Focus
- ศักดิชัย บำรุงพงศ์ เจ้าของนามปากกา เสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นอดีตประธานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ คนที่ 2 เป็นนักการทูต นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนเจ้าของรางวัลศรีบูรพา และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533
- ในแวดวงวรรณกรรม ศักดิชัยมีนามปากกาหลายนามได้แก่ โบ้ บางบ่อ, สุจริต พรหมจรรยา, กรัสนัย, โปรชาติ, คมนศานติ, วัลยา ศิลปวัลลภ, ๑๒๒๒, สีปอย อ่องคำ, แทน นราธร, หนานสีมา และนามปากกาที่มีผลงานยอดนิยมคือ เสนีย์ เสาวพงศ์ โดยผลงานสำคัญในนามปากกานี้คือ “ชัยชนะของคนแพ้” นวนิยายเรื่องแรกซึ่งเขียนเมื่อเข้ารับราชการในกระทรวงต่างประเทศและยังคงเขียนอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่รับราชการ นวนิยายที่เขาเขียนในช่วงนี้ส่วนใหญ่จึงมีที่มาจากประสบการณ์ในการทำงานยังต่างประเทศในฐานะนักการทูต งานของเขามีประเด็นทางสังคมที่แหลมคม และมีหลากแนว ทั้งอาทิ นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล กวีนิพนธ์ คอลัมน์ หรือแม้แต่แบบเรียน ซึ่งผลงานเล่มสำคัญที่สะท้อนอุดมคติทางการเมืองและสังคมของสามัญชนคือ นวนิยายเรื่อง “ปีศาจ” และ “ความรักของวัลยา” โดยวลีแหลมในนวนิยายเรื่องปีศาจที่ได้รับการกล่าวถึงจากอดีตจนถึงคนรุ่นใหม่คือ “ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว”
- บทความนี้ของศักดิชัยสะท้อนให้เห็นอุดมคติในการทำงานเพื่อชาติของศักดิชัยและนักศึกษาธรรมศาสตร์ในยามสงครามโลกครั้งที่ 2 จากบันทึกความทรงจำที่เขียนขึ้นในเวลาต่อมา
1.
วันนั้นจะเป็นวันอะไร เดือนอะไร และปีอะไร ผมจําไม่ได้ และยังไม่คิดจะสอบค้น เพราะผมไม่คิดว่าจะเขียนประวัติศาสตร์ สําหรับคนรุ่นใหม่มันเป็นประวัติศาสตร์ แต่สําหรับคนรุ่นผม เป็นความทรงจํา ผมรู้สึกว่า เมื่ออายุมากขึ้น ความทรงจํายิ่งสั้นลง ฉะนั้น เมื่อจะอ้างตัวเลขวันเดือนปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นานมาแล้ว ผมจึงไม่ไว้วางใจความทรงจําของตน
ระยะนั้นเป็นเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีกองทัพญี่ปุ่นอยู่ในเมืองไทย การสู้รบในยุโรปได้มีมาหลายปีแล้ว และในเอเชียก็มีมาเป็นเวลาปี ๆ แล้วเหมือนกัน แต่สงครามเรียกไม่ได้ว่าเป็นภาวะปกติ มันจะต้องยุติลงสักวันหนึ่ง แต่จะเป็นเมื่อใดและอย่างไรยังไม่มีใครจะทราบได้
ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่า สงครามมิได้หมายถึงกิจกรรมของทหารในสนามรบทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ หรือการโฆษณาคารมทางวิทยุกระจายเสียง ประเทศที่พัวพันในการสงครามได้กระทําการทุกอย่างเพื่อให้สงครามจบลงในทางที่ตนต้องการ ดังนั้น จึงมีกิจกรรมอีกมากมายของคู่ศึกและพันธมิตรของคู่ศึกที่กระทํากันอย่างเงียบ ๆ ซ่อนเร้น แอบแฝง และเสี่ยง
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผมเริ่มต้นด้วยมีผู้พาเราไปยังบ้านแห่งหนึ่งทางฝั่งขวาของแม่น้ําเจ้าพระยา เราในที่นี้ หมายถึงเพื่อนสองคนและตัวผม ซึ่งมาจากแหล่งที่ทํางานเดียวกัน รู้จักนิสัยใจคอ และเป็นเพื่อนฝูงกันมานาน ที่บ้านหลังนี้เราได้รับการแนะนําให้รู้จักกับบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเราไม่รู้จักคุ้นเคยมาก่อน เขาเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ร่วมกับเรา รวมเป็นสี่คนด้วยกัน แต่บุคคลผู้นี้อยู่ไม่กี่วันก็แยกไป มีคนใหม่มาแทน คนที่มาใหม่เป็นผู้ที่มาจากแหล่งเดียวกันอีก และเป็นเพื่อนฝูงสนิทสนมกันเป็นอันดีมาแล้ว จึงทําให้พวกเรารู้สึกสบายใจในการทํางานเป็นอย่างมาก
แต่ก่อนที่ผมจะไปยังบ้านหลังนั้น ท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เรียกผมไปพบและพูดจากันสองต่อสอง ท่านอธิบายถึงภาวะบ้านเมืองการศึกสงคราม แล้วย้ำว่า ในที่สุดพันธมิตรจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ เพื่อที่จะไม่ให้ประเทศชาติต้องตกอยู่ในฝ่ายปราชัย และเพื่อให้รอดอยู่ได้ภายหลังสงครามอย่างเอกราชและมีอธิปไตย เราจะต้องต่อสู้กู้เกียรติยศของตนเองโดยไม่มีทางอื่นจะเลือกได้ และการต่อสู้นั้นจะเป็นการเกื้อกูลแก่การทําศึกสงครามของฝ่ายพันธมิตรซึ่งเป็นค่ายประชาธิปไตยและสังคมนิยม
ในการนี้ได้มีการติดต่อกับฝ่ายพันธมิตรที่มีส่วนรับผิดชอบในการดําเนินสงครามในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นรูปร่างขึ้นแล้ว งานใต้ดินได้ขยายกว้างออกไปมากและต้องการคน โดยที่ไม่มีเวลาพอจะฝึกคนสําหรับหน้าที่การงานที่ขยายตัวออกไปหลายด้าน จึงจําเป็นต้องใช้คนที่พอมีพื้นความรู้อยู่บ้าง มีสามัญสํานึกที่จะตัดสินใจในการปฏิบัติงานและแก้ปัญหาเองได้ในเวลาคับขัน เพราะอาจจะติดต่อรับคําสั่งจากสายงานชั้นสูงขึ้นไปไม่ได้ทันท่วงที ท่านบอกว่า งานนี้เป็นงานที่เสี่ยง และถ้าทําก็ถือว่าเป็นการเสียสละเพื่อประเทศชาติที่จะไม่มีการตอบแทนใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อเสร็จการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปสู่สภาพเดิมของตน
ผมตอบท่านว่า ครับ
ท่านบอกว่าจะส่งไปอยู่ค่ายอังกฤษ รายละเอียดอื่น ๆ จะรู้เองภายหลังเมื่อถึงเวลา และให้ถือทุกอย่างเป็นความลับ
2.
