชื่อว่าการตัดสินใจทางการเมืองควรอยู่ในมือของผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ เพราะปัญหาทางสังคมส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางเทคนิคที่ต้องการ "คำตอบที่ถูกต้อง" มากกว่า "ความนิยม" ในขณะที่ประชาธิปไตยเชื่อว่าการตัดสินใจควรสะท้อนเจตจำนงของประชาชน แม้ว่าประชาชนอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

นักทฤษฎีการเมืองอย่าง Hanna Pitkin ได้แยกแยะระหว่าง "Descriptive Representation" (การเป็นตัวแทนเชิงบรรยาย) กับ "Substantive Representation" (การเป็นตัวแทนเชิงเนื้อหา) การเป็นตัวแทนเชิงบรรยายหมายถึงผู้แทนที่ "เหมือน" กับผู้ที่ตนแทน ไม่ว่าจะเป็นเพศ ชนชั้น หรือภูมิหลัง ในขณะที่การเป็นตัวแทนเชิงเนื้อหาหมายถึงผู้แทนที่ "ทำเพื่อ" ผลประโยชน์ของผู้ที่ตนแทน

ปัญหาของเทคโนแครซีคือมันมักจะเน้นว่า "ผู้เชี่ยวชาญรู้ดีกว่าว่าอะไรดีสำหรับประชาชน" แต่การละเลย Descriptive Representation กลับสร้างช่องว่างระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชน ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "พวกเขาไม่เข้าใจเรา" หรือ "พวกเขาไม่ใช่พวกเรา"

ที่สำคัญอีกประการคือ อิทธิพลของ "Neoliberal Rationality" ที่ Michel Foucault วิเคราะห์ไว้ว่า เสรีนิยมใหม่ไม่ได้เป็นเพียงแค่นโยบายเศรษฐกิจ แต่เป็น "วิธีคิด" ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาทางเทคนิคที่ต้องการ "การจัดการ" โดยผู้เชี่ยวชาญ การเมืองถูกลดทอนให้เป็นเรื่องของ "ประสิทธิภาพ" "ความเป็นมืออาชีพ" และ "ธรรมาภิบาล" แทนที่จะเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม

กรณีของ Emmanuel Macron ในฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน Macron สร้างพรรค "La République En Marche" ในปี 2016 โดยดึงนักธนาคาร ข้าราชการอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญมาเป็นแกนนำ เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2017 ด้วยคะแนนท่วมท้น 66.1% สื่อมวลชนทั่วโลกยกย่องเขาเป็น "ความหวังของยุโรป"

แต่เพียง 18 เดือนหลังจากนั้น การเคลื่อนไหว "Yellow Vest" (Gilets Jaunes) ได้ระเบิดขึ้น ผู้ประท้วงส่วนใหญ่มาจากชนบทและเมืองเล็ก ๆ พวกเขาเป็นคนทำงาน แต่รายได้ไม่พอกับค่าครองชีพ พวกเขารู้สึกว่ารัฐบาล Macron ห่างไกลจากพวกเขา เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่พูดภาษา "เทคนิค" ที่พวกเขาไม่เข้าใจ

ปัญหาหลักของ Macron คือพรรคของเขาไม่มีรากฐานในชุมชน ไม่มี Local Organizers ที่แข็งแกร่ง ผู้สมัคร ส.ส. ส่วนใหญ่เป็น "Parachute Candidates" ที่ถูกส่งไปยังเขตเลือกตั้งที่พวกเขาไม่รู้จัก พรรคสร้างจาก "บนลงล่าง" (Top-Down) ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวของประชาชน ความสำเร็จในตอนแรกกลายเป็นความอ่อนแอในระยะยาว เพราะเมื่อประชาชนผิดหวัง ก็ไม่มีกลไกใดที่จะดึงพวกเขากลับมา

สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและโอกาสสูงมาก คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีเพียงประมาณ 15-20% ของประชากร และส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพและเมืองใหญ่ เมื่อพรรคการเมืองเน้นแต่การนำเสนอ "คนเก่ง" "คนมีการศึกษาดี" จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ มันจึงสร้างระยะห่างกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีโอกาสทางการศึกษาเท่านั้น

ภาษาที่ใช้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน เมื่อพรรคการเมืองใช้ศัพท์เทคนิค พูดถึง "ธรรมาภิบาล" "ประสิทธิภาพ" "การจัดการที่ดี" หรือนโยบายที่ซับซ้อนด้วยตัวเลขและกราฟ ประชาชนธรรมดาอาจจะไม่เข้าใจ หรือรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่จริง ๆ พรรคที่สามารถพูดได้ง่าย ตรงประเด็น และเข้าใจชีวิตจริงของประชาชน จะมีความได้เปรียบมากกว่า

ความสำเร็จของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 2566 มาจากหลายปัจจัย แต่หนึ่งในนั้นคือการมี Ground Game ที่แข็งแกร่ง มี Local Organizers และอาสาสมัครที่ทำงานในชุมชนอย่างจริงจัง หลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครที่เป็นคนในพื้นที่ หรืออย่างน้อยก็ทำงานในพื้นที่มาหลายปี เข้าใจปัญหา รู้จักผู้คน และได้รับความไว้วางใจ

