บทความชิ้นนี้มีชื่อเดิมว่า “แลไปข้างหน้า” เขียนโดย กุหลาบ สายประดิษฐ์ ลงวันที่ท้ายบทความ คือ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2492 และไม่ปรากฏหลักฐานว่าต้นฉบับข้อเขียนนี้ตีพิมพ์ลงในสื่อสำนักใด
ผู้อ่านอาจคุ้นเคยชื่อของ “แลไปข้างหน้า” ในฐานะของวรรณกรรมเรื่องชิ้นสำคัญผลงานจากฝีไม้ลายมือของกุหลาบ ผ่านนามปากกา “ศรีบูรพา” โดยวรรณกรรมชิ้นดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ‘ภาคปฐมวัย’ และ ‘มัชฉิมวัย’
“แลไปข้างหน้า” เป็นอีกหนึ่งข้อเขียนที่สะท้อนทรรศนะทางการเมืองของกุหลาบ ที่ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ “มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ” บรรณาธิการโดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี ซึ่งได้บันทึกเป็นหมายเหตุบรรณาธิการของบทความนี้ว่า
“คำว่า แลไปข้างหน้า ที่เป็นชื่อนวนิยายของ “ศรีบูรพา” เมื่อ พ.ศ. 2498 นั้น ถูกกุหลาบ สายประดิษฐ์ นำมาใช้ครั้งแรกในฐานะเป็นชื่อข้อเขียนการเมืองที่คล้ายกับต้องการวิจารณ์การทำงานของทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ที่มักเป็นวงจรแบบ “ทีใครทีมัน” มากกว่ามุ่ง “ออกแรงและปัญญาทำนุบำรุงประเทศ” มีข้อสังเกตโดยทั่วไปว่า แม้จะเป็นเพียงข้อเขียนแบบคอลัมน์ประจำ แต่นายกุหลาบก็มักพิถีพิถันในเรื่องการคิดชื่อเรื่องแบบนักประพันธ์เสมอ ชื่อหลายชื่ออ่านแล้วได้จินตนาการ ข้อเขียนนี้ถือเป็นชิ้นงานวิจารณ์การเมืองไทย เมื่อ พ.ศ. 2492 ตามวันเวลาที่ระบุไว้ท้ายต้นฉบับลายมือ คือ “5 สิงหา 92” นั่นหมายความว่า อีก 6 ปีต่อมา กุหลาบ สายประดิษฐ์ นำเอาชื่อนี้มาปรากฏอีกครั้งในฐานะนวนิยายชิ้นเยี่ยมของ “ศรีบูรพา” โดย “ภาคปฐมวัย” ของนวนิยายเรื่องนี้ “ศรีบูรพา” ได้เขียนขึ้นระหว่างถูกคุมขังกรณี “กบฏสันติภาพ” อยู่ที่คุกบางขวาง และต่อมาได้ลักลอบนำมาพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2498 ส่วน “ภาคมัชฌิมวัย” นั้น ได้ลงพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์ ปิยมิตร รายสัปดาห์ เริ่มต้นตอนแรกของ “ภาคมัชฌิมวัย” คือใน ปิยมิตร ปีที่ 1 ฉบับที่ 9 วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2500”
กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์
แลไปข้างหน้า
ข้อน่าศึกษาจากการที่สภาผู้แทนให้ใช้เวลา 12 วันและวุฒิสภาได้ใช้อีก 3 วันอภิปรายคำแถลงนโยบายของรัฐบาล นอกจากที่ได้ชี้แจงไว้แล้วในเรื่องประโยชน์ของการมีฝ่ายค้าน ยังมีเรื่องอื่นอีกจากการอภิปรายของสมาชิก มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะนำมาใคร่ครวญต่อไป ปัญหานั้นได้แก่ความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี เพราะเหตุที่นายกรัฐมนตรีเปนผู้รับภาระ และรับผิดชอบในการประกอบคณะรัฐมนตรีหรือร่วมรับผิดชอบกับกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีประการหนึ่ง อีกทั้งความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรีเปนความรับผิดชอบร่วมกัน เราจึงรู้สึกว่าสมาชิกฝ่ายค้านบางท่าน ออกจะให้ความสนใจมากไป ในการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรัฐมนตรีเปนรายตัว จนถึงเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางคนเพราะเหตุผลบางประการ รวมทั้งเหตุผลที่ว่ารัฐมนตรีบางคนยังหนุ่มเกินไปก็มี
