ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

“คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475

23
มิถุนายน
2568

Focus

  • เนื่องด้วยวาระ 93 การอภิวัฒน์สยาม กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ได้คัดเลือกบางส่วนของเนื้อหาในวันก่อการอภิวัฒน์เกี่ยวกับบทบาทและลักษณะนิสัยของพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) จากหนังสือเบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ที่ผู้เขียนได้บันทึกผ่านบทสัมภาษณ์พระยาพหลฯ

 

 

 

ในวันที่พระประศาสน์ฯ กับคณะนำรถเกราะไปคุมกรมพระนครสวรรค์ ที่วังบางขุนพรหมในตอนเช้าตรู่ วันที่ ๒๔ มิถุนายน และนำมากักพระองค์ไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมนั้น เมื่อได้ทรงเผชิญหน้ากับนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ณ พระที่นั่งอนันต์ พระองค์ได้รับสั่งแก่พระยาพหลฯ ด้วยความประหลาดพระทัย และขมขื่นพระทัยว่า “ตาพจน์ก็เอากับเขาเหมือนกันรึนี่?” (พระยาพหลมีชื่อเดิมว่า พจน์) ท่านหัวหน้าคณะราษฎรก็ถวายคำนับด้วยกิริยาอันสุขภาพ นอบน้อม เป็นปรกติดุจเช่น นายพันเอก จะพึงกระทำความเคารพต่อท่านจอมพล

 


สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

 

การที่มีนามของท่านนายพันเอก จเรทหารปืนใหญ่ร่วมอยู่ในคณะที่คิดการปฏิวัติ และทั้งได้รับความยกย่องให้เป็นหัวหน้าคณะด้วยนั้น ในวงการนายทหารผู้ใหญ่ และในบรรดาเจ้านายที่รู้จักคุ้นเคยพระยาพหลฯ ต่างก็มีความประหลาดใจกันทั่วไป ไม่แต่กรมพระนครสวรรค์เท่านั้น การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในเวลาปกติแล้ว ท่านนายพันเอกผู้นี้ เป็นผู้มีกิริยาวาจาสงบเสงียมสุภาพอ่อนน้อม ต่อผู้บังคับบัญชา และนายทหารผู้ใหญ่ทั่วไป เป็นผู้ที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายว่า มีความเคารพและภักดีต่อเจ้านาย เป็นคนซื่อตรง และประกอบด้วยเมตตากรุณาธรรม คนโดยมากจึงมิได้คาดคิดเลยว่า บุคคลที่ประกอบด้วยลักษณะนิสสัยเช่นนี้ จะเป็นผู้คิดการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจากพระมหากษัตริย์ของตน

ผู้ที่รู้จักลักษณะนิสสัย ของพระยาพหลฯ ตามนัยที่กล่าวแล้วนี้ ก็มิใช่ว่าได้รู้จักลักษณะนิสสัยของพระยาพหลฯ ผิดไป ความจริงนับว่าได้รู้จักท่านถูกต้องแล้ว เป็นแต่ยังไม่รู้จักลักษณะนิสสัยที่สำคัญ ๆ ของท่านโดยครบถ้วน ส่วนที่คนโดยมากยังไม่รู้จักนี้แหละเป็นส่วนที่บรรดาให้พระยาพหลฯ คิดการปฏิวัติและได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำคณะทีเดียว

 


สี่ทหารเสือคณะราษฎร: (จากซ้าย) พระยาทรงสุรเดช, พระประศาสน์พิทยายุทธ, พระยาพหลพลพยุหเสนา และพระยาฤทธิอัคเนย์

 

พระยาพหลฯ เป็นผู้ที่บูชาความยุติธรรมเป็นชีวิตจิตต์ใจ เป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกผิดชอบของตนเอง เป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ และในประการสุดท้าย เป็นคนที่เมื่อได้ตกลงปลงใจว่าจะต่อต้านการกระทำผิดใด ๆ ของบุคคลใดแล้ว ก็ย่อมจะต่อต้านอย่างสุดกำลังถึงจะเป็นอันขาด นี่เป็นลักษณะนิสสัย อันแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวเอาจริงของพระยาพหลฯ ในเมื่อต้องเผชิญความคับขันฉุกเฉิน และนี้เองเป็นลักษณะนิสสัยสำคัญที่ทำให้พระยาพหลฯ ได้รับความยกย่องให้เป็นผู้นำของคณะ

