ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

สะพานปรีดี-ธำรง หลักกิโลเมตรที่ 1 ของอยุธยา อนุสรณ์การพัฒนาเกาะเมืองสมัยคณะราษฎร

29
กรกฎาคม
2568

Focus

  • บทความนี้อธิบายความสำคัญของ “สะพานปรีดี–ธำรง” ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานที่สะท้อนนโยบายการพัฒนาเมืองของคณะราษฎรภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยเฉพาะบทบาทของปรีดี พนมยงค์ ในการผลักดันอยุธยาให้เป็น “เมืองทดลอง” ของระบอบประชาธิปไตย สะพานแห่งนี้จึงไม่เพียงเป็นสิ่งก่อสร้างทางกายภาพ แต่ยังเป็นอนุสรณ์ทางการเมืองและวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นแนวคิดที่คณะราษฎรวางรากฐานเอาไว้ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเสนอให้เปลี่ยนชื่อสะพานอีกฝั่งของเกาะเมืองเป็น “สะพานพูนศุข–แฉล้ม” เพื่อรำลึกถึงบทบาทของสตรี “หลังบ้าน” ผู้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศ อันเป็นการท้าทายขนบการตั้งชื่อสถานที่ซึ่งมักละเลยความเท่าเทียมทางเพศในพื้นที่ความทรงจำสาธารณะ

 


ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 


สะพานปรีดี-ธำรง ภาพถ่ายทางอากาศโดยปึเตอร์ วิลเลี่ยมส์ ฮันท์ เมื่อ พ.ศ.2489

 


หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์, พระยาพหลพลพยุหเสนา, และ นายปรีดี พนมยงค์

           

(๑) หลักกิโลเมตรที่ ๑ ของอยุธยา

ในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาที่คนท้องถิ่นนิยมเรียกกันว่า “เกาะเมือง” หรือ “เกาะเมืองอยุธยา” เมื่อเลี้ยวอ้อมผ่านเจดีย์วัดสามปลื้ม ตรงไปยังทิศตะวันตก ก็จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก ก่อนจะเข้าสู่เกาะเมือง บริเวณเชิงสะพานเป็นที่ตั้งของ “หลักกิโลเมตรที่ ๑” ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหมุดหมายในเชิงสัญลักษณ์ (Landmark) ว่าได้เดินทางมาถึง “อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบันสะพานข้ามแม่น้ำเข้าสู่เกาะเมืองอยุธยามีอยู่ด้วยกัน ๑๐ แห่ง ๑๒ สะพาน คือ (๑) สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก ทิศตะวันออกของเกาะเมือง มีอยู่ด้วยกัน ๓ สะพาน คือ สะพานปรีดี-ธำรง, สะพานสมเด็จพระนเรศวร, สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ (๒) สะพานข้ามแม่น้ำลพบุรีที่บริเวณหน้าวิทยาลัยต่อเรือ ข้ามไปยังเกาะลอย ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง (๓) สะพานตลาดหัวรอ-วัดแม่น้ำปลื้ม ทางทิศเหนือ (๔) สะพานเกาะเมือง-วัดวงษ์ฆ้อง ทางทิศเหนือ (๕) สะพานเกาะเมือง-วัดหน้าพระเมรุ ทางทิศเหนือ (๖) สะพานถนนอยุธยา-อ่างทอง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ข้างอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ และวัดพนมยงค์ (๗) สะพานวัดกษัตราธิราช ทางทิศตะวันตกของเกาะเมือง (๘) สะพานไม้ข้ามคลองเมืองที่บริเวณวัดเชิงท่า (๙) สะพานไม้ข้ามคลองเมืองที่บริเวณวัดพนมยงค์-อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ (๑๐) สะพานไม้ข้ามคลองเมืองที่บริเวณหน้าวัดศาลาปูน (ข้างอาคารโรงเรียนวัดศาลาปูน (หลังเก่า) ที่ปรีดี พนมยงค์ เคยเรียน) เป็นต้น

 


สะพานวัดศาลาปูน
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

ในจำนวนนี้ “สะพานปรีดี-ธำรง” เป็นสะพานคอนกรีตแรกที่สร้างเพื่อการเดินทางข้ามแม่น้ำป่าสักเข้าสู่เกาะเมืองโดยเฉพาะ สร้างเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) ซึ่งมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็น “หัวเรือใหญ่” ในการพัฒนาเกาะเมืองอยุธยาสู่ความทันสมัยตามนโยบายรัฐบาลคณะราษฎร ซึ่งต้องการจะใช้อยุธยาเป็น “เมืองทดลอง” การปกครองระบอบใหม่ สะพานนี้สร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น[1]

 

 

“สะพานปรีดี-ธำรง” นับเป็นสะพานคอนกรีตแรกที่สร้างโดยรัฐส่วนกลาง แต่ใช้ชื่อสามัญชน ก่อนหน้านั้นมีการสร้างสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำเช่นกัน แต่ใช้พระนามพระมหากษัตริย์ เช่น “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” ที่กรุงเทพฯ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ หลังจากนั้นมาก็มีการสร้าง “สะพานเดชาติวงศ์” ที่นครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ก็เป็นชื่อเจ้านาย (หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์) อีกหลายปีต่อมาจึงได้มีการสร้างสะพานแบบเดียวกันแต่ใช้ชื่อสามัญชนเช่นกันคือ “สะพานเปรม ติณสูลานนท์” ที่สงขลา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ และต่อมาได้มีการสร้าง “สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ” ที่อยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ และ “สะพานสมเด็จพระนเรศวร” ที่อยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ 

“สะพานปรีดี-ธำรง” ปัจจุบันถูกขนาบกลางด้วย “สะพานสมเด็จพระนเรศวร” กับ “สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ” ช่างคล้ายคลึงกับชะตากรรมของความทรงจำต่อคณะราษฎรและการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ที่ถูกบดบังและบิดเบือนไปต่าง ๆ นานา เมื่อแรกเริ่มที่สร้างสะพานสมเด็จพระนเรศวรกับสะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ ทางการมีแนวคิดที่จะทุบสะพานปรีดี-ธำรงทิ้ง แต่ชาวอยุธยาคัดค้านอย่างหนัก จึงยังคงมีสะพานปรีดี-ธำรงอยู่ในปัจจุบัน

