ม.ร.ว.สายสวัสดี สวัสดิวัตน หรือ “ป้าหน่อย” เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวปรีดี-พูนศุข ที่มีความใกล้ชิดผูกพันกันมายาวนาน ภาพของสุภาพสตรีผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี พูดจานุ่มนวล แต่แฝงด้วยความลุ่มลึก สอดรับกับท่วงท่ากิริยาอันงดงาม แบบอย่างเชื้อพระวงศ์ เป็นที่ประทับใจของผู้ได้รู้จัก ป้าหน่อยมีความเป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือชนชั้น แต่นับถือคนที่คุณงามความดี
ถึงแม้อายุขัยของท่านจะก้าวล่วงเข้าสู่วัยชรามากแล้ว แต่ย่างก้าวของท่านยังคล่องแคล่ว สติปัญญาแจ่มใส ไม่โรยราเหมือนคนวัยเดียวกันโดยทั่วไป ด้วยความที่ป้าหน่อยเป็นคนใฝ่รู้และชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จึงชอบที่จะสนทนากับผู้คนหลากหลายและเข้าร่วมงานเสวนาทางวิชาการเพื่อเปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่างานนั้นจะกินเวลายาวนานถึง 4-5 ชั่วโมง ท่านก็อยู่ฟังจนจบ เป็นที่น่าทึ่ง และทุกครั้งที่เข้าฟังการเสวนา ท่านจะมีกระดาษและปากกา บันทึกข้อความหรือประเด็นสำคัญๆ ของผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่านไว้ ไม่เพียงแต่นั่งฟังอย่างเดียว
สิ่งที่ป้าหน่อยสนใจ ไม่มีสาระอื่นใด นอกเหนือไปจากเรื่องความเป็นไปของบ้านเมืองและประชาธิปไตยในประเทศไทย ท่านอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นในสังคมไทย ท่านมักพูดถึงคุณงามความดีของนายปรีดีและท่านชิ้นให้พวกเราได้ฟังอยู่เสมอ พร้อมกับกำชับว่า จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องราวของบรรพบุรุษและสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านเหล่านั้นต่อไป ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดเชื้อพระวงศ์ ผู้ซึ่งมีบิดาเคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคณะราษฎร ถึงได้มีความรักและศรัทธาในตัวนายปรีดีอย่างล้นเหลือ
ป้าหน่อยเล่าให้ฟังว่า นายปรีดีเป็นบุคคลที่บิดาของท่าน (หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน หรือท่านชิ้น) ชื่นชม รัก และนับถือมาก เพราะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมชะตากรรมเดียวกัน มีอุดมการณ์เพื่อชาติอย่างแรงกล้า แรกเริ่มเดิมที ทั้งสองอยู่ในฝั่งตรงข้ามกันทางการเมือง กล่าวคือท่านชิ้นเป็นนายทหารรักษาพระองค์ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนปรีดีเป็นหัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ในปี 2478 ท่านชิ้นได้ตามเสด็จไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วย
ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกไทย รัฐบาลไทยเข้าข้างญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ปรีดีคัดค้านการประกาศสงคราม จึงได้จัดตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศขึ้น ส่วนท่านชิ้นเข้าร่วมกับเสรีไทยในอังกฤษ ทั้งสองจึงได้เริ่มทำงานต่อต้านญี่ปุ่นผู้รุกรานด้วยกันจนสำเร็จ ร่วมกับผู้รักชาติอื่นๆ ทำให้ชาติไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้สงครามและได้รับเอกราชอธิปไตยกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้าหน่อยภาคภูมิใจที่สุด