บ้านหลังนั้นเป็นเรือนไม้สองชั้น ทาสีเขียวแก่ค่อนข้างเก่า มีรอยสีกะเทาะ เพราะกรําแดดและฝน ข้างหลังบ้านเป็นชานมีฝากั้นครัวและห้องน้ํา ชั้นบนมีห้องโถง ห้องนอนราวสามสี่ห้อง มีเตียงนอนและหมอนมุ่ง โต๊ะเก้าอี้ สําหรับเขียนหนังสือ และสําหรับนั่ง หรือเอนหลัง หน้าต่างทุกบานทั้งชั้นบนและชั้นล่าง มีผ้าม่านสีดำซึ่งกางไว้จนเกือบเต็มหน้าต่าง ทั้งนี้ ไม่เป็นของแปลกประหลาดอันใด เพราะเป็นการพรางไฟระหว่างสงคราม
ชั้นล่างด้านหน้ามีระเบียงยาวตลอดตัวเรือน เลยออกไปเป็นสนามยาวสักสิบวาแล้วก็ถึงตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีท่าน้ำปูด้วยไม้สำหรับจอดเรือขึ้นลง ด้านข้าง ๆ มีบันไดทอดลงไปในน้ำ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ทางด้านซ้ายมือใกล้กับตลิ่ง
หลังบ้านเป็นสวนยกร่อง มีชมพูขึ้นอยู่หลายต้น แต่ละต้นใหญ่มาก และกำลังติดลูกเล็ก ๆ ที่ฝอยเกษรยังติดอยู่ตอนปลายเป็นกระจุก และมีร่วงหล่นอยู่รอบโคนต้น ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ รอบบ้านล้อมด้วยรั้วสังกะสีสูงกว่าระดับศีรษะ
เราไปถึงบ้านเวลาบ่าย น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากำลังไหลเอ่อ เรือแพสัญจรไปมาตามปกติ เบื้องหน้าบ้านทางฝั่งพระนครเป็นท่าช้างวังหน้า ผู้ที่นำเราไปยังบ้านนี้คอยอยู่จนกระทั่งมีคนอีกสองคนเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งสองคนหอบอะไรบางอย่างที่คลุมด้วยผ้ามิดชิดมาด้วย ผู้ที่พาเรามาแนะนำให้เรารู้จักกับสองคนที่มาใหม่ว่า สองคนนี้มีหน้าที่อะไร แต่ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร แล้วก็ลากลับไป บอกว่าค่ำ ๆ จะมาใหม่
เราเข้าไปรวมกันอยู่ในห้อง ผู้มาใหม่วางของที่เขาถือมากองลงกับพื้น แล้วแก้ห่อออก เราเห็นวัตถุสีดำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งนั้นเป็นปืน 5 กระบอก เมื่อเขาบอกเราว่า ปืน 5 กระบอกนี้เรียกว่าอะไร เราจึงรู้ว่า ไอ้ที่เราเคยได้ยินมาอย่างเดียวว่า คาร์บีน นั้น รูปร่างมันเป็นอย่างนี้เอง
ปืน 5 กระบอกนั้นเป็นปืนยิงเร็วหรือถึงปืนกล เรียกว่า เอ็ม.ทรี ของอเมริกัน 3 กระบอก ปืนเสตนของอังกฤษ 1 กระบอก และคาร์บีนที่มีขาพับ ซึ่งจะใช้ยิงอย่างปืนยาวหรืออย่างปืนสั้นก็ได้ 1 กระบอก พร้อมด้วยตับกระสุนประจำปืน 2 ตับและสำรองอีกหลายตับ
เขาบอกให้เราเลือกกันเองว่า ใครจะเอาชนิดไหนสำหรับถือประจำตัว อีกกระบอกหนึ่งเก็บไว้เป็นปืนสำรอง แต่เราต้องเรียนรู้วิธีใช้ปืนทั้งสามชนิดเพื่อจะใช้ได้ทั้งหมด เขาสอนให้เรารู้จักกลไกของปืนด้วยการถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของมันออก เรารู้ว่าแต่ละอย่างของมันทำหน้าที่อย่างไร แล้วประกอบเข้าไปใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำกันหลายครั้งจนเป็นที่พอใจของผู้สอน กลไกของมันมีไม่กี่ชิ้น ใช้และรักษาง่าย ตกลงเรารู้อะไรทุกอย่างเกี่ยวกับสามชนิดนี้ นอกจากสิ่งสำคัญที่สุดคือการยิงจริง ๆ เท่านั้น การฝึกสอนสิ้นสุดลงตรงการรู้จักประทับ เล็ง เหนี่ยวไก และวิธียิงตามแบบที่ถูกต้อง โดยไม่ได้ลั่นไกออกไปจริง ๆ เพราะเราจะทดลองถึงขั้นนั้นไม่ได้เนื่องจากมีบ้านข้างเคียงอยู่ เราจึงไม่รู้อิทธิฤทธิ์ในการทำลายของมัน วิถีกระสุน แรงสะท้อน หรือความแม่นยำจะมีอยู่เพียงไร
เพื่อนเราคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มาจากที่ราบสูงและเคยหัดมวยมาบ้างพูดว่า มันก็เหมือนกับการชกลมแหละวะ เวลาชกลมมันก็เตะต่อยได้คล่องดี แต่เวลาชกจริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเขากลับไปแล้ว และเราอยู่กันตามลำพัง เราลืมเรื่องปืนผาหน้าไม้ไปชั่วคราว รู้สึกสบายใจเหมือนได้มาพักผ่อนอยู่บ้านสวน หวังกันดัง ๆ ว่า อีกไม่นานคงจะได้กินชมพู่ที่กำลังติดลูกเล็ก ๆ เต็มต้น บางทีจะมีเวลาช้อนปลาเข็มในท้องร่องมาเลี้ยงแล้วกัดพนันเอาบุหรี่กัน เพราะระยะนั้นบุหรี่กำลังขาดแคลน มีแต่ชนิดต้องซื้อเส้นยาและกระดาษมามวนเอาเอง
เรายังไม่รู้ว่า งานที่เราจะต้องทำนั้นเริ่มเมื่อใด เพราะไม่มีใครบอกแต่คิดเอาเองว่าคงจะอีกสองสามวันเป็นอย่างเร็ว ระหว่างนี้ก็นั่ง ๆ นอน ๆ และชกลมกันไปก่อน สบายดีออก
ชีวิตบนแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มคับคั่ง เรือจ้างที่ขับเคลื่อนด้วยแรงคนแจว แล่นข้ามไปข้ามมาถี่ขึ้น และมีคนโดยสารแน่นจนเพียบทุกลำ เพราะเป็นเวลาเลิกงาน นอกจากคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ทางฝั่งธนบุรีเดิมแล้ว มีคนพระนครอพยพหนีลูกระเบิดจากเครื่องบินมาอยู่ในสวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ถ้าฝั่งธนบุรีลอยได้ ก็คงจะเหมือนเรือจ้างที่บรรทุกคนจนเพียบแปล้ในเวลาเช้าและเย็น เราอยากนุ่งผ้าขาวม้าแล้วกระโดดน้ำเล่นที่ท่า แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนที่ว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไร เราก็ต้องระงับ เพราะเกรงว่า คนที่รู้จักเราอาจจะนั่งเรือผ่านมาเห็นเข้า จะทำให้เขาสงสัยว่า เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่