 

 

สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ว่าการมี ๓ สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักบริเวณดังกล่าวนี้ก่อประโยชน์ในการสัญจรเข้า-ออกเกาะเมืองอยุธยาอย่างมาก ก็คือการแก้ปัญหาจราจร โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่จะมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางมาเที่ยวชมเมืองเก่าอยุธยาเป็นอันมาก แล้วพอปัจจุบันที่สะพานปรีดี-ธำรงถูกปิดซ่อมปรับปรุง ก็จะเห็นว่ารถติดนรกเลยทีเดียว

สะพานปรีดี-ธำรง ปัจจุบันอยู่ในระหว่างปิดซ่อมปรับปรุงมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ จน “คนยุดยา” บางส่วนอดหวั่นเกรงไม่ได้ว่าจะเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างทำและปรับปรุงกันข้ามภพข้ามชาติ ไม่รู้จักจบจักสิ้น และเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุรายวันเหมือนอย่างถนนพระราม ๒

บทความนี้จะชี้ให้เห็นความสำคัญของสะพานแห่งนี้ในมิติทางประวัติศาสตร์ของอยุธยาหลัง ๒๔๗๕ นอกเหนือจากฟังก์ชันการใช้งานเดินทางข้ามแม่น้ำอย่างที่สะพานทั่วไปพึงมีแล้ว สะพานแห่งนี้ยังมีความพิเศษตรงที่ถือเป็นเครื่องระลึกถึงคุณูปการของการพัฒนาเกาะเมืองอยุธยาสมัยคณะราษฎรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 

(๒) การสร้าง “ตะพาน” ในเกาะเมืองอยุธยา (สมัยกรุงศรีอยุธยา)

ก่อนหน้าการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ อยุธยาเคยมีการสร้างสะพานมาแล้วมากมายหลายครั้ง นับย้อนหลังกลับไปได้จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมสะพานมีชื่อเรียกตามศัพท์ที่ปรากฏในเอกสารโบราณว่า “ตะภาร” หรือ “ตะพาน” จากเอกสาร “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง” มีบทกล่าวถึงการมีอยู่ของสะพานโบราณในเกาะเมืองอยุธยาไว้หลายแห่ง สร้างด้วยไม้ อิฐ และศิลาแลง[2] เป็นเทคโนโลยีการสร้างสะพานอย่างเก่าโบราณ ชัยภูมิที่ตั้งของเมืองอยุธยาซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบและเต็มไปด้วยเครือข่ายคลองอีกเป็นอันมาก ทำให้สะพานเป็นของคู่กับกรุงศรีอยุธยาในฐานะที่เป็น “เวนิสตะวันออก” (Venice of the Eat)[3]

ที่รู้จักกันดีก็เช่น “ตะพานป่าถ่าน” ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าเป็นจุดเกิดเหตุการณ์เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา ยกทัพมาปะทะกัน ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนครินทราธิราช (เจ้านครอินทร์) “สะพานช้าง” ในเกาะเมือง เยื้องหน้าวัดราชประดิษฐาน ที่ปรากฏเรื่องในเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์ยกทัพออกจากพระราชวังจันทรเกษมบุกยึดพระราชวังหลวง โค่นล้มอำนาจของพระศรีสุธรรมราชา ที่ได้ชื่อ “สะพานช้าง” ก็เพราะสร้างด้วยศิลาแลงอย่างแข็งแรงมั่นคง ช้างสามารถเดินข้ามผ่านได้ ดังนั้นเมื่อมีการยกทัพบุกพระราชวังหลวงจึงต้องผ่านสะพานนี้ และที่ปรากฏมากแห่งในพระราชพงศาวดารโดยเฉพาะช่วงที่มีสงครามและกบฏ ก็เห็นจะเป็น “ตะพานหัวรอ” หรือ “ทำนบรอ” เป็นสะพานที่สร้างอย่างแข็งแกร่ง สำหรับข้ามแม่น้ำเข้าสู่เกาะเมืองอยุธยาที่บริเวณตำบลหัวรอ (ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตลาดหัวรอ)

แต่เดิมบริเวณทำนบรอนี้ถือเป็น “หน้าเมือง” เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชามีนโยบายเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือ โดยให้สมเด็จพระนเรศวรอพยพผู้คนจากเมืองพิษณุโลกและหัวเมืองข้างเคียงลงมาตั้งรกรากอยู่อยุธยา เพื่อชดเชยกับกำลังคนที่สูญเสียไปจากการกวาดต้อนครัวของพม่าในศึกคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๑๑๒ ก็ได้มีการสร้างพระราชวังจันทรเกษมขึ้นที่ตำบลหัวรอ พระราชวังแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกลำลองว่า “วังหน้า” เหตุเพราะตั้งอยู่บริเวณหน้าเมือง ธรรมเนียมการมีวังหน้าตลอดจนระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันนี้จะสืบทอดต่อมาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้มีการยกเลิกตำแหน่ง “มหาอุปราชวังหน้า” มาเป็นการตั้ง “มกุฎราชกุมาร” ขึ้นแทนที่

เป็นระยะเวลายาวนานอีกเช่นกันที่หัวรอเป็นหน้าเมืองและเส้นทางหลักเข้าสู่เกาะเมืองอยุธยา จนกระทั่งมีการสร้างสะพานปรีดี-ธำรงขึ้นมา หน้าเมืองก็ถึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นทิศตะวันออก รวมทั้งศูนย์กลางของเมืองก็เปลี่ยนจากพระราชวังหลวงที่ริมคลองเมือง ฝั่งตรงข้ามวัดหน้าพระเมรุ มาเป็นศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (หลังเก่า) ซึ่งตั้งอยู่ปลายสุดถนนปรีดี พนมยงค์ เมื่อข้ามสะพานปรีดี-ธำรง แล้วตรงเข้าสู่ตัวเมืองมา นั่นหมายความว่าทั้งตึกศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (หลังเก่า) และสะพานปรีดี-ธำรง ต่างเป็นสิ่งที่เปลี่ยนภูมิทัศน์และแผนผังของเมือง จากเมืองโบราณมาสู่เมืองสมัยใหม่

