ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ถอดบทเรียนหลังการเปลี่ยนแปลง จากปรีดี พนมยงค์ สู่พรรคประชาชน 2568 ตอนที่ 3 : ลูปเดิมของความสิ้นหวังจากการประนีประนอม

17
กันยายน
2568

การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่เพียงแต่เป็นการต่อรองทางการเมืองในระยะสั้น แต่ยังเป็นการทดสอบที่อาจกำหนดทิศทางของประชาธิปไตยไทยในระยะยาว เมื่อวิเคราะห์ผ่านมิติของประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าการเมืองไทยติดอยู่ในลูปของความล้มเหลวที่ทำซ้ำกันตลอดมา ตั้งแต่ยุคปรีดี พนมยงค์ ผ่านยุคทักษิณ ชินวัตร และหากการตัดสินใจของพรรคประชาชนในครั้งนี้ล้มเหลว อาจจะเป็นการปิดท้ายลูปนี้ด้วยผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้น

 

รูปแบบการทำลายที่เกิดขึ้นซ้ำ

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยแสดงให้เห็นรูปแบบการทำลายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีกลุ่มการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลง ระบบจะใช้กลไกต่าง ๆ ในการต่อต้านและกำจัดภัยคุกคาม เริ่มจากการใช้กระบวนการทางกฎหมายและการเมือง ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงเมื่อจำเป็น และเมื่อกลุ่มปฏิรูปถูกกำจัดออกไป ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อกลุ่มนั้น ๆ เท่านั้น แต่เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม

ในกรณีของปรีดี หลังจากที่เขาถูกขับออกจากอำนาจด้วยรัฐประหารและต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ประชาชนไทยหลายกลุ่มเกิดความผิดหวังต่อการเมืองแบบประชาธิปไตย พวกเขาเห็นว่าการเลือกตั้งและกระบวนการทางการเมืองไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ เมื่อระบบสามารถโค่นล้มผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งได้ ความหมายของการเลือกตั้งก็ถูกทำลายลง ในที่สุด ประชาชนหันไปยอมรับและสนับสนุนระบบเผด็จการทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สัญญาว่าจะนำความมั่นคงและการพัฒนามาให้ และลากยาวนานจนถึงระบอบสฤษดิ์ และถนอม นาวนานรวมมากกว่า 20 ปี

รูปแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งในยุคหลังทักษิณ การรัฐประหาร 2549 และ 2557 ไม่เพียงแต่ทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบประชาธิปไตย หลังจากการรัฐประหารแต่ละครั้ง จะมีกลุ่มประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เบื่อหน่ายการเมืองและยอมรับกับระบบเผด็จการ เพราะเห็นว่าอย่างน้อยก็มีความมั่นคงมากกว่าการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่แน่นอน

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือรูปแบบการทำลายนี้มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นในแต่ละรอบ เพราะประชาชนจะมีความอดทนต่อความผิดหวังน้อยลงเรื่อย ๆ หากพรรคประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของความหวังสุดท้ายในการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตยล้มเหลว ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยอาจจะรุนแรงและยาวนานกว่าที่เคยเกิดขึ้น

ความล้มเหลวแต่ละครั้งไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่แยกออกจากกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสะสมที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เมื่อปรีดีล้มเหลว มันไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียโอกาสในการปฏิรูปเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรูปแบบที่ระบบจะใช้ในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาทางการเมืองกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคมไทย เมื่อทักษิณถูกโค่นล้ม มันไม่ได้เป็นเพียงการสูญเสียรัฐบาลหนึ่ง ๆ ที่สำคัญกว่านั้น คือการสร้างความแบ่งแยกในสังคมไทยที่รุนแรงขึ้น ประชาชนเริ่มมองการเมืองในแง่ของการแบ่งข้างมากกว่าการมองในแง่ของการแก้ปัญหาร่วมกัน

มรดกของความล้มเหลวเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนแค่ในระดับสถาบัน แต่ยังฝังลึกลงไปในจิตสำนึกของประชาชน คนไทยหลายคนเริ่มเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้ พวกเขาหันไปหาทางเลือกอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนผู้นำเผด็จการที่สัญญาว่าจะนำความมั่นคงมาให้ หรือการถอยออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

ความเบื่อหน่ายต่อการเมืองนี้กลายเป็นดินที่อุดมสำหรับการเติบโตของระบบเผด็จการ เพราะเมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย พวกเขาจะยอมรับระบบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยได้ง่ายขึ้น หากมีใครมาสัญญาว่าจะแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและขัดแย้งของประชาธิปไตย ประชาชนที่เหนื่อยหน่ายจะยอมรับข้อเสนอนั้นได้

การสนับสนุนอนุทินเพื่อ "เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" อาจดูเหมือนเป็นการต่อรองทางการเมืองที่ชาญฉลาด แต่เมื่อมองในบริบทของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจนี้มีความเสี่ยงสูงมาก หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแต่ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ผลกระทบจะไม่ใช่แค่ต่อพรรคประชาชนเท่านั้น แต่จะเป็นการทำลายความหวังสุดท้ายของประชาชนในการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตย

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากอดีตคือพรรคประชาชนและพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของกลุ่มประชาชนที่มีความเข้าใจในกระบวนการประชาธิปไตย หากกลุ่มนี้สูญเสียความเชื่อมั่นในระบบ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าความล้มเหลวในอดีต เพราะพวกเขาคือกลุ่มที่ควรจะเป็นแกนหลักในการสนับสนุนและพัฒนาประชาธิปไตยในปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริบทโลกในปัจจุบันก็แตกต่างจากอดีต การเติบโตของระบบเผด็จการในหลายประเทศ การใช้เทคโนโลยีในการควบคุมสังคม และการลดลงของการสนับสนุนประชาธิปไตยจากชุมชนระหว่างประเทศ ทำให้หากประชาธิปไตยไทยล้มเหลวในครั้งนี้ การฟื้นตัวกลับมาอาจจะยากกว่าในอดีต

ที่สำคัญกว่านั้น คือการที่สังคมไทยในปัจจุบันมีความแบ่งแยกสูง หากความพยายามสุดท้ายในการสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตยล้มเหลว อาจเป็นการเปิดทางให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น หรือการยอมรับระบบเผด็จการที่แข็งกร้าวกว่าที่เคยมี อีกมิติหนึ่งของความเสี่ยงคือการที่พรรคประชาชนอาจกลายเป็น "เครื่องมือที่ถูกใช้" โดยไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง หากอนุทินและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ใช้พรรคประชาชนเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมแล้วทิ้งไปเมื่อไม่ต้องการแล้ว การกระทำดังกล่าวจะส่งสัญญาณให้เห็นว่าแม้แต่พรรคการเมืองที่มีการสนับสนุนจากประชาชนสูงก็ยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ นี่จะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในระบบการเมืองโดยสิ้นเชิง

การตัดสินใจของพรรคประชาชนในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อรองทางการเมือง แต่เป็นการเดิมพันกับอนาคตของประชาธิปไตยไทย หากสำเร็จ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การปฏิรูปที่แท้จริง แต่หากล้มเหลว อาจจะเป็นการปิดประตูสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการประชาธิปไตย และเปิดทางสู่รูปแบบการปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ที่อาจใช้กระแสชาตินิยมและความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม ซึ่งจะรุนแรงและยาวนานกว่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะจะมีการสนับสนุนจากกระแสโลกที่เอื้อต่อการเติบโตของระบบเผด็จการและการเมืองฝ่ายขวา