วาระครบรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย นับเป็นโอกาสอันดีในการทบทวนบทเรียนในอดีต นำมาวิเคราะห์ปัจจุบัน และคาดการณ์ไปยังอนาคต ทำอย่างไรสังคมไทยจะช่วยกันรักษาเอกราชและอธิปไตยให้มั่นคงได้ภายใต้ระบบพหุขั้วอำนาจ ทำอย่างไรให้เกิดสันติภาพและการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติ ทำอย่างไรให้ ความขัดแย้งของขั้วการเมืองภายในประเทศ แก้ไขด้วยวิถีทางแห่งกฎหมาย มีระบบและกลไกในการไม่ให้ “เชื้อไฟของความขัดแย้ง” ลุกลามเป็นความรุนแรงและสงครามกลางเมือง
การจัดงาน “วันสันติภาพไทย” ในวันนี้ ก็เพื่อให้สังคมไทยได้ใช้โอกาสนี้ในการทบทวนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตยและรักชาติอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ถูกครอบงำด้วยกระแสที่สร้างความเกลียดชัง เท่าทันต่อกระแสชาตินิยมสุดขั้ว หรือแนวคิดคลั่งชาติ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง จนนำมาสู่การขยายวงของความขัดแย้งและนำมาสู่สงครามที่ลุกลามใหญ่โตได้
เราสามารถรักษาอธิปไตยได้พร้อมกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยุทธศาสตร์ปกป้องอธิปไตย ปกป้องดินแดน สามารถใช้แนวทางสร้างสันติภาพเชิงรุกได้ การหยุดยิงเพื่อเจรจา จะช่วยรักษาชีวิตประชาชน ชีวิตทหาร และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สินได้
ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาที่ผ่านมา ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยและประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนไม่น้อย ผู้คนหลายหมื่นคนต้องอพยพย้ายถิ่น การค้าชายแดนเสียหายหลายหมื่นล้านบาท การประกอบอาชีพตามแนวชายแดนหยุดชะงัก
ปัจจุบัน และอย่างน้อยสองทศวรรษข้างหน้านี้ ไทยรวมทั้งอาเซียนจะเป็นพื้นที่แห่งการช่วงชิง เข้ามามีบทบาท แย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของสองมหาอำนาจ คือ จีน และสหรัฐอเมริกา รวมถึงมหาอำนาจอื่นๆ โลกจะเคลื่อนตัวสู่ระบบพหุขั้วอำนาจมากยิ่งขึ้น ความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามเย็นถดถอยลง
กุศโลบายในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายสันติภาพเชิงรุกและยุทธศาสตร์เพื่อเอกราชและอธิปไตยจึงมีความสำคัญยิ่งสำหรับไทย ประเทศซึ่งมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาค สามารถเชื่อมโยงกับทุกประเทศอาเซียนได้ จึงต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงและโอกาสมากกว่าประเทศอื่นๆ
หากดำเนินการหรือตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ไม่ดีพอ อาจนำประเทศเข้าสู่ทศวรรษแห่งความถดถอยและความยุ่งยากเสียหายได้ หากมีการวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม มีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ในการนำพาประเทศสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทย หากไม่ฉกฉวยและมุ่งมั่นให้บรรลุเป้าหมายแล้ว โอกาสก็จะผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
ยิ่งสถานการณ์ระหว่างประเทศ และ ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์มีความขัดแย้งรุนแรงซับซ้อนมากเท่าไหร่ ขีดความสามารถทางนโยบายของไทยต้องมีความยืดหยุ่น เท่าทัน เพื่อรับมือความท้าทายต่างๆ อย่างรอบด้าน โดยรัฐบาลพลเรือนภายใต้ระบอบประชาธิปไตยต้องแสดงบทบาทผู้นำอันเข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ และยึดถือประโยชน์ของสาธารณชน หากรัฐบาลล้มเหลว เราก็จะไม่มีหลักประกันใดๆ ต่ออธิปไตย ต่อระบอบประชาธิปไตยยังดำรงอยู่ต่อไปได้ และจะเป็นการเปิดทางให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่สงครามขัดแย้งใหญ่โต พร้อมกับการฟื้นกลับมาอีกครั้งหนึ่งของระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงของความขัดแย้งเรื่องดินแดนจะยังคงอยู่ในระดับสูงหากกัมพูชายังอยู่ภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ หากมีการเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นในกัมพูชา ซึ่งก็เป็นความหวังที่ริบหรี่มาก แต่ว่าผมเชื่อมั่นในพลังของประชาชน ว่าในที่สุดประชาชนกัมพูชาต้องเปลี่ยนแปลงประเทศของเขาให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สันติภาพก็จะเกิดขึ้น ความเสี่ยงของความขัดแย้งเรื่องดินแดนจะลดลง เมื่ออำนาจของประชาชนเพิ่มขึ้น โอกาสของสงครามจะลดลง เพราะประชาชนไม่ได้ต้องการสงคราม คนที่ต้องการสงครามคือ “ชนชั้นนำ” ที่ต้องการรักษาอำนาจ เป็นเรื่องความทะเยอทะยานส่วนบุคคลในหลายกรณี เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและเครือข่าย
บทบาทการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยและการดำเนินการทางการทูตที่เท่าทันต่อสถานการณ์ คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทย “รอดพ้น” จากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม การดำเนินการยุทธศาสตร์ “สันติภาพเชิงรุก” ของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เริ่มตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองประทุขึ้น วิสัยทัศน์สันติภาพได้ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์และนวนิยาย “พระเจ้าช้างเผือก”
ทุนนิยมโลกภายใต้ฉันทามติวอชิงตันกำลังถูกท้าทายมากขึ้น ระบบทุนนิยมโลกเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคศูนย์กลางโลกหลายศูนย์กลางโดยที่เอเชียตะวันออกเคลื่อนตัวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับ นโยบายการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลก และการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทาง “ฉันทามติวอชิงตัน” โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นโต้โผใหญ่นั้นถูกท้าทายมากขึ้น พลวัตเศรษฐกิจของระบบพหุขั้วอำนาจเป็นสิ่งท้าทายต่อประเทศไทย
“ขบวนการเสรีไทย” และ “วันสันติภาพไทย” ทำให้เรานึกถึงการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตยอย่างไม่ยอมจำนน และเป็นการปลูกฝังให้ยุวชนรุ่นหลังรักสันติภาพ อีกทั้งเป็นการประกาศให้นานาประเทศรับรู้เจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยที่ยึดมั่นอุดมการณ์แห่งการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติและเอื้ออาทรต่อกัน เราเคยมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพในกัมพูชาสมัยสงครามกลางเมืองในกัมพูชา เราปรับเปลี่ยน “สนามรบ” เป็น “สนามการค้า” ในสมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ นำมาสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน และชีวิตความเป็นอยู่อย่างสันติของประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดน
“สันติภาพต้องเป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการ เราไม่สามารถสร้างสันติภาพได้ด้วยกำลังกดขี่ ด้วยความรุนแรง แต่ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการสร้างความเป็นธรรม ด้วยมนุษยธรรม ด้วยประชาธิปไตย ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเข้าใจและเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์”
สังคมไทยจำเป็นต้องตระหนักว่า “สงคราม” มิได้จำกัดอยู่เฉพาะการใช้อาวุธ หากยังรวมถึงสงครามแห่งอารมณ์และวาทกรรมคลั่งชาติที่บ่อนทำลายความเป็นมนุษย์ ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อมวลชนทุกแขนงมีหน้าที่นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน รับผิดชอบ ไม่ตกเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง หรือปลุกเร้ากระแสชาตินิยมสุดโต่งที่อาจนำสังคมไทยไปสู่เส้นทางแห่งความหายนะได้
ปรีดี พนมยงค์ เคยเตือนไว้ว่า “เป็นความจำเป็นและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ที่จะต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสงครามเย็นและสงครามประสาท” “การทำสงครามนั้นมิใช่กีฬาธรรมดา หากเอาชาติเป็นเดิมพัน”
คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ คือคุณค่าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศไทย ซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญทางจริยธรรมในการยืนหยัดต่อต้านกระแสสงครามในนามของ “ความรักชาติ” เราจึงขอเตือนสังคมไทยให้มีสติ ระวังต่อความกระหายสงคราม ที่แฝงมากับวาทกรรมปลุกเร้าเกลียดชัง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลาย และบ่อนทำลายโอกาสของสันติภาพในระยะยาว
หมายเหตุ :
- ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=CLtw0OJ-aHw
ที่มา :
- PRIDI Talks #32 อนาคตไทย-อาเซียน : ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 - 12.30 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์