

อนุสรณ์สถาน "นายผี" (อัศนี พลจันทร์)
ต.โคกปีบ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
ที่มา : กิน เที่ยว ปราจีนบุรี
(๑) บทนำและความสำคัญ
“อัศนี พลจันทร” นักคิดนักเขียนและกวีเจ้าของนามปากกาที่รู้จักกันดีในชื่อ “นายผี” หรือในนามปากกาอื่น ๆ อีกกว่า ๒๔ นาม ตามที่คณะกรรมจัดงาน “นายผีคืนถิ่นแผ่นดินแม่” ได้รวบรวมไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้แก่ ก., กำพง สามไต่, กินนร เพลินไพร, กุลิศ, กุลิศ อินทุศักดิ์, จิล ผาพันใจ, น.น.น., นางสาวอัศนี, ประไพ วิเศษธานี, ศรีฯ, ศรีอินทรายุธ, สายฟ้า, หง, หง เกลียวกม, อ., อ.พ., อ. พลจันท์, อัศนี พลจันทร ธ.บ., อัสนี พลจันท, อำแดงกล่อม, อินทรายุธ, อุทิศ ประสานสภา และอ.ส. เป็นต้น[1]
ขณะที่ตาม “โครงการอ่านนายผี” ที่สำนักพิมพ์อ่าน ได้จัดทำขึ้นจากความช่วยเหลือด้านต้นฉบับ คำปรึกษา และรับเป็นบก. ให้บางเล่ม โดย “ป้าลม” (วิมล พลจันทร) คู่ชีวิตของอัศนี พบว่ามีนามปากกาที่ลงชื่อ “เนติบัณฑิตย์” ลงกำกับตามหลัง “อัศนี พลจันทร” (อัศนี พลจันทร เนติบัณฑิตย์) และนามที่คนไม่ค่อยรู้จักอีก เช่น มาลินี สุนทรธรรม, หะยี ซัมซูดิน บิน อับดุลฆานี เป็นต้น[2]
ทั้งนี้นามปากกาอื่น เช่น “อุชเชนี” เจ้าของผลงานรวมเรื่องสั้น “คำตอบนั้นอยู่ที่ไหน?” ที่นักศึกษารุ่นหลัง ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ โปรดปรานกันมาก รวมทั้งนาม “สหายไฟ” ก็เป็นอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักกันดี เนื่องจากใช้แต่งบทกวี “คิดถึงบ้าน” ซึ่งถูกนำมาใส่ทำนองและขับร้องกันในชื่อ “เพลงเดือนเพ็ญ” โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน
ภายใต้นามปากกาเหล่านี้อัศนีใช้เขียนเรื่องอะไร ลงพิมพ์เผยแพร่ที่ไหนบ้าง หาอ่านได้จากผลงานภายใต้คณะกรรมการและโครงการดังกล่าว ผลงานของอัศนีได้รับการศึกษาและพูดถึงกันหลากหลายแง่มุม ในที่นี้ผู้เขียนจะชวนพินิจพิจารณาผลงานบางชิ้นในจำนวนหลากหลายเหล่านั้น ที่เขียนถึงปรีดี พนมยงค์ ที่ผ่านมาผลงานในส่วนนี้ของอัศนีมักถูกละเลย เพราะโดยมากผู้อ่านหรือผู้ที่ศึกษาผลงานของอัศนี มักมุ่งเน้นการศึกษาอภิปรายถึงแนวคิดทางการเมืองแบบฝ่ายซ้ายของอัศนี เช่นเดียวกับที่ศึกษางานเขียนของนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายร่วมยุคเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตร ภูมิศักดิ์, กุหลาบ สายประดิษฐ์, เปลื้อง วรรณศรี, ทวีป วรดิลก, อรัญญ์ พรหมชมภู (อุดม ศรีสุวรรณ), เสนีย์ เสาวพงศ์ (ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์) เป็นต้น
ด้วยความที่อัศนี พลจันทร มีภูมิหลังเรียนจบการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเป็นนิติศาสตรบัณฑิตรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ม.ธ.ก. บางแห่งเขียน มธก. หมายถึงมหาวิทยาลัยเดียวกัน) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จึงมีโอกาสได้รู้จักและเคยพบเห็นปรีดี พนมยงค์ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และดำรงตำแหน่งเป็น “ผู้ประศาสน์การ” (แห่งแรก แห่งเดียว และคนเดียวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) นักศึกษา ม.ธ.ก. รุ่นแรกนั้นปรีดีให้ความสำคัญเป็นพิเศษ มีการตั้งนิคมอยู่ที่ท่าช้าง ให้นักศึกษาจากต่างจังหวัดได้มาพักอยู่ร่วมกันแบบโรงเรียนกินนอน ก่อนจบการศึกษาในวันรับปริญญา ปรีดีนัดพบพูดคุยไต่ถามทุกคนว่า ใครจบแล้วจะไปทำการงานอย่างใด
