ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ผู้ประศาสน์การ มธก. (๑๑ เม.ย.๗๗-๑๘ มี.ค.๙๕)

11
กันยายน
2568

ผู้ประศาสน์การ มธก. ปรีดี พนมยงค์

 

เพื่อที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ความสมบูรณ์ตามเป้าหมายของการอภิวัฒน์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นายปรีดีฯ จึงหันมาเร่งพัฒนาคน ซึ่งเป็นทรัพยากร และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในความสำเร็จหรือล้มเหลวในการพัฒนาประเทศ ด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อปลูกฝังคนไทยให้มีความรู้ความเข้าใจในการปกครองบ้านเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย

นายปรีดีฯ เป็นทั้งผู้ร่างโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดหาสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นผู้วางหลักสูตรมหาวิทยาลัย ส่วนทุนการจัดตั้งและก่อสร้างตัวอาคารสถานที่เล่าเรียนของมหาวิทยาลัย ก็ได้มาจากเงิน ค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักร ซึ่งก็เป็นการพอเพียงแก่การก่อสร้างอาคารสถานที่ในขณะนั้น และแถมยังเหลือได้เก็บไว้เป็นเงินหาดอกผลให้แก่มหาวิทยาลัย โดยลงทุนตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นชื่อธนาคารเอเชีย นอกจากจะได้ดอกผลแล้ว ยังเป็นสถานที่ฝึกอบรมปฏิบัติงานของนักศึกษาแผนกเศรษฐศาสตร์และการบัญชีอีกด้วย

แต่ต่อมาภายหลังรับประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ธนาคารของมหาวิทยาลัย แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของส่วนบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่พึ่งพิงอำนาจอยู่ในคณะรัฐประหาร ด้วยวิธีการอันสกปรก

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้ตั้งขึ้นแล้ว ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พุทธศักราช ๒๔๗๖ และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้นายปรีดีฯ เป็นผู้ประศาสน์การ เมื่อ ๑๑ เมษายน ๒๕๗๗ และเป็นผู้ประศาสน์การคนแรกและคนเดียว เพราะต่อมามหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองปฏิกิริยาเข้าครอบงำ จึงได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยโดยตัดคำว่า วิชา และ การเมือง ออก คงเหลือแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อักษรย่อก็เปลี่ยนจาก มธก. เป็น มธ. และตำแหน่ง ผู้ประศาสน์การก็เปลี่ยนมาเป็น อธิการบดี จนทุกวันนี้

 

 

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อันเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศถัดจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้กระทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๗๗ อันเป็นวันตรงกับวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ณ ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิมเชิงสะพานผ่านพิภพลีลา

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๐ ได้มีพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบริเวณโรงทหาร ร.พัน ๔ ร.พัน ๕ และบริเวณคลังแสง ตำบลท่าพระจันทร์ ให้แก่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อดำเนินกิจการสืบมาจนบัดนี้

ในวันเปิดมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายปรีดีฯ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยได้รายงานการก่อตั้งมหาวิทยาลัยต่อผู้เป็นประธานในพิธี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติทั้งชาวไทยและต่างประเทศมีรายละเอียดดังนี้

“ขอพระราชทานกราบทูลทรงทราบใต้ฝ่าละอองพระบาท วันนี้เป็นวันมงคลดิถีประจบครบพร้อมกัน ๒ ประการ ประการหนึ่ง วันที่ ๒๗ มิถุนายน เป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรสยาม ประการที่สองมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้พยายามเร่งรัดการงานให้สามารถเปิดได้ในวันนี้ เพื่อดำเนินการสอนวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองตามพระราชบัญญัติที่ได้ประกาศตั้งมหาวิทยาลัยนี้ขึ้นให้ทันในวันที่ ๑ กรกฎาคมนี้

“การตั้งสถานศึกษาตามลักษณะของมหาวิทยาลัย ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นปัจจัยในการแสดงความก้าวหน้าของประทศ ประชาชนชาวสยามจะเจริญในอารยธรรมได้ก็โดยอาศัยการศึกษาอันดี ตั้งแต่ขั้นต่ำตลอดมาจนถึงการศึกษาชั้นสูง เพราะฉะนั้นในการที่จะอำนวยความประสงค์และประโยชน์ของราษฎรในสมัยนี้ จึงจำต้องมีสถานศึกษา ศึกษาให้ครบบริบูรณ์ทุกชั้น มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิ์ และโอกาสที่เขาควรมีควรได้ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น