ท่านหัวหน้าคณะราษฎร เป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยม ไม่ตีราคาความฉลาดปราชญ์เปรื่องของตนเอง และพอใจสรรเสริญความฉลาดปรีชาสามารถของหลวงพิบูลสงคราม ในการดำเนินการบ้านเมือง และในการรักษาความเป็นปึกแผ่นของหมู่คณะไว้ได้สรรเสริญ ความปราชญ์เปรื่องของพระยาทรงสุรเดชฯ ในวิชายุทธวิธี ได้สรรเสริญปรีชาสามารถของหลวงประดิษฐมนูธรรมในการดำเนินงานฝ่ายการเมือง ในส่วนตัวท่านเองนั้น พระยาพหลฯ มักจะตอบแก่คนอื่น ๆ ว่าท่านเป็นคนมีปัญญาพอประมาณ เมื่อถูกซักว่า เมื่อมีปัญญาแต่พอประมาณไฉนจึงสอบไล่ได้ที่หนึ่ง จนถึงได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนให้ไปศึกษาวิชาในต่างประเทศเล่า คนที่มีปัญญาพอประมาณหรือปานกลาง จะเอาชนะคนอื่น ๆ ในการเล่าเรียน จนถึงไล่ได้ที่หนึ่งนั้นดูเป็นการฝืนความจริงอยู่ ท่านหัวหน้าคณะราษฎรหัวเราะ แล้วตอบข้อซักถามอันนี้ว่า ท่านจำเป็นจะต้องยอมรับว่าความสำเร็จ ในการศึกษาเล่าเรียนนั้น เป็นผลแห่งความบากบั่นของท่าน ในระหว่างที่เล้าเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยนั้น โดยที่ไม่ทนงว่าเป็นผู้มีหัญญาชั้นเลิศ ท่านจึงบากบั่นในการศึกษาเล่าเรียน โดยมิคิดถึงความเหนื่อยยาก ในขณะที่เพื่อนนักเรียนกำลังหลับสนิทและหลับอย่างสบายในตอนใกล้รุ่งนั้น ตัวท่านเองจะฝืนใจตื่นขึ้นมาแต่เวลา 4.00 น. และดูหนังสือไปจนถึงเวลาที่จะต้องทำกิจอย่างอื่นตามกำหนดการของโรงเรียน… ลุกขึ้นมาดูหนังสือแต่เวลาตีสี่เช่นนี้เป็นกิจวัตร์ของท่านที่ได้ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ ในระหว่างที่เรียนอยู่ในชั้นสูง ความสำเร็จของท่าน จึงกล่าวได้ว่าอยู่ที่ความมานะบากบั่นนี่เอง

เมื่อท่านออกไปศึกษาวิชาทหารต่อที่โรงเรียนนายร้อยเยอรมันนั้น ก็มีเหตุการณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะนิสสัยอันแข็งแกร่งของท่านอยู่ข้อหนึ่งในที่จะต้องสู้เอาชนะความดูหมิ่นของผู้อื่น ครั้งหนึ่งเมื่อกำลังศึกษาวิชาประวัติศาสตร์อยู่ในห้องเรียนนั้น ท่านผู้บังคับการได้ไปตรวจดูการเรียนของนักเรียนในห้องต่าง ๆ เมื่อเข้าไปในห้องเรียนของท่านนั้น เป็นเวลาที่ท่านอาจารย์ได้ตั้งคำถามในวิชาประวัติศาสตร์ให้ท่านตอบ 2–3 ข้อ และท่านตอบไม่ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว ท่านผู้บังคับการประสพเหตุการณ์เช่นนั้นก็พิจารณา จึงได้เรียนท่านออกมาติเตียนต่อหน้านักเรียนทั้งหลายด้วย คำแรง และโดยที่ท่านเป็นนักเรียนต่างประเทศคำติเตียน ซึ่งมีความพาดพิงไปถึงประเทศบ้านเกิดเมืองมารดรของท่านด้วย จึงทำให้ท่านมีความละอาย และขมขื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นท่านนักเรียนต่างประเทศผู้เป็นคนไทยคนนั้น ก็ได้ไปหาซื้อสมุดหัวข้อวิชาคนไทยคนนั้น ก็ได้ไปหาซื้อสมุดหัวข้อวิชาประวัติศาสตร์ มาท่องด้วยความบากบั่นอย่างทรหด และเมื่อมีการเลคเชอร์วิชาการประวัติศาสตร์ ได้ฟังด้วยความเอาใจใส่อย่างที่สุด ได้พากเพียรใส่ใจศึกษาวิชาประวัติศาสตร์โดยวิธีเช่นนั้นมาจวนถึงวันสอบไล่ชั้นสุดท้าย ซึ่งจะออกเป็นนายทหาร บังเอิญ ในวันที่นักเรียนนายร้อยไทยจะไปสอบวิชาประวัติศาสตร์ นั้นได้มีโอกาศพบกับท่านผู้บังคับการเข้า ท่านผู้บังคับการปราศัยว่า

