อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์
สิ่งหนึ่งที่มีนักวิชาการจํานวนมากพูดถึงก็คือ บางทีความกลัวและความเกลียดชัง บางครั้งถูกเร่งด้วยสภาพเศรษฐกิจที่แย่ ยิ่งเศรษฐกิจแย่ ยิ่งทําให้เรามองเห็นประชาชน หรือคนที่ไม่เหมือนเราเป็นศัตรูมากขึ้น และสร้างความเกลียดชังมากขึ้น ซึ่งเราเห็นในหลายๆ ประเทศที่มีปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย หรืออะไรต่างๆ นานา เราจึงอยากจะฟังต่อเนื่องว่า ในเมื่อความเกลียดชังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น และบางครั้งถูกกระตุ้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี อาจารย์วีระยุทธลองนําเสนอโมเดลบางอย่างที่อาจจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น และอาจจะทําให้ความเกลียดชัง เนื่องจากความตึงเครียดในเรื่องเศรษฐกิจน้อยลง เชิญค่ะอาจารย์
ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
ขอบคุณอาจารย์ปองขวัญ ขอบคุณสถาบันปรีดี พนมยงค์ ด้วยนะครับ เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ แล้วก็ในเนื่องในโอกาสวันสันติภาพไทยนะครับ ผมพยายามจะตอบโจทย์ที่อาจารย์อนุสรณ์ ธรรมใจ ตั้งเอาไว้นะครับ ว่าถึงเวลาหรือยังที่เราจะทบทวนอดีต ใช้อดีตมาเพื่อจะเลือกอนาคตนะครับ อย่างน้อยเรารู้สึกว่าในความเป็น Sapiens เนี่ย ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือกําหนดชะตากรรมของตัวเองได้ แต่น่าจะเริ่มต้นจากการทบทวนอดีตของเราเองก่อนนะครับ ถอดบทเรียนจากตัวเราเอง แล้วก็อาจจะเชื่อมโยงกับเรื่องทุนนิยมโลกและทุนนิยมไทย เพราะว่ามันมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันนะครับ ผมคิดว่าปัญหาหลายๆ ด้านที่สังคมไทยกําลังเผชิญนะครับ ทั้งภาษีทรัมป์ หนี้ครัวเรือน สินค้า นําเข้ามาตีตลาด เศรษฐกิจโตต่ำ ไม่มีงานทํา
ย้ำว่าไม่ได้ทุกปัญหานะครับ แต่ว่าหลายๆ ปัญหามันเกี่ยวกับโมเดลการพัฒนาของเราเอง และอันนี้ก็จะมีผลต่อการสร้างความเหลื่อมล้ำและความรู้สึกของคนในสังคม ผมเชื่อว่าเวลาที่เศรษฐกิจดีและเติบโต ความเกลียดชังมันจะน้อยลง เพราะว่าถ้าเศรษฐกิจดีและทุกคนมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ เราจะสนใจในมิติอื่นๆ แล้วก็สนใจความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมด้วย ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเรื่องโมเดลการพัฒนานั้นมีความสําคัญ หรือถ้าใครที่เป็นคนรุ่นใหม่แล้วดูซีรีส์เกาหลี ก็จะเห็นว่าซีรีส์เกาหลีเมื่อ 10 ปีก่อนก็คือเรื่องหนังรักล้วนๆ แต่ 10 ปีหลัง เราจะเห็นความเหลื่อมล้ำและปัญหา ซึ่งผมอยากจะบอกว่ามันก็มาจากโมเดลการพัฒนาของเกาหลีเช่นเดียวกันที่เน้นแชโบล (Chaebol) เต็มกําลัง การหนุนแชโบลเต็มกําลังโดยทิ้ง SME ไว้เบื้องหลัง และยังมีเรื่องความหลากหลายทางเพศตลอดเส้นทางการพัฒนา ทําให้เป็นปัญหาตกค้างมา แม้เศรษฐกิจจะเติบโตกลายเป็นประเทศรายได้สูงก็ตาม