ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 24 : การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน

30
กรกฎาคม
2568

ภาพถ่ายย่านสำเพ็งในอดีต ซึ่งมีชาวจีนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา: NGThai

 

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว คนจีนเข้ามาพำนักประกอบการหาเลี้ยงชีพในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก อาศัยความขยันหมั่นเพียร สามารถมีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ประเทศไทยไม่มีการกีดกันการเข้าเมือง ถือคนจีนเป็นเสมือนหนึ่งพี่น้อง เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำการสมรสกับสตรีไทยแล้วมักจะไม่กลับ ตั้งครอบครัวอยู่ในประเทศไทยต่อมา ครั้นเมื่อประเทศทางยุโรปเข้าทำความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยต้องรับความผูกพันมัดฝ่ายเดียวทั้งในด้านการศาลและการภาษีอากร ให้ผลประโยชน์พิเศษแก่คนต่างชาติเหล่านั้น เกิดปัญหาเรื่องคนสังกัดชาติขึ้น คนจีนจำนวนไม่น้อยถือเอาประโยชน์จากการที่เป็นคนในบังคับอังกฤษ เรียกร้องเอาสิทธิพิเศษตามคนอังกฤษด้วย ยิ่งกว่านั้นเมื่อคนจีนเข้าประเทศไทยโดยพาภริยามาด้วย เกิดเป็นสังคมจีนแยกต่างหากจากสังคมไทย ลูกหลานที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้รับการอบรมให้นิยมจีน มีโรงเรียนจีนโดยเฉพาะ จึงเกิดเป็นปัญหาเรื่องชาตินิยมขึ้น ทางฝ่ายรัฐบาลจีนเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องหาทางคุ้มครองผลประโยชน์ของคนจีนในประเทศไทย เช่นเดียวกันกับในดินแดนอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีคนจีนเข้าไปอาศัยอยู่ เป็นปัญหาเรื่องคนจีนโพ้นทะเลให้ทุกประเทศหรือดินแดนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางขบกันมา สำหรับประเทศไทย วิธีแก้วิธีหนึ่งได้แก่การพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน จนกระทั่งปี ๒๔๘๕ ไทยยินยอมรับรองรัฐบาลจีนของวังจิงไวที่นานกิงตามคำขอของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม แต่ก็ไม่ทันได้ทำการแลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูตต่อกัน

ระหว่างสงคราม คณะต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทยลักลอบติดต่อกับรัฐบาลจอมพล เจียงไคเช็ค ซึ่งแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจไทยในความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกับญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในบรรดาสัมพันธมิตร โดยประกาศเป็นทางการทางวิทยุกระจายเสียงเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ ว่า จีนถือไทยเป็นประเทศพี่น้องที่ถูกญี่ปุ่นบังคับให้เข้าร่วมสงคราม จีนไม่ถือไทยเป็นศัตรู แต่เป็นดินแดนที่ถูกทหารญี่ปุ่นยึดครอง การติดต่อระหว่างคณะต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทยกับสัมพันธมิตร อาศัยการส่งผู้คนผ่านออกไปทางประเทศจีนเป็นเบื้องแรก ซึ่งจีนสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในภายหน้า จีนไม่ลืมการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนจีนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในด้านโรงเรียนจีนและการประกอบธุรกิจของคนจีน รัฐบาลจีนเคยขอร้องให้อังกฤษช่วยปรับความเข้าใจกับรัฐบาลไทยให้ด้วย

ครั้นเมื่อสิ้นสุดสงครามทางมหาสมุทรแปซิฟิกลงด้วยการยอมจำนนของญี่ปุ่น จีนมีฐานะเป็นสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามประเทศหนึ่ง หนังสือพิมพ์ชื่อทากุงเป้าของจุงกิงลงบทความเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๘๘ กล่าวหาประเทศไทยว่าเป็นประเทศฟาสซิสต์สมุนของญี่ปุ่น ประเทศไทยอยู่ในเขตสมรภูมิของจีน โดยที่รัฐบาลไทยเคยเลือกปฏิบัติเป็นผลเสียต่อคนจีนในประเทศไทย จึงควรที่สัมพันธมิตรจะปลดอาวุธทหารไทยเสียให้สิ้น สัมพันธมิตรควรยื่นคำขาดให้ไทยยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างที่ทำกับญี่ปุ่น และไม่พึงปล่อยให้ไทยกลับสร้างสมกำลังทหารต่อไป อาชญากรสงครามไทยควรได้รับการพิจารณาในศาลระหว่างประเทศ ดินแดนที่ไทยลักจากมลายูและอินโดจีนควรคืนให้แก่เจ้าของเดิม เขตแดนไทยควรกลับไปสู่สถานะก่อนสงคราม ไทยควรจะให้ค่าทดแทนความเสียหายที่คนชาติสัมพันธมิตรในประเทศไทยได้รับระหว่างสงคราม รัฐบาลไทยควรชดใช้การสูญเสียต่าง ๆ ของคนจีนในประเทศไทย อันเป็นผลจากนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนที่ดำเนินมาแต่ปี ๒๔๗๕ ควรมีการควบคุมสอดส่องนโยบายของรัฐบาลไทย ป้องกันมิให้เกิดระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ขึ้นอีก บรรดาตัวบทกฎหมายที่ส่งเสริมชาตินิยมไทยจะต้องเป็นอันยกเลิก คนจีนในประเทศไทยจะต้องมีเสรีภาพในการถือกรรมสิทธิ์ การศึกษาและการเข้าเมือง สัมพันธมิตรควรเข้าควบคุมการเมืองภายในของไทยเป็นเวลานาน ในระยะนั้นจีนควรมีผู้แทนที่เหมาะสมในประเทศไทย ทั้งหลายเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริง

เดชะบุญที่ประเทศไทยมิได้ตกอยู่ในเขตสมรภูมิของจีนอย่างที่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นกล่าวอ้าง ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรูแมน เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๘ กำลังทหารจีนได้รับอำนาจให้เป็นผู้รับการยอมจำนนของทหารญี่ปุ่นในประเทศจีนเรื่อยลงมาจนตอนเหนือของอินโดจีนที่เส้นละติจูดที่ ๑๖ ไม่ได้มาถึงประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายในเขตของกองบัญชาการทหารสูงสุดภายใต้ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน กระนั้นก็ตามคนจีนในประเทศไทยเกิดมีความเห่อเหิมอยากจะทำการฉลองชัยชนะญี่ปุ่นกลางกรุงเทพ ฝ่ายไทยไม่อยากจะให้มีการกระทำเช่นนั้น เกิดการขัดขวางต่อสู้กันขึ้น กำลังทหารและตำรวจไทยเข้าล้อมเขตสำเพ็งที่คนจีนพำนักอาศัย

นายกรัฐมนตรีเสนีย์ ปราโมช แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน อย่างยืดยาวสรุปว่า เริ่มยิงกันที่ถนนเยาวราชและประตูใหม่ พวกพ่อค้าจีนปิดร้านค้า ไทยแสดงปฏิกริยาโต้ตอบด้วยการหยุดเรือรับจ้างและจักรยานสามล้อ เข้ารูปขิงราข่าแรง กลายเป็นการใช้อาวุธปืนยิงต่อกัน เป็นการข่มขวัญมากกว่า มีผู้คนตายและบาดเจ็บไม่เท่าไร ไม่ถึงเป็นการต่อสู้กันซึ่งหน้า แล้วเหตุการณ์ก็ค่อยๆ สงบลง ทางวิทยุจากจุงกิงตักเตือนชาวจีนมิให้ก่อความไม่สงบ รัฐบาลไทยมิได้นิ่งนอนใจ แต่งตั้งคณะกรรมการผสมจีนไทยขึ้นสอบสวนหาเหตุผลข้อเท็จจริง ทางสันติบาลปฏิบัติตามหน้าที่ นายกรัฐมนตรีประมวลสาเหตุไว้สามประการใหญ่ คือ (๑) คนจีนมีความขุ่นเคืองใจในการปฏิบัติของรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่จำกัดตัดสิทธิคนจีนมาไม่น้อย (๒) คนจีนตื่นเต้นที่มีชัยชนะสงคราม เกิดชาตินิยมรุนแรงถึงกับจะชักธงจีนฉลอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยขอร้องว่า ถ้าจะชักธงจีนก็ขอให้ชักธงไทยคู่ไปด้วยตามแบบสากลนิยม เกิดความไม่เข้าใจกันกลายเป็นจีนหาว่า ไทยตัดสิทธิไม่ให้เขาชักธงจีน และ (๓) ฝ่ายค้านฉวยโอกาสยุยงให้เกิดเรื่อง ทำให้ฐานะรัฐบาลเสรีไทยง่อนแง่นยามหัวเลี้ยวหัวต่อ เมื่อมีการทำลายความสงบสุขเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องจัดการแก้ไข ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้กำลังตามควรแก่กรณี มีการปิดถนนบางตอน เมื่อคลายความไม่สงบลงแล้ว ก็สั่งเปิดให้จีนเข้า ปิดร้านค้าอาหารสด รัฐบาลก็จัดให้มีตลาดนัดขึ้นแก้ เมื่อพบตัวผู้ก่อการร้ายก็ทำการจับกุมตามหน้าที่ รัฐบาลพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้กลับฟื้นคืนดีต่อกันระหว่างคนไทยกับคนจีนไม่ให้มีการเข้าใจผิด

สถานเอกอัครราชทูตจีนที่ลอนดอนมีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๘ ขอให้อังกฤษสั่งกองบัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ช่วยหาทางป้องกันกระบวนการเป็นปรปักษ์ต่อจีนเสีย และแสดงความจำนงว่า รัฐบาลจีนพร้อมที่จะส่งคณะผู้แทนไปสอบสวนสถานการณ์ในประเทศไทย ฝ่ายอังกฤษเกี่ยงให้จีนขออนุญาตไปทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้ตอบตกลงเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ให้จีนส่งเจ้าหน้าที่ติดต่อเข้าไปประเทศไทยได้จำนวน ๒ คน โดยกำหนดให้ต้องขึ้นในบังคับบัญชาของพลโท จี. เอวิ้นส์ ผู้บัญชาการทหารบริติชในประเทศไทย

ระหว่างนั้นรัฐบาลจีนได้สั่งให้เอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตัน ยกเรื่องขึ้นพูดกับอุปทูตไทย กล่าวหาว่า ตำรวจไทยได้ดำเนินการปลดธงจีนลงในระหว่างที่คนจีนทำการฉลองชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร จึงใคร่ขอให้เจ้าหน้าที่ไทยระงับการก่อให้เกิดกรณีเหตุดังกล่าว และรัฐบาลจีนสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องค่าทดแทน

แม้เหตุการณ์ทางประเทศไทยจะสงบลงไปบ้างจนเข้าสู่สถานการณ์เป็นปกติสุขอยู่แล้ว ทางจุงกิงหนังสือพิมพ์ยังคงประโคมกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินการรุนแรงต่อคนจีนในประเทศไทย ถึงกับเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงวอชิงตัน ได้ยกเรื่องขึ้นปรารภต่ออุปทูตไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๔๘๘ ซึ่งอุปทูตไทยได้ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการกับคนจีนอย่างประนีประนอมมากที่สุด บทกฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อคนจีนสมัยรัฐบาลเก่าเป็นอันยกเลิกไปแล้ว เอกอัครราชทูตจีนแจ้งให้อุปทูตทราบว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาจะส่งคณะทูตเข้าไปประเทศไทย เพื่อหาทางทำความเข้าใจอันดีกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย และเพื่อช่วยในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

ทางฝ่ายไทยมีความรู้สึกว่า ในระหว่างสงคราม เมื่อกองกำลังทหารญี่ปุ่นอยู่ในประเทศไทย คนจีนในไทยมิได้แสดงเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่นตามนโยบายของรัฐบาลจีนแต่ประการใด ต่างเลือกประกอบธุรกิจให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว และฝ่ายสัมพันธมิตรส่งกองกำลังเข้ามาปลดอาวุธกองกำลังทหารญี่ปุ่น คนจีนในประเทศไทยกลับก่อกวนความสงบด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไทยได้แสดงไมตรีจิตมิตรภาพต่อจีน และได้แต่งตั้งคณะกรรมการผสมไทย-จีน เพื่อส่งเสริมความเข้าใจดีระหว่างไทยกับจีน สถานีวิทยุกระจายเสียงของนครจุงกิง และผู้สื่อสารมวลชนจีนกลับกระพือเรื่องให้ร้ายประเทศไทยเป็นเนืองนิจ ถึงกับอยากจะให้ส่งกองกำลังทหารจีนเข้ามาประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อรักษาชีวิตและผลประโยชน์ของคนจีน เข้าขั้นจะให้จีนส่งกำลังเข้ามายึดครองประเทศไทยด้วยซํ้าไป

วันที่ ๒๔ ตุลาคม อุปทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน แจ้งเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจีนประสงค์จะส่งผู้แทนมายังประเทศไทย พร้อมด้วยเลขานุการสองคน

