ทหารและกองทัพเป็นตัวแสดงสำคัญตัวหนึ่งในการเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา บทบาทของทหารและกองทัพในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นและกลายมาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญถึงขนาดถูกกำหนดบทบาทไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการย้ำเตือนความสำคัญของทหารและกองทัพ รวมถึงเป็นการสร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในสังคมไทยโดยผูกพันไว้กับรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของประเทศ (รัฐ) ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรม ทหารและกองทัพเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลมากและเป็นผู้เล่นสำคัญในการเมืองไทย
ทหารและกองทัพกับรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร
นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น 13 ฉบับ โดยนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 บทบาทของกองทัพได้มีความสำคัญท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ณ ขณะนั้น ในฐานะตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรแห่งความชั่วร้าย[1]
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองได้เปิดบทบาทให้ทหารเข้ามามีส่วนสำคัญในทางการเมืองไทย ทหารและกองทัพได้เริ่มต้นฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญไทย ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492[2] โดยกำหนดบทบาทของทหารและกองทัพไว้ในบทบัญญัติเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทยและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในรัฐธรรมนูญไทย
ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับทหารและกองทัพปรากฏอยู่ใน 4 ลักษณะ ได้แก่
- เรื่องที่ 1 การกำหนดหน้าที่ให้บุคคลเป็นทหาร[3]
- เรื่องที่ 2 การกำหนดความจำเป็นในการมีกองกำลังทหารให้มีเท่าที่จำเป็น[4]
- เรื่องที่ 3 การกำหนดให้ทหารเป็นของชาติโดยอยู่ในบังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ไม่ขึ้นต่อเอกชน คณะบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ[5] ซึ่งรวมถึงการกำหนดมิให้เอกชน คณะบุคคล และพรรคการเมืองจะนำทหารไปเป็นเครื่องมือไม่ได้[6] และ
- เรื่องที่ 4 การกำหนดบทบาทหน้าที่ของทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม หรือเพื่อปราบปรามการจลาจล และจะใช้ได้ก็แต่โดยกระแสพระบรมราชโองการ[7]
บทบัญญัติทั้ง 4 เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับทหารและกองทัพในลักษณะเดียว อย่างไรก็ดี ในบางช่วงเวลาบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีเนื้อหาแตกต่างไปบ้างและบางเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองของทหารและกองทัพในเวลานั้นๆ แต่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทหารและกองทัพได้ถูกผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองสำคัญตามกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของรัฐ พึงสังเกตไว้ว่า การเข้ามามีบทบาทของทหารในทางกฎหมายมักจะมาภายหลังจากการมีรัฐประหาร อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ก็ลอกเรียนแบบตามๆ กันมา
นอกจากนี้ พึงสังเกตว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจกับทหารและกองทัพเอาไว้มาก แต่นัยดังกล่าวนั้นมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อตำแหน่งแห่งที่ของทหารและกองทัพในการเมืองไทย
ทหารและกองทัพในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย
นอกจากบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว รัฐธรรมนูญยังประกอบไปด้วยมิติเชิงวัฒนธรรมในฐานะข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ[8] การพิจารณารัฐธรรมนูญในมิตินี้จึงเป็นการพิจารณาระเบียบในความเป็นจริงของสังคมหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร
นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยได้อธิบายว่า ทหารและกองทัพเป็นอิทธิพลหรืออำนาจที่ไม่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในระบอบการปกครองใดๆ ยกเว้นเผด็จการ ทหารและกองทัพจะมีส่วนแบ่งของอำนาจนิดเดียวเสมอ[9]
ลักษณะดังกล่าวนี้สอดคล้องกับลักษณะของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่เกี่ยวกับทหารและกองทัพ กล่าวคือ เมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่นๆ ในการเมืองไทย ทหารจะมีอำนาจอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอำนาจที่กำหนดไว้จะมีลักษณะเป็นการบ่งชี้ในเชิงความสำคัญ แต่ไม่ได้มีอำนาจพิเศษใดๆ รองรับ อาทิ ในรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเมียนมาร์ได้รองรับอำนาจพิเศษของกองทัพในการเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้[10]