ตอนค่ำมีเรือแจวข้ามมาจากฝั่งพระนคร ผู้ที่พาเรามาบ้านนี้เมื่อตอนบ่ายกลับมาอีกตามที่เขาบอกไว้ มีคนขนข้าวของตามขึ้นมาด้วย เขาขนเสบียงอาหารและเครื่องใช้ต่าง ๆ มาให้เรา เขาบอกว่า นอกจากเรื่องการรักษาความปลอดภัยแล้ว เราต้องเหมาหน้าที่อื่น ๆ ทั้งหมด เพราะจะเอาลูกมือมาช่วยไม่ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความลับรั่วไหล ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องทำอาหารเช้าให้ฝรั่งที่จะมาอยู่ในความดูแล มีกาแฟ ไข่ดาว ขนมปัง แต่เนื่องจากไม่มีหมูแฮมหรือเบคอน เขาเอากุนเชียงมาให้แทน ส่วนอาหารกลางวันและเย็นให้เอาปืนโตไปรับที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ (โรงแรมรอแยลในปัจจุบัน) และบอกให้เราตั้งหัวหน้าคนหนึ่งสำหรับการติดต่อกับสายงานที่เกี่ยวข้องระดับสูงขึ้นไปถึงปัญหาต่าง ๆ ของเราและรับคำสั่งต่าง ๆ ถ้าจะมีเพียงคนเดียว เราเลือกเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีอาวุโสกว่าคนอื่นเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ ส่วนงานประจำในบ้านแล้วแต่เราจะแบ่งกันเอง
เราชักมีความกังวลขึ้นนิดหน่อยแล้วตอนนี้เมื่อรู้ว่า เรามีภาระเรื่องทำอาหารให้ฝรั่งกิน แม้ว่าพวกเราจะเคยช่วยตัวเองมามากในเรื่องหุงข้าวกินเอง แต่เราไม่แน่ใจว่าจะมีฝีมือขนาดทำให้ฝรั่งกินได้ แต่ก็นึกว่ายังดีที่ไม่ต้องทำทั้งสามมื้อ เพียงแต่อาหารเช้ากับน้ำชาตอนบ่าย เรื่องเอาปิ่นโตไปรับอาหารที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ดูจะสะดวกกว่าเพื่อน เพราะได้รับคำบอกเล่าว่า ผู้จัดการโรงแรมเป็นผู้ได้รับหน้าที่ในเรื่องนี้แล้ว แต่ผู้จัดการรู้แต่เพียงการทำอาหารฝรั่งให้เราเท่านั้น และไม่เคยถามว่า เราเอาไปให้ใครกินที่ไหน ต่างคนต่างรู้เพียงในขอบเขตหน้าที่ของตน เรามอบหน้าที่ไปรับปิ่นโตให้เพื่อนที่ตั้งเป็นหัวหน้าโดยความสมัครใจของเขาเอง เพราะเพื่อนมีภาระข้างนอกอยู่หลายอย่าง จะได้ใช้เวลาไปรับปิ่นโตทําธุระส่วนตัวไปด้วย ส่วนพวกเราอีกสามคนไม่มีธุระอะไร จึงไม่ออกไปไหนถ้าไม่มีความจำเป็น
ก็อย่างที่ผู้ใหญ่บอก เราไม่มีโอกาสเตรียมตัวสำหรับงานที่ผิดแผกไปจากงานที่เราเคยทํามาก่อน ผมเองไม่เคยยิงปืนเลยในชีวิต อย่างมากที่สุดที่เคยรู้จักเกี่ยวกับการใช้กระสุนก็เพียงแค่หนังสติ๊กกับไม้ซางเท่านั้นเอง เราได้พูดเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า จะหาโอกาสให้พวกเราไปฝึกซ้อมภายหลังโดยผลัดกันไปทีละคน ตอนนี้เราก็ได้แต่นั่งปรึกษาหารือกันด้วยการตั้งปัญหาต่าง ๆ แล้วหาทางแก้ไข เช่น ถ้าญี่ปุ่นบุกขึ้นมาจับจะทำอย่างไร สู้แค่ไหน ทางที่อีกฝ่าย หนึ่งจะเข้ามามีทางไหนบ้าง ถ้าหากจะถอย จะพาผู้ที่เราคุ้มกันออกไปอย่างไร ไปทางไหนและพาไปที่ใด เราก็ได้แต่ใช้สามัญสำนึกของพวกเราซึ่งไม่ค่อยจะมีกันมากนัก จึงคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องขอความกระจ่างจากบุคคลที่เป็นผู้เอาอาวุธมาให้ เพราะเราคิดว่าเขาคงอยู่ในฝ่ายรบ แต่เราไม่แน่ใจว่าจะพบเขาอีกหรือไม่ ถ้าไม่ได้พบ ก็ตกลงให้เพื่อนไปสอบถามทางสายงานเหนือขึ้นไป เรา ลูบคลำปืนยิงเร็วพร้อมด้วยตับกระสุน ๑๑ มม.เหมือนจะมอบโชคชะตาทั้งหมด ไว้ให้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกันดี
ค่ำแล้ว เราเปิดไฟฟ้าชั้นล่าง ดวงโคมมีผ้าดำคลุมไว้ให้แสงพุ่งลงที่พื้นรอบ ๆ มีความสว่างเพียงสลัว ๆ ดูจากข้างนอกแล้วแทบจะไม่เห็นแสงไฟเลย พระนครและธนบุรียามค่ำมีแต่ความมืด เพราะการพรางไฟ เสียงเรือบางลำผ่านหน้าบ้านไปในบางครั้งด้วยเสียงแจวหรือพายที่พุ่ยน้ำ อากาศเย็นลงและมีลม พัดเอื้อย
3.
เรานั่งบ้างนอนบ้างคุยกันจนเกือบดึก และเพราะมัวคุยกันเพลินจึงไม่รู้ว่า มีใครมาที่ท่าน้ำ มารู้ตัวเอาเมื่อผู้นั้นก้าวขึ้นมาถึงบันไดบ้านแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นคนที่เรียกผมไปพบตอนต้น เรานึกว่าคงจะถูกดุเป็นการใหญ่ที่การระแวดระวังของเราหละหลวมอย่างใช้ไม่ได้ แต่ท่านไม่ว่าอะไรเลย ท่านมากับบุคคลอีกคนหนึ่งที่เราไม่รู้จัก
ท่านถามว่า เรียบร้อยดีหรือ
เราตอบอย่างไม่แน่ใจว่า เรียบร้อยครับ
ท่านบอกว่า คืนนี้จะมีคนมาสามคน เขาจะอยู่ข้างบน และสําหรับข้างบนนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นเราไม่ต้องขึ้นไป พูดแล้วท่านก็เดินขึ้นบันไดไปเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย สักครู่ท่านลงมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วบอกเราว่า อีกสักครู่จะมาใหม่ เราเดินตามมาส่งท่านที่ท่าน้ำซึ่งมีเรือแจวลำหนึ่งเทียบคอยอยู่ เรือเบนหัวออก คนแจวออกแรงพาเรือหายไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยา
เราพากันตาสว่าง ผู้ใหญ่ไม่บอกอะไรให้เราทราบมากเลย และเราไม่กล้าถาม คิดว่าเรื่องอะไรที่ควรรู้ผู้ใหญ่คงบอก ถ้าไม่บอกก็เพราะคงเห็นว่าไม่ควรรู้หรือยังไม่ควรจะรู้ เราต่างเงียบงันกันไป ต่างคนต่างนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่เงียบ ๆ
ท่านที่มาแล้วกลับไปได้กลับมาอีก คราวนี้เราคอยรับท่านที่ท่าน้ำแล้วพากันเดินเข้ามาในบ้าน ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาบ่อย ๆ เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ท่านพึมพำเหมือนรำพึงกับตนเองว่าคงจะจวนมาถึงกันแล้ว ท่านเดินวนเวียนอยู่ที่สนามหน้าบ้านผมรู้สึกว่า ท่านกระสับกระส่าย เพราะท่านรู้ถึงงานอีกด้านหนึ่งที่จะมาต่อเชื่อมกับงานทางด้านของเรา การพลาดกำหนดเวลาย่อมไม่ใช่นิมิตที่ดี มันหมายถึงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเราซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรในตอนนั้นรู้สึกเฉย ๆ