จริงอยู่ นอกจากความรับผิดชอบร่วมกันแล้ว รัฐมนตรีแต่ละคนยังต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาโดยฉะเพาะตัวด้วย แต่ก็เปนที่ถือกันอยู่ว่า การประกอบรัฐบาลในระบบรัฐสภานั้นเปนการประกอบรัฐบาลที่จะไปบริหารประเทศตามนโยบายของพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภา ความรับผิดชอบร่วมกันของคณะรัฐมนตรีซึ่งเปนตัวแทนของพรรค จึงเปนลักษณะสาระสำคัญเหนือความรับผิดชอบของรัฐมนตรีเปนรายตัว เพราะว่าถ้ารัฐมนตรีแต่ละคนไปทำการพลาดพลั้งเสียหายร้ายแรงอย่างใดขึ้น ผลนั้นที่จะตกมาถึงรัฐบาลหรือพรรคการเมืองกลุ่มนั้นอยู่เอง
ถ้าการโจมตีความผิดพลาดหรือความเสื่อมเสียของรัฐมนตรีเปนรายตัว มุ่งหมายจะทำลายความนิยมในรัฐบาลหรือพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลที่เปนอีกปัญหาหนึ่ง แต่ถ้าการโจมตีไปไกลจนถึงขีดเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปลดรัฐมนตรีผู้นั้น และตั้งผู้โน้นเปนรัฐมนตรี หรือ ถึงขีดเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนี้ ย้ายไปว่าการกระทรวงโน้นแล้ว เราเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวนี้อยู่นอกเขตต์ธุระของฝ่ายค้าน ธุระดังกล่าวนี้เปนธุระของนายกรัฐมนตรีหรือธุระของพรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลโดยแท้ และมิใช่ธุระของฝ่ายค้านเลย อันที่จริงถ้าฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปรับปรุงตัวรัฐมนตรี และย้ายรัฐมนตรีจากกระทรวงหนึ่งไปอีกกระทรวงหนึ่ง และถ้านายกรัฐมนตรียอมรับคำเรียกร้องนั้นแล้ว ก็เท่ากับฝ่ายค้านสอดเข้าไปรับความรับผิดชอบในการประกอบคณะรัฐมนตรีด้วย หากมีความเสื่อมเสียเกิดขึ้นในภายหลัง รัฐบาลก็อาจยกเปนข้ออ้างได้ว่า ฝ่ายค้านก็มีส่วนรับผิดชอบในการประกอบคณะรัฐมนตรีเหมือนกัน
การชี้ความผิดพลาดเสื่อมเสียในการปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีเปนรายตัว เปนคนละเรื่องกับการสอดเข้าเกี่ยวข้องกับการปลดและตั้งรัฐมนตรี การเรียกร้องให้ย้ายรัฐมนตรีจากกระทรวงหนึ่งไปยังกระทรวงหนึ่ง เรื่องแรกเปนกิจหน้าที่ของฝ่ายค้านจะพึงกระทำและควรกระทำ แต่เรื่องหลังเปนเรื่องอยู่นอกวงธุระของฝ่ายค้าน เรื่องหลังอยู่ในขอบเขตต์ธุระของรัฐบาลและกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่ดับไฟหนึ่งกองที่ลุกอยู่ข้างที่นอนของรัฐบาล หรือแลไม่เห็นว่ามีกองไฟลุกอยู่ข้างที่นอน ก็เปนธุระของรัฐบาลจะจัดการในเรื่องที่อยู่ในวงความรับผิดชอบของเขา การที่รัฐบาลไม่รับการปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ก็แปลว่า รัฐบาลได้เอาความรับผิดชอบร่วมกันออกวางเปนเดิมพัน และพร้อมที่จะอยู่และไปพร้อมกันทั้งคณะ ซึ่งรัฐบาลมีสิทธิจะเลือกเอาได้
เราคิดว่า เมื่อรัฐบาลได้รับมติไว้ใจจากสภาผู้แทนแล้ว การที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวรัฐมนตรีขึ้นมาพูดกันอีกจะเปนอันไร้ประโยชน์ และก็ดูจะมีผลในการช่วยหาทางออกให้รัฐบาล หากจะมีการพลาดพลั้งเสียหายเกิดขึ้นในภายหน้า ในทางที่ถูกต้องแล้วควรจะปล่อยให้รัฐบาลได้ลงมือทำงานไปตามความคิดเห็น และตามคำรับรองของรัฐบาลต่อสภา ฝ่ายค้านมีกิจหน้าที่จะติดตามสอดส่องดูว่า รัฐบาลได้บริหารประเทศไปสมตามคำรับรองไว้หรือไม่ หรือบริหารได้ผลเสียผลอย่างไร และถ้าในระยะเวลาหนึ่งผ่านไปซึ่งเปนที่คาดหมายว่า รัฐบาลควรจะประกอบกิจอันใดให้ลุล่วงไปได้ตามคำมั่นสัญญาต่อประชาชน หากไม่ปรากฏผลงานเปนชิ้นเปนอันขึ้นมา ก็เปนกิจของฝ่ายค้านที่จะสอดส่องวิพากษ์วิจารณ์แทนประชาชนต่อไป
