ในเดือนธันวาคมนี้ จะมีวันสำคัญของชาติไทยอีกวันหนึ่ง คือ วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งความสำคัญของวันดังกล่าวคือเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ที่ถูกนับเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย”
บทบาทความสำคัญของรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ แม้ว่าในเวลาต่อมาคณะรัฐประหารทั้งหลายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะของเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจให้กับคณะรัฐประหารทั้งหลาย
การเปลี่ยนผ่านเข้ามาของคณะรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่องนี้มีความน่าสนใจบางอย่างที่เกิดขึ้นตามมา คือทุกๆ ครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มิเพียงแต่อาศัยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมเท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เพิ่มเติมกลไกต่างๆ เข้ามาเสมอๆ โดยกลไกหนึ่งที่มีความน่าสนใจ คือ กลไกในเรื่องการรับรองสิทธิและเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่มีการรับรองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ หรือจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
บทความฉบับนี้มิได้ต้องการสื่อสารว่า การฉีกรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเพิ่มเติมและรับรองสิทธิและเสรีภาพประเภทต่างๆ เป็นเรื่องดี ในทางตรงกันข้าม ปรากฏการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าการรับรองสิทธิและเสรีภาพเป็นด้านที่รัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จน้อยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการรับรองสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะสิทธิในทางเศรษฐกิจยิ่งมากกว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมา แต่ทว่าในยุคสมัยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะเรียกได้ว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกคุกคามโดยรัฐในหลายๆ มิติ และแม้กระทั่งสิทธิและเสรีภาพในทางเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญควรคุ้มครองก็ถูกทำลายลงด้วยอำนาจแห่งกลุ่มทุน
เป้าหมายสำคัญของบทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นรูปแบบของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญไทยในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทางเศรษฐกิจว่ามีพัฒนาการอย่างไร ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับสำคัญโดยไล่เรียงตามลำดับเวลา และเน้นเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยไม่รวมบรรดาธรรมนูญการปกครองแผ่นดินและรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ต่างๆ
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญอย่างฉบับอื่นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ในขณะนั้นที่ยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ จึงเลือกนำคำว่า “พระราชบัญญัติ” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกฎหมายในเวลานั้น และคำว่า “ธรรมนูญ” ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่จัดวางระเบียบแบบแผนหรือระบบต่างๆ มาใช้เป็นคำที่เรียกรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย (สยาม)
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความน่าสนใจว่าเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้น แม้ว่าโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้เป็นการชั่วคราวตามชื่อ เพราะบทบัญญัติในหลายๆ มาตรามีการบัญญัติหลักการและกรอบของการปกครองประเทศต่อไปในอนาคตอย่างเป็นขั้นตอน อาทิ การกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีผลใช้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น[1]
ในแง่ของสิทธิและเสรีภาพ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีการบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเอาไว้มากมาย โดยหากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้เพียงแค่สิทธิในการเลือกตั้งเท่านั้น อย่างไรก็ดี ในแง่สิทธิและเสรีภาพอื่นๆ ของประชาชนได้มีรับการรับรองไว้ในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ที่มีการประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎรและกำหนดหลัก 6 ประการเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ[2] ซึ่งในเวลาต่อมาคณะรัฐมนตรีชุดแรกก็ได้รับเอาหลัก 6 ประการมาเป็นนโยบายของรัฐบาล[3]
“จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”
หลักการสำคัญๆ ในหลัก 6 ประการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปรากฏในหลักที่ 3 กล่าวคือจะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ และไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
ยุคเริ่มต้นของการรับรองสิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ
ในช่วงแรกของการรับรองสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ สิทธิและเสรีภาพจะมีลักษณะเป็นการรับสิทธิพื้นฐานที่สุด 2 ประการ คือ ประการแรก สิทธิในทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยที่รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซงอย่างไม่มีเหตุผลสมควร และประการที่สอง เสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยรัฐธรรมนูญรับรองให้ประชาชนมีเสรีภาพที่จะประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องการของตนเอง โดยรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือควบคุมการตัดสินใจเลือกของประชาชน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 (รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยสิทธิที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองเอาไว้โดยส่วนใหญ่จะเป็นสิทธิในทางการเมือง อาทิ การรับรองสิทธิในทรัพย์สิน และเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพดั้งเดิมที่ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ก็ได้รับรองไว้เช่นกัน