อย่างไรก็ตาม จะดูแต่เฉพาะที่อยุธยาและไทยสยามก็กระไรอยู่ ในส่วนของที่อื่น ที่มีการสร้างสะพานตามเทคโนโลยีโบราณโดดเด่นก็คือสะพานของกลุ่มชาติพันธุ์พม่า-มอญ ตัวอย่างก็เห็นได้จาก “สะพานมอญ” ที่กาญจนบุรี หรืออย่าง “ขัว” ในภูมิปัญญาของชาวล้านนาและล้านซ้าง อีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการสร้างสะพานตามอย่างเทคโนโลยีและภูมิปัญญาดั้งเดิมก็คือชาวขะแมร์-กูย เรียกสะพานว่า “สะเปียน” ที่โดดเด่นก็เช่น “กบาลสะเปียน” ตอนใต้ของเมืองพระนคร สร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นต้น

องค์ความรู้เรื่องเทคโนโลยีและภูมิปัญญาการสร้างสะพานโบราณก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นี้เป็นองค์ความรู้ที่หายไปจากวงการวิศวกรรมโยธาอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อครั้งที่ผู้เขียนไปนำเสนอเรื่องราวจากเอกสารประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสร้าง “ขัว” (สะพาน) ข้ามแม่น้ำของ (โขง) โดยเจ้าอะนุวง กษัตริย์ลาวล้านซ้าง ในช่วงตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ ขัวดังกล่าวสร้างข้ามฝั่งจากเวียงจันมายังฝั่งหนองคาย และจากฝั่งท่าแขกมายังฝั่งวัดพระธาตุพนม ก็เคยถูกท้วงติงจากเพื่อนมิตรที่เรียนมาทางวิศวกรรมศาสตร์ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากพอ ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเพื่อนมิตรดังกล่าวนั้นมองโดยการใช้สะพานคอนกรีตสมัยใหม่เป็นมาตรฐาน หากมองเช่นนั้นแล้วก็จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าอะนุวงหรือใครก็ตามในยุคเดียวกันและย้อนร่นขึ้นไปจะสามารถสร้างสะพานคอนกรีตสมัยใหม่ได้

 


สะพานป่าดินสอ ในพื้นที่ม.ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

สะพานดั้งเดิมที่อยุธยา ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่แห่ง เช่น “สะพานเทพหมี” หรือ “สะพานวานร”[4] และ “สะพานป่าดินสอ” หรือ “สะพานบ้านดินสอ” อยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เป็นสะพานก่อด้วยอิฐอย่างแข็งแรงสำหรับช้างม้าเดินข้ามไปมาได้  เทคโนโลยีและภูมิปัญญาการสร้างสะพานโบราณในอยุธยา บางแห่งเรียกตามสิ่งของสำคัญที่มักขนข้ามสะพานเช่น “ตะพานเกลือ” หรือ “สะพานเกลือ” ข้ามแม่น้ำจากเกาะลอยมาที่เกาะเมือง (บริเวณวิทยาลัยต่อเรือในปัจจุบัน) เหลือเพียงชื่อ มีวัดร้างปรากฏเพียงซากหอระฆังตั้งอยู่ข้างสะพานเรียกว่า “วัดตะพานเกลือ” และเดิมมีตำหนักที่ประทับของกรมขุนมรุขพงษ์สิริพัฒน์ เรียกว่า “ตำหนักสะพานเกลือ” ไม่เหลือซากเช่นกัน

เดิมเป็นการผสมผสานหลักคิดของกลุ่มชาติพันธุ์ ๓ สาย คือ มอญ-พม่า, ลาว (ล้านนา-ล้านซ้าง), ขะแมร์-กูย ต่อมาได้ใช้เทคนิควิทยาการจากเปอร์เชียและยุโรปเข้ามาปะปนผสมผสาน จึงปรากฏสะพานที่มีรูปสัญลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของชาวเปอร์เชียและยุโรป ดังที่จะเห็นได้จากสะพานเทพหมีกับสะพานบ้านดินสอ เพราะสะพานทั้งสองสร้างในสมัยอยุธยาปลายแล้ว ขณะที่สะพานอื่นก่อนหน้านั้นโดยมากเหลือเพียงในเอกสารลายลักษณ์ แต่ไม่มีซากหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน  

ปัจจุบันอยุธยามีสะพานไม้อยู่ ๓ แห่ง คือ (๑) สะพานข้ามคลองเมืองที่หน้าวัดเชิงท่า (๒) สะพานไม้ข้ามคลองเมืองที่บริเวณวัดพนมยงค์-อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ (๓) สะพานไม้หน้าวัดศาลาปูน แต่ไม่ใช่สะพานตามอย่างเทคโนโลยีและภูมิปัญญาดั้งเดิม มีการใช้น๊อต โลหะ และบางส่วนก็เทพื้นปูน เพื่อเสริมความแข็งแรง สะพานแบบเก่าขาดความคงทนถาวร ช่วงฤดูน้ำหลากท่วมมักเพพัง ต้องซ่อมแซมอยู่เป็นประจำทุกปี และเหตุที่สะพานไม้มีอยู่ที่คลองเมือง ที่อื่นต้องเป็นสะพานก่ออิฐถือปูน ก็เพราะคลองเมืองมีขนาดไม่กว้างใหญ่ เหมือนอย่างแม่น้ำป่าสักกับแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็มีอุปสรรคจากการที่ต้องสร้างอย่างโค้งสูงขึ้นช่วงหนึ่ง เนื่องจากต้องให้เรือแล่นผ่านได้ ทำให้พังง่ายและต้องซ่อมบำรุงอยู่ตลอด

 


สะพานวัดเชิงท่า
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

“สะพานเสียงพนมยงค์” ที่เคยตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดพนมยงค์ ตั้งชื่อ-สกุลตามบิดาของปรีดี พนมยงค์ คือนายเสียง พนมยงค์ อยู่เลยพ้นสะพานไม้ข้ามคลองเมืองที่วัดพนมยงค์-อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ ไปทางตะวันตกตามลำคลองเพียงไม่กี่เมตร[5] สะพานเสียงพนมยงค์ ปัจจุบันสะพานนี้ถูกรื้อทิ้งไปนานแล้ว ไม่เหลือเห็นของจริง นอกจากกล่าวไว้ในเอกสารหลักฐานว่าเป็นสะพานไม้สร้างโดยนายเสียง พนมยงค์ สำหรับใช้สัญจรข้ามคลองเมืองอีกแห่งหนึ่ง คาดว่าเป็นสะพานสุดท้ายที่สร้างตามอย่างเทคโนโลยีและภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอยุธยา ใช้ประโยชน์ในการสัญจรข้ามคลองเมือง ไม่แต่เฉพาะคนในตระกูลพนมยงค์ หากแต่เป็นสะพานใช้ข้ามน้ำเข้าสู่เกาะเมืองที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เป็นสะพานสาธารณะ แต่ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านนายเสียง ก็เพราะผู้อื่นไม่นิยมให้สร้างสะพานสาธารณะในที่ของตน  