แต่มันก็จะมีสิ่งที่ตกค้างเป็น By-product หรือว่าเป็นผลข้างเคียงที่มากับโมเดลการพัฒนาที่คุณเลือกจะต่างจากไต้หวัน ไต้หวันตอนพัฒนาเศรษฐกิจ ถ้าคุณดูแค่ GDP นะครับ มันจะเติบโตคู่คี่มาพร้อมกับเกาหลีเลย แต่ว่าเนื้อในมันต่างกัน เพราะไต้หวันตั้งใจหนุน SME ตั้งแต่แรก แต่มีปัจจัยทางการเมืองนะครับ เพราะว่าไต้หวันเป็นพรรคก๊กมินตั๋งที่อพยพแล้วก็ย้ายมาที่เกาะฟอร์โมซา แล้วก็ไม่อยากให้กลุ่มทุนเดิมเติบโต ก็เลยเน้นที่จะสร้างกลุ่มทุนใหม่ที่เป็นฐานทางเศรษฐกิจของตัวพรรคก๊กมินตั๋งเองด้วยนะครับ ดังนั้น ประเด็นของผมก็คือเศรษฐกิจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องว่าเราสร้างตัวเลขนั้นด้วยอะไร แล้วมันจะมีผลข้างเคียงทางสังคมและวัฒนธรรมตามมาด้วย
ถ้าถามว่าของไทยเราเนี่ยพัฒนาด้วยอะไร ผมคิดว่าเราสามารถสรุปได้ว่าเราเติบโตในการเปลี่ยนจากทดแทนการนําเข้ามาเป็นผลิตเพื่อการส่งออกนะครับ ก่อนหน้านี้เราเคยผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าคืออะไร หมายความว่าเราอยากสร้างผู้ประกอบการในประเทศ และเรายังสู้ต่างประเทศไม่ได้ ก็จะมีการตั้งกําแพงภาษีไว้เป็น Protectionist (นโยบายเศรษฐกิจที่จำกัดการนำเข้าจากต่างประเทศ) นะครับ เพื่ออย่างน้อย เช่นรถยนต์จากต่างประเทศเข้ามา คุณเจอภาษี 200-300% ยังไงคุณก็สู้กับรถที่ผลิตในประเทศไม่ได้ อาจจะไม่ดี แต่อย่างน้อยราคามันสู้ได้ แล้วเราก็เติบโตมาด้วยยุคนั้น เครื่องนุ่ง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เคมีภัณฑ์ อะไรพวกนี้ เราก็โตมาจากยุคทดแทนการนําเข้า
จุดเปลี่ยนสําคัญมาอยู่ที่ตอนยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นะครับ ที่เราเรียกกันว่า “ยุคโชติช่วงชัชวาลย์” เนี่ย มันมีการลดค่าเงินครั้งหนึ่ง แล้วก็เกิดจากแรงพยายามผลักดันของกลุ่มผู้ประกอบการไทยที่รู้สึกว่าตลาดภายในมันเริ่มติดตันนะครับ เราก็เลยมีการลดค่าเงินบาท ทําให้สินค้าของเราที่เคยแข่งได้อยู่แล้ว พอลดค่าเงินปุ๊บ ก็ถูกลงอีกในสายตาชาวโลก ดังนั้นตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา เราเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า เป็น Export-led growth หรือว่าการส่งออกนํา เรียกว่า GDP ของเราเริ่มมาจากการส่งออกเป็นหลัก แต่มันชัดเจนขึ้นตอนหลังต้มยำกุ้ง เพราะว่าต้มยํากุ้งเนี่ยค่าเงินมันก้าวกระโดดเลยนะครับ จาก 25 บาท กลายเป็น 50 บาทนะครับ แปลว่าในสายตาของชาวโลก สินค้าของเราถูกลงอีก แปลว่า GDP ของเราในสภาวะที่ต้มยํากุ้ง แล้ววิกฤตด้านอื่น เจอปัญหา กลับกลายเป็นว่าส่งออกเป็นตัวนําแล้วเราก็เคยชินกับสภาวะตรงนั้น 70% ของ GDP ของเราก็มาจากการส่งออกนะครับ ทําให้เศรษฐกิจของเราเข้าไปเชื่อมโยงกับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังต้มยํากุ้ง แล้วก็กลายเป็นความเปราะบางเช่นเดียวกัน