เมื่อพิจารณาในเชิงวัฒนธรรมไทยทหารและกองทัพเป็นประดิษฐกรรมใหม่ของรัฐไทยที่พึ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ 5 ในฐานะเป็นกลไกหนึ่งในการก่อตั้งรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อย่างไรก็ดี นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทหารและกองทัพเป็นสถาบันการเมืองที่พิเศษกว่าสถาบันอื่นๆ เพราะแม้ว่ากองทัพจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ[11] ซึ่งเป็นกลไกของการเป็นรัฐสมัยใหม่[12] แต่ทหารและกองทัพเป็นกลุ่มตัวแสดงทางการเมืองที่พิเศษกว่าข้าราชการทั่วๆ ไป กล่าวคือ ทหารและกองทัพไม่มีขอบเขตอำนาจเหนือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งภายในประเทศ ในขณะเดียวกันกองทัพแม้จะมีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีน้อย แต่มีการสะสมอิทธิพลอย่างรวดเร็ว และอิทธิพลของทหารและกองทัพนั้นถูกมองแตกต่างจากข้าราชการทั่วไปที่อาจจะถูกมองว่าฉ้อฉล แต่ทหารและกองทัพกลับถูกสังคมมองในแง่ที่ดีกว่า โดยสังคมมองว่ากองทัพไม่ใช่ผู้ปกครองแต่อยู่ในสถานะของผู้ปกป้อง (เปรียบเสมือนพ่อขุน) ซึ่งคนไทยบางส่วนก็ยินดีและยอมรับการใช้อำนาจของทหารและกองทัพไปใช้ในการขจัดข้าราชการที่ฉ้อฉล[13]
การมีอิทธิพลแต่ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายหรือประเพณีมากเช่นสถาบันอื่นๆ ทำให้ทหารและกองทัพไม่ถูกตระหนักถึงอิทธิพลที่แผ่ขยายออกไปเท่ากับข้าราชการกลุ่มอื่นๆ ฉะนั้น ทหารและกองทัพบ่อยครั้งจึงหลุดลอยไปจากการถูกตรวจสอบ[14]
ในทางกลับกัน อิทธิพลของทหารจะได้รับการยอมรับเสมอตราบเท่าที่ทหารไม่กลายเป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายหรือประเพณี เพราะจะทำให้สถานะของทหารกลายมาเป็นผู้ปกครอง และทหารจะไม่กลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่เข้ามาควบคุมการใช้อำนาจ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจที่ฉ้อฉล ในลักษณะเช่นนี้การเมืองไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจของทหาร ซึ่งทำให้ความนิยมในทหารลดลง[15] จนในท้ายที่สุดจึงมีความพยายามขจัดทหารออกจากอำนาจ ดังเช่นในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การพยายามขับไล่รัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร หรือการที่มีสมาชิกวุฒิสภามาจากทหารและกองทัพในปัจจุบัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเห็นว่าไม่เหมาะสม
เมื่อพิจารณาบทบาทของทหารและกองทัพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับต่างๆ ประกอบกับรัฐธรรมนูญในมิติวัฒนธรรมไทย จะเห็นได้ว่า แม้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นทหารและกองทัพอาจมิได้มีอำนาจมาก แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้นได้สร้างตำแหน่งแห่งที่ให้กับทหารและกองทัพในฐานะสถาบันอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้มีอำนาจเช่นเดียวกันสถาบันอื่นๆ
อาทิ สภาผู้แทนราษฎร ศาล คณะรัฐมนตรี หรือบรรดาองค์กรอิสระ แต่กระบวนการนี้ได้ยกระดับความสำคัญของทหารและกองทัพให้เป็นส่วนหนึ่งในสถาบันภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบกับเมื่อพิจารณาในมิติวัฒนธรรมการเมืองไทยจะเห็นได้ว่า ในระเบียบแห่งอำนาจในสังคมไทย ทหารและกองทัพมีส่วนสำคัญที่เป็นอิทธิพลในฐานะของผู้ปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องประชาชนจากอำนาจอันฉ้อฉลของข้าราชการ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองต่างๆ
สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทหารเป็นผู้เล่นสำคัญในทางการเมืองไทย ทั้งในฐานะผู้ปกป้อง และไม่ถูกตรวจสอบภายใต้กระบวนการต่างๆ อีกด้วย
[1] ดู ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ‘รัฐประหาร 2490: หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเมืองไทย’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 6 พฤศจิกายน 2563). สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.
[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นมาภายหลังจากรัฐประหารล้มล้างการปกครองของรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์.
[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 57.
[4] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 58.
[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 59.
[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 61.
[7] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 60.
[8] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติ เมืองไทย แบบเรียน และอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม รัฐ และรูปการจิตสำนึก (พิมพ์ครั้งที่ 4, มติชน 2563) 115.
[9] เพิ่งอ้าง 131.
[10] อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ, ‘มองพม่า : สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ผ่านรัฐธรรมนูญ-การเลือกตั้ง-อ้างปฏิรูป’ (TCIJ, 13 สิงหาคม 2558) https://www.tcijthai.com/news/2015/13/scoop/5733 สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2565.
[11] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132.
[12] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, การเป็นสมัยใหม่กับแนวคิดชุมชน (สร้างสรรค์ 2557) 9 และ 27.
[13] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (เชิงอรรถ 8) 132-133.
[14] เพิ่งอ้าง 133 - 134.
[15] ดู เพิ่งอ้าง.