(๒) นายผี (อัศนี พลจันทร) ในฐานะ “เดอะแบก” ของปรีดี (ที่คนไม่ค่อยรู้)
จากผลงานหลายต่อหลายชิ้นทั้งในรูปแบบบทความ เรื่องสั้น กวีนิพนธ์นั้น ทำให้ทราบว่าอัศนีมีความภาคภูมิใจในฐานะนักศึกษา ม.ธ.ก. รุ่นแรกเป็นอย่างมาก รวมถึงความภาคภูมิใจที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน “ผู้ประศาสน์การ” (ปรีดี พนมยงค์) ในส่วนนี้เป็นความแตกต่างเมื่อเทียบกับผลงานของนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายท่านอื่น ๆ โดยเฉพาะประเด็นมุมมอง แนวคิด และจุดยืนต่อปี ๒๔๗๕ และบทบาทของปรีดี พนมยงค์
คำและภาษิตที่ว่า “ใครคือมิตรแท้ - ศัตรูเทียม จะเห็นก็ต่อเมื่อยามยากหรือช่วงหมดอำนาจยศฐาไปแล้ว” นั้น ก็ดูจะเป็นจริงสำหรับกรณีความเกี่ยวพันระหว่างปรีดี พนมยงค์ กับ นายผี - อัศนี พลจันทร ซึ่งทั้งสองแม้จะไม่ได้มีโอกาสพบหน้าค่าตาหรือติดต่อกันอย่างใดอีกหลังจากปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะภัยจากเผด็จการหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ และในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้น อัศนี พลจันทร ที่ชีวิตราชการลุ่ม ๆ ดอน ๆ และเผชิญภัยคุกคามจากเผด็จการเช่นกัน ก็ตัดสินใจเข้าร่วมพคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) แล้วระหกระเหินเดินไพรไปกับพคท.
ทั้งนี้หลังจากนั้นไม่นานอีกเหมือนกัน พคท. ก็ตัดสินใจพาพลพรรคออกสู่ชนบทเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์การปฏิวัติแบบ “ชนบทล้อมเมือง” แต่ชีวิตทางการประพันธ์ของอัศนีไม่ได้จบไปพร้อมกับการเป็น “สหายไฟ” หรือ “ลุงไฟ” ตรงข้ามกลับเป็นช่วงที่มีผลงานเข้มข้นมากขึ้น อัศนีเขียนงานส่งมาตีพิมพ์เผยแพร่อยู่ตลอด เพราะ “แนวรบทางวรรณกรรม” ก็ถือเป็นแนวรบสำคัญของขบวนการปฏิวัติ
นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ปรีดี พนมยงค์ ถูกตั้งข้อหาให้ร้ายต่าง ๆ นานา โดยกลุ่มการเมืองฝ่าย “ศัตรูประชาธิปไตย” ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงแม้ปรีดีจะลี้ภัยออกนอกประเทศไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เลิกรา ในจำนวนข้อให้ร้ายเหล่านั้น กรณีสวรรคตถือว่าร้ายแรงที่สุด อัศนี พลจันทร เป็นนักคิดนักเขียนผู้หนึ่งที่ได้ติดตามเรื่องราวและมีบทบาทในการตอบโต้การสร้างภาพลักษณ์ให้ร้ายต่อปรีดีผ่านผลงานหลายชิ้นด้วย แต่ไม่ถึงกับยกย่องจนสูงเด่นเลิศลอย เพราะในแนวคิดของฝ่ายซ้ายไทยต่อต้านเรื่องนี้โดยมักจะโจมตีว่าเป็น “ลัทธิวีรเอกชน” หรือ “พวกอัศวินขี่ม้าขาว” ซึ่งส่งผลเสียต่อขบวนการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเป็นผลดี
ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่ตรงกับคำว่า “แบก” ในบริบทปัจจุบัน แต่ ณ ช่วงเวลานั้นการที่อัศนีมา “แบกปรีดี” ถือเป็นการกระทำที่น่ายกย่อง เพราะน่าเชื่อว่าหากไม่ใช่ปรีดี เป็นผู้อื่น ถูกกระทำเช่นเดียวกันนี้ อัศนีก็คงเข้าไปแบกเช่นกัน เฉกเช่นเดียวกับสมัยรับราชการเป็นอัยการแต่ไม่เข้าข้างรัฐ เข้าข้างประชาชน อัศนีก็เลยมีชีวิตราชการที่ไม่รุ่งเรืองเหมือนคนอื่น