จะเห็นว่าประเทศที่เรียกว่าตื่นตัว แล้วก็มีความกังวลเรื่องวิกฤตภาษีทรัมป์มากๆ เวียดนามกับไทย เวียดนามก็พึ่งพาเศรษฐกิจโลกสูงมากนะครับ ไทยเราก็พึ่งพาเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งขาเข้าขาออก ขาเข้าของเราเป็นสินค้าจากจีนประมาณ 26% ขาออกเราส่งออกไปอเมริกาประมาณ 20% ดังนั้น เศรษฐกิจเราก็เลยเหมือนแขวนอยู่ท่ามกลางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ตรงนี้มันทําให้เราเคยชินกับการเติบโตที่มีการส่งออกนํา แต่มันก็ทําให้เราเปราะบางมากขึ้นตามไปด้วยนะครับ เดี๋ยวอาจจะโชว์สไลด์รูปหนึ่งที่ผมเตรียมมานะครับ เดี๋ยวจะโชว์ไม่นานนะครับ
ผมอยากจะชวนทุกท่านคิดว่าเศรษฐกิจอย่างเกาหลีพึ่งการส่งออกเท่าไทยไหม จีนพึ่งการส่งออกเท่าไทยไหม คนอาจจะรู้สึกว่าเขาส่งออกมาก เขาเป็นประเทศที่มีบริษัทใหญ่ชั้นนํา แต่ต้องบอกว่าเขาพึ่งพาการส่งออกไม่เท่าเรานะครับ จีนพึ่งพาการส่งออกประมาณ 20% ของ GDP เท่านั้นเอง แต่ของไทย 60-70% ของประเทศไทยสีแดงนะครับ หลังต้มยํากุ้งเรากระโดดขึ้นมาพึ่งการส่งออกประมาณ 60-70% ญี่ปุ่น จีนพึ่งพาการส่งออกแค่ 20% ของ GDP เท่านั้นเองนะครับ เราอาจจะไปคิดว่าเขาเป็นประเทศที่ส่งออกมาก แต่กลายเป็นว่าเขาพึ่งพาเศรษฐกิจภายในสูงกว่าเรามากมาก แม้แต่เกาหลี GDP ของเขาก็ไม่ได้ขึ้นกับการส่งออกเท่ากับเรา จะเห็นว่าสีแดงของเรานําเกาหลีสีเขียวมาตลอดเลย นี่จะเป็นความรู้สึกที่เราอาจจะเรียกว่า “Culture intuitive” (การรับรู้หรือความเข้าใจเชิงวัฒนธรรม) คือเราไปคิดเองว่าประเทศอื่นๆ ก็น่าจะเป็นประเทศที่พึ่งการส่งออกเหมือนเรา และพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเท่ากับเรา แต่ไม่ใช่
นี่เป็นจุดหนึ่งที่ถ้าเราจะต้องทบทวนอดีตในเชิงของโมเดลการพัฒนา ซึ่งเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายในและความรู้สึกของคนภายในประเทศด้วย ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่มันต้องทบทวนว่า ถ้าเราพึ่งพาการส่งออกขนาดนี้ เศรษฐกิจของเรา ชีวิตของคนส่วนใหญ่ไปแขวนอยู่กับต่างประเทศมากขนาดนี้ เราพูดถึงสัดส่วน ย้ำอีกครั้งนะครับ เราไม่ได้พูดถึงการปิดประเทศ เราพูดถึงสัดส่วน เรื่องสัดส่วนเป็นเรื่องที่คุยยากมากในสังคมไทย คล้ายๆ ว่าเรื่องไหนควรจะมีโทษเท่าไหร่ อันนี้เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่เรื่องศูนย์กับหนึ่งนะครับ แต่เป็นเรื่องสัดส่วน พอคุณพึ่งพาเศรษฐกิจภายในน้อย อย่างจีนตอนเขาเจอสงครามการค้าครั้งแรกกับทรัมป์ แล้วจีนตอนนั้น สมัย 2017 เขาพึ่งพาสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกมาก เขาตั้งโจทย์ยุทธศาสตร์ชัดเจนเลยว่าเขาต้องกระจายฐานการส่งออกใหม่ แล้วก็ทําได้ แปลว่ากระจายการส่งออกไปประเทศต่างๆ มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันเศรษฐกิจภายในก็เติบโต ผมคิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่เราไม่รู้ตัว แต่ว่ามันมีผลในการกําหนดว่า คุณเรียนจบแล้วคุณจะหางานที่ไหนทํา กลายเป็นว่าคุณมีทางเลือกงานดีๆ คุณก็ต้องไปบริษัทข้ามชาติเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่เวียดนามกําลังเผชิญตอนนี้
เวียดนามตอนนี้ถ้าไปดูเนื้อในจริงๆ คนอาจจะเห็นแต่ตัวเลขที่เติบโตขึ้น แต่มันมีความเปราะบางอยู่ภายใน ก็คืองานดีๆ ในประเทศแทบจะไม่มี บริษัทภายในของเขาเองไม่ค่อยเติบโต เป็นธุรกิจที่เรียกว่าผูกขาดนะครับ หรือว่าทําสาธารณูปโภค เช่นพวกน้ำ ไฟ รัฐวิสาหกิจต่างๆ หรือถ้าคุณอยากได้งานดีๆ ในเวียดนาม คุณต้องเดินเข้าหาบริษัทข้ามชาติเท่านั้น ซัมซุงอย่างเดียวก็แสนกว่าตําแหน่งงานแล้วในประเทศเวียดนามนะครับ ของไทยเราผมคิดว่าก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยทบทวนกันจริงจัง ดังนั้น ผมคิดว่าผมอยากชวนคิด ข้อแรก ถ้ามันจะเจอสภาวะที่เราเจอวิกฤตรอบได้ขนาดนี้ แล้วมีผลต่อความเหลื่อมล้ำภายใน มีผลต่อวิถีชีวิตของเรา เราต้องกลับมาคิดเรื่องโมเดลการพัฒนา
ผมอยากจะเติมต่อสักนิดหนึ่งว่า มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องปิดประเทศ หรือว่าหันมาพึ่งตัวเองอย่างเต็มร้อยนะครับ ย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นเรื่องของสัดส่วน เพราะอย่าลืมว่าถ้าเราหันมามองภายในประเทศ มันก็มีการผูกขาด มีทุนผูกขาด มีเสือนอนกินเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จะต้องมีเศรษฐกิจภายในที่ใหญ่ขึ้น ก็ต้องเติมเรื่องการแข่งขันเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน ในนโยบายผมอาจจะไม่ลงลึกมากนะครับ แต่ว่ามันก็มีวิถีทาง เช่น อย่างน้อย เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา สภาเพิ่งผ่านงบประมาณไป ประเทศของเรามีงบประมาณปีละ 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่น้อยนะครับ แต่ยกตัวอย่างเรื่องการแพทย์ ทุกท่านที่ใช้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราดี แต่เรานําเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมาก ปีละหลายหมื่นล้าน ถ้าเป็นประเทศอื่น เขาอยากจะพลิกการพัฒนาตรงนี้ เขาจะเอาเรื่องอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มาสร้าง จะไม่ใช่ตั้งโจทย์แค่ว่าเป็น Wellness center (ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ) ซึ่งจะจบแค่ว่าคุณเป็นผู้ให้บริการ และคุณก็อยู่ในส่วนของภาคบริการ และต่างชาติจะเข้ามา แต่ว่าเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างนําเข้าหมดเลย ถ้าเป็นประเทศอย่างเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ก็จะคิดถึงว่า จะทํายังไงที่จะลดการนําเข้าตรงนี้ แล้วก็เพิ่มความสามารถในการผลิตเครื่องมือแพทย์ของตัวเองเข้ามา อันนี้จะเป็นการขยายเศรษฐกิจภายใน ลดการพึ่งพาภายนอก แต่ว่าตอบโจทย์เรื่อง Aging society (สังคมสูงวัย) เรื่องอื่นๆ ไปด้วยพร้อมๆ กัน
ขอยกตัวอย่างให้ฟังครับว่า ถ้าโจทย์คือจะทํายังไงให้การพึ่งพาของตัวเราเองสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการแข่งขันอยู่ภายใน ไม่ใช่ว่าเป็นเสือนอนกิน อุ้มกันไปมาภายในเท่านั้น แล้วก็อย่าลืมว่าตลาดส่งออกนั้นยังมีความสําคัญอยู่ เพราะตลาดส่งออกจะเป็นแหล่งที่มาของนวัตกรรม โซเชียลมีเดีย หรือระบบต่างๆ ที่เรามี ที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ก็เกิดขึ้นได้ด้วยการแข่งขันในระดับโลก ดังนั้น โจทย์ที่ผมชวนคิดนะครับ ถ้าต้องทบทวนอดีตเพื่อไปสู่อนาคต ผมอยากชวนคิดเรื่องใหญ่ เรื่องของโมเดลการพัฒนา เราเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมากกว่าจีน มากกว่าเกาหลี มากกว่าญี่ปุ่น ผมคิดว่ามันสะท้อนความไม่สมดุลภายในของเราสูง แล้วทําให้เราเปราะบางในเศรษฐกิจโลกมากเกินไป ก็ต้องมาออกแบบกันต่อว่า แล้วจะทํายังไงให้เศรษฐกิจภายในสมดุล แต่ก็ยังมีการแข่งขันอยู่ด้วยในนั้น ผมอาจจะทิ้งรอบแรกไว้เท่านี้ครับ
อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์
ขอบคุณมากค่ะ เศรษฐกิจก็มีความเกี่ยวข้องกับการที่เราจะเข้าใจสังคมอย่างไรเหมือนกันนะคะ อย่างที่อาจารย์บอกว่า ความเหลื่อมล้ำมันก็มาพร้อมกับโมเดลการพัฒนา แล้วในกรณีประเทศไทย โมเดลการพัฒนาที่พึ่งพิงการส่งออกและบริษัทข้ามชาติขนาดนี้ ก็อาจจะนํามาสู่การที่พื้นฐาน ฐานรากของเราอาจจะไม่ได้แข็งแรงเท่าประเทศที่อาจจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการพึ่งพิงการเติบโตของบริษัทภายในประเทศตัวเองนะคะ
ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
ผมอาจจะลองชวนคิดเรื่องจะทําอย่างไรให้ทั้งอาเซียนและระเบียบโลกนั้นเอื้อต่อการสร้างสันติภาพ ซึ่งผมคิดว่ามีข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่สัก 2 ข้อ คือ หนึ่ง โลกาภิวัฒน์ควรจะกลับไปหาโลกาภิวัฒน์แบบเก่า แต่ชาตินิยมควรจะมองหาชาตินิยมแบบใหม่ โลกาภิวัฒน์แบบเก่า จริงๆ โลกาภิวัฒน์มีหลายขั้นตอนของมัน ถ้ามองกลับไปตั้งแต่ยุคที่อาจารย์ปรีดีประกาศสันติภาพนะครับ ผมคิดว่ายุคนั้น ตั้งแต่มี Bretton Woods (ระบบการจัดการการเงินเบรตตันวูดส์) แล้วก็มี GATT (General Agreement on Tariffs and Trade : ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า) นั้นเป็นโลกาภิวัฒน์ที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ช่วงสักประมาณ 1945 จนถึงทศวรรษ 1970 ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่าเสรีนิยมใหม่ ยุคประมาณ 1945 หลังสงครามโลกที่ 2 จนถึง 1970 เป็นโลกาภิวัฒน์ที่มีความยืดหยุ่นอยู่ในตัว GATT เป็นกรอบการตกลงการค้ากว้างๆ แต่ละประเทศยังมีโอกาสที่จะใช้เครื่องไม้เครื่องมือของตัวเอง พอเป็น WTO โดยเฉพาะหลัง 1980-2000 เป็นต้นมา WTO (World Trade Organization : องค์กรการค้าโลก) ลงมาบังคับหลายอย่าง ให้ประเทศต้องถูกบีบให้เปิดเสรีด้วยซ้ำ แต่ว่าจริงๆ แล้วเราเคยมีโลกาภิวัฒน์ที่มันยืดหยุ่นกว่านั้น ที่แต่ละประเทศสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ แอฟริกาก็โตได้ดีในยุคนั้น ลาตินอเมริกาก็โต คือถ้าเทียบอัตราเฉลี่ยของแต่ละประเทศทั่วโลก ยุคนั้นโตดีกว่ายุคหลัง 1990 เป็นต้นมาทั้งนั้น ดังนั้น มันไม่ถึงกับว่าจะต้องเป็นขาวกับดํา คือโลกาภิวัฒน์มีปัญหาและจะต้องทิ้งไปเลย จริงๆ มันก็มีรูปแบบที่เหมาะสมให้เลือกอยู่ และผมคิดว่าอาเซียนก็สามารถคิดในกรอบนั้นได้เช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง ชาตินิยมจะเป็นโจทย์ว่าเราจะหาอุดมการณ์อื่นมาแทนที่ หรือคุณจะนิยามใหม่ให้คุณค่าเก่าสอดคล้องกับโลกและคุณค่าของมนุษย์ยุคใหม่ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอที่ในโลกสากลเริ่มโยนกันมาว่าเราควรจะมี Liberal nationalism (ชาตินิยมเสรีนิยม) ได้หรือเปล่า คําที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน จริงๆ แล้วมันสามารถสร้างมิติใหม่ได้ไหม เพราะว่าอย่าง Yuval Noah Harari ผู้เขียนเรื่อง “Sapiens” เสนอว่าถ้ายุคนี้ ถ้าคุณจะเป็น Nationalist (ชาตินิยม) ที่ดี คุณต้องเป็น Globalist (แนวคิดที่สนับสนุนโลกาภิวัตน์) ไปด้วยในตัว แปลว่าคุณชื่นชมในชาติของคุณเท่าๆ กับที่คุณชื่นชมในชาติอื่นได้หรือเปล่า เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว ชาติก็คือการเป็นชุมชนจินตกรรม (Imagined community) ร่วมกัน แปลว่าสุดท้ายมันก็ขึ้นกับว่าคุณมีอะไรร่วมกับคนอื่นในชาติคุณ มันเป็นเรื่องของพื้นที่ หรือมันจะเป็นเรื่องของคุณค่าประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกันมา รวมถึงการยอมรับภายในนะครับ
ผมคิดว่าประเทศไทยมีวิวัฒนาการหลายอย่างที่ดีนะครับ อย่างเรื่องความหลากหลายทางเพศ ผมคิดว่าในถ้าเทียบในอาเซียน ในเอเชีย เรามีวิวัฒนาการที่ดีกว่าชาติอื่น ดีกว่าเกาหลี ดีกว่าญี่ปุ่นแน่นอน ดังนั้น ในความเป็นคุณค่าของไทยก็สามารถเติมความหลากหลายเข้าไปได้หรือเปล่านะครับ ดังนั้น ผมอาจจะลองโยนไว้ รวมถึงอาเซียน ถ้าเรากลับไปที่กรอบอาเซียนนะครับ ก่อนหน้านี้คุยกันเรื่องการค้า ตกลงกันได้สักที ถ้ามาเปลี่ยนมาเป็นในเชิงวัฒนธรรมมากขึ้น ทําตําราเรียนในอาเซียนที่มันเป็นตําราเรียนที่มันเปิดมากกว่านี้ให้แต่ละชาติเห็นคุณค่าระหว่างกันมากกว่านี้ เป็นไปได้หรือเปล่า คือเพิ่มมิติวัฒนธรรมเข้าไปในอาเซียนได้ไหม อาจจะเป็นเรื่องที่คุยกันได้เร็วกว่าฝั่งการค้าหรือเปล่า เพราะการค้านี้แข่งกันเองสูง แต่คุณค่าเนี่ย ถ้าอย่างน้อยผู้นําเห็นร่วมกัน เห็นภัยคุกคามร่วมกัน ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ ผมจึงคิดว่าในเชิงระเบียบโลก รวมถึงบทบาทของอาเซียน ถ้าเรามองกลับไปหาโลกาภิวัฒน์แบบเก่า แต่ช่วยกันนิยามชาตินิยมแบบใหม่ ก็อาจจะเป็นทางออกในการสร้างสันติภาพยุคนี้ได้ครับ
หมายเหตุ :
- ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=CLtw0OJ-aHw
ที่มา :
- PRIDI Talks #32 อนาคตไทย-อาเซียน : ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 - 12.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์