ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ถอดบทเรียนหลังการเปลี่ยนแปลง จากปรีดี พนมยงค์ สู่พรรคประชาชน 2568 ตอนที่ 1 : รูปแบบการล้มเหลวที่ซ้ำรอย

15
กันยายน
2568

การตัดสินใจของพรรคประชาชน (ปชน.) ในการสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อ "เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการเมืองไทย แต่เมื่อวิเคราะห์ผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์ จะพบว่าการตัดสินใจนี้สะท้อนรูปแบบการต่อรองทางการเมืองที่เคยล้มเหลวมาแล้วในอดีต โดยเฉพาะกรณีของปรีดี พนมยงค์ และทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้ามักตกอยู่ในกับดักของการประนีประนอมที่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำการปฏิวัติ 2475 และนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับพรรคประชาชนในปัจจุบัน ในช่วงหลังปี 2475 ปรีดีพยายามผลักดันเค้าโครงเศรษฐกิจฯ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบรัฐนำที่ก้าวหน้าสำหรับยุคนั้น แผนนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยออกจากความล้าหลังและสร้างความเป็นธรรมในสังคม อย่างไรก็ตาม ปรีดีต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมในรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการชั้นสูงและกลุ่มผลประโยชน์เดิมที่ต้องการรักษาระบบเศรษฐกิจแบบเดิมและไม่ยอมให้รัฐเข้ามาแทรกแซงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากเกินไป กลุ่มนี้เห็นว่าแผนของปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์และอำนาจของพวกเขา

หลังรัฐประหารครั้งแรกสำหรับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้ปรีดี พนมยงค์จะกลับมามีบทบาททางการเมือง แต่เค้าโครงเศรษฐกิจไม่ได้ถูกหยิบยกเป็นนโยบายหลักอีกและเลื่อนการดำเนินการออกไป การประนีประนอมนี้จะเป็นกลยุทธ์ระยะสั้นที่จะช่วยให้เขาสามารถรักษาตำแหน่งและโอกาสในการปฏิรูปได้ในอนาคต แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

เค้าโครงเศรษฐกิจไม่เคยได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การเลื่อนการดำเนินการกลายเป็นการหลีกเลี่ยงอย่างถาวร และในที่สุดแผนก็ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง การประนีประนอมที่คิดว่าจะเป็นกลยุทธ์ในการรักษาโอกาสการปฏิรูป กลับกลายเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถขจัดแผนการปฏิรูปได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้าโดยตรง กลุ่มอนุรักษ์นิยมใช้เวลาที่ได้จากการประนีประนอมในการรวบรวมพลังและสร้างความชอบธรรมในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

ข้อเรียนรู้สำคัญจากกรณีของปรีดีคือการประนีประนอมโดยไม่มีกลไกรับประกันที่เป็นรูปธรรม มักนำไปสู่การที่ฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจะสูญเสียโอกาสในการปฏิรูปอย่างถาวร การให้เวลาแก่ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีข้อผูกมัดที่ชัดเจน เป็นการเสี่ยงที่อาจทำให้การปฏิรูปถูกฆ่าตายอย่างช้า ๆ

เช่นเดียวกันกับรูปแบบการล้มเหลวในยุคทักษิณ ชินวัตร หลายทศวรรษหลังจากความล้มเหลวของปรีดี ทักษิณ ชินวัตรเข้าสู่เวทีการเมืองไทยด้วยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่แตกต่างจากปรีดี แต่ก็ตกอยู่ในกับดักประเภทเดียวกันในท้ายที่สุด ทักษิณมีข้อได้เปรียบที่ปรีดีไม่เคยมี คือการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม อำนาจทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และความเข้าใจในกลไกของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจกติกาของการเมืองไทยเป็นอย่างดี เขาพยายามเล่นตามกติกาที่ระบบเดิมกำหนด โดยสร้างพันธมิตรกับกลุ่มทุนใหญ่ ประนีประนอมกับระบบอำมาตย์ และพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ภัยคุกคามต่อโครงสร้างอำนาจเก่า นโยบายหลายอย่างของเขาได้รับการออกแบบให้ดูเหมือนการปฏิรูปที่ก้าวหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ไปแตะต้องรากฐานของระบบที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อทักษิณเริ่มมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นและเริ่มแตะต้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำอย่างจริงจัง ระบบก็แสดงให้เห็นว่ากติกาที่เขาเล่นตามนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการของผู้ที่มีอำนาจจริง การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เริ่มจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปจนถึงการแทรกแซงของศาล และสุดท้ายคือรัฐประหารในปี 2549 และต่อมาในปี 2557 ไม่เพียงแต่เป็นการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและมีความนิยมสูง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าระบบจะไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้น แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม ประสบการณ์ของทักษิณแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความนิยมสูงและชนะการเลือกตั้งอย่างเหนือชั้น แต่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง การปฏิรูปก็ยังคงเปราะบางและสามารถถูกพลิกคว่ำได้เมื่อใดก็ได้

พรรคประชาชนและการทำซ้ำรูปแบบเดิม การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการสนับสนุนอนุทินบนพื้นฐานของการ "เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" แสดงให้เห็นถึงการทำซ้ำรูปแบบการคิดที่เคยนำไปสู่ความล้มเหลวมาแล้วสองครั้ง เช่นเดียวกับปรีดีและทักษิณ พรรคประชาชนเชื่อว่าการทำงานภายในระบบและการประนีประนอมจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ ความเชื่อนี้แสดงออกผ่านคำกล่าวของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ระบุว่า "เราไม่ได้เลือกคุณอนุทินมาบริหารประเทศ เราเลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกันและเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ"

แต่ประสบการณ์ในอดีตแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในระบบเก่ามักจะไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ คำถามสำคัญที่ควรพิจารณาคือทำไมอนุทินและพรรคภูมิใจไทยถึงยอมตกลงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อฐานการสนับสนุนหลักของพวกเขาที่มักเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม นอกจากนี้ พรรคประชาชนมีอำนาจต่อรองที่แท้จริงหรือไม่หากคู่ร่วมผิดคำมั่นสัญญา และที่สำคัญที่สุดคือระบบการเมืองไทยมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือไม่ หรือจะมีกลไกในการต่อต้านเช่นเดิม

ความน่าเป็นห่วงมากที่สุดคือรูปแบบการทำลายที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในการเมืองไทย เมื่อความพยายามในการปฏิรูปล้มเหลว ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อกลุ่มการเมืองที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม หลังจากความล้มเหลวของปรีดี ประชาชนหันไปสนับสนุนระบบเผด็จการทหาร หลังจากการโค่นล้มทักษิณ ประชาชนหลายกลุ่มเบื่อหน่ายการเมืองและเปิดทางให้อำนาจเก่ากลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม

หากพรรคประชาชนล้มเหลวในครั้งนี้ ผลที่ตามมาอาจเป็นการทำลายความหวังของประชาชนในการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตย และอาจเปิดทางให้รูปแบบการเมืองแบบอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเข้ามาแทนที่ นี่คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสอนเราและเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินหน้าตามแผนที่วางไว้