การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้ข้อตกลงห้าข้อ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สะท้อนความเชื่อที่ฝังลึกในจิตสำนึกของนักการเมืองไทยที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง นั่นคือความเชื่อว่าการ "เล่นตามกติกา" ของระบบที่มีอยู่จะนำไปสู่การปฏิรูปที่ต้องการ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะพบว่ากติกานี้ไม่เคยเป็นกลางและมักเป็นเครื่องมือในการรักษาโครงสร้างอำนาจเดิมมากกว่าการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ยุคปรีดี พนมยงค์ ในทศวรรษแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และผ่านยุคทักษิณ ชินวัตร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 และต่อมาจนถึงปัจจุบันที่พรรคประชาชนกำลังเผชิญ
ปรีดีและความเชื่อในการทำงานภายในระบบ
ปรีดี พนมยงค์ เป็นตัวอย่างแรกที่ชัดเจนของนักการเมืองไทยที่เชื่อมั่นว่าการทำงานภายในระบบจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ หลังจากการปฏิวัติ 2475 ปรีดีพบว่าการมีอำนาจทางการเมืองเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เขาต้องเผชิญกับความต้านทานจากระบบราชการเก่า กลุ่มอนุรักษ์นิยม และโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่ต้องการให้มีการแทรกแซงจากรัฐ แต่สิ่งที่ปรีดีไม่ได้คาดคิดคือระบบมีกลไกในการดูดซับและทำให้การเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลายไปอย่างช้า ๆ การประนีประนอมแต่ละครั้งทำให้แผนการปฏิรูปเสียความคมคายลง การเลื่อนการดำเนินการแต่ละครั้งทำให้โมเมนตัมของการเปลี่ยนแปลงลดลง และการหาจุดร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมทำให้วิสัยทัศน์เดิมถูกบิดเบือนไปจากเป้าหมายเดิม ในที่สุด เค้าโครงเศรษฐกิจที่ควรจะเป็นเครื่องมือในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย กลับกลายเป็นเพียงเอกสารที่ถูกเก็บไว้ในตู้โดยไม่มีใครกล่าวถึงอีก ประสบการณ์ของปรีดีแสดงให้เห็นว่าแม้จะพยายามทำงานภายในระบบ แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงที่เสนอมีความรุนแรงเกินไป ระบบจะใช้วิธีการรุนแรงในการกำจัดภัยคุกคาม การเล่นตามกติกาไม่สามารถปกป้องนักการเมืองที่ต้องการปฏิรูปได้หากพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์หลักของระบบเก่า
เปรียบเทียบกับทักษิณในระบบการเมืองชนชั้นนำที่เขาคิดว่าควบคุมได้
ในช่วงแรกของการเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจกติกาของการเมืองไทยเป็นอย่างดี เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับระบบเก่าโดยตรง แต่เลือกที่จะสร้างพันธมิตรกับกลุ่มทุนใหญ่ ประนีประนอมกับระบบอำมาตย์ และใช้นโยบายประชานิยมในการสร้างฐานสนับสนุนจากประชาชน นโยบายต่าง ๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน และการแก้ปัญหาหนี้เกษตรกร ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงและทำให้ทักษิณมีความชอบธรรมทางการเมืองที่แข็งแกร่ง ทักษิณคิดว่าการมีความนิยมสูงและการชนะการเลือกตั้งอย่างเหนือชั้นจะเป็นโล่ป้องกันการปฏิรูปของเขาจากการโจมตีของระบบเก่า เขาเชื่อว่าหากประชาชนสนับสนุนและการเลือกตั้งเป็นไปตามกติกาประชาธิปไตย ก็ไม่มีใครสามารถยกเลิกการเปลี่ยนแปลงที่เขาสร้างขึ้นได้ แต่สิ่งที่ทักษิณไม่ได้คาดคิดคือระบบมีกลไกในการเปลี่ยนกติกาเมื่อผลการเล่นไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
เมื่อทักษิณเริ่มแข็งแกร่งเกินไปและนโยบายของเขาเริ่มส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่า ระบบก็เริ่มใช้กลไกต่าง ๆ ในการต่อต้าน ตั้งแต่การใช้ศาลในการตัดสินคดีทางการเมือง การระดมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการชุมนุม ไปจนถึงการใช้กองทัพในการรัฐประหาร กติกาที่ทักษิณเชื่อว่าจะปกป้องเขาได้ กลับถูกเปลี่ยนแปลงและใช้เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มเขา
พรรคประชาชนและความหวังในการแก้รัฐธรรมนูญ
ในปัจจุบัน พรรคประชาชนกำลังเดินเข้าสู่กับดักเดียวกันที่ปรีดีและทักษิณเคยตกอยู่ แต่ด้วยความเชื่อที่แตกต่างไปอีก พรรคประชาชนเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจและเปิดทางสู่การปฏิรูปที่แท้จริง การสนับสนุนอนุทินภายใต้ข้อตกลงห้าข้อ โดยเฉพาะการยุบสภาเพื่อจัดการประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบ แต่การวิเคราะห์จากประสบการณ์ของปรีดีและทักษิณทำให้เกิดคำถามสำคัญหลายประการ ประการแรก ทำไมอนุทินและพรรคภูมิใจไทยซึ่งมีฐานการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมถึงยอมตกลงกับการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อฐานเสียงหลักของพวกเขา ประการที่สอง พรรคประชาชนมีอำนาจต่อรองที่แท้จริงอย่างไรหากอนุทินหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ เปลี่ยนใจหรือผิดคำมั่นสัญญา
ที่สำคัญที่สุดคือประการที่สาม คือคำถามว่าระบบการเมืองไทยมีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือไม่ หรือจะมีกลไกในการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอดีต ประสบการณ์จากการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในหลายโอกาสที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแม้แต่การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเทคนิคและไม่ค่อยมีนัยสำคัญทางการเมือง ก็ยังคงเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรง
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือแม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จ แต่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง การแก้ไขดังกล่าวอาจกลายเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนกติกาใหม่ที่ยังคงให้ประโยชน์แก่กลุ่มอำนาจเดิม ประสบการณ์จากประเทศอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ มักจะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ
การตัดสินใจของพรรคประชาชนในครั้งนี้จึงเป็นการทดสอบที่สำคัญไม่เพียงแต่สำหรับพรรค แต่สำหรับอนาคตของประชาธิปไตยไทย หากพรรคประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงกับดักที่ปรีดีและทักษิณเคยตกอยู่ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่หากล้มเหลว ก็อาจเป็นการปิดประตูโอกาสสำหรับการปฏิรูปทางการเมืองในอนาคตอันใกล้