โดยสิทธิและเสรีภาพทั้งสองประการนี้จะกลายเป็นสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานในทางเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงในอนาคตจะได้ขยายต่อสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวไปในลักษณะต่างๆ เช่น สิทธิในการไม่โดนโอนทรัพย์สินเป็นของรัฐ (เวนคืน) ซึ่งเป็นการยกระดับสิทธิในทรัพย์สินขึ้นมากล่าวในมุมเฉพาะ หรือ สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งเป็นการยกระดับเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยยกระดับให้กลายเป็นสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับโดยอำนาจรัฐเพื่อใช้แรงงาน สิทธิทั้งสองประการนี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ซึ่งมาพร้อมกับการรับรองสิทธิในการได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม
การเกิดขึ้นของบทบัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
บทบัญญัติเกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเป็นหมวดใหม่ที่รัฐธรรมนูญในยุคหลังๆ เพิ่มขึ้นมาเพื่อกำหนดกรอบและทิศทางในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการออกกฎหมายมาเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องนั้นๆ โดยรัฐธรรมนูญในอดีตจะกำหนดให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่นำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อให้รัฐบังคับตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ[4]
แนวนโยบายดังกล่าวเป็นเสมือนความฝันที่ไม่ได้มีการกำหนดแนวทางอย่างจริงจังเนื่องจากรัฐบาลบางรัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2492 เป็นต้นมาจนถึง พ.ศ. 2540 เป็นรัฐบาลที่นำโดยทหารจากการรัฐประหาร และมีกองทัพคอยสนับสนุน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารกับสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจเท่าที่ควร ทำให้บทบัญญัติในส่วนแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติไว้เป็นเพียง “ส่วนเกิน” ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ[5]
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ รวมถึงการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน ตัวอย่างของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมีดังนี้
- การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการกำหนดอุดมการณ์เสรีนิยม
- ส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
- การส่งเสริมการศึกษา
- การส่งเสริมการสาธารณสุข
- การได้รับบริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคระบาดฟรี
- การส่งเสริมด้านสาธารณสุขของมารดาและเด็ก
- การส่งเสริมการเข้าถึงสาธารณสุขของผู้มีรายได้น้อย
- การส่งเสริมการทำงาน การหางาน และคุ้มครองแรงงาน
- การส่งเสริมให้คนพิการมีงานทำ
- การส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์
- การสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
- การลดความเหลื่อมล้ำ
- จัดระบบกรรมสิทธิ์และการครอบครองที่ดิน
- ส่งเสริมเกษตรกรรม
- สนับสนุนสหกรณ์
- การส่งเสริมและสนับสนุนพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
- การส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์
- การส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะและกิจการเคหะของผู้มีรายได้น้อย
- สงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส
การกำหนดหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจ
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับบทบัญญัติทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่มีการตราบทบัญญัติหมวดใหม่เกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ โดยกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่อประชาชน รวมถึงให้สิทธิประชาชนสามารถฟ้องร้องรัฐให้ดำเนินการดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายได้กำหนดไว้[6] โดยหน้าที่ของรัฐทางเศรษฐกิจมี 3 หน้าที่ ดังนี้
- ดำเนินการให้ได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง และพัฒนาการบริการสาธารณสุข
- ดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน
- รักษาคลื่นความถี่และดำเนินการจัดสรรอย่างเป็นอิสระ
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาการใช้สิทธิในการฟ้องร้องรัฐยังไม่มีหลักเกณฑ์วิธีการที่ชัดเจนรองรับสิทธิของประชาชนในเรื่องนี้แต่อย่างใด
[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, ‘รัฐธรรมนูญคืออะไร: ความหมายและที่มาของคำ’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 27 มิถุนายน 2564) สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.
[2] วัลยา, ‘การอภิวัฒน์สยาม 2475 : “ข้อมูลใหม่” เรื่องความเป็นมาแห่งหลัก 6 ประการของคณะราษฎร (ตอนที่ 2)’ (สถาบันปรีดี พนมยงค์, 21 มิถุนายน 2565) สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2565.
[3] สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่ 1/2475 (28 มิถุนายน 2475), 6 – 7.
[4] บทบัญญัติที่กำหนดห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐปรากฏตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2492 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
[5] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ‘เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540’ (รายงานวิจัยเสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย 2545) 4.
[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 51.
ขอเชิญเข้าร่วมงาน PRIDI Talks #18 x SDID : “หนทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565
เวลา 09.00 - 12.30 น.
ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
กดสนใจหรือเข้าร่วมเพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อกิจกรรมเริ่มต้นขึ้นได้ที่ : https://fb.me/e/3LaF3YIf0
รายละเอียดกิจกรรม : https://pridi.or.th/th/project/2022/11/1337
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม : https://pridi.or.th/th/register/pridi-talks-18
*กิจกรรมนี้มีถ่ายทอดสดทาง FB สถาบันปรีดี พนมยงค์ และ สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :
- จุฑาทิพย์ 086 036 2571
- ณภัทร 065 956 6648