Focus
-
บทความ “เส้นเขตแดนเป็นเรื่องสมมติ ชีวิตคนเป็นของจริง ตอนที่ 1” เสนอข้อถกเถียงสำคัญว่า ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางภูมิศาสตร์หรือปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีของชาติ แต่เป็นกลไกทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่รัฐใช้เบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน เช่น ความเหลื่อมล้ำ การลดสวัสดิการ และการเอื้อผลประโยชน์ต่อกลุ่มทุน โดยเปรียบเทียบกับกรณีสงครามฟอล์คแลนด์ที่รัฐบาลอังกฤษในยุคมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ใช้ "ภัยคุกคามจากภายนอก" เพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนในประเทศ
-
ผู้เขียนใช้กรอบคิดของ David Harvey อย่างแนวคิด “spatial fix” (การจัดการเทศะ/พื้นที่) เพื่อชี้ให้เห็นว่า รัฐสามารถจัดการกับวิกฤตการสะสมทุนผ่านการสร้างความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยไม่เผชิญแรงต่อต้าน ทั้งในรูปของการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง แต่ลดสวัสดิการสังคม และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ความตึงเครียดชายแดนจึงกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐกัมพูชา รวมถึงรัฐไทย ใช้ร่วมกันในการบังหน้าการรัดเข็มขัดและกระชับอำนาจภายใต้วาทกรรม “ศัตรูภายนอก”
เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา
ภาพจาก Google map
ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในข้อพิพาทชายแดน สามารถวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดของ David Harvey เกี่ยวกับการใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ Harvey ได้ชี้ให้เห็นว่าในยุคโลกาภิวัตน์ รัฐชาติต่างๆ มักใช้อุดมการณ์ชาตินิยมเพื่อปกปิดการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นทุนมากกว่าประชาชนทั่วไป การสร้างความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ประชาชนลืมปัญหาความเหลื่อมล้ำ การลดสวัสดิการสาธารณะ และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของกลไกนี้คือการใช้สงครามฟอล์คแลนด์โดย Margaret Thatcher ในปี 1982 เพื่อทำลายสวัสดิการรัฐและขจัดการต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ในอังกฤษ ก่อนสงครามฟอล์คแลนด์ Thatcher เผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนต่อนโยบายการแปรรูปเศรษฐกิจ การปิดเหมืองถ่านหิน และการลดงบประมาณสวัสดิการสังคม อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 3 ล้านคน สหภาพแรงงานจัดการประท้วงใหญ่หลายครั้ง และอัตราการสนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยมตกต่ำเหลือเพียง 27% อย่างไรก็ตาม เมื่ออาร์เจนตินาบุกยึดหมู่เกาะฟอล์คแลนด์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1982 Thatcher ใช้โอกาสนี้ ส่งกองเรือรบไปยึดคืนหมู่เกาะที่ห่างไกลกว่า 8,000 ไมล์ โดยอ้างเหตุผลด้าน "เกียรติของชาติอังกฤษ" และ "การปกป้องประชาชนอังกฤษ" แม้ว่าจะมีประชากรเพียง 1,800 คน ด้วยการใช้งบประมาณมหาศาลในขณะที่สวัสดิการของคนในประเทศตกต่ำ และสูญเสียชีวิตความฝัน
Margaret Thatcher กับทหารบนหมู่เกาะ
ระหว่างสงคราม Thatcher ใช้ชาตินิยมอย่างเข้มข้นในการปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์ การต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจถูกตีตราว่าเป็น "การทรยศต่อทหารที่กำลังสู้รบ" สื่อมวลชนถูกเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวด และผู้นำสหภาพแรงงานที่วิพากษ์การใช้จ่ายงบประมาณสงครามถูกใส่ร้ายว่าเป็น "ผู้ไม่รักชาติ" ที่สำคัญที่สุด ค่าใช้จ่ายในสงครามฟอล์คแลนด์ที่สูงถึง 2.8 พันล้านปอนด์ถูกใช้เป็นข้ออ้างโดยตรงในการลดงบประมาณสวัสดิการสังคม รัฐบาลอ้างว่า "ประเทศต้องรัดเข็มขัดเพื่อป้องกันชาติ" การลดงบประมาณโรงพยาบาลสาธารณะ โรงเรียนรัฐ และเงินช่วยเหลือผู้ว่างงาน จึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เมาด้วยชัยชนะในสงคราม