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้ว นายปรีดีได้ขอให้ท่านชิ้นกลับมาช่วยกันฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์สวรรคตรัชกาลที่ 8 ขึ้น นำไปสู่การรัฐประหาร 2490 ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ท่านชิ้นเป็นเชื้อพระวงศ์คนเดียวที่ปกป้องความบริสุทธิ์ของนายปรีดี จนพลอยได้รับวิบากกรรมไปด้วย
ป้าหน่อยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสพบนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข เมื่อครั้งเดินทางไปร่วมงานประชุมตามคำเชิญของสามัคคีสมาคม ซึ่งป้าหน่อยเป็นนายกสมาคมแห่งนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่เมืองไทย ท่านก็ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจขบวนการนักศึกษาและมีบทบาทต่อต้านรัฐบาลเผด็จการโดยจัดอภิปรายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 6 ตุลาฯ และปาฐกถา “เราจะต่อต้านเผด็จการอย่างไร” ที่มี อ.ป๋วย และ อ.ปรีดี เป็นผู้แสดงปาฐกถา นอกจากนี้ ป้าหน่อยยังได้ช่วยเหลือเกื้อกูลนักศึกษาที่ลี้ภัยการเมือง จนเป็นที่เพ่งเล็งของรัฐเผด็จการ เหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงจิตใจประชาธิปไตยและรักความยุติธรรมของราชนิกุลท่านนี้อย่างไม่มีข้อสงสัย
ต่อมาเมื่อนายปรีดี ถึงแก่อสัญกรรม ป้าหน่อยยังได้ช่วยจัดการให้ท่านปัญญานันทภิกขุเดินทางจากอังกฤษไปร่วมงานฌาปนกิจนายปรีดีที่ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ทุกครั้งที่มีการจัดงานเกี่ยวกับนายปรีดี ขบวนการเสรีไทย วันสันติภาพไทย ฯลฯ ป้าหน่อยจะเดินทางมาร่วมงาน แทบไม่เคยว่างเว้น แม้จะต้องเดินทางไกลจาก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ อันเป็นที่พำนักในบั้นปลายชีวิตของท่าน
ไม่มีใครคาดคิดว่า งานรำลึก 122 ปี ชาตกาลปรีดี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 จะเป็นงานที่ป้าหน่อยเข้าร่วมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะท่านยังดูแข็งแรง ไร้วี่แววของโรคภัยที่รุมเร้าอยู่ภายใน ท่านพูดเสมอว่างาน อ.ปรีดี ยังไงก็ต้องมา วันนั้น ป้าหน่อยยังได้เข้าฟังเสวนา PRIDI Talks #15 ที่สถาบันปรีดีฯ เป็นผู้จัด ด้วยความสนใจเหมือนเช่นเคย ก่อนจากลา ท่านพูดเป็นนัยว่า ดีใจ อยากเจอ ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร
ทราบข่าวอีกครั้งว่าอาการป้าหน่อยอยู่ในระยะสุดท้ายและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จึงรีบเดินทางไปให้กำลังใจท่านที่เชียงใหม่ ป้าหน่อยนอนอยู่บนโซฟา ยังพูดคุยรู้เรื่องและมีกำลังใจดีเสมอ สิ่งที่อยู่ในใจผู้ป่วยที่กำลังต่อสู้กับภาวะโรคร้าย กลับกลายเป็นความหวังอันแรงกล้า ที่อยากจะเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แม้วาระสุดท้ายของชีวิต ท่านก็ยังพูดย้ำเสมอว่าให้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ สิ่งที่นายปรีดีกับพ่อท่านทำ ก็เพื่อประโยชน์ของชาติ เพราะท่านชิ้นมองเห็นถึงความดีงามในตัวนายปรีดี จึงได้ลืมความบาดหมางและเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา นับแต่บัดนั้น
กราบคารวะจิตใจอันเข้มแข็ง มั่นคง ที่ยืนหยัดเพื่อความเป็นธรรม ขอบคุณสำหรับความรัก ความปรารถนาดีที่ป้าหน่อยมอบให้กับครอบครัวปรีดี-พูนศุข เสมอมา พวกเราจะจดจำและปฏิบัติตามปณิธานของท่านตลอดไป
หลับให้สบายครับ ป้าหน่อย