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าผลงานของอัศนี พลจันทร ภายใต้บริบทดังกล่าวนี้นับว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ควรได้รับการ “อ่านใหม่” อยู่ด้วย เพราะเป็นประโยชน์ไม่เพียงแต่สำหรับการศึกษาภาพลักษณ์และบทบาทของปรีดี พนมยงค์ หากแต่สะท้อนแนวคิด มุมมอง และจุดยืนสำคัญอันหนึ่งของนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายไทย ซึ่งไม่ใช่แค่พวกคลั่งแนวคิดลัทธิเหมาของจีนแดง หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และในส่วนของนายผีเองนั้น เรามักจะมองกันว่าเขาเป็นปัญญาชนของพคท. แน่นอนเขาเป็นฝ่ายซ้าย แต่อีกแง่มุมหนึ่งเขาก็เป็นนักศึกษา ม.ธ.ก. (รุ่นแรก) และเป็น “ศิษย์ - อาจารย์” กับปรีดีด้วย
แน่นอนว่า เป็นศิษย์ - อาจารย์กันก็ไม่ได้หมายความว่า ทั้งสอง (นายผีกับปรีดี) จะเห็นพ้องกันไปเสียทั้งหมด ศิษย์ก็เห็นต่างจากอาจารย์ได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ปกติแล้วในสังคมไทย ศิษย์ย่อมต้องให้ความเคารพนับถือต่อผู้เป็นครูบาอาจารย์ของตนเอง ยกเว้นแต่อาจารย์จะประพฤติตนเสื่อมเสียจนศิษย์ไม่อยากเคารพ ในแง่วิชาการ ในหมู่ฝ่ายก้าวหน้าก็มีคติถือว่า “ศิษย์ที่ดีคือศิษย์ล้างครู” คือศิษย์ที่มีความคิดก้าวหน้าหรือทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าที่รุ่นครูอาจารย์ของตนเองเคยทำมา
ข้อน่าสังเกตก็คือ อัศนีเริ่มเขียนถึงปรีดี พนมยงค์ และ ม.ธ.ก. มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่เกิดกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘ กระสุนนัดนั้นที่ลั่นเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ไม่เพียงแต่ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักของชนชาวสยามเวลานั้น หากแต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมดั่งคลื่นยักษ์ถาโถมโหมกระหน่ำให้ระบอบการเมืองแบบก้าวหน้าที่ดำเนินมานับแต่การอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ พบความสั่นคลอนและเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ซึ่งเรื้อรังค้างคามาจนถึงปัจจุบัน
กระสุนนัดนั้นทำให้กลุ่มการเมืองฝ่าย “ศัตรูระบอบประชาธิปไตย” ได้มีปากเสียงและอำนาจมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แม้ว่าปรีดี พนมยงค์ จะแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพยายามจัดการทุกอย่างให้ปกติเรียบร้อย แต่สังคมก็ยังคงแคลงใจและสงสัยกันไปต่าง ๆ นานา เกิดเป็นช่องให้ฝ่าย “ปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎร” มาแต่เดิมได้โอกาสโจมตีโดยวิธีการใส่ร้ายป้ายสี จ้างคนไปตะโกนในโรงหนัง จนกระทั่งลุกลามบานปลายไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งเป็นรัฐประหารแรกที่ชี้นำโดยกลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยมแล้วได้รับชัยชนะ ยึดอำนาจสำเร็จ เกิดเป็นรูปแบบ (Pattern) หลักของการขึ้นสู่อำนาจของฝ่ายอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยมในสังคมการเมืองไทยหลังจากนั้นเรื่อยมา
(๓) นายผี - ปรีดี & “กรณีสวรรคต” (ก่อนรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐)