“ในปัจจุบันนี้ประเทศสยามมีความประสงค์อันใหญ่ยิ่ง ที่จะปรับระดับการศึกษาของราษฎรให้เจริญถึงขนาดเหมาะแก่กาลสมัย ถ้าระดับการศึกษายังไม่เจริญถึงขนาดตราบใด การก้าวหน้าของประเทศก็ยังจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอีกนาน ยิ่งในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ เช่นนี้แล้วเป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัย สำหรับประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดที่จะเป็นได้ เปิดโอกาสแก่พลเมืองที่จะใช้เสรีภาพในการศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติสืบไป

“นับแต่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้ตั้งขึ้นแล้ว ปรากฏว่าได้รับความนิยมของมหาชนเกินความคิดหมาย โดยที่มีจำนวนผู้สมัครเข้าเรียนในชั้นนี้ถึง ๒,๐๙๔ คน แม้ผู้ที่ได้ละทิ้งการศึกษามานานแล้ว ก็กลับเริ่มศึกษาในฐานะเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยนี้ นับได้ว่าบรรลุผลขั้นตอนของความมุ่งหมายที่จะให้เรียนรู้วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองกันแพร่หลาย

“บัดนี้ กิจการของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้ดำเนินมาโดยเรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะเปิดทำการประศาสน์วิชา ให้สมความประสงค์ของพระราชบัญญัติแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลอัญเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท ได้ทรงเปิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นปฐมฤกษ์เพื่อความสวัสดิมงคล ให้บังเกิดความวัฒนาถาวรแก่มหาวิทยาลัยสืบไป

“ควรมีควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ”

เมื่อท่านผู้ประศาสน์การกล่าวถวายรายงานจบแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงกล่าวตอบว่า ดังนี้

“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้เห็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ตั้งขึ้นเป็นปึกแผ่นหนาแน่น รัฐบาลนี้และสภาผู้แทนราษฎรมีความคิดเห็นอันถูกต้องในการที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยนี้ขึ้น ข้าพเจ้าเห็นสอดคล้องต้องด้วยถ้อยคำที่ท่านกล่าวมา ในสมัยที่ประเทศเราปกครองโดยรัฐธรรมนูญเช่นนี้ เป็นการจำเป็นที่จะต้องเผยแพร่วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองให้แพร่หลาย เพื่อปวงชนจะได้รับทราบความเป็นไปในบ้านเมืองซึ่งทุกคนเป็นเจ้าของ

“ข้าพเจ้ารู้สึกปีติที่ได้ทราบว่ามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้รับความนิยมของมหาชน มีนักศึกษามากหลายดังกล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้ามีความหวังอย่างมั่นคงว่ามหาวิทยาลัยนี้จะดำรงถาวร และดำเนินการเรียบร้อยได้ผลสมความปรารถนาทุกประการ”

“ข้าพเจ้าขอเปิดมหาวิทยาลัยนี้ด้วยสัจจาธิษฐานของอำนาจพระรัตนตรัย ให้คุ้มครองรักษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมทั้งอาจารย์และนักศึกษาทั้งหลายตลอดจนเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ขอให้มหาวิทยาลัยนี้มั่นคงถาวรยืนนาน บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จอย่างไพศาลสมบูรณ์ ขอให้มหาวิทยาลัยนี้จงเป็นที่เกื้อกูลวิชาการเมือง ให้นักศึกษามีความรุ่งเรือง สามารถจะกระทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่ชาติและประเทศต่อไปข้างหน้าเทอญ”

นายปรีดีฯ ได้พูดถึงการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง ในสมัยที่ท่านเป็นผู้ประศาสน์การกับคณะชาวศิษย์เก่าเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ ตมธก.ที่ไปเยี่ยมท่าน ณ บ้านพักชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๔ มี ความบางตอนว่า ดังนี้

“มีบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ผมได้นำหลักสูตรของฝรั่งเศสมาวางไว้ในแผนกเตรียมปริญญาและการศึกษาปริญญาของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ผู้ที่เคยกล่าวเช่นนั้นไม่พิจารณาให้รอบคอบว่าในประเทศฝรั่งเศสเองมีหลักสูตรอย่างใด และที่ผมได้นำไปสำหรับมหาวิทยาลัยของเรานั้น เป็นการเอาอย่างของประเทศฝรั่งเศสหรือของประเทศใดมาทั้งตุ้น ผมได้กล่าวแล้วว่าสิ่งใดของอังกฤษหรือฝรั่งเศสหรือของประเทศใดซึ่งเป็นวิธีการที่ดี เราก็ย่อมที่จะเอามาแต่เพียงเป็นเยี่ยง แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมแก่สภาพท้องที่กาลสมัยของไทย และมีส่วนที่เราเห็นว่าเหมาะสมของเราเองปรุงแต่งขึ้นเพื่อของไทยเราโดยเฉพาะ ก็ผู้ที่เคยกล่าวตำหนิเช่นนั้นรังเกียจหลักสูตรที่อ้างว่าเอามาจากฝรั่งเศส เขาจะให้เอาหลักสูตรอะไรที่มิได้มีตัวอย่างมาจากประเทศอื่นบ้าง