“วันนี้เจ้าจะไปสอบวิชาอะไร?”

นักเรียนนายร้อยไทยตอบว่า

“กระผมจะไปสอบวิชาประวัติศาสตร์”

ท่านผู้บังคับการซึ่งยังจำเหตุการณ์ในห้องเรียนวันนั้นได้ดี ก็โคลงศีรษะช้า ๆ แสดงความสมเพทเวทนา นักเรียนนายร้อยไทยเห็นอาการของผู้บังคับการเช่นนั้น ก็เดาใจท่านได้ จึงได้เรียนผู้บังคับการว่า

“กระผมได้ใส่ใจฝึกฝนวิชานี้มา พอเป็นที่วางใจได้ ขอท่านผู้บังคับการอย่าได้ วิตกในตัวกระผมเลย”

ท่านผู้บังคับการมองจ้องหน้านักเรียนนายร้อยไทยคนนั้น ด้วยพิศวง และด้วยประกายนัยตาแสดงความกรุณา และได้พูดในที่สุดว่า

“ดีแล้ว ฉันจะไปดูการสอบของเจ้า”

ในการสอบนั้น ผู้สอบจะต้องเข้าไปสอบครั้งละสี่คน นักเรียนไทยคนนั้น จึงเข้าสอบร่วมก่อนักเรียนเยอรมัน 3 คน การตอบข้อสอบนั้น เมื่อผู้ถูกถามคนแรกตอบไม่ได้ นักเรียนคนต่อมา ก็จะต้องตอบแทน และถ้าติดอีก คนต่อมาก็ต้องตอบแทนเป็นลำดับไปในการสอบไล่ครั้งนั้น นักเรียนไทยไม่แต่จะตอบข้อถามวิชาประวัติศาสตร์ ในส่วนที่ตนถูกถามได้ทุกข้อเท่านั้น ยังสามารถตอบข้อถามแทนนักเรียนนายร้อยเยอรมันทั้ง 3 นั้นได้ทุกข้อด้วย

เสร็จการสอบและในขณะเดินผ่านท่านผู้บังคับการได้เรียกนักเรียนนายร้อยไทยเข้าไปหาพลางเอามือตบหลังแล้วพูดว่า

“ลูกเอ๋ยคำติเตียนของฉัน ก็ได้ทำประโยชน์ให้แก่เจ้ามิใช่หรือ? วันนี้เจ้าได้ทำให้ฉันมีความพากภูมิในตัวเจ้าเป็นอันมาก”

นักเรียนนายร้อยไทยผู้นั้นกล่าวคำขอบคุณท่านผู้บังคับการด้วยน้ำตาคลอตา

หมายเหตุ:

  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

อ้างอิง :

  • กุหลาบ สายประดิษฐ์, ผู้นำคณะปฏิวัติ, เรื่องเบื้องหลังการปฏิวัติ 2475, (ม.ป.ท. :จำลองสาร, 2490), หน้า 177-186.

 

ประชาสัมพันธ์กิจกรรม

PRIDI Talks #31: เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทาย

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา: 13.30 - 17.00 น.

ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

 

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถลงทะเบียนได้ที่นี่ : https://pridi.or.th/th/register/pridi-talks-31