แล้วในที่สุดเวลาก็มาถึง…
มีการเคลื่อนไหวที่ท่าน้ำ มีเสียงเครื่องยนต์เรือลำหนึ่งแล่นมาเทียบท่า หัวเรือมีไฟโคมดวงหนึ่งกับไฟแดงที่กราบ แต่ภายในเรือนั้นมืดสนิท มีเสียงพูดจาโต้ตอบกันจากในเรือกับท่านที่มาคอยอยู่หลายคำ แล้วก็มีคนขึ้นจากเรือหลายคน เสียงเครื่องเรือครางแผ่วลงกว่าเดิม บางคนที่ขึ้นมายืนอยู่ที่ท่าน้ำ คนหนึ่งหรือสองคนยืนรีรออยู่ที่สนาม และอีกบางคนเดินเข้ามาในบ้าน จากแสงไฟที่ไม่สู้จะสว่างนัก ผมเห็นคนที่เข้ามาในบ้านเป็นฝรั่งสองคน ทั้งคู่แต่งเครื่องแบบสีกากี แกมเขียว มีแผงคอสีแดง และผ้าพันหมวกสีแดงเด่นเห็นถนัด ทั้งสองคนร่างผอมและสูงมากจนดูคนอื่นเตี้ยไปหมด นายทหารสองคนจับมือทักทายกับพวกเรา ซึ่งท่านผู้ใหญ่ได้แนะนำให้รู้จัก นายทหารคนหนึ่งพูดกับเราเป็นภาษาไทย แล้วนายทหารสองคนกับคนไทยอีกสองสามคนเดินขึ้นไปบนบ้าน มีคนขนข้าวของตามขึ้นไปด้วย สักครูใหญ่ ๆ เขากลับลงมาจับมือแสดงความขอบใจกับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นคณะที่ไปรับเขาเข้ามา
ผมรู้สึกตื่นเต้นและงงที่ได้เห็นฝรั่งแต่งเครื่องแบบทหารในสภาวะเช่นนี้ ผมคาดคิดว่า ในการเล็ดลอดเข้ามาทำงานใต้ดินในดินแดนที่มีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สงครามคงจะกระทำอย่างซ่อนเร้น เช่น การปลอมแปลงตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม จึงไม่คิดว่าเขาจะแต่งตัวภูมิฐานเหมือนกับจะไปเดินขบวนสวนสนาม
ซึ่งเป็นการโจ่งแจ้งเด่นชัดเหลือเกิน และสำหรับผม - หวาดเสียวด้วย แต่ผมก็เก็บ ความรู้สึกนี้ไว้ในใจ
ผมเห็นใบหน้าและท่าทางของผู้ที่มาร่วมขบวนนายทหารอังกฤษรู้สึกว่า ต่างอิดโรยและเครียด แน่นอนในระยะเวลาของการเดินทางซึ่งผมทราบภายหลังว่า จากจุดใดจุดหนึ่งในอ่าวไทยกว่าจะมาถึงปลายทางที่บ้านผมนี่เขามี “ของกลาง” ที่โจ่งแจ้งเด่นชัดอยู่ในความครอบครองเป็นเวลานาน เพราะหนทางไกลไม่ใช่น้อยนั้น ย่อมจะต้องทำให้ประสาทของพวกเขาเคร่งเครียดไม่น้อย และผมอาจจะรู้สึกเอาเองก็ได้ว่า ทุกคนแช่มชื่นขึ้นเมื่อเขากลับออกไปจากบ้าน ความเคร่งเครียดนั้นได้พ้นไปจากเขาแล้ว หน้าที่ของเขาเป็นอันสําเร็จลุล่วงไปด้วยดีอีกคราวหนึ่ง ความรู้สึกนั้นมันถ่ายทอดมาตกที่พวกผม พร้อมด้วย “ของกลาง” มาอยู่ใน “ความครอบครอง”
หน้าที่ของพวกเราเริ่มต้นแล้ว
คนอื่น ๆ เขาพากันกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกเราสี่คนซึ่งตกอยู่ในระหว่างความตื่นเต้นและความงงงวย เราเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างบน แต่ไม่ได้ยินอะไร แม้ฝีเท้าคนเดิน เวลาดึกมากแล้วแต่พวกเราไม่มีใครง่วง เราดับไฟชั้นล่างหมดแล้วค่อย ๆ ย่องมาที่สนามหน้าบ้าน มองขึ้นไปชั้นบนเห็นแสงไฟสลัว ๆ จางจนเกือบมืดและไม่มีการเคลื่อนไหว ชั้นบนนั้นมีคนอยู่สามคน คือ
พลจัตวา วิคเตอร์ เฮกเตอร์ เจคส์
พันตรี ทอม ฮอบบส์
ร้อยโท เล็ก
สองคนแรกเป็นนายทหารอังกฤษสังกัดหน่วยที่มีชื่อเรียกว่า Force 136 คนที่สามเป็นเสรีไทย เป็นนักศึกษาในอังกฤษ ชื่อของเขาเป็นชื่อรหัสไม่ใช่ชื่อจริง และพวกเราไม่ทราบชื่อจริงจนกระทั่งเวลาล่วงไปอีกนาน เขามาที่บ้านพร้อมกับนายทหารอังกฤษทั้งสองคน แต่งเครื่องแบบทหารอังกฤษด้วยเหมือนกัน เพียงแต่อินทรธนูปักสีขาว ไม่ใช่สีแดงฉุดฉาดเหมือนสองคนแรก งานของท่านผู้นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการสื่อสารโทรเลข
เรากะกันไว้แล้วว่า เราจะต้องจัดเวรยามในเวลากลางคืน ตั้งแต่ค่ําไปจนสว่างโดยผลัดกันคนละสามชั่วโมง ตอนเช้าถอนออกเข้ามาอยู่ในบ้าน สําหรับด้านหน้า เรามองเห็นจากข้างในบ้านแล้ว ทางด้านหลังและข้าง ๆ บ้าน เราอาศัยใช้วิธีแอบมองจากครัวและหน้าต่างหรือออกมาเดินเตร่เล่นบ้างโดยไม่ถืออาวุธ พยายามทําให้เหมือนบ้านอื่น ๆ ไม่ให้เห็นวี่แววว่า มีการระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษ เราเกรงไปถึงว่า ระวังเกินไปก็ไม่ดี และจะเงียบเหงาเกินไปจนดูลึกลับก็ไม่ดีอีก อาจจะมีคนสงสัยว่า เป็นช่องหรือบ่อนการพนัน แล้วตํารวจบุกเข้ามาจับ เรื่องก็จะอื้อฉาวได้เหมือนกัน
ผมคว้าปืนออกมาอยู่ยาม ในเวลาดึกสงัดลมสงบนิ่ง อากาศเย็นกําลังสบาย มีแต่ยุงเท่านั้นที่มาตอมมากัด ทําให้รู้ว่าตัวตนของเรานี้มีอยู่ ทั้ง ๆ มองไม่เห็น มันสูญหายไปกับความมืดของกลางคืนหมดสิ้น
เมื่อนั่งอยู่ในความมืดคนเดียวนาน ๆ ผมก็รู้สึกในใจว่า ความมืดนั้นเป็นกลาง ความมืดทําให้เราซ่อนซุ่มโดยไม่มีใครเห็น แต่ฝ่ายที่จะบุกเข้ามาก็ได้รับความคุ้มกันจากความมืดทํานองเดียวกัน จะเสียเปรียบก็อยู่ที่ว่า ฝ่ายบุกต้องเคลื่อนไหวก่อน ฝ่ายรับจึงเป็นฝ่ายได้ประโยชน์กว่า ทั้งนี้หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างตื่นและเตรียมพร้อมเท่า ๆ กัน
ผมทราบในเวลาต่อมาว่า พลจัตวา เจคส์ เคยมีอาชีพเป็นทนายความอยู่ในกรุงเทพฯ มานานจนรู้ภาษาไทยพอใช้และรู้เรื่องเมืองไทยดี แล้วกลับไปอังกฤษก่อนสงคราม ส่วนพันตรี ฮอบบส์ เคยมาอยู่เมืองไทยประมาณปีเศษ โดยทํางานอยู่กับ บริษัทยาสูบอังกฤษ อเมริกัน เมื่อญี่ปุ่นขึ้น ได้เป็นผู้นำกลุ่มคนชาติพันธมิตรในเมืองไทยเดินทางบุกป่าทางด้านเมืองกาญจนบุรี หนีการถูกญี่ปุ่นจับ เพราะเป็นคนชาติศัตรู เข้าไปพม่าได้อย่างหวุดหวิด หลังจากเผชิญความยากลำบากของการบุกป่าฝ่าดง เป็นเวลานาน นับว่าเป็นผู้ได้ผ่านการทดสอบความกล้าหาญ อดทนมาแล้ว
4.