แต่ความเสี่ยงสำหรับพรรคประชาชนคือ หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบ การสร้างพรรคใหม่อาจจะเน้นแต่การดึง "คนเก่ง" "คนมีชื่อเสียง" หรือ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาเป็นผู้สมัคร โดยละเลยการลงทุนในการสร้าง Local Infrastructure การฝึกฝนผู้นำท้องถิ่น และการรักษาเครือข่ายรากหญ้าที่สร้างมา

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือการเลือกตั้ง ส.ว. หรือการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพรรคก้าวหน้ามักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทำไม? เพราะการเลือกตั้งระดับนี้ต้องการผู้สมัครที่ "เป็นคนของพื้นที่" มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และทำงานในชุมชนมายาวนาน ไม่ใช่แค่มีความรู้หรือวิสัยทัศน์ที่ดี

พรรคเพื่อไทยมีจุดแข็งที่ชัดเจนในเรื่องของ "ตัวแทนรากหญ้า" แม้ว่าพรรคจะมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการเช่นกัน แต่พรรคไม่เคยละทิ้งฐานรากในชนบท พรรคมี ส.ส. และผู้นำท้องถิ่นที่มาจากชุมชน เข้าใจปัญหา และมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับประชาชน นโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยเช่น 30 บาทรักษาทุกโรค หนี้ 3 ปี พักชำระ หรือเงินพันบาทให้ผู้สูงอายุ ล้วนแต่เป็นนโยบายที่ "ตรง" กับความต้องการของประชาชนธรรมดา

หากพรรคประชาชนต้องการแข่งขันกับพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถทำได้โดยเน้นแต่ "ความเป็นมืออาชีพ" หรือ "นโยบายที่มีหลักวิชาการ" เพียงอย่างเดียว ต้องมีทั้งนโยบายที่ดีและผู้แทนที่เข้าใจชีวิตจริงของประชาชน ต้องมีทั้งสมองและหัวใจ

ตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญกับการเชื่อมโยงกับรากหญ้าคือการทำงานของคณะกรรมการประกันสังคมชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะทีมประชาธิปไตยประกันสังคมที่ชนะเลือกตั้ง 6 ใน 7 ที่นั่งในเดือนธันวาคม 2566

ทีมนี้มีทั้งความเชี่ยวชาญทางวิชาการ (เช่น นักวิชาการที่เข้าใจระบบสวัสดิการและบำนาญลึกซึ้ง) และความเชื่อมโยงกับฐานราก การผลักดันสูตร CARE ที่ได้รับการสนับสนุน 77.93% จากผู้ประกันตนไม่ได้มาจากแค่การออกแบบนโยบายที่ดี แต่มาจาก การฟังเสียงของคนที่ได้รับผลกระทบจริง ทีมได้เดินทางไปพบผู้รับบำนาญในหลายจังหวัด ฟังปัญหาและความทุกข์ที่พวกเขาเผชิญจากระบบ FAE ที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่แค่นั่งในห้องประชุมคิดนโยบายการรับฟังความคิดเห็นที่ได้ 77.93% เห็นด้วยไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นหลักฐานว่าเมื่อนโยบายถูกออกแบบร่วมกับประชาชน มันจะได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น นี่คือตัวอย่างของ "Grounded Expertise" - ความเชี่ยวชาญที่มีรากฐานในชุมชน ที่เชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนจริง ๆ

หนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของพรรคประชาชนคือการถูกมองว่าเป็น "พรรคของคนกรุงเทพ" "พรรคของคนชนชั้นกลางที่มีการศึกษา" ที่ไม่เข้าใจชีวิตของคนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด เราเคยเห็นมาแล้วในการเลือกตั้ง 2554 และ 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองว่าเป็น "พรรคของคนกรุงเทพ" และแพ้ย่อยยับในต่างจังหวัด แม้ว่าพรรคจะมีนโยบายที่ดี มีผู้เชี่ยวชาญมากมาย และมีประสบการณ์บริหารประเทศ พรรคประชาชนต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาเดียวกัน การมีผู้สมัครที่มาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทำงานในกรุงเทพ และพูดภาษาที่ "สูง" เกินไป อาจจะเป็นจุดอ่อนมากกว่าจุดแข็งในหลายเขตเลือกตั้ง

การมีผู้เชี่ยวชาญที่เก่งเป็นจุดแข็งของพรรคประชาชน แต่ถ้าพรรคเน้นแต่เทคโนแครตจนลืมรากหญ้า ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรง ประชาชนไม่ได้ต้องการแค่ "คนเก่ง" ที่มาบอกว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาต้องการ "ตัวแทน" ที่เข้าใจชีวิตของพวกเขาจริง ๆ ที่ฟังพวกเขา และที่ต่อสู้เพื่อพวกเขา

การเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2569 จะเป็นการทดสอบว่าพรรคประชาชนจะรักษาสมดุลระหว่างความเชี่ยวชาญกับการเชื่อมโยงกับรากหญ้าได้หรือไม่ หรือจะตกเข้าไปในกับดักเดียวกับพรรคอื่น ๆ ที่มีสมองแต่ไม่มีหัวใจ มีความรู้แต่ไม่มีความเข้าใจ มีนโยบายดี ๆ แต่ไม่มีใครอยากฟัง