นอกจากที่จะคอยวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ฝ่ายค้านยังมีหน้าที่สาระสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการศึกษาสถานะการณ์ของประเทศโดยรอบด้าน และพึงมีแผนการอยู่พร้อมสรรพที่จะชี้แจงแก่ประชาชนได้ว่า ถ้าฝ่ายค้านได้รับมอบให้บริหารประเทศเมื่อใด ก็พร้อมที่จะเสนอแผนการเยียวยาอาการไข้ของประเทศด้วยความมั่นใจ ว่าจะแก้ไขให้กลับคืนดีได้เปนลำดับ ในเมื่อรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถจะเยียวยาแก้ไขได้
ตามที่เคยเปนมาแล้วนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งกล่าวตำหนิติเตียนรัฐบาลนั้น ประชาชนก็สนับสนุนด้วยเห็นว่าเปนคำตำหนิติเตียนที่ถูกต้องถูกใจประชาชน ครั้นฝ่ายที่ตำหนิติเตียนได้รับโอกาสเปนรัฐบาลขึ้นมาบ้าง ในไม่ช้าก็มักจะกลายเปนขี้ปากสำหรับที่คนทั้งหลายจะโขกสับต่อไป เพราะเหตุว่าเมื่อได้ตำหนิติเทียนเขาแล้ว ตัวเองก็หามีปัญญาความคิดที่จะแก้ไขความเสื่อมโทรมต่างๆ ที่ตัวได้ตำหนิติเตียนไว้ไม่ เมื่อได้เปนรัฐบาลแล้ว ความเสื่อมโทรมที่เคยเปนมาก็คงเปนอยู่นั่นเอง ถ้าหากจะมิได้บวกความเสื่อมโทรมใหม่ๆ หรือความร้ายกาจใหม่ๆ เข้าไปอีก
เมื่อได้มีตัวอย่างอันจะต้องยอมรับกันว่าเปนตัวอย่างที่ไม่ดีปรากฏเรี่ยราดอยู่ข้างหน้าดังนี้แล้ว เราหวังว่าสมาชิกฝ่ายที่ได้คัดค้านวิพากษ์การกระทำของรัฐบาลไว้หลายอย่างหลายประการ จะได้ระมัดระวังที่จะไม่กระทำซ้ำขึ้นอีก จะได้ก้าวข้ามตัวอย่างอันทรามและไม่ชอบด้วยแบบแผนของระบอบประชาธิปไตยไปเสีย เปนต้นว่า ในการที่จะตั้งนโยบายการปกครองนั้น เมื่อเราได้พากันติเตียนเปนเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลปัจจุบันตั้งนโยบายมาในรูปเลื่อนลอยไม่ได้เนื้อถ้อยกะทงความ แสดงให้เห็นว่าขาดความจงใจจริงจังที่จะกระทำการสำคัญๆ หลายอย่าง เมื่อเปนดังนี้ เราก็หวังว่ากลุ่มการเมืองฝ่ายค้าน ถ้าหากได้มีโอกาสเปนรัฐบาลเมื่อใดก็คงจะไม่ตั้งนโยบายมาในรูปเลื่อนลอย ซึ่งตนเองและวงการต่างๆ ได้ร่วมกันติเตียนไว้แล้ว
ความผิดพลาดบกพร่องในวงการปกครองของเราทุกวันนี้มีอยู่เอนกประการ แต่ถึงเช่นนั้นก็มิได้หมายความว่าประเทศของเราอยู่ในอาการหมดหวัง ถ้าใครๆ ที่แสดงตนว่าใคร่จะออกแรงและปัญญาทำนุบำรุงประเทศ จะมิได้แสดงออกอย่างลมๆ แล้งๆ อย่างไร้ความสำนึกรับผิดรอบ, อย่างที่มุ่งมาตรต่อการตอบแทนทางลาภหรือความรุ่งโรจน์ฉะเพาะตัวมากกว่าที่ตัวจะให้อะไรแก่ประเทศได้ ถ้าเพียงแต่ใครๆ เหล่านั้นจะมีความสุจริตจริงใจต่อการแสดงออกของตนแล้ว ประเทศไทยก็ยังมีหวังและมีอนาคตที่จะให้เยาวชนชะเง้อดูอยู่ต่อไป
[5 สิงหา. 92]
ที่มา : กุหลาบ สายประดิษฐ์. “แลไปข้างหน้า” ใน มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในฐานะนักหนังสือพิมพ์. ม.ป.ท.: คณะกรรมการดำเนินงานจัดสร้างสวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ “ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”, 2548. หน้า 279 - 285.
หมายเหตุ:
- คงอักขรวิธีสะกดตามเอกสารชั้นต้น
- ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