“แต่ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเถิด ปัญหาก็อยู่ที่ว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาเตรียมปริญญาก็ดี ผู้ที่เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ดี ต่างก็มีความพอใจในความรู้ที่ได้ศึกษามาจากหลักสูตรนั้นหรือไม่ และได้ใช้ความรู้นั้นๆ ประกอบอาชีพได้หรือไม่ เท่าที่ผมได้รับทราบจากท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และจากเพื่อนของท่านที่มิได้มาในวันนี้ ก็แสดงความพอใจซึ่งมิใช่แสดงความพอใจเพื่อจะเอาใจผม แต่ความสำเร็จในการงานที่ท่านได้บรรลุผลสำเร็จเป็นบทพิสูจน์คำพูดอันจริงใจของท่าน ในส่วนผมซึ่งเป็นผู้ประศาสน์การ ได้วางหลักสูตรโดยคำนึงที่จะให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษามีโอกาสประกอบอาชีพได้อย่างกว้างขวาง โดยมิให้จำกัดอยู่เพียงกฎหมายแต่อย่างเดียว เพราะอาชีพนี้มีอยู่จำกัด ดังนั้น ในขั้นเตรียมปริญญาจึงพยายามให้ได้ศึกษาวิชาหลาย ๆ อย่าง ซึ่งไม่มีในมหาวิทยาลัยฝรั่งเศส แต่เพื่อที่จะให้ผู้สำเร็จเตรียมปริญญา แม้จะมีได้เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ไปประกอบอาชีพลูกจ้างในวิสาหกิจ หรือไปประกอบอาชีพอิสระได้ ซึ่งผมมีความยินดีที่หลายคนได้มีความสำเร็จในการค้าและการเศรษฐกิจต่างๆ และบางคนก็อาศัยวิชาดนตรี ที่ตามหลักสูตรเตรียมปริญญาบังคับให้เล่นเครื่องดนตรีได้ อย่างน้อยคนละหนึ่งอย่างนั้น เมื่อนักศึกษาผู้นั้นไม่สามารถเรียนขั้นปริญญาตรีได้สำเร็จ ก็ไปเล่นเครื่องมือดนตรีร่วมกับวงดนตรี แล้วในที่สุดก็เป็นหัวหน้าวงดนตรี ถือเอาการดนตรีเป็นอาชีพสำคัญ ส่วนผู้สำเร็จขั้นปริญญาตรีซึ่งมีการเรียนทั้งกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนรวมทั้งเศรษฐศาสตร์ด้วยนั้น นอกจากเป็นผู้พิพากษาอัยการและทนายความแล้ว ก็เป็นนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายตำรวจ สหกรณ์และเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการคลัง การเศรษฐกิจ การทูต และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น ถ้าผมจะให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีเรียนแต่กฎหมายอย่างเดียว ก็คงจะต้องคอยตำแหน่งว่าง ซึ่งมีอยู่จำกัดเฉพาะในทางกฎหมายเท่านั้น ที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นบทพิสูจน์ในทางปฏิบัติ ซึ่งท่านทั้งหลายเป็นผู้แสดงให้ประจักษ์แก่ราษฎรไทยแล้ว

“บัดนี้จะขอกล่าวในทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์สังคมว่า การที่ผมได้กำหนดให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีเรียนเศรษฐศาสตร์ด้วยนั้น ก็มีเหตุผลว่ามนุษยชาติที่ร่วมกันอยู่เป็นมนุษย์สังคมนั้นก็โดยต้องมีเศรษฐกิจเป็นรากฐานคือ จำต้องมีปัจจัยในการดำรงชีพ และออกแรงงานทางกายหรือทางสมอง เพื่อผลิตปัจจัยในการดำรงชีพนั้นขึ้นมา และในการนั้นก็จำต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในการผลิตชีวปัจจัย เศรษฐกิจจึงเป็นรากฐานสำคัญของมนุษย์สังคม ส่วนสังคมใดจะเป็นไปโดยวิธีใดนั้น ก็สุดแท้แต่ความสัมพันธ์ในการผลิตชีวปัจจัย คือ ถ้าเป็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอย่างระบบปฐมสหการ สถาบันการเมืองของสังคมก็เป็นไปเช่นนั้น ถ้าเป็นไปตามระบบทาสหรือระบบศักดินา ระบบทุน หรือท่านทั้งหลายไปกรุงเบลเกรดมา ซึ่งที่นั่นเขาเรียกว่าสังคมนิยมตามแบบของเขา สถาบันของสังคมนั้น ๆ ก็เป็นไปตามความสัมพันธ์ในทางเศรษฐกิจของเขา และประเทศจำต้องมีกฎหมาย กฎหมายนั้นก็บัญญัติขึ้นตามระบบของแต่ละสังคม ซึ่งมีรากฐานมาจากระบบเศรษฐกิจของสังคม