ต่อมาอีกไม่ช้า “ค่าย” ของเราก็ได้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้คือ ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิ์วัตน หรือ “ท่านชิ้น” แต่เรารู้จักท่านในชื่อรหัสว่า “พันตรีอรุณ” ท่านทําให้พวกเราหายเหงาไปได้มาก เพราะแม้ท่านจะอยู่ชั้นบน แต่เมื่อมีเวลาว่างท่านโปรดลงมาคุยกับพวกเราชั้นล่างเสมอ ท่านมักจะทรงกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อชั้นในตัวเดียว ประทับบนราวลูกกรงหน้าบ้าน คุยกับพวกเราเป็นชั่วโมง ๆ ท่านทรงเล่าให้เราฟังถึงเรื่องความเป็นอยู่ในประเทศอังกฤษภาวะในระหว่างสงคราม การปฏิบัติงานในระหว่างสงครามในประเทศอังกฤษของท่านและของคนไทยอื่น ๆ จนกระทั่งการก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ แต่ท่านอยู่กับเราไม่นานนัก ท่านก็จะหายไปเสียคราวหนึ่ง จนเราย้ายค่ายไปอยู่ในตึกหลังหนึ่งด้านปลายของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ท่านจึงได้กลับมาประทับอยู่กับพวกเราอีกระยะหนึ่ง แล้วท่านก็หายไปอีก และเราไม่มีโอกาสได้พบท่านอีกจนเสร็จสงคราม
หลังจากที่ท่านกลับมา ท่านปรารภกับพวกเราคราวหนึ่งว่า พวกพลพรรคของเรายังไม่พร้อม ยังจะต้องใช้เวลาฝึกกันอีกมาก ผมเดาเอาว่าที่ท่านหายไปนั้น คงจะไปตรวจหรือไปช่วยพลพรรคเสรีไทยในประเทศฝึกอาวุธและการรบในชนบท
เวลาเย็นบางวัน พวกเราเตะตะกร้อกันที่หน้าตึก มีนายทหารเสรีไทยจากอังกฤษบางคนที่มาพักอยู่กับเราร่วมวงด้วย นายทหารเสรีไทยจากอังกฤษเหล่านี้มาอยู่กับเราชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หายกันไป เขาจะทำอะไรกันบ้าง เราไม่ได้ถาม เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะรู้ โดยที่วงตะกร้อของเรามักจะเตะกันเปะปะ จึงมีใครคนหนึ่งตั้งกติกาว่า ใครทําลูกตายจะต้องลงนอนพังพาบกับพื้นและวิดพื้นสามที ท่านพันตรี อรุณลงมาร่วมวงด้วย ความจริงกฎข้อนี้เราไม่ได้ตั้งใจจะใช้กับท่านเลย แต่เมื่อท่านทําลูกตาย ท่านก็ปฏิบัติตามกติกาทุกประการ ซึ่งทําให้พวกเราครื้นเครง และในขณะเดียวกันมีความเคารพนับถือท่านยิ่งขึ้น
ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องอยู่กับเรา ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในป่าแต่ความสะดวกสบายมีไม่มากนัก ท่านบอกว่า ผู้ใหญ่อยากจะให้ท่านประทับที่อื่น ซึ่งมีความสะดวกสบายกว่า แต่ท่านทรงเห็นว่า เพื่อประโยชน์ของการทํางาน ท่านควรจะอยู่ในค่ายนี้ไปก่อน ท่านแยกจากเราไปตอนที่อยู่ที่ธรรมศาสตร์ ภายหลังเราย้ายค่ายไปอยู่ที่โรงเรียนวชิราวุธ ท่านก็ไม่ได้กลับมาอยู่กับพวกเราอีก
5.
งานต่าง ๆ ถึงแม้จะวางแผนล่วงหน้าไว้โดยรอบคอบแล้วก็ตาม เมื่อปฏิบัติมักจะมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกเสมอ เราสังเกตว่า งานที่เราได้มอบหมาย มีการวางแผนอย่างดีจากจังหวะต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงติดต่อกันเป็นไปโดยราบรื่นตลอด แต่เราก็มีปัญหาเหมือนกัน เช่น เรื่องอาหารการกินของนายทหารฝรั่ง ไข่ดาว ซึ่งเราทอดจากไข่เป็ด เพราะหาไข่ไก่ยากในสมัยนั้น และการใช้กุนเชียงแทนแฮมหรือเบคอน ปรากฏว่าไม่ถูกปาก ไข่เป็ดคาวเกินไปและกุนเชียงเลี่ยน ทางฝ่ายส่งกําลังบํารุงต้องไปเสาะหาได้แฮมมาขาหนึ่งจากร้านแถวบางรัก แม้จะเก่าเก็บสักหน่อยแต่ก็ยังใช้ได้ ภายหลังต่อมาอีกระยะหนึ่งมีการขนส่งอาวุธและเสบียง โดยเครื่องบินมาทิ้งร่ม จึงมีของมาโดยทางนี้ครบครัน เช่น เบคอนกระป๋อง กาแฟผง นมข้น เนยแข็ง บุหรี่ แม้กระทั่งวิสกี้ ทำให้เราไม่ต้องไปวิ่งหา ของเหล่านี้พันตรี ฮอบบส์เป็นคนเก็บรักษา ไม่ยอมให้เล็ดลอดไปได้ เพราะเป็นการเสี่ยงต่อความลับรั่วไหล กระป๋องเปล่า ของ หรือก้นบุหรี่ เขาดูแลเก็บทําลายด้วยตนเองหมด
อีกเรื่องหนึ่งที่เราเผชิญคือ การหิ้วปิ่นโตไปเอาอาหารจากโรงแรมรัตนโกสินทร์ วันแรก ๆ ก็ปกติดี แต่ต่อมาเมื่อเราต้องนิ้วลงเรือจ้างข้ามแม่น้ำทุกวันวันละสองครั้ง คนเรือจ้างเห็นหน้าพวกเราเป็นประจำทุกวันจนจําได้ โดยเฉพาะตอนกลางวันซึ่งมีคนข้ามไม่มาก เขาแจวพาเราข้ามฟากเพียงคนเดียวเพื่อไม่ให้เสียเวลารอ เราก็ให้ค่าจ้างเขามากกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้ทําให้เกิดความคุ้นเคยขึ้น เวลานั่งเรือเขาก็ชวนคุยเป็นธรรมดา ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็เป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน เพราะมีพฤติการณ์ผิดกับชาวบ้านอื่น เขาก็ถามเราอย่างซื่อ ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่า จะตอบให้สมเหตุสมผลได้ยากมาก ทีแรกคิดว่าจะบอกว่า เอาไปถวายพระ แต่เมื่อสำนึกว่า เวลาที่เราเอาปิ่นโตตอนกลางวันก็เพลแล้ว นอกจากนั้นยังมีเวลาเย็นอีกมื้อหนึ่ง ก็เลยพึ่งพระไม่ได้ ครั้นจะย้ายไปข้ามท่าอื่นก็ไกลเกินไป และนี่เป็นเหตุหนึ่งในเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีการย้ายค่ายจากบ้านริมแม่น้ำฝั่งธนบุรีเข้าไปอยู่ในตึกด้านติดกับท่าช้างวังหน้าในบริเวณมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ระหว่างที่นายทหารอังกฤษมาอยู่ มีผู้ใหญ่ทางฝ่ายไทยไปติดต่ออยู่เสมอ โดยมากมักจะเป็นเวลากลางคืน ท่านผู้ใหญ่ที่ผมเห็นอยู่เสมอมี คุณทวี บุณยเกตุ คุณดิเรก ชัยนามและคุณทวี ตะเวทิกุล ผมขอเอ่ยนามเฉพาะท่านที่วายชนม์ไปแล้ว ผมได้ทราบจากท่านผู้ใหญ่ว่า ฐานะของเสรีไทยดีขึ้นมากเมื่อนายทหารอังกฤษเข้ามา เพราะเขารับทราบความจริงด้วยตนเอง แต่เดิมนั้นเพียงจากรายงานของฝ่ายไทยซึ่งเขายังเชื่อไม่สนิท ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าเป็นของจริง ท่านบอกว่า ทางฝ่ายอเมริกันเขารู้ฐานะของเราดีแล้ว เพราะเขาเข้ามาก่อนอังกฤษ