ผลลัพธ์ของสงครามฟอล์คแลนด์เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรง อัตราการสนับสนุน Thatcher พุ่งขึ้นจาก 27% เป็น 59% ภายหลังสงคราม พรรคอนุรักษ์นิยมชนะการเลือกตั้งปี 1983 ด้วยคะแนนท่วมท้น และที่สำคัญที่สุด ประชาชนอังกฤษยอมรับการทำลายสวัสดิการรัฐอย่างรุนแรงโดยไม่มีการต่อต้านที่มีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ของ Harvey ชี้ให้เห็นว่าสงครามฟอล์คแลนด์เป็นตัวอย่างคลาสสิกของ "Spatial Fix" - การแก้ไขวิกฤตการสะสมทุนในประเทศผ่านการสร้างความขัดแย้งภายนอก เมื่อนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่เผชิญกับการต่อต้านจากแรงงาน การสร้างศัตรูภายนอกและการเรียกร้องความสามัคคีของชาติช่วยให้สามารถดำเนินการ "Shock therapy" ต่อสวัสดิการสังคมได้โดยไม่มีอุปสรรค
ในบริบทไทย-กัมพูชา กลไกเดียวกับสงครามฟอล์คแลนด์ได้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบ ความขัดแย้งชายแดนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายสวัสดิการสังคมโดยตรงทั้งสองฝั่ง การใช้กระแสชาตินิยมช่วยเบี่ยงเบนประเด็นความล้มเหลวของการบริหารบ้านเมืองของกัมพูชา ขณะที่ไทยเองการใช้การทหารตอบโต้เป็นแนวทางหลักในระยะยาวจะดึงความขัดแย้งและค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ระยะยาวอาจเป็นข้ออ้างโดยตรงในการลดงบประมาณสวัสดิการสังคม การเพิ่มงบประมาณกลาโหมเพื่อ "ป้องกันชาติจากการรุกรานของกัมพูชา" ทำให้การลดงบประมาณโรงพยาบาลสาธารณะ โรงเรียนรัฐ และโครงการช่วยเหลือเกษตรกรได้รับการยอมรับจากประชาชนที่เชื่อว่าจำเป็นต้อง "เสียสละเพื่อชาติ"
ฮุน มาเนต์ กับการเลือกตั้งในปี 2566
เช่นเดียวกับที่ Thatcher ใช้ค่าใช้จ่ายสงครามเป็นข้ออ้างในการรัดเข็มขัด รัฐบาลไทยใช้ "ภัยคุกคามจากกัมพูชา" เป็นเหตุผลในการปรับโครงสร้างงบประมาณให้เอื้อต่อกลุ่มทุนทหารและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ขณะเดียวกัน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิดประเทศให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างเสรี ก็ได้รับการบังบัณฑาลจากบรรยากาศชาตินิยมที่เข้มข้น ฝั่งกัมพูชา ภายใต้การนำของฮุน เซน กลไกเดียวกันได้ถูกนำมาใช้อย่างเชียวชาญ ความขัดแย้งกับไทยไม่เพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจและกดทับฝ่ายค้าน แต่ยังเป็นข้ออ้างโดยตรงในการลดสวัสดิการสังคม การอ้างถึง "การรุกรานของไทย" กลายเป็นเหตุผลในการเพิ่มงบประมาณทหารและตำรวจ ขณะเดียวกันก็ลดการใช้จ่ายด้านการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาชนบท
เหมือนกันกับที่ประชาชนอังกฤษยอมรับการทำลายสวัสดิการรัฐหลังชัยชนะในฟอล์คแลนด์ ประชาชนกัมพูชาก็ยอมรับการ "รัดเข็มขัดเพื่อป้องกันชาติ" โดยไม่ตั้งคำถามต่อนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มทุนจีนและเวียดนามมากกว่าประชาชนกัมพูชา การจำกัดเสรีภาพการชุมนุม การแสดงออกทางการเมือง และการประท้วงต่อความเหลื่อมล้ำ ล้วนได้รับการยอมรับภายใต้ข้ออ้างของ "ความมั่นคงแห่งชาติ" การใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของสิ่งที่ Harvey เรียกว่า "spatial fix" - การแก้ไขปัญหาการสะสมทุนผ่านการขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และการสร้างความขัดแย้งภายนอก เมื่อระบบทุนนิยมในประเทศเผชิญกับวิกฤตการสะสมทุน การสร้างศัตรูภายนอกจะช่วยให้สามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในได้โดยไม่ถูกคัดค้าน ในกรณีของไทยและกัมพูชา ความขัดแย้งดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศดำเนินการ "Shock therapy" ทางเศรษฐกิจ การเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มทุนทหารและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ขณะเดียวกันการลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมได้รับการรับรองจากประชาชนที่เชื่อว่าจำเป็นต้อง "รัดเข็มขัด" เพื่อป้องกันชาติ
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจึงไม่ใช่เพียงปัญหาเขตแดนหรือความภาคภูมิใจทางชาติเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ซับซ้อนในการบริหารจัดการวิกฤตการสะสมทุนภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ การวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดของ David Harvey ช่วยให้เราเห็นถึงมิติทางเศรษฐกิจการเมืองที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง "ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์" ที่ปรากฏบนพื้นผิว