“ฉะนั้น การที่ให้นักศึกษาขั้นปริญญาตรี ซึ่งแม้จะดำเนินอาชีพกฎหมายได้เรียนเศรษฐศาสตร์ ก็เพื่อให้รู้พื้นฐานของสังคม ซึ่งเป็นที่มาแห่งสถาบันการเมืองและกฎหมายของสังคม และก็ให้มีความรู้กว้างขวางในทางเศรษฐกิจ แม้ผู้ที่ดำเนินวิชาชีพทางกฎหมาย ภาษิตโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม” ท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ก็ดี หรืออีกหลายคนที่มาพบผมก็ดี ไม่เคยร้องอุทธรณ์ต่อผมว่าท่านถูกแบกวิชาที่ผมให้ไว้จนหามไม่ไหวแล้ว แต่ตรงกันข้ามกลับบอกผมว่าอยากจะหาความรู้เพิ่มเติม ผมก็ชรามากแล้ว จึงขอให้ท่านทั้งหลายค้นคว้าศึกษาด้วยตนเองต่อไป ตามแนวที่ผมเคยให้การอบรมไว้ เมื่อก่อนแจกปริญญาบัตรว่า

“ปริญญาที่มอบให้นั้นเปรียบประดุจเพียงแต่ยื่นกุญแจให้เท่านั้น ขอให้ท่านนำกุญแจนั้นไปไขคลังมหาศาลแห่งความรู้ของมนุษยชาติที่ได้สะสมมาและกำลังพัฒนาอยู่ในทุกวันนี้ และกำลังจะพัฒนาต่อไปในอนาคต

“ขอให้ท่านทั้งหลายได้เดินก้าวหน้าต่อไป โดยไม่ต้องกังวล บุคคลใด ๆ ที่จะมารั้งให้ถอยหลัง ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และสรรพวิชาทั้งปวงตลอดจนความก้าวหน้าของมนุษย์สังคม อาจถูกตั้งไว้ได้บางระยะเท่านั้น แต่ในที่สุดก็ไม่มีพลังใด ๆ ที่จะยับยั้งไว้ได้ชั่วกัลปาวสาน คือ ความก้าวหน้าจะต้องมีชัยต่อความล้าหลัง”

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขรวิธีสะกดตามต้นฉบับ
  • สุพจน์ ด่านตระกูล. ผู้ประศาสน์การ มธก. (๑๑ เม.ย.๗๗-๑๒ มี.ค.๙๕). สัมผัส พึ่งประดิษฐ์ , ระวิ ฤกษ์จำนง, สุภร พรหมพันธุม, อรุณี อินทรสุขศรี, ธวัชชัย ไพรินทราภา, เพ็ญศิริ ประภาสพงศ์, สมณา นทีรัยไทวะวรุตม์, บรรณษธิการ. หนังสือ วัน “ปรีดี พนมยงค์” ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘.  ม.ป.ท.; 2538, น. 133-139.

บรรณานุกรม :

  • สุพจน์ ด่านตระกูล. ผู้ประศาสน์การ มธก. (๑๑ เม.ย.๗๗-๑๒ มี.ค.๙๕). สัมผัส พึ่งประดิษฐ์ , ระวิ ฤกษ์จำนง, สุภร พรหมพันธุม, อรุณี อินทรสุขศรี, ธวัชชัย ไพรินทราภา, เพ็ญศิริ ประภาสพงศ์, สมณา นทีรัยไทวะวรุตม์, บรรณษธิการ. หนังสือ วัน “ปรีดี พนมยงค์” ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๘.  ม.ป.ท.; 2538, น. 133-139.

เชิงอรรถ

  • สุพจน์ ด่านตระกูล : จากหนังสือนายปรีดี พนมยงค์ กับการอภิวัฒน์ สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช