วันงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ที่มา : Thailand Records
๓. กรณีสวรรคต
กรณีสวรรคตนับเป็นโรคแทรกซ้อนทางการเมืองของประเทศไทยที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง ก่อให้เกิดความแตกแยกภายในประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะมีการปลุกระดมความรู้สึกของผู้คนโดยทั่วไป มีการสาดโคลนให้เลอะเปรอะเปื้อนตาม ๆ กัน สองวันภายหลังที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตตอนเช้าวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เอกอัครราชทูตอังกฤษโทรเลขรายการกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงลอนดอนว่า นายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงในข่าวลือที่ฝ่ายค้านพยายามช่วยกันกระพือว่า ความจริง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหาได้เสด็จสวรรคตโดยอุบัติเหตุตามคำแถลงการณ์ของทางราชการไม่หากอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยคนของนายกรัฐมนตรี
รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ ท่านเอกอัครราชทูตมีโทรเลขอีกฉบับหนึ่งถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ ๑๑ พระองค์เจ้าไทยพระองค์หนึ่งซึ่งทูต ไม่ระบุพระนาม เสด็จไปพบที่สถานเอกอัครราชทูตภายหลังอาหารค่ำอย่างกระวีกระวาด อาศัยรถยนต์ทหารอังกฤษมีนายทหารอังกฤษเป็นผู้ขับ และได้ทรงสนทนากับทูต เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงเต็ม เจ้านายพระองค์นั้นทรงเริ่มรับสั่งต่อทูตว่า ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจะถูกลอบปลงพระชนม์ได้ทรง ทอดพระเนตรพระศพด้วยพระองค์เอง ลูกกระสุนปืนแล่นผ่านเข้าทางด้านหลังของ พระเศียรออกด้านหน้า พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์จำ ต้องยินยอมให้ ลงพระนามในคำแถลงการณ์ว่า เสด็จสวรรคตโดยอุบัติเหตุ เจ้านายพระองค์นั้นทรง เกรงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่อาจจะไม่ได้เสวยราชสมบัติ นักการเมือง ที่ครองอำนาจมีประสงค์จะสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ แล้วทรงเสนอว่า กองทหารอังกฤษยังไม่ควรถอนตัวออกไปจากประเทศไทย ทำนองเดียวกับเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งความเกรงกลัวอังกฤษจะเข้าแทรกแซง ช่วยให้พระบรมวงศานุวงศ์แคล้วคลาดรอดพ้นภัยมาได้ จึงทรงใคร่จะขอความสนับสนุนจากอังกฤษปลดเปลื้องภัยต่อราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง
เอกอัครราชทูตอังกฤษทูลตอบว่า เหตุการณ์ภายในของประเทศไทยมิใช่เรื่องของรัฐบาลอังกฤษ และไม่พึงที่พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดจะเพ้อฝันไปว่า อังกฤษจะเข้ามีส่วนร่วมในความลับลมคมในของประเทศไทยไม่ว่าในกรณีใด ๆ เอกอัครราชทูตยืนยันหลายครั้งว่า เอกราชและความมั่นคงของไทยเป็นข้อคำนึง สำคัญของรัฐบาลอังกฤษ อังกฤษต้องการเห็นการกลับฟื้นตัวของไทยเพื่อความสงบ เรียบร้อยภายในประเทศ และเพื่อการขยายตัวทางการค้ากับอังกฤษ กำลังทหารอังกฤษที่เข้ามาในประเทศไทยมีหน้าที่ควบคุมและส่งทหารญี่ปุ่นกลับประเทศญี่ปุ่น หากเกิดความปั่นป่วนภายในประเทศไทย กำลังทหารอังกฤษจะไม่เข้าข้างฝ่ายใด เป็นอันขาด จะเพียงแต่คุ้มครองความปลอดภัยของคนชาติ ทรัพย์สินและกิจการ ของอังกฤษเท่านั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคต เอกอัครราชทูตทราบดีว่ามี ข่าวลือแพร่หลายสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้ตึงเครียดอย่างน่าสะพรึงกลัว ทูตไม่อยู่ฐานะที่จะวิจารณ์ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่แพร่สะพัดอยู่ได้ แต่ในฐานะที่เป็น ผู้สูงอายุ มีประสบการณ์พอสมควร ทูตใคร่จะขอถวายคำแนะนำ เพียงประการเดียว เชื้อพระวงศ์ไม่พึงปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำใจ ในยามที่เต็มด้วยภยันตรายขณะนั้นทูตเกรงว่า พระราชวงศ์บางพระองค์จะเป็นเสมือนพระราชวงศ์บูรบอง (ของฝรั่งเศส) ที่ไม่ยอมลืมอดีตและไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใดใหม่ จะดีจะชั่วอย่างไร ประเทศไทยกำลัง ก้าวหน้าไปบนวิถีทางรัฐธรรมนูญ ไม่มีทางที่จะฝืนกลับคืนไปสู่สถานการณ์เก่าได้ หากฝ่ายค้านดำเนินการผิดพลาดไปจะมีผลเสียอย่างร้ายแรง และถ้าฝ่ายค้านก่อให้เกิดวิกฤตการณ์แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะแสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอก เจ้านายพระองค์นั้นทรงลาทูตกลับเมื่อเกือบสองยามภายหลังที่รับสั่งขอบใจทูตในถ้อยคำ ตรงไปตรงมาของทูต ทูตเชื่อว่าเจ้านายพระองค์นั้นคงจะทรงถูกส่งมาพบทูตโดยฝ่ายที่ต้องการดำเนินการรุนแรง
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
ที่มา : cmi.nfe.go.th
เอกอัครราชทูตทอมสันมีโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษหลาย ต่อหลายฉบับ แจ้งให้ทราบถึงการคืบหน้าของการสอบสวนกรณีสวรรคต ทั้งอังกฤษและอเมริกันยินยอมให้มีนายแพทย์ทหารของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมในคณะแพทย์ พิจารณาพระบรมศพ แต่มีคำสั่งไม่ให้แสดงความคิดเห็นอย่างใดถึงสาเหตุของ การสิ้นพระชนม์เป็นอันขาด คณะแพทย์ทำรายงานเสนอคณะกรรมการสอบสวน เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ซึ่งได้เริ่มการซักถามปากคำของมหาดเล็กที่อยู่ใกล้ชิดเบื้อง พระยุคลบาทและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างนั้นมีการปรักปรำ ทั้งในวงในวงนอก จะโยนความผิดชอบให้แก่ฝ่ายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ถึงกับมีการส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” ทำ ให้รัฐบาลต้องทุ่มเทกำลังใน การป้องกันตัวจากการก่อกวนให้เกิดความระสํ่าระสายในบ้านเมือง มิเป็นอันบริหาร ประเทศแก้ไขความยุ่งยากต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะตามความ ผูกพันกับต่างประเทศ เมื่อการโจมตีมีลักษณะเข้าถึงการปฏิบัติของรัฐบาลมากยิ่งขึ้นทุกที ประกอบกับท่านปรีดี พนมยงค์ ต้องตรากตรำมานานแล้วตั้งแต่สงคราม ท่าน ไม่สามารถคงทนอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรมต่อไป ท่านจึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม เปิดโอกาสให้ผู้อื่น เข้าดำรงตำแหน่งจะได้มีอิสระในการดำเนินงานสอบสวนกรณีสวรรคตต่อไป ทางรัฐสภาเสนอให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓ และมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในวันรุ่งขึ้น
ในโทรเลขลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษพิมพ์ เป็นเอกสารทางราชการเสนอสภาสามัญ เอกอัครราชทูตรายงานว่า คณะกรรมการ สอบสวนกรณีสวรรคตแถลงผลของการสอบสวนลงความเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลอาจจะถูกลอบปลงพระชนม์ หรือมิฉะนั้นก็ทรงประกอบอัตวินิบาตกรรม มิใช่เป็นกรณีอุบัติเหตุตามที่รัฐบาลแถลงเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ นายกรัฐมนตรี พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สั่งตั้งคณะอนุกรรมการพิเศษของคณะรัฐมนตรี ขึ้นพิจารณารายงานดังกล่าว และจะมีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต จบโทรเลขด้วยข้อความว่า ในโทรเลขที่ท่านส่งเมื่อวันวิปโยคแห่งการสูญเสียองค์ พระประมุขผู้หนุ่มแน่นและกำลังเป็นขวัญใจของประชาชนไทย ท่านได้แสดงทัศนะไว้ว่า ความลึกลับดำมืดนี้อาจจะไม่มีวันไขให้กระจ่างแจ้งได้ รายงานของคณะกรรมการสอบสนับสนุนความเชื่อมั่นนั้น สิ่งที่อาจจะกล่าวได้โดยแน่แท้ก็คือ การสูญเสียองค์พระมหากษัตริย์อย่างวิกฤตการณ์นั้น ก่อให้เกิดความระสํ่าระสายในความไว้วางใจของอาณาประชาราษฎรอันส่งผลสะท้อนถึงขวัญของข้าราชการ ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้มีความสามารถจัดเจนพากันผละออกจากราชการไป รวมทั้งในกระทรวงการต่างประเทศ และถึงบรรยากาศอันไร้เสถียรภาพในชีวิตทางเศรษฐกิจและการเมืองของประชาชาติไทย
จริงอย่างที่ทูตว่า สถานการณ์อันสลับซับซ้อนภายในประเทศไทย ดังสรุปมาข้างต้นเป็นโอกาสทองให้ฝ่ายค้านกระแนะกระแหนทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ โจมตีรัฐบาลผู้บริหารประเทศอย่างรุนแรง เพื่อบรรเทาความกดดันทางการเมือง และเพื่อชี้แจงให้อาณาประชาราษฎรในส่วนรวมได้ตระหนักถึงภาวะการเมือง รัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ตกลงยินยอมให้พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายทั่วไปในนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๑๙ ถึงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๙๐ เป็นเวลารวม ๘ วัน ๘ คืนเต็ม ๆ และอนุญาตให้มีการถ่ายทอดทางวิทยุ กระจายเสียงให้ประชาชนได้รับฟังอย่างกว้างขวางทั่วราชอาณาจักร เป็นประวัติการณ์ อย่างที่ไม่เคยปรากฏในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยแม้จนกระทั่งทุกวันนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวแก้โต้ตอบข้อกล่าวหาทุกข้อทุกตอนของฝ่ายค้านเป็น ส่วนใหญ่ จนได้รับฉายาในสมัยนั้นว่า “นายกรัฐมนตรีลิ้นทอง” ในที่สุด สภาผู้แทน ราษฎรลงคะแนนลับให้ความไว้วางใจในรัฐบาลด้วยคะแนนเสียง ๘๖ ต่อ ๕๕ แม้จะได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดเช่นนั้นก็ตาม นายกรัฐมนตรีกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ รัฐสภาประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ลงมติเห็นสมควรให้แต่งตั้งพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๙ และคณะผู้สำเร็จราชการในพระองค์ ในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ แล้วมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ เมื่อวันที่ ๓๑
จากการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีตอนนั้น นายกรัฐมนตรีวางมือจากการว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ โดยเชิญให้นายอรรถกิตติ พนมยงค์ น้องชายต่างมารดาของท่านปรีดี ผู้เป็นทูตไทยประจำกรุงสตอกโฮล์ม และมีบทบาทในการติดต่อกับ ฝ่ายพันธมิตรระหว่างสงครามเดินทางกลับประเทศไทย มอบให้ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีหม่อมเจ้านนทิยาวัติ สวัสดิวัตน ทรงเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ
คณะรัฐบาลชุดสองของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ทำการบริหารราชการ แผ่นดินต่อมาด้วยความยากลำบาก ต้องเผชิญกับปัญหาทั้งภายในและภายนอก นานัปการ โดยไม่สามารถแก้ไขให้เรียบร้อย ท่ามกลางข่าวลือหนาหูไม่เว้นแต่ละวันว่า จะมีการรัฐประหารไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่พลเอก อดุล อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการ ทหารบก ยืนยันตลอดเวลา ตราบใดที่ยังดำรงตำแหน่งคุมกำลังทหารบกอยู่ จะไม่มี การรัฐประหารอย่างแน่นอน แม้กระนั้นก็ตาม รัฐบาลมองเห็นจุดอ่อนของตน คิดว่า หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลเสียใหม่ได้ อาจจะผ่อนคลายความตึงเครียดลงไป เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ประชุมตกลงว่าจะพร้อมกันลาออก จากตำแหน่งทั้งคณะในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บัญชาการ ทหารบกเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลใหม่ต่อไป ที่ยังไม่ลาออกทันทีในวันที่ลงมติ ก็เนื่องจากกำลังรอโทรเลขจากเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม ทางกรุงลอนดอน เกี่ยวกับการเจรจากับอังกฤษขอยกเลิกความตกลงสมบูรณ์แบบอยู่
๔. การรัฐประหาร
คณะรัฐประหาร 2490 ถ่ายภาพร่วมกันที่วังสวนกุหลาบ
ที่มา : มติชน
ค่ำวันที่ ๘ นั้น ข้าพเจ้าได้รับเชิญไปในงานประจำปีของสมาคมนักเรียนสายปัญญา ที่สวนอัมพร มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะและสนทนาอยู่กับนายกรัฐมนตรี สักครู่มีเจ้าหน้าที่ มากระซิบกับท่านนายกรัฐมนตรี แล้วท่านก็ผลุนผลันออกจากงานไป โดยมิได้ขอตัว หรือให้เหตุผลอย่างใดต่อแขกที่ไปร่วมโต๊ะอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าคงอยู่ในงานจนกระทั่ง เกือบ ๒๓.๐๐ นาฬิกา จึงปลีกตัวออกจากงาน ข้าพเจ้าเกือบกลับไม่ถึงบ้านที่ถนนเพลินจิต เพราะปรากฏว่ามีกองทหารเข้ายึดพื้นที่บริเวณราชกรีฑาสโมสร ข้าพเจ้าต้องแล่นรถวนเวียนอยู่เกือบชั่วโมง จึงสามารถเข้าถึงบ้านได้ รุ่งเช้าจึงทราบว่า “คณะทหารของชาติ” มีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้า ทำการรัฐประหารล้มรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เสียแล้ว และได้เชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าร่วมด้วยในฐานะผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย คณะรัฐประหารออกประกาศติเตียนการปฏิบัติงานของรัฐบาลด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“บัดนี้ ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤติการณ์ ประชาชนพลเมืองได้รับความลำ บากเดือดร้อน เพราะขาดอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และขาดแคลนสิ่งอื่น ๆ นานา ประการ เครื่องบริโภค และอุปโภคทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมแต่ก่อนเป็นอันมาก เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมทรามในศีลธรรมอย่างไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนขึ้นใน ประชาชน บรรดาผู้บริหารราชการแผ่นดินและสภาฯ ไม่อาจดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ ไม่ดีให้กลับสู่ภาวะอย่างเดิมได้ การดำเนินการของรัฐบาลและการควบคุมราชการ ฝ่ายบริหารของรัฐสภา เพื่อมุ่งหมายที่จะช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้นตามวิถีทางที่กำหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ไม่ประสบผลดีเลยแม้แต่น้อย เป็นการผิดหวังของ ประชาชนทั้งประเทศ และตรงกันข้ามกลับทำ ให้เห็นว่า การแก้ไขทุกอย่างเป็นเหตุ ทำให้ประเทศชาติทรุดโทรมลงเป็นลำดับ ถ้าจะคงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ก็จะนำมาซึ่งความหายนะแก่ประเทศชาติอย่างไม่มีสิ้นสุด จนถึงกับว่าจะไม่ดำรงอยู่ ในภาวะอันควรแก่ความเป็นไทยต่อไปอีกได้ทหารของชาติได้พร้อมใจกันทำการ รัฐประหารขึ้น”
คณะรัฐประหารเข้ายึดสถานที่สำคัญของรัฐบาล ส่งกำลังทหารมีพันเอก ละม้าย อุทยานานนท์ เป็นหัวหน้านำรถรบและอาวุธครบมือรุดไปจับท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ทำ เนียบท่าช้าง วังหน้า โดยบุกประตูหน้าทำเนียบ ยิงปืนกราดเข้าไป แต่ไม่ได้ตัวท่านรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งได้หลบหนีออกไปทางแม่นํ้าเจ้าพระยาเสียก่อน ส่วนนายกรัฐมนตรีเข้าไปอาศัยอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษชั่วระยะหนึ่ง
คณะรัฐประหารประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๔๘๙ นำเอารัฐธรรมนูญที่นาวาเอก หลวงกาจสงคราม อ้างว่ายกร่างเตรียมซ่อนไว้ใต้ตุ่มนํ้าที่บ้าน ขึ้นถวายกรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงพระนามประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พึงสังเกตว่า การลงนามในหนังสือราชการ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะต้องลงนามครบคณะทั้งสอง ท่านตามมติของสภาฯ แต่เนื่องจากเป็นยามฉุกละหุก ไม่ได้ตัวพระยามานวราชเสวี ผู้สำ เร็จราชการอีกท่านหนึ่ง จึงให้เสด็จในกรมฯ ลงพระนามแต่พระองค์เดียว แล้วยังให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสียด้วย อาศัยอำนาจทหาร การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ไทยจึงเกิดขึ้นอีกวาระหนึ่ง ในตอนนั้นคณะรัฐประหารได้เชิญให้คุณควง อภัยวงศ์ เข้ารับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี โดยจัดให้มีประกาศพระราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๑๐ และคุณควง อภัยวงศ์ เสนอจัดตั้งคณะรัฐมนตรีวันถัดไป มีพระยาศรีวิสารวาจา เข้าร่วมว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ถูกส่งไปว่าการ กระทรวงยุติธรรม และหม่อมเจ้าวิวัฒน์ไชย ไชยันต์ ทรงว่าการกระทรวงการคลัง
ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน เอกอัครราชทูตอังกฤษเสนอความเห็นไปยังกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า ยังไม่พึงให้คำรับรองรัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายใต้อิทธิพลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ก็ไม่พึงแถลงตำหนิติเตียน เพราะจอมพลอาจจะทำการสำเร็จ สามารถสร้างเสริมฐานะเข้มแข็งได้ ต่อสายที่จอมพลส่งไปปรับความเข้าใจกับทูต ทูตกล่าวเตือนว่า การกลับเข้ายึดอำนาจของจอมพลจะสร้างความสะเทือนใจ ให้แก่อังกฤษและสหรัฐอเมริกา การจัดการรุนแรงต่ออดีตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลเก่า จะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีแก่อังกฤษ และทูตทอมสันสรุปในท้ายโทรเลข ฉบับนั้นว่า เป็นที่ชัดแจ้งว่า ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้กระบวนการฝ่ายขวาซึ่ง ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์
ต่อมาอีกสองวัน เอกอัครราชทูตทอมสันโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษว่า เมื่อคืนวันที่ ๑๐ นายดอลล์ ที่ปรึกษาฝ่ายการคลัง และนายแพ็ตตัน ที่ปรึกษาฝ่ายการต่างประเทศ แอบไปพบกับท่านรัฐบุรุษอาวุโส และพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสสวัสดิ์ ที่กรมสรรพาวุธทหารเรือ (ที่บางนา) ทั้งสองท่านยืนยันคงเป็น ผู้นำของรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และมีดำริที่จะดำเนินการตอบโต้คณะรัฐประหาร เพื่อการนี้จำต้องใช้เวลาในการรวบรวมกำลังพลซึ่งยังไม่แน่ว่าจะปฏิบัติการได้สำเร็จหรือไม่ ถ้าหากเห็นว่าจะไม่มีหวังทำได้สำเร็จ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จะยอมจำนน เพราะไม่คิดว่าท่านอดีตผู้เผด็จการจะทำอะไรกับท่าน ส่วนท่านรัฐบุรุษอาวุโสอาจจะต้องหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าขืนอยู่จะต้องถูกจับกุม อาจจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตก็ได้ ท่านรัฐบุรุษอาวุโสจึงใคร่จะขอทราบว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายอังกฤษจะให้ความสะดวกในการที่ท่านจะหนีไปมลายูหรือ ดินแดนบริติชอื่นหรือไม่ นายดอลล์และนายแพ็ตตันให้ความคิดเห็นตรงกันว่า นอกจากจะมั่นใจในความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ การคิดโต้ตอบจะเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง จะก่อให้เกิดการนองเลือด เป็นรอยด่างพร้อยแก่ชื่อเสียงของทั้งสองท่าน
เมื่อกลับมาในเมือง นายดอลล์ได้ไปพบเอกอัครราชทูตเล่าเรื่องให้ฟังเอกอัครราชทูตเห็นด้วยกับคำแนะนำ ที่ทั้งสองคนได้ให้ไป เอกอัครราชทูตไม่สู้จะสบายใจนักในกรณี จะคิดใช้กำลังคืนสู่สถานะเดิม ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งไกลความสำ เร็จ ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้นแล้ว ประชาชนจะเดือดร้อนและเกิดระสํ่าระสาย กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้เสียแล้ว สำหรับทูตเองนั้นย่อมต้องดำเนินทุกวิถีทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภัยแก่ชีวิตและ ทรัพย์สินของอังกฤษ นายดอลล์เตือนทูตว่า ประเทศอังกฤษมีพันธะลึกซึ้งต่อท่าน รัฐบุรุษอาวุโสในฐานะเป็นผู้ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่น แต่อาจจะมีความผูกพันน้อย ลงไปต่ออดีตนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตตอบว่าตระหนักในข้อนี้ดี และได้เตือน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไว้แล้วมิให้ทำอันตรายแก่พลเรือตรี ถวัลย์
บ่ายวันเดียวกันนั้น หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ สายของจอมพล ป. พิบูล สงคราม แจ้งต่อผู้ช่วยฝ่ายทหารเรือของอังกฤษว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้คำ มั่นส่วนตัวจะไม่ทำอันตรายแก่อดีตนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตเชื่อว่าจะ สามารถขอคำ รับรองทำนองเดียวกันให้แก่ท่านรัฐบุรุษอาวุโส หรืออย่างน้อยให้ได้ รับอนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่มีการสู้รบกัน ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถคุ้มครองเพื่อนของอังกฤษได้ ทูตพยายาม ชี้แจงให้นายดอลล์เข้าใจว่า ไม่ว่ารัฐบาลอังกฤษ หรือรัฐบาลอเมริกัน ไม่อยู่ในฐานะ ที่เข้าแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทย แม้จะรู้สึกอย่างใดต่อพวกใหม่ที่ เข้ายึดอำนาจก็ตาม
ก่อนที่จะพบนายดอลล์ เอกอัครราชทูตได้ไปพบเอกอัครราชทูตอเมริกัน มีความ เห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องทำทุกอย่างป้องกันมิให้เกิดการนองเลือด เพื่อความ ปลอดภัยของคนและทรัพย์สินอังกฤษและอเมริกัน เอกอัครราชทูตทอมสันรายงาน ต่อไปว่า โดยที่ได้ทราบจากหม่อมเจ้านิทัศนาธรว่า ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอเมริกันแต่งเครื่องแบบไปพบจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้ว ท่านจอมพลอยากจะพบกับผู้ช่วย ทูตฝ่ายทหารอังกฤษด้วย ในขั้นแรกเอกอัครราชทูตคิดจะไม่นำพาต่อคำเชิญนั้น แต่เมื่อได้รับทราบผลของการพบปะระหว่างที่ปรึกษากับผู้หลบหนีทั้งคู่ เอกอัครราชทูต จึงเปลี่ยนใจใหม่จะส่งนาวาเอก เดนิส ผู้ช่วยทูตทหารเรือ ไปพบท่านจอมพลอย่างไม่เป็นทางการโดยไม่แต่งเครื่องแบบไป เพื่อให้ความเห็นว่า สถานการณ์เต็มไปด้วยอันตราย ถ้าจอมพลสามารถให้คำมั่นในเกียรติของทหารว่าจะไม่มีการรุนแรงต่อรัฐบุรุษอาวุโส เหตุการณ์จะผ่อนคลายดีขึ้น ซึ่งเอกอัครราชทูตอเมริกันเห็นด้วยกับการที่จะปฏิบัติเช่นนั้น เพราะอาจจะได้ผลดี ถึงอย่างไรก็ไม่มีผลเสีย
วันที่ ๑๓ นายทอมสันส่งโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษอีก ฉบับหนึ่งว่าได้รับทราบจากนายดอลล์ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีกลับเข้ากรุงเทพฯ แล้ว กำลังจะติดต่อปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีร่วมคณะและผู้สนับสนุนอื่นว่า จะควรต่อสู้ ด้วยกำลังหรือไม่ นายดอลล์มีจดหมายวิงวอนมิให้กระทำการต่อต้านด้วยกำลัง ซึ่งเอกอัครราชทูตเห็นชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าช้าไปเสียแล้วที่จะดำเนินการตอบโต้ อย่างใด หวังว่า อดีตนายกรัฐมนตรีจะค่อยคิดดูให้ดีด้วยความสำนึกรับผิดชอบ และ แนะให้เพื่อน ๆ กระทำ เช่นเดียวกัน
เช้าวันนั้นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก็ได้มาพบทูต แจ้งให้ทราบว่า ยังไม่ได้ตกลงใจอย่างใดแน่นอนในบรรดาคณะรัฐมนตรีชุดก่อน พลเรือตรี ถวัลย์ คาดคะเนว่า ความสำเร็จหรือไม่มีเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีจึงใคร่ขอคำแนะนำ จากทูต นายทอมสันได้ตอบไปว่า ในตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ทูตไม่สามารถให้ คำแนะนำอย่างใดได้ ทูตมีหน้าที่เพียงป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของอังกฤษ เมื่อการต่อต้านจะก่อให้เกิดสงครามภายใน ยังความระสํ่าระสายให้เกิดขึ้น ทูตไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลัง ในฐานะเพื่อนส่วนตัวของรัฐบาลไทย ทูตรู้สึกว่าไม่พึงเสียเลือดเนื้อ และยอมให้เกิดการทำลายในบ้านเมือง ทูตเห็นด้วยกับรัฐบุรุษอาวุโสว่า ระยะเวลาจะเป็นคุณแก่คณะรัฐบาลเก่า เพราะพวกรัฐประหารประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ทำนองราชวงศ์บูรบองของฝรั่งเศส และนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งรวมกันไม่สู้จะสนิทอยู่แล้ว ต่อไปก็คงทะเลาะวิวาทกันเอง รัฐมนตรีเชื่อว่า พลเรือตรีถวัลย์ก็มีความรู้สึกทำนองเดียวกัน หากแต่มีเพื่อนบางคนคิดอยากจะให้สู้ รัฐมนตรีถามความเห็นของทูตว่า ถ้าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นนอกประเทศ นโยบายของอังกฤษจะมีอย่างใดในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐบาลของคณะรัฐประหารทูตทอมสัน ชี้แจงว่า ตามคำสั่งที่ได้รับในปัจจุบัน ทูตติดต่อกับฝ่ายรัฐประหารอย่างไม่เป็นทางการ ฝ่ายอเมริกันก็เช่นเดียวกัน ทั้งกรุงลอนดอนและกรุงวอชิงตันกำลังติดตามเหตุการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด เท่าที่ทูตพอจะแน่ใจได้ก็คือ ทั้งสองประเทศไม่สู้จะพอใจ นักที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเข้ามามีอำนาจอีก รัฐบาลไทยอาจประสบกับความไม่เห็นด้วยของคนทั่วโลก รัฐมนตรีถามว่า จะมีวิธีบังคับทางเศรษฐกิจอย่างใดได้หรือไม่ เช่น สั่งให้บริษัทนํ้ามันยุติส่งนํ้ามันชั่วคราว ทูตตอบว่า สงสัยจะทำ ไม่ได้ เพราะถึงแม้จะสั่งบริษัทเชลล์และสแตนดาร์ดงดส่งนํ้ามัน ยังมีบริษัทคู่แข่งอื่นที่จะ เข้ามาสวมที่แทน การจะบีบบังคับในด้านนี้ จึงจะไม่เป็นผล
อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยของอังกฤษและสหรัฐอเมริการวมอยู่ที่ปัญหาการได้ ข้าวจากประเทศไทยออกไปบำ บัดความอดอยากของโลกภายนอก ทั้งสองประเทศ แม้จะมีความตะขิดตะขวงใจที่ได้เห็นรัฐบาลโดยชอบด้วยกฎหมายต้องถูกทำลายไป โดยอำนาจทหาร ซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำ แต่ก็ไม่อยากให้เกิดการ สู้รบถึงขั้นนองเลือดภายในประเทศไทย เพราะจะกระทบถึงการจัดส่งข้าวออกอย่าง หลีกเลี่ยงไม่พ้น ฉะนั้น ในระยะแรกภายหลังการรัฐประหารอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จึงวางท่าทีเป็นกลางไว้ก่อน ยังไม่ยอมรับรองฐานะของรัฐบาลควง อภัยวงศ์ แต่ก็ไม่กล้าตำหนิติเตียนการกระทำของคณะรัฐประหาร รอให้เหตุการณ์คลี่คลายไปใน ทางหนึ่งทางใดอย่างแน่ชัดเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ประกาศยืนยันแต่เริ่มแรกว่า จะปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีอยู่กับอังกฤษและ สหรัฐอเมริกาโดยครบถ้วน
สำหรับประเทศฝรั่งเศสมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นกว่าอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพราะฝรั่งเศสไม่ได้รับคำยืนยันทำ นองนั้นจากรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ฝรั่งเศสเกรงกลัวว่า หากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งฝรั่งเศสถือว่าเป็นตัวการในการเรียกร้องดินแดน ทางอินโดจีนคืน กลับมามีอำนาจอีก ประวัติศาสตร์อาจจะซํ้ารอยก็ได้ เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เองยังไม่ยอมรับผลของการประนีประนอมในปัญหาเรื่องดินแดน เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ฝ่ายฝรั่งเศสจึง เสนอต่อรัฐบาลอังกฤษให้พิจารณาประกาศเปิดเผยเตือนประเทศไทยว่า ดีไม่ดีอาจ จะถูกตัดความสัมพันธ์ทางการทูต งดการให้ความสะดวกทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทย และส่งเรื่องไทยไปให้สหประชาชาติพิจารณาในฐานะที่เป็นสถานการณ์คุกคามต่อ สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษรู้สึกว่า ฝรั่งเศสชะรอยจะตื่นตูมเกินเหตุ ไม่คิดว่า วิธีที่ฝรั่งเศสเสนอแนะนั้นจะช่วยคลี่คลายปัญหาได้ นโยบายที่ดีที่สุดก็คือ อย่าเพิ่งให้การรับรองรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลอเมริกัน เห็นด้วยในข้อนี้ ฝรั่งเศสควรจะปฏิบัติทำนองเดียวกัน แต่แน่ละ ถ้ารัฐบาลใหม่ของ ไทยจะกลับเรียกร้องดินแดนทางอินโดจีนคืนใหม่ รัฐบาลอังกฤษก็พร้อมที่จะปรึกษา หารือกับรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อตกลงในมาตรการอันเหมาะสม ทั้งนี้เป็นทางระงับความ กระวนกระวายของฝรั่งเศสไปได้ขณะหนึ่ง
ทางด้านเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม ได้ไปแจ้งต่อกระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายนว่า ได้รับโทรเลขจากฮ่องกงในนามของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และนายอรรถกิตติ พนมยงค์ว่า รัฐบาลชอบด้วยกฎหมาย ยังคงอยู่ ขอให้เอกอัครราชทูตช่วยประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางอย่างมากที่สุด เอกอัครราชทูตไม่ได้ข่าวสารจากประเทศไทยเลย จึงใคร่ขอทราบว่า ทั้งสองท่านได้ ไปอยู่ที่ฮ่องกงจริงหรือไม่ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษไม่มีข่าวว่า ทั้งสองอยู่ ในฮ่องกง แต่อาจเป็นได้ว่ามีการฝากสาส์นให้ผู้ที่เดินทางไปฮ่องกงจัดส่งโทรเลขจาก ฮ่องกงก็ได้ เอกอัครราชทูตดิเรกแจ้งต่อกระทรวงต่างประเทศด้วยว่า มีดำริจะขอลาออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว ก็ได้รับโทรเลขจากกระทรวงการต่างประเทศไทยขอให้ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปและร่วมมือกับรัฐบาลใหม่ เอกอัครราชทูตตอบกรุงเทพฯ ไปว่าในส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่รัฐบาลใหม่เข้าถืออำนาจ แต่เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง จะยอมอยู่ในตำแหน่งต่อไปพลางก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้ารัฐบาล เห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษสนับสนุนให้ เอกอัครราชทูตคงอยู่ต่อไปก่อน เพราะทางรัฐบาลยังไม่ได้รับรองรัฐบาลใหม่ของประเทศไทย
สำหรับตัวท่านรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งเป็นเป้าสำคัญของคณะรัฐประหาร ภายหลังที่ ได้หลบซ่อนอยู่ในประเทศชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในที่สุดด้วยความเอื้ออำนวยของ เจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษและอเมริกัน ในฐานะอดีตผู้ร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่น สามารถ เล็ดลอดออกไปถึงเกาะสิงคโปร์ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน เอกอัครราชทูตทอมสันส่ง สาส์นถึงนายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ อธิบายเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่า ที่ทั้ง อังกฤษและอเมริกันตกลงให้ความสะดวกแก่ท่านปรีดี พนมยงค์ หลบหนีออกไป จากราชอาณาเขตนั้น ก็ด้วยความประสงค์ที่จะช่วยให้สถานการณ์ภายในประเทศ บรรเทาความรุนแรงลงและป้องกันมิให้เกิดการนองเลือด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย และพอใจที่ท่านปรีดีออกพ้นไปจากประเทศไทย แต่ต่อมาเกิดเปลี่ยนใจมี หนังสือตอบเอกอัครราชทูตอังกฤษว่า การออกไปของท่านปรีดี แทนที่จะบรรเทา ความรุนแรง อาจจะกลายเป็นสัญญาณให้สมัครพรรคพวกเริ่มปฏิบัติการใช้กำลัง ก็ได้ ตามแนวการสอบสวนของคณะกรรมการใหม่กรณีสวรรคตมีท่าทีแสดงให้เห็น ว่า ท่านปรีดีอาจมีส่วนร่วม การช่วยให้ออกเดินทางพ้นจากประเทศไทย อาจจะ กลายเป็นการแทรกแซงในกิจการภายในของประเทศ และเป็นการขัดขวางต่อการ รักษาความยุติธรรม นายกรัฐมนตรีอ้างว่า ทั้งนี้เป็นความเห็นเอกฉันท์ของคณะ รัฐมนตรี แต่เอกอัครราชทูตทอมสันเองเข้าใจว่า เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีได้รับการ บีบบังคับจากฝ่ายทหารมากกว่า
ลอร์ดคีลเลอร์น ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำ มลายู ได้รับคำสั่งจากกรุงลอนดอน ให้ใช้ดุลยพินิจในการที่จะจัดที่พักอาศัยให้แก่ท่านปรีดี แต่กระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษเตือนว่า ไม่พึงรับเป็นแขกของข้าหลวงใหญ่ เพราะถ้าเป็นแขกแล้วจะให้ออกไปยาก และไม่ทราบว่า ทางประเทศไทยจะมีการสาดโคลนอย่างใดให้แก่ท่านปรีดี ในกรณีสวรรคต ถ้าเกิดมีการกล่าวหาเป็นทางการขึ้นมา ลอร์ดคีลเลอร์นจะพลอย ตกอยู่ในฐานะลำบากภายหลัง ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ลอร์ดคีลเลอร์น โทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า ได้พบตัวท่านปรีดีแล้ว ท่าน แสดงความปรารถนาจะออกไปอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่เกาะปีนังอย่างพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา จะไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองของไทยอีก ใคร่จะขอให้อังกฤษช่วยจัดการส่งครอบครัวตามออกไป และจัดให้นายอรรถกิตติ พนมยงค์ เดินทางไป สหรัฐอเมริกา ท่านปรีดีมีเสื้อที่สวมมาชุดเดียว ไม่มีเงินติดตัวเลย ขอให้ช่วย ติดต่อขอเงินจากเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม ที่ลอนดอน สัก ๕๐๐ ปอนด์ ลอร์ด คีลเลอร์นกรุณาจัดหาเสื้อเชิ้ตให้สองตัว เสื้อนอกชุดให้อีกหนึ่งชุด พร้อมด้วย รองเท้าแตะหนึ่งคู่
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ท่านปรีดีมีจดหมายถึงลอร์ดคีลเลอร์น ยืนยันหนักแน่นว่า ท่านมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแต่ ประการใดเลย และเท่าที่ท่านทราบ ไม่มีผู้ใดในบริวารของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน เอกอัครราชทูตทอมสันส่งโทรเลขที่ ๑๐๐๓ รายงาน กระทรวงการต่างประเทศมีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า ในการสนทนาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทย พระองค์เจ้าอีกพระองค์หนึ่งซึ่ง ทูตระบุพระนามแน่ชัด ประทานความเห็นว่า รัฐบุรุษอาวุโสไม่มีส่วนในการสวรรคต ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทั้งไม่มีหลักฐานแสดงว่า เลขานุการของ รัฐบุรุษอาวุโสมีส่วนเกี่ยวข้อง และว่าไม่ควรยกกรณีอุบัติเหตุออกไปอย่างสิ้นเชิง
วันที่ ๓ ธันวาคม เอกอัครราชทูตทอมสันรายงานกระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษว่า พลเรือตรี ถวัลย์ ธำ รงนาวาสวัสดิ์ กลับเปลี่ยนท่าทีที่ดำริจะต่อต้านคณะ รัฐประหาร โดยใช้กำลังส่วนหนึ่งของทหารเรือและกำลังเสรีไทยที่ฟักตัวอยู่ในต่างจังหวัด จึงอยากจะติดต่อขอร้องให้ท่านปรีดี พนมยงค์ กลับประเทศไทย หรือ มิฉะนั้นก็ขอให้ทูตช่วยจัดการให้ไปพบที่สิงคโปร์ เพื่อปรึกษาหารือกันวางแผนการ ต่อไป เอกอัครราชทูตตอบเสียใจที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือติดต่อกับท่านปรีดี ให้ได้ ทางฝ่ายท่านปรีดีที่สิงคโปร์เสนอต่อฝ่ายอังกฤษว่า เท่าที่ทราบสถานการณ์ ภายในประเทศไทยยุ่งยากสับสน จอมพล ป. พิบูลสงคราม เกรงว่าอาจจะมีการ โต้ตอบจากฝ่ายทหารบกหรือทหารเรือ เนื่องจากการแต่งตั้งนายทหารกองหนุนให้ ได้รับตำแหน่งสูงทางทหาร ทางแก้น่าจะต้องหาทางจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างรัฐบาลเก่าและใหม่ ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตร คือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และจีน ช่วยเข้าไกล่เกลี่ย ได้ก็จะดี
ต่อมาอีกวันหนึ่ง พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ส่งผู้แทนไปพบเอกอัครราชทูต ทอมสันอีกครั้งหนึ่ง แจ้งความจำนงยินดีจะปรับความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ เพื่อลืมเหตุการณ์ในอดีตเสีย แต่จะไม่ยอมพบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม เอกอัครราชทูตให้ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือตอบผู้แทนของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ไปว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ ยังอยู่ในความคุ้มครองของทหารฝ่าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม หากจะกีดกันจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกไปก็ไม่มีทาง ที่จะดำเนินการอย่างใดได้ ทางทูตเห็นว่าถ้าพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ให้คำ มั่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะไม่มีการตอบโต้ฝ่ายรัฐประหารภายในกำหนดเวลา เช่น ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็พอจะมีการผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง ส่งเสริมฐานะของรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ให้เข้มแข็งขึ้น โดยไม่เป็นการสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือคณะรัฐประหาร ทูตทอมสันฝากเตือนพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยว่า มิควรที่จะรํ่าร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากภายนอก ถ้าจะเสี่ยงดำเนินการตอบโต้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างใดทั้งสิ้น
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แจ้งต่อผู้ช่วยทูต ฝ่ายทหารเรืออังกฤษว่า มีแผนดำเนินงานอยู่สองแผน แผนแรกคิดจะใช้กำลังทหาร เรือบางส่วนเข้าปฏิบัติการ โดยจะให้เสรีไทยเข้าทำลายถนนและทางรถไฟ เข้ายึด สถานที่ราชการที่สำคัญ ทำศึกกองโจรสู้คณะรัฐประหาร ทั้งนี้ จะต้องรอฟังความเห็น ของผู้บัญชาการทหารเรือก่อน ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนก็ดำเนินการไม่ได้ แผนที่สอง ไม่ต้องดำเนินการอย่างใดในขั้นนั้น รอให้เกิดการแตกแยกภายในกองทัพบก และ ความปั่นป่วนจากกรม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาหกเดือน อยากทราบว่า ทางอังกฤษและสหรัฐอเมริกาจะมีความเห็นอย่างใด จะสนับสนุนได้หรือไม่ ทูตทหาร เรืออังกฤษตอบว่า เป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ฝ่ายสัมพันธมิตรคงจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวด้วย
ในตอนนั้น เอกอัครราชทูตทอมสันเข้าเฝ้ากรมขุนชัยนาทนเรนทร เพื่อทูลให้ทรง ช่วยหาทางให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้พบกับนายกรัฐมนตรีควง อภัย วงศ์ อาจจะสามารถทำความเข้าใจกันได้ กรมขุนชัยนาทฯ ทรงรับว่าจะพยายามทาบทามดู พระองค์ทรงยืนยันต่อทูตด้วยว่า ในคืนวันรัฐประหารนั้น ทรงถูกบังคับ ให้ลงพระนามในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อป้องกันการนองเลือด จึงทรงลงพระนาม ให้ ต่อมาอีกสองวัน กรมขุนชัยนาทนเรนทรมีลายพระหัตถ์ถึงทูตทอมสันว่า นายควง อภัยวงศ์ ยินดีที่จะพบ ผู้ใดจะมาหาก็ได้ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นเพื่อนเก่าแก่ยังไม่มีข้อหาแต่อย่างใด แต่ถ้าเกิดต้องหาว่ามีส่วนในการกระทำความผิดแล้ว นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ ก็จะไม่สามารถให้ความคุ้มกัน
วันที่ ๒๓ ธันวาคม ฝ่ายรัฐประหารออกหมายจับพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวา สวัสดิ์ ในข้อหาว่ามีแผนการต่อต้านรัฐบาล และมีการจับกุมคุณวิจิตร ลุลิตานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายทอง กันทาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงมหาดไทยไว้
วันที่ ๒๙ ธันวาคม พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ จัดให้ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อเจรจา ทำความเข้าใจกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม อ้างว่า ท่านไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอให้พลเรือตรี ถวัลย์ไปทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรีโดยตรง
นายปรีดี พนมยงค์
ทางท่านปรีดีก็ได้ส่งคำวิงวอนทางวิทยุกระจายเสียงจากสิงคโปร์มายังประเทศไทย ว่า ขอให้ทุกฝ่ายอย่าใช้กำลังประหัตประหารกัน ควรหาทางทำความเข้าใจปรองดองกันดีกว่า ทางฝ่ายอังกฤษเตือนว่าท่านปรีดีไม่พึงติดต่อทางการเมืองกับพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และอังกฤษไม่สามารถจะช่วยให้ท่านปรีดีเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อปรึกษาหารือกับพลเรือตรี ถวัลย์ แต่ท่านปรีดีจะหาทางกลับไปเองโดยอาศัยเรือพาณิชย์ของไทย อังกฤษย่อมไม่สามารถจะห้ามปราม ในทางตรงกันข้ามการที่พลเรือตรี ถวัลย์จะขอออกไปพบกับท่านปรีดีที่สิงคโปร์ เอกอัครราชทูต ทอมสันไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดสงสัยว่า ฝ่ายอังกฤษยอมให้ใช้ดินแดนมลายู ในการเตรียมการขัดขืนต่อระบบการปกครองของประเทศไทย ถ้าท่านปรีดีจะกลับประเทศไทยโดยเปิดเผยแล้ว เอกอัครราชทูตพร้อมที่จะขอร้องให้ฝ่ายไทยยืนยัน รับรองความปลอดภัยให้ ซึ่งในข้อนี้ นายแพ็ตตัน ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ของรัฐบาลไทย ให้ความเห็นแก่เอกอัครราชทูตทอมสันว่า ฝ่ายบริหารขณะนั้นคงจะไม่สามารถให้คำยืนยันรับรองเช่นนั้นได้ ถึงอย่างไรท่านปรีดียังไม่ควรกลับประเทศในช่วงนั้น บุคคลในคณะรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถูกจับกุมหลายต่อหลายคนโดยข้อหาแตกต่างกัน เช่น นายจำลอง ดาวเรือง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ และนายทอง กันทาธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในข้อหาฐานฆ่าคนตาย นายวิจิตร ลุลิตานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทองเปลว ชลภูมิ หัวหน้าองค์การสรรพากร ในข้อหาใช้เงินหลวงผิดประเภท และยังมีนักการเมืองพวกเสรีไทยอีกบางคนกำลังถูกติดตามตัวอยู่ในข้อหาครอบครอง อาวุธโดยมิชอบ
มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าขอเปิดวงเล็บอีกครั้งหนึ่งว่า สำหรับรายงานจากสถาน เอกอัครราชทูตอังกฤษถึงกระทรวงการต่างประเทศที่มีข้อความกล่าวถึงพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นลำดับมานั้น ข้าพเจ้าได้ลองไปสอบถามทางเจ้าตัวดูเมื่อ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ ได้ข้อความไม่ตรงกับรายงานของเอกอัครราชทูตและ อุปทูตหลายตอน ท่านออกตัวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นนานกว่า ๓๕ ปี ท่านอาจจะ หลงลืมบ้าง แต่ทบทวนความจำ ให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านได้พบจอมพล ป. พิบูลสงคราม คืนวันก่อนทำรัฐประหารหนึ่งวัน คือ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ที่บ้านขุน นิรันดรชัย สนทนากันในปัญหาของบ้านเมือง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เตือนว่าจะ ถูกคว้านไส้จะอยู่ต่อไปทำไม พลเรือตรี ถวัลย์ตอบว่า ความจริงไม่ได้อยากอยู่ คณะรัฐมนตรีตกลงกันจะลาออกแน่ จะรอให้ถึงวันที่ ๑๑ ก่อนเพื่อทราบผลการเจรจา ทางกรุงลอนดอนขอยกเลิกความตกลงสมบูรณ์แบบ คืนวันรุ่งขึ้นก็เกิดเหตุ รัฐประหาร หลังจากที่ได้พบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม คราวนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสพบกันอีกเลย จนจอมพลถึงอสัญกรรมในประเทศญี่ปุ่นที่ว่าท่านมีความคิดจะวางแผนต่อต้านคณะรัฐประหารนั้น ท่านก็ไม่เคยได้คิด และไม่เคยปรึกษากับบุคคลในคณะรัฐมนตรีของท่าน ไม่มีความปรารถนาจะแย่งอำนาจกลับคืนจากคณะรัฐประหาร ท่านไม่ได้พบกับนายดอลล์และนายแพ็ตตันเมื่อ คืนวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน เพราะวันนั้นท่านและท่านรัฐบุรุษอาวุโสลงเรือแล่นไปขึ้น ที่กรมสรรพาวุธทหารเรือตอนคํ่า การต้อนรับของทหารกรมสรรพาวุธทำ ให้รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ไม่สู้จะเต็มใจนักเกรงจะถูกกล่าวหารุ่งขึ้นเช้าจึงได้ออกเดินทางต่อไปยัง จังหวัดชลบุรี ไม่ได้พบกับผู้อื่นใดเลย นายดอลล์และนายแพ็ตตันจะทราบได้อย่างไรว่าท่านไปแวะที่กรมสรรพาวุธทหารเรือ
สำหรับเอกอัครราชทูตทอมสัน ท่านเล่าว่า ภายหลังรัฐประหารท่านได้พบ ครั้งเดียวเมื่อเช้าวันที่ ๙ พฤศจิกายน ท่านแล่นรถผ่านถนนเพลินจิต เห็นรถเกราะ ของพลโท หลวงกาจสงครามจะแล่นสวนมา ท่านหลบเข้าสถานเอกอัครราชทูต อังกฤษ ได้พบนายทอมสัน ซึ่งเชิญให้รับประทานอาหารเช้า มีนายดอลล์มาร่วมด้วย เขาแจ้งว่า ทางสถานทูตรายงานเหตุการณ์ไปทางกรุงลอนดอนแล้ว ถ้าท่านอยาก จะอาศัยอยู่ในสถานทูตก็คงจะได้ แต่ท่านไม่ต้องการ รับประทานอาหารเช้าแล้ว ท่านก็ลากลับ จากนั้นไม่ได้พบเอกอัครราชทูต นายวิตติงตัน หรือนายดอลล์อีกเลย
ท่านกล่าวว่าเคยพบเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ครั้งหนึ่งหลังกลับจากจังหวัดชลบุรี สอบถามว่า “ครูไม่คิดจะแก้ไขบ้างหรือ จะปล่อยให้คณะก่อการ ๒๔๗๕ ต้องสลาย ตัวไปหรืออย่างไร” ได้รับคำตอบว่า ไม่ได้ พวกทหารเรือไม่สนใจทำการต่อต้าน เมื่อ ท่านปรีดีหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศก็ไม่ได้ติดต่อด้วย จนเมื่อท่านออกไปอยู่ที่ฮ่องกง ท่านปรีดีอยู่เมืองกวางตุ้ง ท่านเคยไปเยี่ยม สำหรับการวางแผนกบฏวังหลวง ท่าน ไม่ได้ทราบเรื่องเลย
ตอนต้นปี ๒๔๙๑ มีข่าวลือว่า ตราบใดที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังไม่ถอนตัว ออกไปจะไม่มีการรับรองรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ฝ่ายทหารมีหนังสือเวียนถึงรัฐมนตรี ทุกคนสำทับว่า รัฐบาลอยู่ในตำแหน่งได้ก็ด้วยอาศัยรัฐประหาร คณะรัฐประหารยัง ไม่ต้องการให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถอนตัว คณะรัฐประหารตั้งคณะรัฐมนตรีได้ จะถอดถอนคณะรัฐมนตรีเมื่อใดก็ได้ เป็นการสะกิดเตือนให้นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ สำนึกในข้อเท็จจริง ปฏิบัติตนให้อยู่กับร่องกับรอย อย่ารุ่มร่ามออกนอกกรอบ ของคณะรัฐประหารไป
ครั้นมีการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๙๑ ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามาครึ่งสภาฯ นับเป็นฝ่ายข้างมาก คณะรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง
แต่แล้วสภาฯ ก็คัดเลือกให้กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ มีเปลี่ยนแปลงจากคณะเดิมเพียงบางกระทรวงรัฐบาล อังกฤษและอเมริกันปรึกษากันโดยใกล้ชิด เห็นว่า การเข้าบริหารประเทศตอนนั้น รัฐบาลควง อภัยวงศ์ เข้ามาภายหลังการเลือกตั้งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เหตุการณ์ กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ควรให้การรับรองรัฐบาลได้ จะเป็นการสนับสนุนฐานะของ รัฐบาลในสายตาของคณะรัฐประหาร ทั้งสองประเทศจึงให้การรับรองเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ประเทศอื่นเจริญรอยตาม
ต่อมาอีกหนึ่งเดือนเต็ม คือ วันที่ ๖ เมษายน คณะรัฐประหารส่งนายทหารสี่นาย ไปขอพบนายกรัฐมนตรี เชื้อเชิญให้ลาออกจากตำแหน่งภายใน ๒๔ ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีด่วน โดยได้เชิญผู้นำ กองทัพเรือและกองทัพ อากาศเข้าร่วมด้วย แต่ผู้นำกองทัพทั้งสองไม่ยอมให้ความร่วมมือในการทัดทาน กองทัพบก ต่างไม่ต้องการเห็นการนองเลือดในประเทศไทย คุณควง อภัยวงศ์ จึงไม่มีทางเลือก จำต้องสนองคำเชื้อเชิญของคณะรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่ท่านเองเป็น ผู้ให้ความร่วมมือแก่คณะรัฐประหารในการขจัดคณะรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อ ๕ เดือนก่อน คณะรัฐประหารต้องการให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศอีกครั้งหนึ่ง แม้ ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ซึ่งเคยถูก จอมพล ป. พิบูลสงคราม กล่าวหาว่าเป็นกบฏต่อราชวงศ์จักรี จนต้องทรงถูกจำคุก และถอดพระอิสริยยศ เพิ่งทรงได้รับการปลดปล่อยให้พ้นโทษสมัยท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการระหว่างสงคราม และทรงได้รับพระอิสริยยศคืน ก็ไม่ทรง สามารถทัดทานประการใดได้
สองวันต่อมา คณะผู้สำเร็จราชการปรึกษาหารือกันแล้วโดยรอบคอบเห็นว่า เพื่อ รักษาสถานการณ์ให้คลี่คลายไปโดยเรียบร้อย ควรยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตามความประสงค์ของคณะรัฐประหาร ท่านจอมพล จึงกลับมาสู่วงการเมืองอีกวาระหนึ่ง ประกอบคณะรัฐมนตรีของท่านขึ้นใหม่
รัฐบาลเสนอนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๑ และได้ รับความไว้วางใจในวันเดียวกันโดยคะแนนเสียงท่วมท้น ๗๐ ต่อ ๒๖ คะแนน พึงสังเกตว่าสำเนียงหางเสียงของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย จากการที่เคยให้ “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” เป็นการออกตัวว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง หน้าที่ราชการไปแล้ว ๓ ปี ไม่สู้จะทราบรายละเอียดในการบริหาร รัฐบาลพร้อมที่ จะรับคำทักท้วงและคำแนะนำ ทุกอย่างของสภาฯ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา ดำเนินการให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเป็นที่ถูกใจของบรรดาสมาชิก รัฐสภา
การกลับคืนอำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ย่อมก่อให้เกิดความไม่พอใจ ทางฝ่ายอเมริกันและฝรั่งเศสเป็นธรรมดา แต่ก็ดูไม่มีทางที่จะทัดทานอย่างใด สำหรับฝ่ายอังกฤษพอให้คำ รับรองแก่รัฐบาลควง อภัยวงศ์ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม เอกอัครราชทูตทอมสันคิดว่า เรื่องเรียบร้อยแล้ว จึงขออนุญาตเดินทางกลับไป พักผ่อนที่ประเทศอังกฤษ เพราะได้เลื่อนกำหนดเวลามาตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศไทย ทูตเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม บินไปสิงคโปร์แล้วโดยสารเรือกลับถึงประเทศอังกฤษต้นเดือนเมษายน ก็พอดีได้ข่าวการเปลี่ยนรัฐบาลในประเทศไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ หารือว่าจะพึงปฏิบัติอย่างใดต่อไป เอกอัครราชทูตแสดงความคิดเห็นว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีควงลาออกจากตำแหน่งโดยสมัครใจ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ รัฐบาลได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร โดยถูกต้องตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ปัญหาเรื่องการรับรองรัฐบาลดูจะไม่เกิดขึ้น เพราะ รัฐบาลไม่ได้เข้ายึดอำ นาจโดยใช้กำลัง และคุณควง อภัยวงศ์ หรือก็ลาออกเอง เมื่อทางสภาฯ เองก็มีมติเสียงข้างมากอย่างท่วมท้นให้ความไว้วางใจแก่คณะรัฐบาลใหม่แล้ว ดูไม่มีทางที่ต่างประเทศจะแสดงความคิดเห็นขัดแย้งต่อเหตุการณ์ภายในประเทศไทย เอกอัครราชทูตเห็นว่า สำหรับประเทศอังกฤษนั้น ผู้ใดจะขึ้นมาปกครองประเทศไทยก็ตามตราบเท่าที่ผลประโยชน์ของอังกฤษได้รับการปฏิบัติโดยเที่ยงธรรม และเสถียรภาพภายในของประเทศไทยดำรงรักษาไว้ อังกฤษไม่น่าจะขัดข้องจริงอยู่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีประวัติสงครามไม่สู้จะดีนักสำหรับฝ่าย สัมพันธมิตร แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่สามารถต่อต้าน ญี่ปุ่นได้ เมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือจากอังกฤษ นโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชอย่างน้อยก็ในนามไว้ได้และป้องกันมิให้ ประชาชนไทยต้องประสบความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวง ยิ่งกว่านั้น ไทยยังสามารถ ควบคุมผู้ถูกกักกันพลเรือนชาติอังกฤษไว้มิให้ต้องถูกไปอยู่ในอำนาจของญี่ปุ่น ท่านจอมพลเป็นผู้เฉลียวฉลาดพอที่จะได้รับบทเรียนจากอดีต คงจะไม่กล้าก้าวร้าวระราน ประเทศฝ่ายแองโกลแซ็กซอนอีกเป็นแน่ ประกอบกับเป็นผู้บำเพ็ญตนเป็นปฏิปักษ์ ต่อคอมมูนิสต์อย่างแน่ชัด ส่วนนายวิตติงตัน ผู้รักษาการในตำแหน่งอุปทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย รายงานให้กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษทราบว่า ฝ่ายฝรั่งเศสตกลงให้การรับรองรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้ว เนื่องจากไม่พอใจ ที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาไม่นำ พาต่อข้อเสนอของฝรั่งเศสที่จะใช้วิธีการบังคับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ทางนายสแตนตัน เอกอัครราชทูตอเมริกันแนะไปทางกรุงวอชิงตันให้รอการ รับรองไว้สักสามสัปดาห์ เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลใหม่ว่าจะปฏิบัติตามพันธกรณี ระหว่างประเทศได้เพียงใด นายสแตนตันถึงกับสำ ทับไปว่า ถ้ากระทรวงการต่างประเทศ อเมริกันมีดำ ริจะรับรองรัฐบาลไทยทันที ก็ขอให้เรียกนายสแตนตันกลับเสียก่อน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันตอบว่า รัฐบาลจะไม่ผลีผลามรับรองรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่จะรอไว้ช้านานนักไม่ได้ เพราะจะเป็นการยากที่จะให้ เหตุผลในการรับรอง อีกประการหนึ่งฝ่ายสหภาพโซเวียตอาจจะถือโอกาสชิงรับรอง ก่อนก็ได้ ถ้าเช่นนั้นรัฐบาลอเมริกันยังอยู่ในฐานะเสียเปรียบ ส่วนนายวิตติงตันเอง เสนอความเห็นส่วนตัวต่อกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า อังกฤษจะไม่ได้รับ ประโยชน์อย่างใด โดยจากการชะลอการรับรองไว้ บุคคลในคณะรัฐมนตรีอาจจะ สับเปลี่ยนตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะคงอยู่ มองไม่เห็นทาง ที่จะขจัดให้พ้นไปได้ อย่างไรก็ตาม ปลายเดือนเมษายน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แถลงเป็นทางการรับรองจะปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ต่อจากนั้นในวันที่ ๒๙ และ ๓๐ เมษายน รัฐบาลต่างประเทศพากันทยอยให้การรับรอง รัฐบาลใหม่
เป็นอันว่า รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผ่านอุปสรรคทางด้านต่างประเทศ ได้รับการรับรองเรียบร้อย แต่ในด้านภายในประเทศไทยเอง ใช่จะเป็นทางปลอดโปร่ง สำหรับรัฐบาลโดยตลอดก็หาไม่ สัญญาณแห่งการแตกแยกยังคงมีอยู่ คุณควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังเจ็บปวดไม่หายที่ถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอย่างง่ายดาย และยังเชื่อมั่นอยู่ว่า รัฐบาลใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่จะอยู่ได้ ไม่นาน ฝ่ายทหารเรือรู้สึกว่า ทหารบกเข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไป ท่าทีของ นายทหารคนสำคัญของคณะรัฐประหารบางคนไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนายทหารบก ส่วนหนึ่งมีความรู้สึกกันว่า กองทัพบกกำลังเสื่อมทรามลง จะต้องมีการแก้ไข ปรับปรุงอย่างเด็ดขาดเกิด “กบฏเสนาธิการ” ขึ้นภายในกองทัพ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ หากทางรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามโดยฉับพลันเฉียบขาด ต่อมาเมื่อ วันที่ ๓๐ เดือนเดียวกัน “กบฏแบ่งแยกดินแดน” ขึ้นทางภาคอีสาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ ตำรวจสามารถดับไฟได้แต่ต้นมือ แล้วก็มี “กบฏวังหลวง” เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ นำโดยท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งอาศัยพลพรรคเสรีไทยบางส่วนประกอบกับ กำลังทหารเรือบางส่วนเข้าทำการยึดพระบรมมหาราชวังออกประกาศทางวิทยุ กระจายเสียงแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นแทนคณะรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีคุณดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี
รถถังของคณะรัฐประหารจอดอยู่บริเวณสนามหลวง เมื่อครั้งเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2490
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม
สำหรับคุณดิเรก ชัยนาม เมื่อเกิดรัฐประหารใหม่ ๆ ในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ท่านมีความประสงค์จะขอลาออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน เนื่องจากถือว่ารัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นผู้แต่งตั้ง เมื่อรัฐบาล นั้นต้องขับไล่ออกจากหน้าที่ไป โดยเหตุผลทางการเมือง ท่านควรถอนตัวออกไปด้วย เปิดโอกาสให้รัฐบาลคุณควง อภัยวงศ์ เลือกเฟ้นผู้ที่ไว้วางใจให้เป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอนต่อไป แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษแจ้งว่า รัฐบาลอังกฤษจะไม่ยอมรับรองฐานะของรัฐบาลไทยจนกว่าจะมีการจัดตั้งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่จะยอมรับนับถือคุณดิเรกในฐานะเป็นเอกอัครราชทูตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป ประกอบกับทางพระยาศรีวิสารวาจา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ ขอร้องให้คงอยู่ในตำแหน่ง คุณดิเรกจึงยอมอยู่ เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว และรัฐบาลคุณควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้งขึ้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ จนฝ่ายสัมพันธมิตรให้การรับรอง เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๔๙๑ คุณดิเรกจึงลาออก จากตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพระยาศรีวิสารวาจามีโทรเลขลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ตอบ แสดงความเห็นใจและยินยอมรับใบลาของคุณดิเรกในหลักการ แต่ขอให้อยู่ช่วยแทน อีกชั่วระยะเวลาอีกสักสองสามเดือน คุณดิเรกตกลงกำหนดเดินทางกลับประเทศไทย โดยทางเรือออกจากกรุงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม ถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ชวนให้เข้าร่วมในคณะรัฐบาล คุณดิเรกขอตัว แต่ยินดีจะรับใช้ในตำแหน่งอื่น เช่น ตำแหน่งผู้แทนไทยประจำสหประชาชาติ ทั้งนี้ เพราะไม่เห็นด้วยกับการเข้ารับอำนาจบริหารของท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดย อาศัยคณะรัฐประหารเช่นนั้น ครั้นอยู่ดี ๆ มีประกาศทางวิทยุกระจายเสียงว่า รัฐบาล ของท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องพ้นจากตำแหน่ง และคุณดิเรกเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทำให้ท่านจอมพลสงสัยในตัวคุณดิเรก ว่าจะมีส่วนร่วมในแผนการขจัดท่านหรือไม่
เมื่อทหารฝ่ายรัฐประหารสามารถปราบกบฏวังหลวงได้โดยสิ้นเชิง พวกอดีต เสรีไทยและฝ่ายกองทัพเรือถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ อดีตเสรีไทยกระจัดกระจายหนีเอา ตัวรอด ฝ่ายทหารเรือยินยอมกลับฐานทัพที่สัตหีบ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ หาทางระงับการต่อสู้ระหว่างทหารบกกับทหารเรือป้องกัน การนองเลือด ท่านปรีดี พนมยงค์ หลบซ่อนอยู่ในประเทศไทยหลายเดือนแล้วหลบ หนีออกนอกประเทศอีกวาระหนึ่ง หลังจากนั้นไม่ได้กลับมาประเทศอีกเลย จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ณ บ้านเล็ก ๆ ชานเมือง กรุงปารีส นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล ผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรี ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ผู้อำนวยการสรรพาหาร ซึ่งคณะรัฐประหาร จับกุมตัวไว้ ถูกตำรวจยิงตายโดยถูกกล่าวหาว่าพยายามจะหนีจากการควบคุมของ ตำรวจระหว่างย้ายที่คุมขัง นัยว่าจีนคอมมูนิสต์มลายูจะแย่งชิงเอาตัวไป เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๙๒ พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หลบหนีออกไปอาศัยอยู่ที่ฮ่องกง วันที่ ๑ เมษายน คุณทวี ตะเวทิกุล รัฐมนตรีฝ่ายเสรีไทย ถูกตำรวจยิงตาย ระหว่างหลบหนีการจับกุม ความจริงคุณทวีเป็นมิตรสนิทกับพลตำ รวจโท เผ่า ศรียานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ เคยร่วมกันคิดหาทางประสานท่านปรีดี พนมยงค์ กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ไม่ทันสำเร็จ เกิดเหตุการณ์ขึ้นเสียก่อน
คุณดิเรก ชัยนาม จึงร้อนตัวเพราะเห็นโชคชะตาของเพื่อนนักการเมืองที่ต้อง สูญหายตายจากไปทีละคน เมื่อคณะผู้ก่อการ “กบฏวังหลวง” ไปประกาศชื่อให้ เป็นนายกรัฐมนตรี เกรงจะต้องชะตากรรมอย่างเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมรัฐบาลกันมา ท่านปรารภความหวาดหวั่นต่อพันเอก โจ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของสถานเอกอัครราชทูต จีน ซึ่งนำ เรื่องไปแจ้งให้เอกอัครราชทูตทอมสันทราบ เผื่อจะช่วยคุ้มครองอย่างไรได้ เอกอัครราชทูตตะขิดตะขวงใจที่คุณดิเรกไม่มาพบด้วยตัวเอง เพราะรู้จักกันดีเหตุใด ต้องติดต่อผ่านคนที่สาม ทูตชี้แจงพันเอก โจว่าโดยที่รัฐบาลอังกฤษรับรองฐานะ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้ว การติดต่อกับรัฐบาลไทยต้องเป็นไปวิถีทาง ตามปกติ อังกฤษไม่สามารถงุบงิบช่วยเหลือคุณดิเรกนอกลู่นอกทางได้ แต่ก็จะช่วย ลองทูลหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศดู ซึ่งท่านรัฐมนตรีทรงยืนยันว่า ทางรัฐบาลไม่มีข้อระแวงสงสัยในตัวคุณดิเรกเลย และความจริงท่านจอมพลอยากจะให้เข้าร่วมมือด้วยซํ้า
ในรายงานลับที่เอกอัครราชทูตทอมสันมีถึงกระทรวงการต่างประเทศลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๒ มีความตอนหนึ่งว่า การที่ ดร.ทองเปลว และเพื่อนอีกสามคนต้องถึงจุดจบในมือของตำรวจนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม รู้สึกกังวลมาก เป็นเรื่อง ของพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ ถ้าสมมุติว่า พวกกบฏปฏิบัติการสำเร็จ ก็ต้องมีผู้เสียชีวิตเหมือนกัน แม้แต่คุณควง อภัยวงศ์ ก็ยังเปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ได้รับคำแนะนำจากทหารเรือให้ไปหลบเสียที่กองสัญญาณทหารเรือที่ ทุ่งมหาเมฆ เพราะมีชื่ออยู่ในบัญชีของพวกกบฏบางส่วน อย่างไรก็ตามเอกอัครราชทูต เชื่อว่า พวกเสรีไทยที่มิได้มีส่วนร่วมในการวางแผนหรือดำเนินการกบฏ จะไม่ตกอยู่ ในอันตรายอย่างใด ดังเช่นกรณีคุณดิเรก แล้วเอกอัครราชทูตยังอ้างไปถึงข้าพเจ้าซึ่งเป็นเสรีไทยผู้หนึ่ง แต่คงอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศได้โดยไม่มีผู้ใดทำอะไรให้
เป็นความจริงอย่างที่เอกอัครราชทูตกล่าว ข้าพเจ้าคงปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้า ในกระทรวงได้ต่อมาโดยเรียบร้อย ในชั้นแรกดูจะถูกเพ่งเล็งอยู่เหมือนกัน เมื่อหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันหนึ่งภายหลัง จากที่ข้าพเจ้าเฝ้าทูลชี้แจงเกี่ยวกับการงานที่ปฏิบัติแล้ว ทรงรับสั่งแก่ข้าพเจ้าอย่าง ไม่อ้อมค้อมว่า “เธอทำงานได้ดีทุกอย่าง แต่เขากล่าวกันว่าเป็นพวกของหลวงประดิษฐ์ฯ จริงหรือ” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ข้าพเจ้าเคยทำงานใกล้ชิดกับท่านปรีดี พนมยงค์ มาจริงตลอดเวลาสงคราม หลังจากนั้นท่านยังเรียกใช้เสมอ ข้าพเจ้าปฏิบัติหน้าที่ ราชการด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้คิดเป็นพรรคเป็นพวกของผู้ใด ในสมัยรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจา ก็เรียกข้าพเจ้าใช้ ข้าราชการทุกคนมีทะเบียน ประวัติประจำตัว ท่านทรงเรียกสมุดประวัติของข้าพเจ้ามาดูได้ ข้าพเจ้าไม่เคยได้รับ พิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษเลย การขึ้นเงินเดือนก็มีปีละขั้นไม่เคยได้สองขั้นสักปี ข้าพเจ้าได้รับเลื่อนชั้นจากชั้นโทเป็นชั้นเอกสมัยจอมพล ป. พิบูล สงคราม ท่านปรีดีไม่เคยให้บำเหน็จแก่ข้าพเจ้า ถ้าจะถือข้าพเจ้าเป็นพรรคพวกท่าน ปรีดีในฐานะที่เคยรับใช้ท่านอยู่ ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ การรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศต้องอาศัยความไว้วางใจเป็นสำคัญ หากทรงระแวงสงสัยในตัวของ ข้าพเจ้าแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าพร้อมที่จะลาออกจากราชการไป ข้าพเจ้าอยู่ในวัยที่ออก หางานอื่นทำได้ ความจริงตั้งแต่ข้าพเจ้ากลับจากกรุงโตเกียว เมื่อต้นปี ๒๔๘๗ ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากองการเมืองในกรมการเมืองตะวันตกสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงอยู่ในตำแหน่งนั้นเรื่อยมา ทั้งในสมัยรัฐบาลควง อภัยวงศ์ รัฐบาลทวี บุณยเกตุ รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช รัฐบาลควง อภัยวงศ์ รัฐบาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐบาลควง อภัยวงศ์ และ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังรัฐประหารอีก รวม ๙ รัฐบาลด้วยกัน เป็น เวลากว่า ๕ ปี ภายใต้อธิบดีสองคน คือ คุณทวี ตะเวทิกุล และคุณสง่า นิลกำแหง เมื่อคุณสง่าต้องโยกย้ายไปเป็นที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๙๐ กระทรวงสั่งให้ข้าพเจ้ารักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมการเมืองตะวันตก
สมัยรัฐบาลคุณควง อภัยวงศ์ หลังรัฐประหาร ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจา รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามข้าพเจ้าไปพบวันหนึ่งแล้วปรารภว่า คุณหลวง ดิษฐการภักดีกำลังเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากท่านต้องออกไปประจำ ใน ต่างประเทศเสียนาน กลับเข้ามาทางกระทรวงยังไม่ทราบจะวางตัวที่ไหนดี คิดว่า อาจจะร่วมงานกับข้าพเจ้าได้ จึงอยากจะให้มาประจำทางกรมการเมืองตะวันตก ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า ข้าพเจ้ารู้จักมักคุ้นกับคุณหลวงดี เชื่อแน่ว่าร่วมงานกันได้สบาย แต่โดยที่คุณหลวงมีอาวุโสในราชการมาก่อนข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาเดินทาง กลับประเทศไทยผ่านกรุงวอชิงตันในปี ๒๔๘๓ ท่านเป็นเลขานุการสถานทูตแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่า กระทรวงน่าจะตั้งท่านให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการเมืองตะวันตก ซึ่งข้าพเจ้ารักษาการอยู่เสียเลย ข้าพเจ้ายินดีจะเป็นหัวหน้ากองต่อไปตามเดิม หรือ ถ้ากระทรวงจะกรุณา ข้าพเจ้าโดยเห็นว่า ข้าพเจ้ารักษาการอธิบดีอยู่ ก็อาจจะส่งข้าพเจ้าไปประจำ ในต่างประเทศใดก็ได้ ข้าพเจ้าไม่เลือก ท่านรัฐมนตรีกล่าวต่อ ข้าพเจ้าว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ กระทรวงตั้งให้ข้าพเจ้ารักษาการอยู่ก่อนแล้ว ต่อไปข้าพเจ้าควรเป็นตัว สำหรับคุณหลวงดิษฐการภักดีนั้น ท่านจะให้อยู่กรุงเทพฯ ชั่วคราว เท่านั้น เพราะท่านมีดำริจะส่งออกไปเป็นทูตอยู่แล้ว อีกไม่กี่เดือนต่อมาหลวงดิษฐ การภักดีได้รับแต่งตั้งไปเป็นทูตที่สวิตเซอร์แลนด์ อันเป็นประเทศที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชชนนี นับเป็นตำแหน่งสำคัญมาก เพราะใกล้เบื้องพระยุคลบาท ส่วนข้าพเจ้ายังคงรักษาการแทนอธิบดีต่อมา จนกระทั่งรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ได้รับเชิญให้พ้นจากตำแหน่ง พลตรี หม่อมเจ้าปรีดิ เทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงเข้าว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทรงปรารภสอบถาม ข้าพเจ้าดังกล่าวมาข้างต้น และแทนที่จะทรงระแวงข้าพเจ้าตามเสียงลือ กลับกรุณาปรานีเสนอให้เพื่อนเป็นข้าราชการชั้นพิเศษ สมัยนั้นการเลื่อนจากชั้นเอกเป็นชั้น พิเศษ จะต้องทำวิทยานิพนธ์เสนอคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นประธานโดยตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี ท่านปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงเสนอชื่อข้าพเจ้าไปพร้อมกับ ม.ร.ว.ทวยเทพ เทวกุล ข้าพเจ้าทำวิทยานิพนธ์เรื่องการปรับปรุงกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านการซักถามของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนทั้งคณะ โดยท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น ผู้ซักไซ้ไล่เลียงข้าพเจ้าร่วมกับกรรมการอื่น ข้าพเจ้าผ่านการคัดเลือกได้รับเลื่อนชั้น เป็นข้าราชการชั้นพิเศษ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการเมืองตะวันตก เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ปีนั้น ครั้นเมื่อมีการปรับปรุงส่วนราชการในกระทรวงต่างประเทศตามแนวที่ข้าพเจ้าเสนอในปี ๒๔๙๓ มีกรมสหประชาชาติเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีคนแรกของกรมใหม่ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์
ข้าพเจ้ารอดตัวมาได้ เพราะข้าพเจ้ามิได้มีส่วนพัวพันกับการเมืองภายในของ ประเทศไทย ข้าพเจ้าบำเพ็ญตนตามถ้อยคำของท่านปรีดี พนมยงค์ ที่กล่าวต่อที่ ชุมนุมเสรีไทยเมื่อสิ้นสงคราม โดยเคร่งครัดท่านกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “การกระทำ คราวนี้ (การเสรีไทย) มิได้ก่อตั้งเป็นคณะหรือพรรคการเมือง...วัตถุประสงค์ของเรา ที่ทำงานคราวนี้มีจำกัด และมีเงื่อนเวลาสิ้นสุด เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว องค์การ เหล่านี้ก็จะเลิก...การกระทำคราวนี้เป็นการสนองคุณชาติ มิใช่เป็นการกระทำ เพื่อ หวังประโยชน์ส่วนตัวหรือหวังในความก้าวหน้าในหน้าที่การงานแต่อย่างใด” เมื่อเสร็จงานเสรีไทยแล้วข้าพเจ้าก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศ ตามเดิม ไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อการเมือง ภายในเกิดการยื้อแย่งอำนาจกันและกัน ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย
ในฐานะอธิบดีกรมสหประชาชาติ ข้าพเจ้าต้องไปประชุมสมัชชาทุกสมัย เริ่มแต่ ปี ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นปีเกิดสงครามเกาหลี ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้นั่งในคณะกรรมการ ที่หนึ่งของสมัชชา ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาปัญหาการเมืองของสหประชาชาติ เรื่อง เกาหลีตกเป็นภาระของคณะกรรมการที่หนึ่ง สมัชชาสิ้นการประชุมในปลายเดือน ธันวาคมก่อนเทศกาลคริสต์มาส คณะกรรมการที่หนึ่งยังคงประชุมต่อเพื่อติดตาม การศึกในเกาหลี ข้าพเจ้าเลยต้องติดอยู่ที่นครนิวยอร์กเป็นเวลากว่าปี แทนที่จะกลับ ประเทศไทยได้ภายใน ๓ เดือน คณะกรรมการจะมีการประชุมวันใดก็ได้ นัดบอก ล่วงหน้ากันเพียงวันเดียวก็เรียกประชุม ระหว่างที่ไม่มีการประชุมคณะกรรมการฯ ข้าพเจ้าต้องช่วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ผู้ทรงดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยถาวรประจำสหประชาชาติควบกับตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำ กรุงวอชิงตัน โดยที่สมัยนั้นไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกในคณะมนตรีภาวะทรัสตี ข้าพเจ้าจึงทำ หน้าที่ผู้แทนไทยในคณะมนตรีภาวะทรัสตีแทนพระองค์ท่านในการ ประชุมคณะมนตรีสมัยที่ ๘ เดือนกุมภาพันธ์ และสมัยที่ ๙ เดือนพฤษภาคม ๒๔๙๔ ท่านเสด็จมาร่วมประชุมด้วยเป็นครั้งคราวเท่าที่ภาระทางกรุงวอชิงตันจะเปิดโอกาส ให้กระทำได้งานทางคณะมนตรีฯ เป็นงานหนักพอสมควร ที่สำคัญคือต้องพิจารณารายงานประจำปีของประเทศที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองดินแดนในภาวะทรัสตีของสหประชาชาติ ซึ่งมีอยู่กระจายทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกาและ มหาสมุทรแปซิฟิก รายงานแต่ละฉบับที่เสนอมาเป็นหนังสือเล่มโต ข้าพเจ้าต้องอ่าน ทั้งหมดจึงจะสามารถไปซักถามผู้แทนของประเทศที่ปกครองในที่ประชุมคณะมนตรี ภาวะทรัสตีได้
นอกจากการประชุมของคณะกรรมการที่หนึ่งของสมัชชา และการประชุมคณะมนตรีภาวะทรัสตีแล้ว เมื่อมีการประชุมระหว่างประเทศอื่นใดที่ประเทศไทย ต้องส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วยที่นครนิวยอร์กหรือเมืองอื่น ข้าพเจ้าเป็นต้องได้รับ คำสั่งให้ทำ หน้าที่นั้นอีก เช่น ประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษแห่งสหประชาชาติ และคณะกรรมการกฎหมายของการการบินพลเรือนระหว่างประเทศที่กรุงเม็กซิโก คณะกรรมการกองทุนฉุกเฉินระหว่างประเทศสำหรับเด็ก ฯลฯ
ระหว่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติราชการอยู่ทางนิวยอร์กนั้น ได้ฟังข่าววิทยุกระจายเสียง ว่า เมื่อ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ ท่านนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปเป็น ประธานในพิธีรับมอบเรือขุดชื่อ “แมนฮัตตัน” ที่รัฐบาลอเมริกันมอบให้แก่ ประเทศไทยตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางเทคนิค อุปทูตอเมริกันเป็นผู้กล่าวมอบในนามของรัฐบาลอเมริกัน ท่านจอมพลเป็นผู้รับมอบ ในนามของรัฐบาลไทยที่ท่าราชวรดิฐ เมื่อเสร็จพิธีกล่าวมอบและรับกันบนบกแล้ว ท่านจอมพลเดินไปเจิมหัวเรือ แล้วขึ้นไปบนเรือคล้องพวงมาลัยที่หัวเรือตามพิธีของไทย ขณะกำลังเดินจะลงจากเรือถูกนาวาตรี มนัส จารุภา เชิญแกมบังคับให้ลงจาก เรือแมนฮัตตันไปขึ้นเรือเปิดหัวที่มาจอดรออยู่แล้ว ท่ามกลางความตกตะลึงงงงัน ของบรรดาแขกรับเชิญในพิธีอย่างอธิบายไม่ถูก ครั้นแล้วเรือเปิดหัวแล่นออกจากบริเวณท่าราชวรดิฐไปอย่างรวดเร็ว มุ่งไปที่เรือรบหลวงศรีอยุธยา เป็นอันว่า ท่าน จอมพลถูกทหารเรือควบคุมตัวไว้เป็นประกันในการจะเรียกร้องทางการเมืองต่อไป
เมื่อขาดนายกรัฐมนตรี นายวรการบัญชา เข้ารักษาการแทนนายกรัฐมนตรี เริ่มเปิดการเจรจาขอตัวนายกรัฐมนตรีคืนโดยสันติ ฝ่ายทหารเรือยังไม่ยอมปล่อย จึงเกิดการใช้กำลังขึ้น รุ่งขึ้นวันที่ ๓๐ ตอนบ่าย เครื่องบินกองทัพอากาศได้รับคำสั่งให้ เข้าโจมตีเรือรบหลวงศรีอยุธยา เกิดไฟไหม้เรือจม ท่านจอมพลสามารถผละเรือ โดดลงนํ้าว่ายเข้าหาฝั่งทหารเรือทางธนบุรีแทนที่จะเข้าฝั่งพระนคร เพราะเกรงจะ ต้องกระสุนหลงของฝ่ายโจมตีเรือรบหลวง นายทหารเรือพาท่านขึ้นบกไปพบกับ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ที่กองบัญชาการกองทัพเรือในพระราชวังเดิม ทำความ เข้าใจกันได้เป็นที่เรียบร้อย ฝ่ายทหารเรือพาตัวมาส่งที่กองบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล ในวังปารุสกวัน
จากปากคำของนายทหารเรือผู้ทำการจับกุมท่านจอมพล ที่ฝ่ายทหารเรือคิด ทำการขึ้นครั้งนั้น ก็เพราะเห็นว่า รัฐบาลมีความเหลวแหลกมาก รัฐมนตรีหลายคน ทำความชั่วร้ายใช้อำ นาจหน้าที่ในทางทุจริต กอบโกยเอาผลประโยชน์ส่วนตัวโดย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของอาณาประชาราษฎร บุคคลในคณะรัฐประหารบางคนใช้ อิทธิพลแสวงหาประโยชน์เข้ากระเป๋าพรรคพวกตนเองเท่านั้น แต่เมื่อฝ่ายก่อการ ปฏิบัติการไม่สำเร็จ เนื่องจากการปราบปรามอย่างเฉียบขาดของกองทัพบกและ กองทัพอากาศ กองทัพเรือจึงเป็นฝ่ายต้องรับเคราะห์ ในทางตรงกันข้ามมีการ เสริมสร้างสมรรถภาพของกองทัพบกและกรมตำรวจให้เข้มแข็งขึ้น บุคคลสำคัญของ ประเทศไทยช่วงนั้นเห็นจะได้แก่ พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ด้านทหารบก และ พลตำ รวจโท เผ่า ศรียานนท์ ด้านตำรวจ
การคลี่คลายไปในทางนี้ ความจริงก็ไม่สู้จะดีนักสำหรับประเทศชาติ เพราะ ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับทะเลรอบด้าน การรักษาความมั่นคงชายฝั่งมีความ สำคัญไม่น้อย เมื่อการลิดรอนอานุภาพของกองทัพเรือ สามารถขจัดความยุ่งยาก ทางการเมืองภายในประเทศไทยได้ทางหนึ่งก็จริง แต่ก็เป็นการเสี่ยงหาน้อยไม่ถ้า คำนึงถึงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากภายนอกต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทย กำลังทัพเรือจะถูกนํ้านั่นกดดันไม่ให้โงหัวขึ้นมาได้ตลอดไป ส่วนการสร้างสมกำลังตำรวจนั้นเล่า หากเป็นเพื่อการรักษาความสงบภายในประเทศเท่านั้น ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและน่าภาคภูมิใจ แต่ถ้าเลยจุดสมควรจุดหนึ่งกลายเป็นการสร้างกองทัพ ตำรวจขึ้นแข่งกับกองทัพบกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ก็อาจจะเป็นบ่อเกิดแห่งการระแวงสงสัยระหว่างทหารบกกับตำรวจซึ่งต่างมีหัวหน้าผู้นำที่เข้มแข็ง ถ้าหัวหน้าสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ก็ดีไป แต่วันใดที่มีความขัดแย้งกันขึ้น เสถียรภาพของบ้านเมืองก็สั่นคลอนตกเป็นภาระแก่ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่จะต้องประสานทุกฝ่ายให้เข้ากันอย่างสมานฉันท์ ซึ่งเป็นความ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในสมัยนั้น อันเป็นสมัยที่คอมมูนิสต์กำลังขยายตัวเข้าไปได้ อำนาจเด็ดขาดในประเทศจีนในปี ๒๔๙๒ เขยิบลงมาทางเกาหลีในปี ๒๔๙๓ และ จะพุ่งเข้าอินโดจีนรำ มะร่ออยู่แล้ว หากภายในประเทศไทยเกิดสามัคคีเภทกันขึ้น ชะตากรรมของบ้านเมืองดูจะหมิ่นเหม่เต็มที
ส่วนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอาศัยการใช้กำลัง โดยไม่เป็นไปตามวิถีทางอันชอบของรัฐธรรมนูญ หรือโดยการข่มขู่บีบบังคับ นอกจาก บั่นทอนความเป็นปึกแผ่นภายในแล้ว ยังจะทำให้ต่างประเทศผู้เป็นมิตรมองเราด้วย ความห่วงใย และฝ่ายประเทศที่ไม่หวังดีก็อาจจะถือเป็นโอกาสทองที่จะรุดหน้า เข้ามาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของเขา หลังสงครามประเทศไทยมีปัญหา ทางการเมืองต่างประเทศหลบแฝงฟักตัวอยู่รอบด้าน เป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลที่ จะต้องพยายามแก้ไขลดความผูกพันให้น้อยลงจนกว่าจะหมดสิ้นกลับเข้าสู่สภาวะ ปกติ การเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารทุกครั้งย่อมทำให้ความสำเร็จที่คาดหวังไว้ต้อง ชะงักเลื่อนลอยไปอีกระยะหนึ่ง ดังจะเห็นได้ในบทต่อไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการ แสดงออกว่า ประเทศไทยเรานี้ปกครองด้วยพลเรือนไม่ได้ ต้องอาศัยอำ นาจทหาร ซึ่งเป็นสถาบันประจำ ของชาติคู่เคียงกับสถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนา เมื่อ สถาบันทหารเกิดแตกแยกกัน อนาคตของชาติดูจะหม่นหมองเอาการอยู่ ข้อวิตก กังวลเหล่านี้หมุนเวียนในสมองของข้าพเจ้าซึ่งเพิ่งจะได้รับยกย่องอยู่ในกลุ่มที่เรียก ว่า “ข้าราชการประจำชั้นผู้ใหญ่” ชั้นที่พอจะมีเสียงในการเสนอแนะแนวข้อคิดเห็น เพื่อประกอบการกำ หนดนโยบายของรัฐบาล โดยต้องระมัดระวังมิให้ตัวเองถลำลํ้า เข้าไปในวงกตการเมืองที่ขาดความจีรังยั่งยืน
นายวิตติงตัน อุปทูตอังกฤษ ส่งโทรเลขลับที่ ๔๙ ลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๙๔ รายงานกระทรวงต่างประเทศเกี่ยวกับสาเหตุของกบฏแมนฮัตตันว่า ผู้สังเกตการณ์ เมืองไทยตั้งสมมุติฐานไว้หลายประการ ที่กล่าวขานกันมากที่สุดดูจะเป็นในทางที่ว่า นายกรัฐมนตรีเองมีส่วนอย่างลับ ๆ กับแผนการ โดยได้ทำความเข้าใจกับท่านปรีดี พนมยงค์ และพลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อเหนี่ยวรั้งพวก ทหารบกและตำรวจภายใต้การนำของพลเอก ผิน ชุณหะวัณ พลตำรวจโท เผ่า ศรี ยานนท์ ผู้เป็นเขย และพลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และอุปทูตเองเชื่อว่า การจับตัว จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นเพียงฉากแรกของบทละคร หากแต่พลาดท่าเสียที ฉากอื่นจึงมิได้ออกแสดง พลตำ รวจโท เผ่า ศรียานนท์ แจ้งต่อนายลัมแบร์ก เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตว่า นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกานนท์ ร่วมมือ กับพลเรือตรีทหาร ขำ หิรัญ อดีตผู้บัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งทางการกำลังติดตาม จับตัวอยู่ พลตำรวจโท เผ่าเชื่อว่าพลเรือตรีทหาร ขำ หิรัญ มีการติดต่อกับสถานทูต โซเวียต จากข่าวลือหลายกระแสเข้าใจว่า พวกทหารที่ปฏิบัติการคราวนั้นเป็นฝ่าย นิยมท่านปรีดี ผู้นำของกองทัพเรือไม่ทันทราบเรื่องก่อน ความปั่นป่วนในกองทัพ เรือเริ่มเกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีถูกจับตัว
การกล่าวอ้างของพลตำรวจโทเผ่าเรื่องการติดต่อกับสถานทูตโซเวียต ยืนยัน ถ้อยคำ ของท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่กล่าวต่ออุปทูตเมื่อนำ เซอร์จอห์น สเตอร์นเดล เบ็นเน็ทท์ ไปพบในวันที่ ๙ กรกฎาคมว่า ฝ่ายคอมมูนิสต์มีส่วนพัวพัน กับแผนการแมนฮัตตันแน่นอน เพราะมีหลักฐานในวันที่เกิดเหตุสถานทูตโซเวียตได้ จ่ายเงินเพื่อขยายการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมูนิสต์ในวงการทหารเรือ อุปทูตเอง ยังไม่สู้จะเชื่อถือนัก และก็ไม่อยากสรุปเอาว่า คอมมูนิสต์ไม่มีส่วนใด ๆ ในแผนการ แมนฮัตตัน แต่อุปทูตรู้สึกว่ารัฐบาลมีเหตุผลที่อยากจะพิสูจน์ว่า คอมมูนิสต์ริเริ่ม และสนับสนุน เพื่อเป็นทางจูงใจให้สหรัฐอเมริกาเชื่อว่า แผนการมิได้เกิดขึ้นเนื่องจาก พวกหัวรุนแรงที่ขาดความรับผิดชอบเพียงน้อยคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ เข้าใจว่า รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดข้อกังขาต่อไปว่า จะสมควรให้ความช่วยเหลือทางทหารและทางอื่น ๆ ให้แก่ประเทศไทยหรือไม่ ตรงข้ามถ้าแผนการเป็นของคอมมูนิสต์ที่ถูกปราบปรามลงได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเป็นการแสดงว่า ภัยคอมมูนิสต์มีจริงในประเทศไทย รัฐบาลควรได้รับความช่วยเหลือทางอาวุธจากสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ เปิดโอกาสให้ กลุ่มทหารสามารถกำจัดศัตรูทางการเมือง การขอร้องของอุปทูตอเมริกันและ อังกฤษ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่อยาก ให้มีการนองเลือดนับว่าได้ผล เพราะทางรัฐบาลได้ประกาศเปิดเผยว่าจะดำเนินการ กับผู้กระทำผิดอย่างยุติธรรมและไม่รุนแรง แต่ถ้าสามารถป้ายสีคอมมูนิสต์ให้แก่ ศัตรูทางการเมืองผู้ใด ก็จะเป็นข้อแก้ตัวที่ดีในการปฏิบัติรุนแรง เพราะคาดหวังว่า ฝ่ายอังกฤษและอเมริกันคงจะไม่ขัดขวาง
อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คณะกรรมการปรับปรุงกองทัพเรือที่รัฐบาล แต่งตั้งขึ้นส่งข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้คือ
๑. ให้ย้ายฐานทัพเรือจากกรุงเทพฯ ออกไปอยู่สัตหีบ
๒. ให้โอนกำลังทางอากาศของทหารเรือไปรวมกับกองทัพอากาศ
๓. ลดกำลังพลนาวิกโยธินให้เหลือเพียงกองพันเดียว นอกนั้นให้รวมกับกองทัพบก
๔. ภาระหน้าที่ของกองทัพเรือจำกัดเฉพาะการลาดตระเวนชายฝั่ง การวางทุ่น ระเบิด และการป้องกันเรือดำ นํ้า
ผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่ต้องฟังคำสั่งจากพลเอก ผิน ปัญหาความห่วงใย ตอนนั้นก็คือ จะทำอย่างไรกับบรรดานายทหารเรือที่ถูกปลดเป็นจำนวนมาก เพราะ ถ้าปล่อยให้อยู่โดยลำพังอาจเป็นภัยได้ในภายหลัง
เมื่อเปิดประชุมรัฐสภาใหม่ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๔ ทางวุฒิสภามีการเปิด อภิปรายซักฟอกรัฐบาลเกี่ยวกับกรณีแมนฮัตตันอย่างกว้างขวาง วุฒิสมาชิกหลาย คนถือว่าที่เกิดความพยายามจะเปลี่ยนรัฐบาลนั้น เนื่องจากการขยายตัวของการ ฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ การค้าฝิ่นเถื่อนโดยบุคคลในคณะรัฐบาลบางคน อัตราค่าครองชีพสูงแพงขึ้นโดยรัฐบาลไม่สามารถจัดการแก้ไขอย่างใด และทหาร ผู้ถืออาวุธใช้อิทธิพลในการแต่งตั้งบุคคลในคณะรัฐมนตรีเกินสมควร ทำให้เกิดความ ไม่พอใจในคณะทหาร มีการยึดอำนาจจากการปกครองประเทศโดยคณะบริหาร ประเทศชั่วคราว ประกอบด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ๙ ท่าน เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ยุบรัฐสภา และนำรัฐธรรมนูญฉบับเดิม พุทธศักราช ๒๔๗๕ กลับมาใช้ใหม่ มีสภาฯ เดียวตามเดิมแต่แยกสมาชิกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งได้รับการเลือกตั้งจากราษฎร และอีกประเภทหนึ่งด้วยการแต่งตั้ง โดยกำหนดให้สมาชิกประเภทแต่งตั้ง มีจำนวน ๑๒๓ คน ทำหน้าที่นิติบัญญัติไปพลางก่อนระหว่างรอการเลือกตั้งทั่วไป รุ่งขึ้นวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชั่วคราว โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไป หลวงวิจิตรวาทการเข้าว่าการกระทรวงการคลัง นายวรการบัญชาว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายวัลลิงเจอร์ เอกอัครราชทูตอังกฤษ ส่งโทรเลข ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษว่า การปกครองโดยรัฐสภาดูจะถึงจุดจบลงแล้วใน ประเทศไทย อย่างน้อยก็ชั่วคราว ฝ่ายค้านทางการเมืองต้องถูกกีดกันออกจากตำแหน่ง มีการห้ามมิให้ประชุมทางการเมืองและการควบคุมทางหนังสือพิมพ์ การเปลี่ยนแปลงทำ สำเร็จโดยไม่ถึงกับต้องยิงปืนแม้แต่กระสุนเดียว และไม่มีปฏิกิริยาทักท้วงอย่างใดจากประชาชน เอกอัครราชทูตทำนายด้วยว่า สภาใหม่จะเริ่มด้วยการตรากฎหมายเป็นปฏิปักษ์ต่อคอมมูนิสต์ ซึ่งเท่ากับเป็นการผลักดันให้ คอมมูนิสต์หนีลงใต้ดิน
ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นพอดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน นิวัตประเทศไทยถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม คณะบริหารประเทศชั่วคราว นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กลับใช้ รัฐธรรมนูญฉบับเดิมลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ พร้อมด้วยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่ม เติมว่าด้วยนามประเทศพุทธศักราช ๒๔๘๒ และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วย บทเฉพาะกาล พุทธศักราช ๒๔๘๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็น ไปตามความประสงค์ของคณะบริหารประเทศชั่วคราว เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม และ ในวันเดียวกันนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม
รัฐบาลเสนอนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรที่ประกอบด้วยสมาชิกแต่งตั้งประเภท เดียวรวม ๑๒๓ คน เมื่อวันที่ ๑๑ และได้รับความไว้วางใจเป็นเอกฉันท์ในวันนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๙๕ สภาฯ ตั้งคณะกรรมการวิสามัญ ๒๕ ท่าน พิจารณาปรับปรุงรัฐธรรมนูญเพื่อให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ยิ่งขึ้นมีพลเอก ผิน ชุณหะวัณ เป็นประธานสภามีมติเห็นชอบด้วยกับรัฐธรรมนูญที่ปรับปรุงใหม่ นำขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ทรงพระราชดำริเห็นสมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติ ให้ประกาศใช้บังคับได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม เป็นต้นไป ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปได้จัดให้กระทำกันเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ได้ผู้แทนราษฎรอีก ๑๒๓ คน เท่ากับสมาชิกประเภทแต่งตั้ง ประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎรครบคณะตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เปิดประชุมสมัยสามัญครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม คณะรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่ง มีการหารือภายในระหว่างสมาชิกทั้งสองประเภท เป็นอันตกลงให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เมื่อวันที่ ๒๘
รัฐบาลใหม่เสนอนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๓ เมษายน สภาฯ อภิปรายกันเป็นเวลา ๒ วัน ลงมติให้ความไว้วางใจโดยคะแนนเสียง ๑๖๗ ต่อ ๖๔ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ ในด้านกระทรวงการต่างประเทศ เราได้นักการทูตอาชีพระดับโลก คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า วรรณไวทยากร ทรงเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ มิใช่นักการเมืองสมัครเล่น อย่างที่เคยมาเป็นเวลานานปี และสำคัญก็คือเนื่องจากพระองค์ท่านเป็นปราชญ์ ทางการต่างประเทศที่ทุกคนยอมรับนับถือและยกย่อง ความคิดเห็นของพระองค์ น่าจะเป็นที่รับฟังของคณะรัฐบาลโดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น บรรดา ข้าราชการในกระทรวงคาดหวังกันว่าตั้งแต่นั้นไป การปฏิบัติงานของกระทรวงการ ต่างประเทศจะดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อยราบรื่น และไม่มีนักการเมืองสมัครเล่น อื่นสั่งเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการต่างประเทศตามอำเภอใจอีก
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 12 : ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 14 : นายสุนี เทพรักษา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 15 : การกระชับงานต่อต้าน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 16 : อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 17 : ไทยประกาศสันติภาพ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 18 : การทำข้อตกลงทางทหารกับฝ่ายสหประชาชาติ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 19 : ท่านทูตเสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 20 : การเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนคร
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 21 : กำลังทหารบริติชเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 22 : การเจรจาเลิกสถานะสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 23 : ฝรั่งเศสแซงเรียกร้องจากไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 24 : การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 25 : ไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 26 : คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 27 : ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม ภาค 1 บทบาทของเสรีไทย