 

(๓)  การสร้างสะพานในอยุธยา (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช)  

การสร้างสะพานตามเทคโนโลยีตะวันตกได้เริ่มขึ้นอย่างเข้มข้นจริงจังในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังพื้นที่ฝั่งธนบุรี สร้างอย่างใหญ่โตแข็งแรง แต่เช่นเดียวกับการเข้ามาของเทคโนโลยีอื่นที่มีต้นทางมาจากโลกตะวันตก ก็ต้องมาผสมผสานและอยู่ท่ามกลางระบบความเชื่อทางสังคมวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ด้วยความที่ชื่อของสะพานใช้พระนามพระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงเทพฯ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทำให้ “สายมู” สมัยนั้นนำเอาไปผูกติดกับความเชื่อย้อนระลึกไปถึงคำทำนายเรื่องอายุของกรุงเทพฯ และราชวงศ์จักรี ที่ว่าจะอยู่ได้เพียง ๑๕๐ ปี เป็นชนวนเหตุหนึ่งที่ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมสมัยนั้นหวาดหวั่นถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง 

ในอยุธยาก่อนหน้านั้นมีการสร้างสะพานตามเทคโนโลยีตะวันตกสมัยใหม่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน คือ “สะพาน ร.ศ. ๑๒๖” ที่บางปะอิน ยังปรากฏอยู่ที่บริเวณหน้าวัดชุมพลนิกายารามเท่าทุกวันนี้ เป็นสะพานขนาดเล็กสำหรับข้ามคลองบ้านเลน บนเส้นทางสัญจรระหว่างสถานีรถไฟบางปะอินกับพระราชวังบางปะอิน ที่ได้ชื่อ “สะพาน ร.ศ. ๑๒๖” ก็เพราะสร้างเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๐ สมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้านายในการเสด็จไปพระราชวังบางปะอิน  ยังไม่ใช่สะพานที่สร้างเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง เพราะราษฎรไม่มีสิทธิใช้เส้นทางนี้  พวกเขาจะต้องเดินอ้อมไป หรือพายเรือไปออกทางอื่น (หากเดินทางด้วยเรือ)

 


สะพานร.ศ.๑๒๖ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

สะพาน ร.ศ. ๑๒๖ ที่บางปะอิน และสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่กรุงเทพฯ เป็นสิ่งสะท้อนว่าถึงแม้สยามจะมีเทคโนโลยีใหม่ในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำลำคลองแล้ว แต่เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องแนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้มีอำนาจ ทำให้การสร้างสะพานยังไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขอำนวยความสะดวกแก่ราษฎรตามสมควร และถึงแม้ในหมู่ราษฎรจะมีแนวคิดสร้างสะพานสาธารณะขึ้นแล้ว เช่น กรณีสะพานเสียงพนมยงค์ แต่ก็ไม่เพียงพอ ต่อเมื่อเกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว จึงได้มีการสร้างสะพานตามเทคโนโลยีใหม่เพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎร โดยใช้ชื่อสามัญชนขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ “สะพานปรีดี-ธำรง” นั่นเอง

 

(๔) การสร้างสะพานในอยุธยา (สมัยคณะราษฎร)

ชื่อ “สะพานปรีดี-ธำรง” จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้ตั้ง โดยอิงมาจากชื่อของคณะราษฎรคนสำคัญ ๒ ท่าน ซึ่งเป็นชาวอยุธยา คือ นายปรีดี พนมยงค์ กับ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) ทั้งนี้คณะราษฎรที่เป็นชาวอยุธยาและเป็นเพื่อนร่วมสถาบันโรงเรียนมัธยมที่โรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย) กับ ๒ ท่านข้างต้น ยังมีนายเฉลียว ปทุมรส อีกผู้หนึ่ง แต่นายเฉลียวตกหล่นไป เนื่องจากจอมพล ป. ต้องการตั้งชื่อให้สื่อถึงคณะราษฎรที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลในสมัยนั้น ปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่วนนายเฉลียวไม่มีตำแหน่งในคณะรัฐบาล แต่จะมีบทบาทในช่วงหลัง ที่ปรีดี พนมยงค์ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์กรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๘

 


ปรีดี และ หลวงธำรงฯ ขณะยังมีอำนาจ
ที่มา: The 101.world

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ตั้งชื่อจะเป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันคล้ายวันเกิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่แนวคิดที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำป่าสักเพื่อเป็นหมุดหมายของการพัฒนาเกาะเมืองอยุธยานี้ต้นคิดและผู้ผลักดันคนแรก ๆ คือ ปรีดี พนมยงค์[6] ซึ่งได้รับอิทธิพลความคิดนี้มาจากบิดา คือนายเสียง พนมยงค์ ผู้สร้าง “สะพานเสียงพนมยงค์” แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่ายุคของบิดา   

ปรามินทร์ เครือทอง ในบทความที่เขียนเกี่ยวกับสะพานปรีดี-ธำรง[7] ถึงกับเสนอว่าการสร้างสะพานนี้เป็นแผนกอบกู้กรุงศรีอยุธยาของปรีดี พนมยงค์ เนื่องจากในอดีตก่อนหน้าทศวรรษ ๒๔๘๐ นั้น เกาะเมืองอยุธยาบริเวณย่านตอนในยังเป็นป่ารกร้าง เพราะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ประกาศให้เป็นที่สาธารณะและวัดร้าง ไม่อนุญาตให้ราษฎรเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของที่ดิน ยกเว้นหน่วยงานราชการ แต่หน่วยงานราชการก็มักจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำรอบนอก ย่านตลาดการค้าก็มักจะตั้งอยู่ย่านริมน้ำเช่นกัน

สาเหตุส่วนหนึ่งที่ผู้คนชาวเมืองอยุธยาสมัยนั้นมักตั้งบ้านเรือนอยู่ในเรือนแพ ก็เพราะบนบกพวกเขาขึ้นมาอยู่อาศัยไม่ได้ ที่อยู่ได้นั้นก็โดยวิธีลอบฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง การประกาศให้เกาะเมืองอยุธยาเป็นที่สาธารณะและที่วัดร้าง แม้มีเจตนาดีที่ต้องการอนุรักษ์เมืองเก่าไว้ แต่ผลในด้านกลับก็ทำให้อยุธยากลายเป็นเมืองร้างขึ้นมาจริง ๆ ไม่ได้ร้างหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐  แต่เพิ่งจะมาร้างเมื่อมีประกาศกฎหมายดังกล่าวนี้ออกมาในสมัยรัชกาลที่ ๕

 


นายเสียง พนมยงค์ บิดานายปรีดี พนมยงค์

 

อย่างไรก็ตาม คนรุ่นนายเสียง พนมยงค์-ปรีดี พนมยงค์ มีแนวคิดที่อยากจะพัฒนาชุมชนเมืองอยุธยาให้มีความเจริญและสะดวกสบายเฉกเช่นเมืองสมัยใหม่ในที่อื่น ๆ เมื่อเกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้วจึงได้มีการยุบ “สุขาภิบาลนครศรีอยุธยา” ที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ จัดตั้งเป็น “เทศบาลนครศรีอยุธยา” ขึ้นมาแทนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ สมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี[8]

ต่อมาเมื่อปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ก็ได้เริ่มดำเนินการแผนงานและนโยบายปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยา โดยเสนอยัติพิจารณาร่างกฎหมายฉบับหนึ่งเข้าสู่สภาฯ ชื่อว่า “พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้าง ภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้กระทรวงการคลัง พุทธศักราช ๒๔๘๑”มีผลบังคับใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒[9]

ภายหลังเมื่อพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้สมบูรณ์แล้ว จึงได้มีการดำเนินการปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยาตามแผนงานที่วางไว้ โดยได้สร้างตึกศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขึ้นที่บริเวณเกือบกึ่งกลางเกาะเมืองอยุธยา ตัดถนนรอบเกาะเมือง (เดิมเรียกว่า “ถนนรอบกรุง” หรือ “ถนนรอบเกาะ” ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “ถนนอู่ทอง”) และได้สร้างสะพานปรีดี-ธำรง เพื่อเชื่อมระหว่างเกาะเมืองอยุธยากับ “ถนนพหลโยธิน” ซึ่งตัดผ่านอยุธยาที่อำเภอวังน้อย จัดทำโครงการป้องกันน้ำท่วม สร้างโรงพยาบาล สร้างสถานีตำรวจ วางระบบประปา ตั้งโรงงานผลิตสุรา และย้ายโรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่ามายังพื้นที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย (อยว.) ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ราษฎรเข้ามาจับจองที่ดินและตั้งรกรากในพื้นที่เกาะเมืองตอนใน[10]

แผนพัฒนาเกาะเมืองอยุธยาที่เริ่มในสมัยปรีดี พนมยงค์ ทำให้อยุธยาพ้นจากสภาพที่เคยเป็นเมืองร้าง นับแต่มีการประกาศให้ที่ดินเกาะเมืองอยุธยาเป็นเขตสงวนห้ามไม่ให้ราษฎรมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์เอกชน  และการสร้างสะพานปรีดี-ธำรงยังถือเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์สาธารณะในการสัญจรไปมาระหว่างเกาะเมืองอยุธยากับภายนอกอีกด้วย[11]

 

(๕) สะพานปรีดี-ธำรง & เส้นทางเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ 

การสร้างสะพานปรีดี-ธำรง บริเวณกึ่งกลางระหว่างวัดพิชัยกับวัดกล้วย ซึ่งเป็นเส้นทางออกสู่หัวเมืองตะวันออกของคนกรุงศรีแต่ก่อน ยังเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมและมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะอยู่ในบริเวณข้างวัดพิชัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการกอบกู้อิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาโดยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เพราะเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ระดมไพร่พลมาตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปหัวเมืองตะวันออก ในช่วงเวลาใกล้กรุงแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ 

ตรงนี้จึงเกิดเป็นนิมิตหมายอันดีสื่อถึงการที่คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทกอบกู้บ้านเมืองเฉกเช่นเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยทำในอดีต เป็นครั้งแรกที่มีความพยายามอย่างเป็นทางการในการรื้อฟื้นวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปพร้อมกันอีกด้วย เพราะก่อนหน้าการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ภาพลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในหมู่ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมมักจะติดลบ ถูกหาว่าพระสติวิปลาส บดบังและไม่พูดถึงวีรกรรมด้านการกอบกู้บ้านเมืองหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นต้นมา

ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ระหว่างเตรียมจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลและจัดทำแผนงานบูรณะโบราณสถานในเกาะเมืองอยุธยา จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ซึ่งมีความประทับใจและชื่นชอบวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาแต่เดิม จึงได้เสนอโครงการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไว้ที่บริเวณด้านหน้าทางทิศตะวันออกของเจดีย์วัดสามปลื้ม (เจดีย์นักเลง) ซึ่งตั้งอยู่กลางถนนสายอยุธยา-วังน้อย (ปัจจุบันเรียกว่า “ถนนโรจนะ”)[12] ก่อนถึงเชิงสะพานปรีดี-ธำรง แต่โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกไปเพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม หมดอำนาจต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เมื่อเกิดการรัฐประหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐[13]

แม้ว่ายุคจอมพลสฤษดิ์จะมีการบูรณะโบราณสถานในอยุธยาเช่นกัน แต่บางโครงการก็ไม่ได้สืบทอดการพัฒนาจากรุ่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่างจากการบูรณะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ จะเห็นได้ว่ามีการดำเนินโครงการสืบเนื่องกับโครงการที่เคยทำในสมัยปรีดี พนมยงค์ อาจเพราะโครงการพัฒนาสมัยปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นยุคเดียวกับที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๗) อยู่ด้วย ต่างจากยุคจอมพลสฤษดิ์ซึ่งก้าวขึ้นมามีอำนาจในฐานะกลุ่มใหม่ที่โค่นล้มอำนาจจอมพล ป. และยกเลิกอุดมการณ์รัฐและการพัฒนาแบบยุคคณะราษฎร 

 

(๖) จาก “สะพานเสียงพนมยงค์” ถึง “สะพานปรีดี-ธำรง”

การสร้างสะพานที่มั่นคงแข็งแรงสำหรับเป็นทางสัญจร ข้ามแม่น้ำเข้าสู่เกาะเมืองอยุธยา เป็นความเรียกร้องต้องการของชาวเมืองอยุธยามานานก่อนหน้าที่จะนำมาสู่การสร้างสะพานปรีดี-ธำรง สิ่งที่ยืนยัน (โดยอ้อม) ถึงเรื่องนี้ก็คือการสร้างสะพานเสียงพนมยงค์ แต่ก็ไม่เพียงพอเพราะเป็นการสร้างตามกำลังของราษฎร เป็นสะพานไม้ขนาดเล็กสำหรับคนเดินข้ามเท่านั้น อีกอย่างการประกาศให้พื้นที่เกาะเมืองเป็นเขตสงวนในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ยังทำให้ไม่มีความจำเป็นสำหรับการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ตอนในเกาะ ราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมแม่น้ำลำคลองจึงเหมือนถูกตัดขาดจากการสัญจรทางบก ซึ่งได้เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่การสัญจรทางน้ำบ้างแล้วในสมัยนั้น

จากข้อเขียนเรื่อง “ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ ๒๑ ปี ที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน” ซึ่งเป็นงานเขียนในเชิงอัตชีวประวัติโดยปรีดี พนมยงค์[14] และต่อมาคือบทให้สัมภาษณ์เรื่อง “ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์”[15] ปรีดี พนมยงค์ ได้บอกเล่าเรื่องราวไว้หลายตอนด้วยกันว่า บิดา (นายเสียง พนมยงค์) เป็นบุคคลแรก ๆ ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อปรีดี พนมยงค์ โดยเฉพาะในการสร้างทำสิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ นายเสียง พนมยงค์ ไม่ใช่แค่ชาวนาบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ยังเป็นเครือญาติกับเจ้าเมืองอยุธยา[16] เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนได้เรียนวิชาแพทย์จากบาทหลวงมิชชันนารี เป็นนักผจญภัยที่เคยจับช้างป่าไล่ช้างป่าในแถบทุ่งอุทัย (ปัจจุบันเป็นพื้นที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นผู้ทำนุบำรุงวัดพนมยงค์ และสร้างสะพานไม้สำหรับสัญจรข้ามคลองเมืองเข้าสู่เกาะเมือง  

 


สะพานวัดพนมยงค์-อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

กล่าวโดยสรุปคือนายเสียง พนมยงค์ เป็นแบบอย่างแก่บุตร (คือปรีดี พนมยงค์) ในเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ และ “สะพานเสียงพนมยงค์” สร้างตามเทคโนโลยีและวิธีการอย่างเก่าโบราณ เป็นสะพานไม้ขนาดย่อมสำหรับข้ามคลองเมือง (แม่น้ำลพบุรี) ที่บริเวณด้านใต้ของวัดพนมยงค์กับเกาะเมืองที่บริเวณหน้าอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ ในปัจจุบัน 

ดังนั้น ถึงแม้ไม่มีหลักฐานระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก็เข้าใจได้ที่ว่าแนวคิดสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสู่เกาะเมืองในฐานะเป็นหมุดหมายแรกเริ่มที่จะนำมาสู่การพัฒนาปรับปรุงเกาะเมืองอยุธยานี้ ก็เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นบิดา (คือนายเสียง พนมยงค์) แล้วเป็นอย่างช้า แต่ยุคของนายเสียงยังเป็นช่วงที่ขาดเทคโนโลยีและทุนทรัพย์ในการสร้างสะพานขนาดใหญ่  มาบรรลุผลในรุ่นลูก (ปรีดี พนมยงค์) ถึงได้มีสะพานอย่าง “สะพานปรีดี-ธำรง” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓

 

(๗) มี “สะพานปรีดี-ธำรง” แล้วไยไม่มี “สะพานพูนศุข-แฉล้ม” (???) 

“ชื่อนั้นสำคัญไฉน?”

เป็นคำที่คนไทยมักตั้งเป็นคำถามกึ่งล้อเลียนกันอยู่เสมอ

สำหรับในที่นี้ขอตอบว่า “ชื่อนั้นสำคัญมาก”

ด้วยเพราะเป็นสิ่งยืนยันถึงคุณค่าในมิติทางประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากที่มีฟังก์ชันการใช้งานตามปกติ ต่อให้หมดสิ้นสภาพการใช้งานตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิม ชื่อและความหมายที่มีที่สื่อให้เห็นให้รับรู้ก็ทำให้วัตถุสิ่งของนั้นมีความสำคัญต่อชนรุ่นหลังได้ประจักษ์พยานถึงเรื่องราวเหตุการณ์และบุคคลสำคัญในอดีต กรณีสะพานปรีดี-ธำรงที่อยุธยานี้ก็เช่นกัน ก็ดังที่ปิยะวรรณ์ สุธารัตน์ ได้กล่าวทิ้งท้ายในบทความเรื่อง “สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ไว้ดังนี้: 

“ด้วยสะพานปรีดี-ธำรง เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมเส้นทางคมนาคมที่สำคัญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองกรุงเก่า ภาพสะพานคอนกรีตโค้งครึ่งวงพระจันทร์ ตกแต่งด้วยโคมไฟ 32 ดวง เมื่อ พ.ศ. 2500 แสงไฟส่องสว่าง ส่องทางแก่ผู้สัญจรไปมาทั้งทางรถและทางเรือ ยังบันทึกอยู่ในความทรงจำของผู้คน มาปัจจุบันนี้กาลเวลาผ่านไปเมื่อการใช้งานน้อยลง การดูแลเอาใจใส่ย่อมผ่อนคลายลง ความงดงาม ความสว่างไสว ถดถอยไป เหลือแต่ความทรงจำว่าครั้งหนึ่งสะพานแห่งนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับผู้คนอย่างไร ความงามของสะพาน มิใช่งามเพื่อประโยชน์ใช้สอยเพียงอย่างเดียว แต่ความงามด้วยการเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำถึงคนดีศรีอยุธยา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์) ย่อมคงความสำคัญอยู่ เพราะความดีงามของบรรพบุรุษนั้นเปรียบประดุจ ดวงไฟส่องใจให้ลูกหลาน ดำเนินตามรอย เพื่อสืบทอดคำว่า “คนดีศรีอยุธยา” ชั่วอนันตกาล”[17]

อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นแล้วว่า สะพานข้ามแม่น้ำสู่เกาะเมืองอยุธยามีหลายแห่ง เฉพาะสะพานครอนกรีตขนาดใหญ่นั้นมี ๒ แห่ง ๔ สะพาน คือ สะพานปรีดี-ธำรง, สะพานสมเด็จพระนเรศวร, สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ และสะพานวัดกษัตราธิราช ๓ สะพานแรก (สะพานปรีดี-ธำรง, สะพานสมเด็จพระนเรศวร, สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ) ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำป่าสัก ทิศตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา ขณะที่สะพานวัดกษัตราธิราชเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะเมืองอยุธยา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗

 


สะพานวัดกษัตราธิราช
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์

 

ชื่อ “สะพานวัดกษัตราธิราช” นั้นค่อนข้างผิดฝาผิดตัว เพราะวัดกษัตราธิราชตั้งอยู่ห่างจากเชิงสะพานไปช่วงหนึ่งแล้ว ตัวพื้นที่ที่เป็นเชิงสะพานฝั่งนอกเกาะเมืองจริงเป็นพื้นที่ของวัดราชพลี ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่ในที่ดินเอกชน แต่หากจะตั้งชื่อสะพานด้วยวัตถุประสงค์อย่างการรักษาชื่อภูมิสถานของกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็ควรใช้ชื่อ “สะพานวัดราชพลี” แต่หากมองในภาพรวมของเกาะเมือง ซึ่งอีกฝั่งทางทิศตะวันออกในเมื่อมี “สะพานปรีดี-ธำรง” และเพื่อเป็นอนุสรณ์ความทรงจำยุคคณะราษฎรอีกแห่งหนึ่งแล้ว สะพานฝั่งตะวันตกก็ควรจะมีชื่อว่า “สะพานพูนศุข-แฉล้ม” เช่นกัน

 


ปรีดี และพูนศุข พนมยงค์

 


หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และนางธำรงนาวาสวัสดิ์ นามเดิม แฉล้ม ธารีสวัสดิ์
ที่มา: อนสุรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2532

 

“พูนศุข” และ “แฉล้ม” ในที่นี้คือใคร? มีความสำคัญต่อปรีดีและหลวงธำรงฯ ตลอดจนจะเป็นชื่อที่เป็นเกียรติเป็นศรีและเป็นสื่อนำพาให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงคุณความดีของคนยุคคณะราษฎรอย่างไร?

ไม่จำเป็นต้องกล่าวในที่นี้ เพราะในมิติประวัติศาสตร์ชั้นหลังมานี้แง่มุมเรื่องเพศสถานะ (Gender) เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ไม่ว่ากับการศึกษาประวัติศาสตร์ในที่ใด อยุธยาหลัง ๒๔๗๕ ก็เช่นกัน

 

(๘) บทสรุปและส่งท้าย

เป็นความโชคดีของชาวอยุธยาตลอดจนผู้สัญจรเข้า-ออกเกาะเมืองอยุธยาอย่างยิ่ง ในการที่มีสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ถึง ๓ สะพาน ๒ สะพานที่ขนาบข้างแต่ละแห่งนั้นมีทางถนน ๔ เลนส์ และทางเดินสำหรับคนเดินข้ามแม่น้ำอีกทั้งขาไปและขากลับ สะพานปรีดี-ธำรงถึงจะเก่าโทรมไปบ้าง แต่ยังใช้งานได้ดี เป็นทางเลือกสำหรับการสัญจร คนอยุธยาที่ต้องการข้ามไปมาแค่ช่วงเกาะเมืองกับถนนรอบในและรอบนอก ก็มีทางเลือกไม่ต้องเบียดกับรถราจากภายนอกที่เข้าออกเกาะเมืองเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

สะพานปรีดี-ธำรงยังคงโดดเด่นและสำคัญสำหรับเมืองพระนครศรีอยุธยา เพราะประวัติศาสตร์อยุธยาไม่ได้มีแค่ช่วงเวลา ๔๑๗ ปีนั้น ช่วงการพัฒนาสมัยคณะราษฎร ปรีดี พนมยงค์ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีความสำคัญ และมีอนุสรณ์ปรากฏเป็นประจักษ์พยานอยู่ตั้งแต่เมื่อแรกเดินทางผ่านแยกเจดีย์วัดสามปลื้ม (เจดีย์นักเลง) ก็จะถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑ ของอยุธยาที่บริเวณเชิงสะพานปรีดี-ธำรง  

การถูกขนาบข้างด้วยสะพานชื่อ “สะพานสมเด็จพระนเรศวร” กับ “สะพานสมเด็จพระเอกาทศรถ” เป็นสิ่งบดบัง “สะพานปรีดี-ธำรง” ไม่เข้ากับยุคสมัยการพัฒนาหลัง ๒๔๗๕ แต่อย่างใดเลย และในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการเทิดพระเกียรติอดีตพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ เพราะเดิมไม่มีธรรมเนียมในการนำเอาพระนามของพระมหากษัตริย์มาตั้งเป็นชื่อสะพานและถนน ที่มีพระนามอะไรต่าง ๆ นั้น ล้วนแต่เป็นของสร้างทำและตั้งกันขึ้นภายหลังทั้งสิ้น

ประเด็นสุดท้ายที่อยากฝากไว้สำหรับในที่นี้คือ ขนบการตั้งชื่อสะพาน ถนน หรือสิ่งอื่นใดในสังคมไทยสยาม ยังคงอิงกับชื่อผู้ชายเป็นหลัก ขณะเดียวกันเราก็ทราบกันดีว่าเบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษนั้นมีสตรีอยู่เบื้องหลังเสมอ เพราะฉะนั้นจะเป็นมิติใหม่ของการตั้งชื่อสถานที่ หากสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกของเกาะเมือง ที่ออเจ้าเมื่อจะข้ามฝั่งไปเยี่ยมชมวัดไชยวัฒนารามนั้นมีชื่อเป็นผู้หญิงที่สัมพันธ์สอดคล้องกับ “สะพานปรีดี-ธำรง” ที่ฝั่งตะวันออกของเกาะเมือง คือชื่อ “สะพานพูนศุข-แฉล้ม”

เราต้องไม่ลืมว่านิยามความเท่าเทียมกันตามแนวคิดคณะราษฎรนั้น ทางหนึ่งเลยหมายถึงความเท่าเทียมกันระหว่างบุรุษเพศกับสตรีเพศ ประติมากรรมที่สื่อถึงหลักความเสมอภาคที่ตึกคณะราษฎร อยุธยา (อาคารศาลากลางหลังเก่าของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) จึงคือรูปพระสุริโยทัย ผู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสวามี ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับชาวอยุธยาหลายท่านว่า ควรเปลี่ยนชื่อที่ผิดฝาผิดตัวอย่าง “สะพานวัดกษัตราธิราช” มาเป็น “สะพานพูนศุข-แฉล้ม” เพื่อให้สอดคล้องกับ “สะพานปรีดี-ธำรง” เสีย จะได้เป็นเกียรติเป็นศรีเป็นหลักเป็นประธานของการเดินทางสู่ย่านเมืองเก่าอย่างพระนครศรีอยุธยาและหัวเมืองสำคัญอื่น ๆ สืบไป  

ปล. หวังว่าการปิดซ่อมปรับปรุงสะพานปรีดี-ธำรง ครั้งล่าสุดในปัจจุบันนี้ จะไม่เป็นแบบถนนพระราม ๒ ในอยุธยาอีกต่อไปในไม่ช้านานนี้นะขอรับ...

 


เชิงอรรถ

[1] หจช. สร. ๑๓/๙๓ (๒๔๘๖) เรื่องทางแยกจากทางหลวงสายอยุธยา-วังน้อย ถึงสถานีรถไฟอยุธยาและบางปะอิน.

[2] คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๕; อีกเล่มที่กรมศิลปากรได้สำรวจและจัดทำข้อมูลไว้ดู กรมศิลปากร. ถนนและสะพานสมัยโบราณกรุงศรีอยุธยา. พระนครศรีอยุธยา: อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา, ๒๕๔๕. 

[3] Derick Garnier. Ayutthaya: Venice of the East. Bangkok: River books, 2004.

[4] ได้ชื่อนี้เพราะอ้างอิงจากเรื่องมหากบิลชาดก เรื่องที่พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น “กบิลวานร” ผู้นำหมู่ลิง ซึ่งเอาตัวเองพาดกิ่งไม้ให้เหล่าวานรเหยียบหลังตนข้ามหนีภัยไป ส่วนคำว่า “เทพหมี” มาจาก “เทษหมี” คาดว่าเป็นชื่อของ “หลวงเทษอรชุน” (หมี) ช่างชาวเปอร์เชียสมัยสมเด็จพระนารายณ์ 

[5] วนิช สุธารัตน์. “ตามรอยท่านปรีดีที่วัดพนมยงค์” ใน บุหงา วัฒนะ และคณะ (บก.). ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก. (พระนครศรีอยุธยา: สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, ๒๕๔๓), หน้า ๑๓๕.

[6] กิตติ ภู่พงษ์วัฒนา. “การปรับปรุงเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาในสมัย ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ใน  บุหงา วัฒนะ และคณะ (บก.). ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก, หน้า ๑๔๘-๑๕๒.

[7] ปรามินทร์ เครือทอง. “สะพานปรีดี-ธำรง: แผนกู้กรุงศรีอยุธยาของปรีดี พนมยงค์” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๗ (พฤษภาคม ๒๕๔๓), หน้า ๔๒-๔๓. 

[8] ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๕๒ (๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๘), หน้า ๑๖๙๒. 

[9] ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๕๖ (๒๔ เมษายน ๒๔๘๒) หน้า ๓๙๙. 

[10] เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ.๒๔๓๘-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๙), หน้า ๖๐-๖๕.

[11] กำพล จำปาพันธ์. “89 ปีการอภิวัฒน์สยาม 2475 & เชคอินคณะราษฎรในพระนครศรีอยุธยา” https://prachatai.com/journal/2021/07/93963 (ประชาไท. Submitted on Wed, 2021-07-14).

[12] หจช. สร. ๑๓/๙๓ (๒๔๘๖) เรื่องทางแยกจากทางหลวงสายอยุธยา-วังน้อย ถึงสถานีรถไฟอยุธยาและบางปะอิน.

[13] กำพล จำปาพันธ์. อยุธยา: จากสังคมเมืองท่านานาชาติสู่มรดกโลก. (นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๙), หน้า ๒๖๘.

[14] ปรีดี พนมยงค์. ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ ๒๑ ปี ที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementée et mes 21 ans d'exil en chine populaire). แปลจากภาษาฝรั่งเศสโดย จำนงค์ ภควรวุฒิ และพรทิพย์ โตใหญ่, (กรุงเทพฯ: เทียนวรรณ, ๒๕๒๙), บทที่ ๒.  

[15] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ, (ผู้สัมภาษณ์). ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์. (กรุงเทพฯ: โครงการปรีดี พนมยงค์ กับสังคมไทย, ๒๕๒๖), หน้า ๑๗-๒๖, ๓๗-๔๑.

[16] ย่าของนายเสียง พนมยงค์ (ชวดของปรีดี พนมยงค์) เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับย่าของพระยาไชยวิขิต (ขำ ณ ป้อมเพชร) อนึ่งตระกูล ณ ป้อมเพชร ผูกขาดตำแหน่งเจ้าเมืองอยุธยามาหลายชั่วคน ด้วยเหตุว่าเป็นเชื้อสายของผู้รับใช้ใกล้ชิดของราชวงศ์จักรีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงได้รับพระราชทานบ้าน ที่ดิน (บริเวณข้างป้อมเพชร) และตำแหน่งเจ้าเมืองอยุธยา มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑  

[17] ปิยะวรรณ์ สุธารัตน์. “สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ใน บุหงา วัฒนะ และคณะ (บก.). ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก, หน้า ๑๕๕.