ในระยะหนึ่ง การประชุมระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายอังกฤษถี่มาก บางครั้งมีผู้ใหญ่ฝ่ายไทยหลายคนมาร่วมประชุม ซึ่งทำให้พวกเราตื่นเต้นและกังวล เพราะเกรงว่าการป้องกันของเราจะทำไม่ได้ดี เนื่องจากเรามีอยู่ด้วยกันเพียงสี่คนเท่านั้น แต่ผมทราบภายหลังว่า ด้านรอบนอกมีการวางกำลังป้องกันไว้อย่างรอบคอบ โดยหน่วยอารักขาอื่น แต่โดยที่เราไม่ทราบประสาทของเราจึงเครียดมากระหว่างที่ผู้ใหญ่ประชุมกัน พวกเราไม่รู้เรื่องที่ประชุม แต่สังเกตจากสีหน้าและท่าทางของผู้ใหญ่พอจะรู้ว่าเรื่องที่พูดจากันนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าจะก้าวล่วงปัญหาต่าง ๆ ไปได้ต้องใช้เวลาและความอดทนไม่น้อย
เรือจ้างลำหนึ่งเบนหัวเรือออกจากสะพานท่าน้ำของบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งริมฝั่งด้านธนบุรี ตรงข้ามกับท่าช้างวังหน้า คนแจวหันหัวเรือแจวข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวเฉียงล่องมาทางใต้ ในท่ามกลางความืดของกลางคืนที่ครอบคลุมท้องน้ำและเลยพ้นสองฟากฝั่งออกไป พระนครและธนบุรีแอบแฝงอยู่ในทะเลของความมืดที่ทำให้ชาวเมืองรู้สึกมีความปลอดภัยมากกว่าที่จะมีความสว่าง คนที่อยู่ในเรือมองไม่เห็นอะไรห่างออกไปรอบๆ ละอองของความมืดกางกั้นไว้หมด คงมีแต่คนแจวเท่านั้นที่รู้ว่า จุดหมายที่จะไปส่งคนโดยสารเหล่านี้อยู่ตรงไหน
ลมที่อุ้มเกษรของไอน้ำโชยเฉื่อย ระลอกเล็กๆ ที่เกิดจากแรงลมปะทะกราบเรือแผ่วๆ ซ้ำซาก นานหลายนาทีที่คนแจวพาเคลื่อนที่ไปในความมืดโดยไม่สวนหรือเฉียดกับเรือลำอื่นใด ในกาลสมัยและยามเช่นนี้ ผู้คนรีบรุดกลับบ้านกันแต่ก่อนพลบ พอค่ำท้องน้ำเจ้าพระยาก็เกือบร้าง
ในที่สุดคนแจวก็พาเรือของเขาแล่นเอื่อยๆ เลียบตลิ่งของฝั่งพระนคร ริมตลิ่งนั้นมีเขื่อนคอนกรีดกั้นสูงระดับดินบนฝั่ง มองเห็นได้ตะคุ่มๆ แล้วเขาก็วาดหัวเรือเข้าไปเกยตรงช่องเว้าของเขื่อนที่ทำขั้นบันไดไว้สำหรับขึ้นลง ใกล้ๆ นั้นมีต้นสนสูงชะลูดยืนเล่นลมอยู่
มีใครคนหนึ่ง หรือ สองคนให้สัญญาณด้วยไฟฉายขนาดเล็กแล้วยังเอากระดาษดำปิดขอบกระจกให้เหลือช่องสำหรับแสงไฟลอดออกมาพอเห็นได้ในระยะสองสามเมตร คนโดยสารก้าวขึ้นจากหัวเรือพร้อมกับหิ้วเข้าของที่ติดตัวมา มีเสียงพึมพำทักทายกันเบาๆ ระหว่างคนบนฝั่งที่รอรับอยู่ กับคนที่ข้ามฟากมากับเรือ แล้วคนเหล่านั้นก็เดินหายไปในความมืด
เมื่อคนโดยสารขึ้นหมดแล้ว เรือจ้างลำนั้นก็หันหัวออก ทั้งคนและเรือหายวับไปในมวลความมืดของท้องน้ำ
เรือจ้างลำนั้นเป็นเรือจ้างธรรมดาที่เห็นแจวพาคนข้ามฟากระหว่างฝั่งพระนครกับธนบุรีหรือเลยลึกเข้าไปในคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกน้อย แต่กิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่การรับส่งคนโดยสารตามปกติ คนแจวก็ไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นพนักงานชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และคนโดยสารก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดาๆ อีกเหมือนกัน
คืนวันนั้นเป็นวันใดวันหนึ่งในระยะสามเดือนที่สองของปี พ.ศ. 2488 ราวสามสี่เดือน ก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาจะยุติลงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ด้วยการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของกองทัพญี่ปุ่น
“เมื่อข้างหน้าไม่มีกระจกสำหรับมองข้างหลังเหมือนอยู่ในรถยนต์ ผมขออนุญาตเหลียวหน้ามองข้ามไหล่ไปข้างหลังตามเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมาแต่หนหลัง เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือจะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ที่ผมได้เคยอาศัยร่มไม้ชายคาศึกษาเล่าเรียน และอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้อยู่ใกล้ชิด ไปกินไปนอนอยู่นานวัน
แม้ว่าความหลังเหล่านั้นบางส่วนจะมองไม่สู้แจ่มชัดนักในรายละเอียด เพราะต้องผ่านม่านหมอกของกาลเวลาอันยาวนานเข้ามาพรางความทรงจำ จนลางเลือนไปบ้างก็ตาม”
FORCE 136 ในธรรมศาสตร์ยามสงคราม
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมมีโอกาสสำรวจภูมิประเทศรอบๆ ตัว มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยจากสมัยที่ผมเรียนอยู่ ตัวตึกที่ผมมาอยู่นั้นอยู่มาทางด้านท่าช้างวังหน้า ห่างออกมาจากตัวตึกโดม สมัยผมเรียนยังเป็นที่ว่างอยู่ ตอนนี้เป็นตึกสองชั้น ด้านหน้าหันหาแม่น้ำ มีระเบียงยาวทั้งสองชั้น มีขอบกันเป็นคอนกรีตสูงแต่ระดับเอว ภายในตัวตึกเป็นห้องโถงโล่งเพื่อเป็นที่นักศึกษาฟังคำบรรยาย แต่ขณะนั้นไม่มีโต๊ะเก้าอี้เลย
ส่วนด้านปลายของตึกกั้นเป็นห้องหนึ่งต่างหาก คงจะสำหรับเป็นที่ห้องทํางานหรือที่พักของอาจารย์ก่อนหรือหลังการบรรยาย ตลอดความยาวของห้องโถงมีบานประตูหลายบานเปิดออกไปสู่ระเบียง ด้านหลังเป็นกำแพงตลอด มีหน้าต่างแต่มองไม่เห็นอะไร นอกจากกำแพงของวังหน้าซึ่งเป็นกรมศิลปากร ตึกนี้สร้างขึ้นใหม่ แต่ยังไม่ทันได้ใช้เพราะเกิดสงครามมหาอาเซียบูรพาขึ้นเสียก่อน
ตึกที่ผมกล่าวถึงนี้ บัดนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นตัวตึกที่ตั้งของคณะรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
ด้านหน้าตึก มีถนนที่ตัดตรงมาจากทางเข้าออกด้านท่าพระจันทร์ไปออกประตูทางด้านท่าช้างวังหน้า ขณะนั้นมีกำแพงและมีประตูใหญ่ทำด้วยไม้ซึ่งเปิดเฉพาะเวลารถเข้าออก มีประตูเล็กเจาะอยู่ในประตูใหญ่ที่เปิดใช้สำหรับคนเดินเข้าออก ประตูด้านนี้โดยปกติปิดอยู่ตลอดเวลา
เลยถนนออกไป ยังไม่มีตัวอาคารเหมือนปัจจุบัน แต่เป็นสนามหญ้า มีตึกเก่าๆ เตี้ยๆ ขนาดย่อมอยู่หลังหนึ่ง เลยจากนั้นไปก็ถึงตลิ่งริมแม่น้ำ
สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ หน้าตึกโดมเป็นสนามไปจนถึงเขื่อนริมแม่น้ำ แต่ในระยะเวลาที่ผมกล่าวถึง มีโรงเรือนชั่วคราวปลูกอยู่หลายหลังในบริเวณสนาม เพราะเป็นที่พักอาศัยในการกักกันชนชาติศัตรูสมัยสงครามญี่ปุ่น เมื่อประเทศไทยประกาศสงครามเข้ากับญี่ปุ่นต่อพันธมิตรแล้ว บุคคลสัญชาติประเทศพันธมิตรถูกส่งตัวมากักกันอยู่ที่นี่ แต่เมื่อผมเข้าไปอยู่ในตึกด้านติดกับท่าช้างวังหน้านั้นเป็นเวลาภายหลังที่ได้มีการตกลงแลกเปลี่ยนบุคคลที่ถูกกักกันของแต่ละฝ่ายที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศของตนได้รับการส่งตัวกลับไปแล้ว ผู้ที่ไม่ประสงค์จะเดินทางกลับก็ถูกโยกย้ายไปกักกันในที่อื่น โรงเรือนชั่วคราวเหล่านี้จึงว่างและถูกรื้อไปบางส่วน
จากบริเวณหน้าตึกโดมมาถึงเขตที่ผมอยู่ มีกำแพงไม้กั้นซึ่งทำขึ้นสมัยการกักกันนั้น คล้ายกับจะแบ่งเป็นเขตชั้นในหรืออะไรทำนองนั้น มีเรือนไม้ใต้ถุนสูงอยู่หลังหนึ่ง ผู้ที่เคยอยู่โรงเรือนนี้คงจะมีฐานะพิเศษกว่าคนอื่นหน่อย แต่ตอนนั้นก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
บริเวณที่แยกจากตึกโดมโดยกำแพงไม้กั้นกับกำแพงที่จะพาออกไปทางท่าช้างวังหน้า ในตัวตึกที่สร้างใหม่เป็นที่อยู่อาศัยของคนที่อพยพมาจากบ้านริมฝั่งแม่น้ำด้านธนบุรีในตอนกลางคืนที่ผมกล่าวข้างต้น นับเป็นเขตที่ไม่มีคนพลุกพล่านเหมาะสมแก่การทำงานพิเศษที่ต้องปกปิดเป็นความลับสุดยอด
ผู้ที่อยู่ใหม่ประกอบด้วย ‘พลจัตวา วี. เอช.เจคส์’ และ ‘พันตรีทอม ฮอบบ์’ นายทหารอังกฤษจากหน่วย Force 136 ซึ่งอยู่ในห้องปลายตัวตึกชั้นสองด้านท่าช้างวังหน้า ถัดออกมาในห้องโถงเป็นที่พักและที่ทำงานของเสรีไทยที่เป็นนายทหารอังกฤษ ถัดมาอีกทางด้านปลายอีกด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ของเด็กไทยสี่ห้าคนที่ทำหน้าที่ดูแลและพิทักษ์นายทหารอังกฤษและเสรีไทยในการอยู่กินและทํางานของเขา
ผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนบุคคลประเภทที่กล่าวถึงทีหลังนี้
พวกเราซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 คน คือ คันถชิต อินทชาติ, สละ ศิวรักษ์, สวัสดิ์ เอกอุ่น และผม คุ้นกับงานนี้มาแล้วจากที่บ้านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเพราะได้เริ่มงานกันตั้งแต่รับนายทหารอังกฤษทั้งสองคนที่เล็ดลอดเข้ามาประจำทำงานร่วมมือกับขบวนการเสรีไทยในกรุงเทพฯ
งานของเราเกี่ยวกับดูแลการกินอยู่ และการรักษาความปลอดภัยให้แก่นายทหารอังกฤษและเสรีไทยสายอังกฤษที่มาอยู่เป็นประจำคนหนึ่งหรือสองคน พวกผมทั้ง 4 คนต่างเป็นเด็กธรรมศาสตร์และทำงานอยู่แห่งเดียวกัน จึงทำงานร่วมกันอย่างดี
หลังจากที่อยู่บ้านริมแม่น้ำมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่านานกี่มากน้อย ทางผู้ใหญ่ก็สั่งให้ย้าย ทั้งนี้เพราะว่า การทำงานลับย่อมไม่ควรจะอยู่ประจำที่แห่งใดแห่งหนึ่งนานเกินไป การย้ายมาอยู่ที่ธรรมศาสตร์ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด ผู้คนไม่พลุกพล่านแล้ว ผู้ใหญ่ยังคิดเตรียมการไว้เมื่อมีปัญหาถ้าเกิดข่าวรั่วไหลไปถึงหูญี่ปุ่น หรือฝ่ายไหนด้วยกันก็ดี อาจกลบเกลื่อนได้ว่า นายทหารฝรั่งสองคนนั้นเป็นบุคคลที่ถูกกักกันที่ตกค้างอยู่ เนื่องจากที่ธรรมศาสตร์เคยเป็นที่กักกันคนชาติศัตรูมาแล้ว แต่เราก็หวังกันว่าทั้งสองอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้น
งานที่เสรีไทยสายอังกฤษทำ คือ การติดต่อทางวิทยุระหว่างหน่วย 136 ในกรุงเทพฯ กับสำนักงานใหญ่ของเขาในอินเดีย ด้วยการเข้ารหัส ถอดรหัส พร้อมทั้งการรับและการส่งข่าวสารเหล่านั้นด้วยรหัสทางวิทยุ
นายทหารอังกฤษที่เป็นคนไทยเหล่านี้มาอยู่ประจำตั้งแต่นายทหารอังกฤษเข้ามาอยู่ที่บ้านฝั่งธน มาประจำอยู่คนหนึ่งหรือสองคนตลอดเวลา แต่ตัวบุคคลสับเปลี่ยนกันบ่อย คนหนึ่งย้ายออกไปคนใหม่เข้ามาแทน นอกจากนั้นที่ธรรมศาสตร์ยังเป็นที่พักผ่อนของนายทหารเสรีไทยสายอังกฤษ เมื่อโยกย้ายเขตทำงานในท้องถิ่นอื่นๆ ของเมืองไทย จะมาพักค้างคืนหนึ่ง หรือสองคืน ที่ค่ายในธรรมศาสตร์แล้วเดินทางต่อไป บางคนเข้ามาเวลากลางวัน ก็แต่งตัวแบบพลเรือนธรรมดา ส่วนที่มาตอนกลางคืนบางคนแต่งเครื่องแบบทหารอังกฤษ
นายทหารเสรีไทยเหล่านี้มีชื่อรหัสแต่ก็เป็นภาษาไทย ซึ่งพวกเราไม่มีหน้าที่ไปถามว่า ชื่อจริงเขาชื่ออะไร มาทราบเอาก็ภายหลังเมื่อสงครามยุติลงแล้ว
บางครั้งเมื่อมีคนมาพักอยู่หลายคน ยามเย็นเราก็จัดวงตะกร้อเพื่อยืดเส้นยืดสายตรงที่ว่างระหว่างตัวตึกกับเรือนไม้ใต้ถุนสูง ในจำนวนเสรีไทยสายอังกฤษที่มาพักอยู่ชั่วคราวและได้ลงเล่นตะกร้อกับพวกเราและเสรีไทยสายอังกฤษบางคนที่พวกเราจำท่านได้ เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อน คือ ‘พันตรีอรุณ’ หรือ ‘ท่านชิ้น’ ที่พวกเราต้องใช้สรรพนามตัวเองว่า “กระหม่อม”
งานหลักที่พวกผมทำก็เป็นการอยู่ยามในตอนกลางคืน ทางด้านแม่น้ำซึ่งเปิดโล่ง ด้านอื่นเป็นที่แน่ใจได้พอสมควรว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาจู่โจมได้ เพราะมีรั้วรอบขอบชิด แต่ทางด้านแม่น้ำเป็นจุดอ่อนจึงวางยามในตอนกลางคืนไปจนสว่าง สถานที่อยู่ยามก็เป็นตึกเก่าๆ ชั้นเดียวที่อยู่ใกล้เขื่อนกับการเฝ้าประตูด้านท่าช้างวังหน้า
เมื่อมีบุคคลสำคัญของขบวนการเสรีไทยในไทยมาติดต่อเจรจากับนายทหารอังกฤษเราเป็นผู้เปิดประตูพาขึ้นไป พบแล้วลงมาอยู่ชั้นล่างพวกเราคนหนึ่งคอยเฝ้าที่ประตูซึ่งก็มีฝ่ายรักษาความปลอดภัยของผู้ใหญ่ที่มาพบเฝ้าอยู่ด้วย อีกส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ข้างใน แต่คอยอยู่ชั้นล่าง พวกเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นอกจากจะเคยรู้จักกันมาก่อน เพราะการทำงานเช่นนี้ไม่ใช่ธุระที่จะต้องไปถาม และพวกที่มาเขาก็ไม่ถามเหมือนกันว่าเราเป็นใคร ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน งานใครก็งานใคร
การพบปะเหล่านี้ส่วนมากกระทำในเวลากลางคืน บางที่เป็นคณะใหญ่ท่านผู้ใหญ่ที่มาส่วนมากพวกเรารู้จักท่านดีอยู่แล้วบางครั้งมีมาพบในตอนกลางวันซึ่งมักจะมาเพียงคนเดียว
ถ้าผมจำไม่ผิด ดูเหมือนจะมีครั้งหนึ่งหรือสองครั้งที่มีนายทหารอเมริกันจากหน่วยโอเอสเอสได้มาพบด้วยโดยมีเสรีไทยระดับผู้ใหญ่เป็นคนนำมา