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลจีนอ้างว่าได้ตกลงกับสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน จะส่งนายหลี่เที๊ยะเจิง เอกอัครราชทูตจีนจากประเทศอิหร่าน เป็นผู้แทนทางราชการเพื่อสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย ฝ่ายอังกฤษท้วงเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๘๘ ว่า อังกฤษไม่อยากจะให้จีนเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยก่อนที่จะมีการตกลงระหว่างอังกฤษกับไทย เลิกสถานะสงครามต่อกัน และอ้างว่า แม้สหรัฐอเมริกาก็ยังยับยั้งไม่ส่งทูตไปประเทศไทยก่อนหน้านั้น อังกฤษขอให้จีนรอการส่งคณะผู้แทนเป็นทางการของจีนไปประเทศไทยไว้ การป้องกันรักษาผลประโยชน์ของจีนในประเทศไทย อาจจะกระทำได้ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ติดต่อตามที่เคยตกลงกันไว้ แต่แล้วในปลายเดือน ก็ได้ยินยอมให้นายหลี่เที๊ยะเจิงเดินทางมาประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขว่า จะรอการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยจนกว่ารัฐบาลอังกฤษ และอเมริกันพร้อมจะกลับฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย

นายหลี่เที๊ยะเจิงได้รับมอบอำนาจให้มาทำการเจรจาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย ซึ่งในตอนนั้น ไทยไม่มีทางปฏิเสธหรือเบี่ยงบ่ายได้ ทั้งนี้ เพราะจีนเป็นประเทศหนึ่งในบรรดาสัมพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อระหว่างสงคราม รัฐบาลไทยเคยยอมรับรองฐานะของรัฐบาลจีนที่นครนานกิงมาแล้ว และตกลงจะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตต่อวัน ประกอบกับรัฐบาลชาติของจอมพล เจียงไคเช็ค เคยสนับสนุนประเทศไทยในการต่อต้านญี่ปุ่นในที่สุด ทั้งสองฝ่ายจึงได้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๘๙ มีข้อความละเอียดดังนี้

 

ประกาศ
ใช้สนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐจีน

มีพระบรมราชโองการให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า

โดยที่สนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐจีน ซึ่งได้ลงนามกัน ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ มีบทในข้อ ๑๐ ว่า ให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ทำการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน และ

โดยที่สัตยาบันของทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนกัน ณ จุงกิง เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙

ฉะนั้น สนธิสัญญานี้จึงเป็นอันใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ปรีดี พนมยงค์
นายกรัฐมนตรี

 

สนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐจีน

ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐจีน มีความปรารถนาเท่าเทียมกันที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางไมตรีระหว่างประเทศทั้งสอง และส่งเสริมผลประโยชน์แห่งกันและกันของประชาชาติทั้งสองยิ่งขึ้นอีก จึงได้ตกลงทำสนธิสัญญาทางไมตรีโดยอาศัยหลักเสมอภาค และต่างฝ่ายต่างเคารพอธิปไตยของกันและกันเป็นมูลฐาน และเพื่อการนี้ได้แต่งตั้งผู้มีอำนาจเต็ม คือ

ฝ่ายสมเด็จพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย : ฯพณฯ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ฝ่าย ฯพณฯ ประธานาธิบดีรัฐบาลแห่งชาติของสาธารณรัฐจีน : ฯพณฯ หลี่เที๊ยะเจิง เอกอัครราชทูตสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศอิหร่าน

ผู้ซึ่งเมื่อได้ส่งหนังสือมอบอำนาจเต็มของแต่ละฝ่ายให้แก่กันและกัน และได้ตรวจเห็นว่า

ข้อ ๑. จะได้มีสันติภาพนิรันดร และมิตรภาพตลอดกาลระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีน กับทั้งระหว่างประชาชาติทั้งสอง

ข้อ ๒. อัครภาคีผู้ทำสัญญาจะได้มีสิทธิที่จะถอยส่งผู้แทนทางทูต ซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยถูกต้อง ไปประจำอีกฝ่ายหนึ่ง ในประเทศแห่งรัฐบาลที่ตนได้รับแต่งตั้งไปประจำนั้น ผู้แทนดังกล่าวจะได้รับสิทธิ์ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และความยกเว้นทั้งปวงที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป โดยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ ๓. อัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะได้มีสิทธิที่จะส่งกงสุลใหญ่ กงสุล รองกงสุล และพนักงานกงสุล ไปยังบรรดาท้องถิ่นภายในอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะได้กำหนดด้วยความตกลงร่วมกัน เจ้าพนักงานกงสุลเช่นว่านี้จะได้ปฏิบัติหน้าที่ และได้รับผลประบัติที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป โดยวิธีปฏิบัติระหว่างประเทศก่อนเข้ารับหน้าที่เจ้าพนักงานกงสุลดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแห่งประเทศที่ตนเข้ามาอยู่ อนุมัติบัตรนั้นอยู่ภายใต้บังคับที่รัฐบาลดังกล่าวจะถอนเสียก็ได้

อัครภาคีผู้ทำสัญญาจะไม่แต่งตั้งบุคคล ซึ่งประกอบการอุตสาหกรรมหรือการพาณิชย์ เป็นเจ้าพนักงานกงสุลของตน

ข้อ ๔. คนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะได้มีเสรีภาพที่จะเข้ามาใน หรือออกไปจากอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขอย่างเดียวกันกับคนชาติของประเทศที่สามใด ๆ ตามกฎหมายและข้อบังคับแห่งประเทศพื้นเมืองที่ใช้แก่คนต่างด้าวทั้งปวง

ข้อ ๕. คนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่าย จะได้รับความคุ้มครองและความมั่นคงเป็นเนืองนิจในอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับตัวตนและทรัพย์สินของตน และในการนี้จะได้รับสิทธิและเอกสิทธิ์อย่างเดียวกันกับคนชาติของอัครภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ภายใต้บังคับแห่งการปฏิบัติตามบรรดากฎหมายและข้อบังคับอย่างเดียวกัน

คนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่าย จะได้รับผลปฏิบัติในอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับอรรถคดีทั้งปวง และในเรื่องเกี่ยวกับการบริรักษ์ความยุติธรรม และการเรียกเก็บภาษี และข้อที่จะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นผลประบัติที่เป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าที่ให้แก่คนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง

ข้อ ๖. คนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่าย จะได้มีสิทธิที่จะเดินทางมีถิ่นที่อยู่ ดำเนินวิชาชีพและอาชีพทุกชนิด ประกอบการอุตสาหกรรมและการค้า และภายใต้บังคับแห่งการถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน จะได้มีสิทธิที่จะได้มา รับมรดก เช่า ยึดถือ และจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ชนิดใด ๆ ตลอดทั่วอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขอย่างเดียวกันกับคนชาติแห่งประเทศที่สามใด ๆ ตามกฎหมาย และข้อบังคับแห่งประเทศพื้นเมือง

อนึ่ง จะได้มีเสรีภาพที่จะจัดตั้งโรงเรียนเพื่อการศึกษาแห่งเด็กของตน และจะได้รับเสรีภาพในการชุมนุมและการตั้งสมาคม การโฆษณา การสักการะบูชา และการศาสนา ตามกฎหมายและข้อบังคับแห่งประเทศพื้นเมือง

ข้อ ๗. ความสัมพันธ์อย่างอื่นระหว่างอัครภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่าย จะได้อาศัยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นมูลฐาน

ข้อ ๘. อัครภาคีผู้ทำสัญญาตกลงกันว่า จะทำสนธิสัญญาการพาณิชย์และการเดินเรือโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้

ข้อ ๙. สนธิสัญญานี้ทำคู่กันเป็นภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ ในกรณีที่มีความแตกต่างกันอย่างใดในการตีความ ให้บังคับตามตัวบทภาษาอังกฤษ

ข้อ ๑๐. สนธิสัญญานี้ อัครภาคีผู้ทำสัญญาจะได้สัตยาบันโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ ตามความต้องการแห่งรัฐธรรมนูญของแต่ละฝ่าย และจะได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ทำการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน และให้คงใช้ต่อแต่นั้นตลอดไป แต่ทว่า อัครภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบอกเลิกล่วงหน้าสิบสองเดือนก็ได้เมื่อพ้นเวลาสิบปีไปแล้ว

สัตยาบันจะได้แลกเปลี่ยนกัน ณ จุงกิง หรือนานกิง

เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้มีอำนาจเต็มดังกล่าวข้างบนนี้ ได้ลงนามและประทับตราสนธิสัญญานี้ไว้เป็นสำคัญ

ทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ยี่สิบสาม เดือนที่หนึ่ง พุทธศักราช สองพันสี่ร้อยแปดสิบเก้า ตรงกับวันที่ยี่สิบสาม เดือนที่หนึ่ง ปีที่สามสิบห้าแห่งสาธารณรัฐจีน และวันที่ยี่สิบสาม มกราคม คริสตศักราช พันเก้าร้อยสี่สิบหก

(ลงนามและประทับตรา) ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
(ลงนามและประทับตรา) หลี่เที๊ยะเจิง

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 410-419.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), 410-419 น.

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :