เกริ่นนำ
ด้วยสาราณียกรแห่ง ปาจารยสาร มีบัญชาให้ผู้เขียนนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับสุนัข อันเป็นหัวข้อหลักของวารสารในฉบับนี้ ผู้เขียนจึงอนุสรณ์คำนึงถึงรัฐบุรุษอาวุโสของไทย ซึ่งล่วงลับไปแล้วกว่า 37 ปี แม้จะมีผู้ที่เขียนงานต่าง ๆ ถึงมหาบุรุษผู้นี้ในหลายด้านแล้ว แต่น้อยชิ้นนักที่จะเขียนถึงเรื่อง “หมา ๆ” ของท่านให้ปรากฏ เพื่อให้เห็นความเป็นมนุษย์สามัญที่ไม่ธรรมดาของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอ เรื่อง “หมาๆ” ของรัฐบุรุษอาวุโส สนองบัญชาของท่านสาราณียกร
อนึ่ง ถ้าปราศจากข้อมูลของครูดุษฎี พนมยงค์ แล้ว บทความนี้ย่อมไม่อาจปรากฏขึ้นได้เลย จึงขอขอบคุณไว้ในโอกาสนี้ แต่ถ้ามีข้อบกพร่องประการใด ย่อมเป็นความพลั้งพลาดของผู้เขียนเอง
ความผูกพันกับหมา
สัตว์ (ที่ไม่ได้เลี้ยงเอง) ที่มีความผูกพันกับนายปรีดี คือ หมาวัด เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้วัดพนมยงค์ จึงได้วิ่งเล่นกับหมาวัดใกล้บ้านเป็นประจำมาตั้งแต่เด็ก นายปรีดีเล่าว่า ครั้งหนึ่งเกือบถูกหมาวัดไล่งับน่อง แต่อาศัยวิ่งเร็ว จึงไม่โดนหมากัด
ต่อมานายปรีดีได้ติดตามบิดา (นายเสียง พนมยงค์) ไปทำนาที่อำเภอวังน้อย ซึ่งนางน้อม ตามสกุล (น้องสาวของนายปรีดี) เคยเล่าถึงความเมตตาของนายปรีดีที่มีต่อหมาในห้วงเวลานั้นว่า “ชอบเล่นกับหมาอยู่เสมอ เหมือนมันเป็นเพื่อนสนิท ตัวไหนเจ็บป่วยก็จะหาข้าวหาน้ำให้มันเป็นพิเศษ” แต่เมื่อมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แล้ว ได้พักอยู่ที่บ้านพระยาชัยวิชิตฯ (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ท่านเจ้าคุณไม่เลี้ยงหมา นายปรีดีจึงไม่มีโอกาสคลุกคลีกับหมาอีกเลย จนกระทั่งไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส กลับมาก็มีภารกิจเพื่อชาติ จนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว จึงไม่ได้เลี้ยงหมาด้วย
ชีวิตเมื่อลี้ภัย
กองบรรณาธิการ สยามใหม่ เคยเขียนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนายปรีดี เมื่อพำนักที่บ้านอองโตนีชานกรุงปารีสไว้อย่างละเอียด จนทำให้เห็นชีวิตบั้นปลายของบุรุษผู้นี้ได้เป็นอย่างดี โดยมีความตอนหนึ่งเอ่ยถึงสัตว์เลี้ยงของนายปรีดีว่า
“สัตว์เลี้ยงนั้นสมัยอยู่ที่จีน ท่านเคยเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งทั้งแสนรู้และซื่อสัตย์ แต่เมื่อมาอยู่ที่ฝรั่งเศสไม่ได้เลี้ยง เพราะค่าอาหารแพง แต่กระนั้นก็มีกระต่ายตัวน้อย ๆ ที่หลานของท่านเลี้ยงไว้ ท่านก็คอยดูแลเอาใจใส่อยู่มิได้ขาด”
น่าสนใจตรงที่เป็นการเปิดเผยว่า นายปรีดีเคยเลี้ยงสุนัขที่เมืองจีน แต่เมื่อมาพำนักที่ฝรั่งเศสแล้วเป็นอันต้องงด เพราะ “ค่าอาหารแพง”
หมาบ้านปรีดีที่เมืองจีน
แต่ข้อมูลที่ได้รับจากธิดาของนายปรีดีนั้น เขาไม่ได้เลี้ยงเพียงตัวเดียว แต่เคยเลี้ยงหลายตัวทีเดียว และเลี้ยงไว้ถึง 2 รุ่น 2 ยุค ดังนี้
ช่วงแรก
ในช่วงที่นายปรีดีพำนักอยู่ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีนนั้น คราวหนึ่ง ลูกสาวนายปรีดีเห็นลูกหมาที่โรงเรียนของเธอ น่ารักดี จึงนำกลับมาเลี้ยงที่บ้าน 2 ตัว ตัวผู้ให้ชื่อ “อันช่า” เป็นชื่อหมาในภาพยนตร์สหภาพโซเวียตในขณะนั้น ส่วนตัวเมียให้ชื่อว่า “หวง” เพราะมีขนสีเหลืองทั่วตัว (“หวง” ภาษาจีนแปลว่า สีเหลือง) หมาทั้ง 2 ตัวเป็นหมาพันทางของจีน แต่ขนไม่เกรียนเหมือนหมาพันทางของไทย ทั้งนี้ ขนที่ยาวช่วยให้มันทนกับอากาศหนาวที่เมืองจีนได้
ด้วยความที่ทางการจีนจัดบ้านพักให้นายปรีดีและครอบครัวอยู่อาศัยอย่างสะดวกสบาย เป็นบ้านที่มีสวนและพื้นที่โดยรอบพอสมควร ทำให้ “หมาจีน” 2 ตัวที่นำมาเลี้ยงนั้น สามารถวิ่งเล่นในบริเวณสวนของบ้านได้ตามชอบใจ ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้น ที่เมืองจีนห้ามเลี้ยงหมา แต่บ้านของนายปรีดีก็แอบเลี้ยงกัน
วาณี พนมยงค์ เขียนใน วันวานในโลกกว้าง ของเธอไว้ว่า “วันหนึ่งปลาย[1] สังเกตว่า เวลาเดินไปที่ไหน สุนัขสีเหลืองขนยาวตัวหนึ่งตามต้อย ๆ ปลายเดิน มันก็เดิน ปลายหยุด มันก็หยุด ปลายกระดกลิ้น ‘ก้อก ๆ’ เรียก มันกระดิกหางหูลีบ เดินเข้ามาประจบเลียเท้าปลาย ตั้งแต่วันนั้น อันช่าก็กลายเป็นสมาชิกของครอบครัว”
“อันช่า” มาอยู่กับครอบครัวนายปรีดีพร้อมกับ “หวง”
ต่อมา “หวง” ตั้งท้อง จนวันหนึ่ง มันก็เดินหลบเข้าไปอยู่ใต้โพรงต้นไทรหน้าตึก ด้วยความที่คงจะเป็นท้องแรกของมัน จึงคลอดยาก ส่งเสียงร้องครวญคราง นายปรีดีเห็นแล้วสงสาร รีบคว้าไฟฉายออกไปดู เห็น “หวง” กำลังจะออกลูก จึงได้ช่วยทำคลอดให้ จนมันคลอดลูกมาถึง 6 ตัว
หลังจากหมาน้อยลืมตาดูโลกแล้ว ก็ยังไม่ประสาต่อการดูดนมแม่หมา นายปรีดีก็ต้องช่วยจับวางให้ดูดนมแม่อีกด้วย บางครั้ง ยังนำนมที่รับประทานเหลือจากอาหารเช้า ไปให้ลูกหมากิน
เรื่องนายปรีดีช่วยทำคลอดให้หมานี้ เป็นเรื่องที่ลูก ๆ ขำกันเลยทีเดียว ใครจะนึกว่า ผู้อภิวัฒน์คนสำคัญของไทยจะมีแง่มุมน่ารักเช่นนี้ด้วย
ช่วงหลัง
ต่อมาในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ที่บ้านนายปรีดีได้หมารุ่นใหม่มาอีก 2 ตัว และตั้งชื่อเป็นภาษาไทยตามชื่อคนที่ครอบครัวรังเกียจ 2 คน ซึ่งเป็นสองคนที่คิดไม่ดีต่อประเทศชาติ แต่สุดท้ายทุกคนในบ้านก็รักหมา 2 ตัวนี้มาก ดูมันจะกลับตาลปัตรกับความรู้สึกที่มีต่อคนชื่อนั้น ๆ เพราะความที่มันให้ความรัก ความซื่อสัตย์ ไม่ขี้โกง ไม่ระรานทำร้ายผู้อื่น เป็นหมาแสนรู้ ฉลาดโดยไม่ต้องเข้าโรงเรียนฝึกหมา ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มี จึงเกิดความรักความผูกพัน และหมา 2 ตัวนี้ ก็อยู่เป็นสุขเรื่อยมา
แต่แล้ว เมื่อเกิดโรคหมาบ้าระบาดขึ้นที่เมืองจีน จู่ ๆ หมาที่เลี้ยงไว้ทั้ง 2 ตัวก็หายไปจากบ้าน ถามใครก็ไม่มีใครเปิดปาก นอกจากคนสวนที่เป็นชาวจีน ยิ้มให้เราอย่างมีเลศนัย
นั่นเพราะแทนที่จะฆ่าทิ้งเฉย ๆ เพื่อป้องกันโรคระบาด เขาได้จับหมาไปฆ่าเพื่อปรุงอาหาร เพราะวัฒนธรรมที่นั่น การกินเนื้อหมาเป็นเรื่องปกติ ว่ากันว่า กินเนื้อหมาแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เจ็บป่วย
เวลานั้น วาณี ธิดาคนสุดท้องของนายปรีดี บรรยายความรู้สึกว่า “ยังเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่ถูกแย่งของรักของหวง แล้วนี่เป็นของรักของหวงที่มีชีวิตชีวา ผูกพันกันมานานปี จะไม่ให้ปลายเสียใจได้อย่างไร”
เธอเขียนต่อไปด้วยว่า “คนกวางตุ้งกินได้ทุกสิ่งไม่เลือก จนกระทั่งมีการกล่าวขานกันว่า กินทุกอย่างที่บินได้ ยกเว้นเครื่องบิน กินทุกอย่างที่อยู่ใต้น้ำ ยกเว้นเรือดำน้ำ กินทุกอย่างที่มี ๔ ขา ยกเว้นโต๊ะเก้าอี้”
หมา ๆ ของรัฐบุรุษอาวุโสจึงพบจุดจบด้วยการลงหม้อ เป็นอาหารอันโอชะของคนอีกหลายคนด้วยประการฉะนี้
แหล่งที่มา
- ดุษฎี พนมยงค์, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 8 พฤศจิกายน 2563.
- กองบรรณาธิการ สยามใหม่, “บันทึกชีวิตสมถะปัจฉิมวัยที่กรุงปารีส,” ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2560 (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2560), น. 43.
- วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์, “วันวานในโลกกว้าง,” ใน อนุสรณ์ วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2562), น. 301-302, 304.
หมายเหตุ
- เผยแพร่ครั้งแรกทาง ปาจารยสาร ปีที่ 44 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2563.
[1] ปลาย เป็นชื่อสมมติที่วาณีใช้แทนตัวเธอในการแต่งหนังสือ วันวานในโลกกว้าง แต่มิได้เป็นชื่อเล่นของเธอ.