“พวกเรารู้สึกว่า เราเป็นเพียงหน่วยเล็กๆ ในสายงานที่กว้างขวางๆ จากการเก็บถ้อยคำที่ตกหล่นมาปะติดปะต่อ เช่น เสรีไทยสายอังกฤษบอกว่า เขามาจากที่ไหนและจะไปที่ไหนเมื่อมีความคุ้นเคยกันมากขึ้น และได้เห็นข้าวของต่างๆ ที่มีคนขนมาให้ ส่วนมากเป็นอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ในการปฏิบัติงาน มีตั้งแต่กาแฟ บุหรี่ อาหารกระป๋อง เนยแข็ง ยา วิตามิน ส่วนของอย่างอื่นอยู่ในห่อหรือในกล่องที่นายทหารอังกฤษเก็บเอาเข้าไปในห้องไม่ให้ใครเห็น”
สิ่งที่พวกเราบางคน รวมทั้งผมด้วยอยากได้มาก คือ บุหรี่อังกฤษ เพราะตอนนั้นบุหรี่ขาดแคลนมากแต่เราก็ไม่ได้สูบ เพราะเขากลัวว่าเราจะเอาก้นไปทิ้งเรี่ยราดทำให้เสียความลับได้
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้อยู่ในธรรมศาสตร์อย่างโดดเดี่ยวแต่ลำพัง ได้มีการวางเส้นสายเกี่ยวกับความปลอดภัยรอบนอกด้วย เช่น วันหนึ่ง เราได้รับแจ้งว่า มีนายทหารญี่ปุ่นมาขอพบท่านเลขาธิการมหาวิทยาลัย คือ ‘อาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์’ โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าจึงบอกให้เราคอยระวังและเตรียมพร้อมไว้ เพราะอาจจะเป็นการเข้ามาดูเนื่องจากมีความสงสัยก็ได้ แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไร
เย็นวันหนึ่งเราได้รับแจ้งว่า มีรถทหารญี่ปุ่นแล่นเอื่อยๆ ไปรอบๆ มหาวิทยาลัยจากท่าพระจันทร์ไปทางท่าช้าง การติดต่อทางวิทยุหยุดหมดเพราะเกรงว่ารถคันนั้นอาจแล่นตรวจกระแสคลื่นวิทยุก็ได้ ในสมัยนั้นเครื่องมือทางอิเลคทรอนิกส์ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ การตรวจจับคลื่นวิทยุอาจทำได้ แต่ไม่ง่ายนัก เพื่อความไม่ประมาทจึงหยุดการรับส่งและพวกเราแอบไปคอยเฝ้าที่ประตูด้านท่าช้างวังหน้ากับที่ริมแม่น้ำ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกวันหนึ่ง เป็นเวลาบ่าย น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลงจนเห็นเลนจากเขื่อนทอดยาวไปสองสามวา ปรากฏว่าตรงด้านหน้าตึกเก่ามีเรือท้องแบนสร้างด้วยไม้ ที่ญี่ปุ่นใช้ลำเลียงสัมภาระมาเกยติดชายเลนอยู่ ในเรือนั้นว่างเปล่า ไม่มีคน แต่จะมีของอะไรอยู่ในท้องเรือหรือไม่ มองไม่เห็น เราส่งข่าวนี้ไปให้ท่านเลขาธิการมหาวิทยาลัยทราบ เกรงว่าจะเป็นลูกไม้ของญี่ปุ่นปล่อยให้เรือมาเกยตื้นแล้วจะส่งทหารตามมาเอาเรือแล้วก็ถือโอกาสขึ้นมาดูข้างบนรวมทั้งตึกที่พวกเราอยู่
ท่านเลขาธิการซึ่งเป็นผู้ดูแลเราอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นงานหนึ่งในหลายๆ อย่างที่ท่านทำ บอกให้พวกเราเฉยไว้ ท่านส่งพนักงานของมหาวิทยาลัยไปใสเรือลำนั้นออกจากเลนที่เกยอยู่ให้มันลอยเท้งเต้งต่อไปตามสายน้ำ
เหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยไม่มีพัฒนาการอย่างอื่นติดตามมา หลายวันผ่านไปเราสรุปเอาว่า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า จะเป็นการตั้งใจลองเชิงของญี่ปุ่น
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลาราวเที่ยงวัน อากาศแจ่มใส มีเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น ผมเดินออกมาที่ระเบียงตรงมุมปลายตึกด้านต่อจากตึกโดม จากมุมนี้มองเห็นด้านหลังของตึกโดมและส่วนหนึ่งของสนามฟุตบอลเสียงเครื่องบินครางกระหึ่ม แล้วก็มีเครื่องบินฝูงหนึ่งมาปรากฏตัวเหนือบริเวณสนามหลวงในระยะค่อนข้างต่ำ เครื่องบินฝูงนี้ได้ทิ้งร่มลงมาหลายร่ม แต่ไม่มีพลร่ม เห็นแต่เป็นหีบห่อหรือกล่องใหญ่ลอยโตงเตงลงมา
ขณะที่ผมกำลังมองเพลินอยู่นั้น เสียงปืนกลอากาศแผดสนั่นหวั่นไหว มันคงปลิวมาจากเครื่องบินลำหนึ่งหรือหลายลำในฝูงนั้น ผมมองเห็นฝุ่นกระจุยที่กำแพงตึกด้านหลังของตึกโดม แล้วมีลูกหนึ่งแล่นมาชนกำแพงตึกที่ผมยืนอยู่ ห่างไปจากตัวผมทางซ้ายมือแต่เฉียงลงไปทางใต้ราวสักสองวา
ผมจึงได้สติว่านี่มันลูกปืนจริงๆ จึงหลบวูบเข้ามาข้างใน แล้วเอาเรื่องที่เห็นไปเล่าให้เสรีไทยที่ทำหน้าที่รับส่งวิทยุฟัง ผมรู้สึกว่าเขาเฉยๆ ไม่เห็นตื่นเต้นอะไร เมื่อนายทหารอังกฤษสองคนนั้นทราบเขาก็เฉย ผมมาทราบภายหลังว่า การมาทิ้งร่มครั้งนี้ เป็นงานของกองทัพอากาศอังกฤษที่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้ากับขบวนการเสรีไทยของเราแล้ว ของที่เอามาทิ้งลงกับร่มที่สนามหลวงเป็นพวกเวชภัณฑ์ ซึ่งฝ่ายเราทางพื้นดินเตรียมตัวไว้พร้อม เข้าไปเก็บในทันทีทันใดที่ตกลงมาถึงพื้นดินและขนขึ้นรถขับหายไปในเวลาไม่กี่นาที
อย่างไรก็ดี พลจัตวาเจคส์ ได้ลงมาแกะเอาลูกปืนที่ฝังอยู่ในกำแพงตึกชั้นล่างด้านในที่มีรอยร้าวให้เห็นอยู่ เพราะความแรงของการปะทะและความแข็งและหนาของกำแพง ลูกปืนลูกนั้นแบนเหมือนดินสอพอง
ถ้าจะยิงขู่ ก็น่าจะยิงขึ้นฟ้า ผมนึกอยู่ในใจทำไมต้องยิงลงมาต่ำด้วยธรรมศาสตร์เลยโดนลูกหลงสามสี่นัด
ผมจำไม่ได้ว่าได้มาอยู่ในธรรมศาสตร์เป็นเวลานานเท่าใด แต่ก็อย่างที่ผมเรียนไว้แต่แรกว่า การปฏิบัติงานลับย่อมจะอยู่ประจำที่แห่งเดียวนานนักไม่ได้ เมื่อทางฝ่ายผู้ใหญ่เห็นสมควรว่า ค่ายนี้ควรจะย้ายออกไปจากธรรมศาสตร์ได้แล้ว พวกเราก็อพยพกันออกไป
จากธรรมศาสตร์ เราย้ายไปอยู่ในบริเวณโรงเรียนวชิราวุธ
สงครามยังไม่ยุติ
แต่เรื่องต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
หมายเหตุ:
- ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ขณะที่เขียนเรื่องนี้เป็นอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน จากนั้นเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงแอดดิสอบาบา ประเทศเอธิโอเปีย และเกษียณอายุราชการขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง
- ปรับปรุงชื่อบทความโดยบรรณาธิการ
บรรณานุกรม
หนังสือ:
- หนังสือวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2539
- หนังสือที่ระลึก “ชุมนุมชาวธรรมศาสตร์ในสหราชอาณาจักร” พ.ศ. 2516