ในที่นี้เราจำเป็นต้องแยกระหว่างกรณีสวรรคตในช่วงก่อนกับหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เพราะแม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจแล้ว เหตุการณ์เดียวกันนี้ก็ถูกนำไปเอาใช้แตกต่างจากเดิม หรือการตีความเหตุการณ์ดังกล่าวในหมู่คนบางกลุ่ม ได้รับการยอมรับหรือถูกทำให้เป็นที่เชื่อถือกันมากขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงความคิดเห็นเฉพาะบางกลุ่ม ก็กลายเป็นความคิดเห็นของผู้มีอำนาจที่จะสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น การนำเอาเหตุการณ์ไปใช้โจมตีฝ่ายตรงข้าม เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมแก่การใช้อำนาจฉ้อฉลและลำเอียง ทั้งที่ตัวเหตุการณ์ควรยุติไปแล้ว ก็กลับมาถูก “ฟื้นฝอย” (หาตะเข็บ) เป็นต้น
ในฐานะนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้าย นายผี (อัศนี พลจันทร) ไม่พลาดที่จะมองเห็นว่าการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ นั้นคือการเถลิงอำนาจผ่านการร่วมมือประสานกันระหว่างกลุ่มการเมืองที่พวกเขาเรียกกันว่า “ศักดินา” กับ “ขุนศึกฟาสซิสต์” แน่นอนว่าอัศนีย่อมมองกลุ่มอำนาจใหม่หลังรัฐประหารครั้งนี้เป็น “ศัตรูของประชาชน” และแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนกลุ่มผู้สนับสนุนที่ถูกตามล่าล้างทำลายจากกลุ่มอำนาจหลังรัฐประหาร ยิ่งผู้ถูกกระทำนั้นเป็น “ผู้ประศาสน์การ” ของมหาวิทยาลัยที่ตนเองเรียนจบมา อัศนียิ่งต้องรู้สึกเห็นอกเห็นใจมากขึ้นไปอีก เพราะอัศนีเองจากผลงานหลายชิ้นจะเห็นได้ว่าเขามีความภาคภูมิใจและผูกพันต่อ ม.ธ.ก. ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง กลุ่มอดีตเสรีไทยได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมการเมืองภายในประเทศ รวมถึงการสิ้นสุดของ “ระบอบพิบูล” คณะราษฎรสายพลเรือนและทหารเรือนำโดยปรีดี พนมยงค์ หลวงถวัลย์ธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) และหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เข้ามามีบทบาทและแทนที่ด้วยบรรยากาศเปิดของการเมืองระบอบประชาธิปไตย คู่เคียงมากับบทบาทของสส. ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสส. จากภาคอีสาน
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ อัศนีมีจุดยืนและมุมมองอีกแบบหนึ่ง แตกต่างจากในช่วงหลังจากเกิดรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เนื่องจากเป็นช่วงที่กลุ่มปรีดีมีอำนาจ การวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนข้อเรียกร้องทางสังคมการเมืองต่าง ๆ จึงมุ่งไปที่กลุ่มปรีดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ด้วยความเคารพและให้เกียรติอยู่มาก เพราะอัศนีรับรู้ถึงบทบาทคุณูปการของปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้ก่อการอภิวัฒน์สยามมาแต่เดิม
ทั้งนี้อย่างที่บอกข้างต้นว่า มีเหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญคือ “กรณีสวรรคต” (ที่จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่รัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ อีกต่อหนึ่ง) ในสถานการณ์ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมจ้องจะนำเอาความคลุมเครือของเหตุการณ์นี้ไปขยายผลโค่นทำลายปรีดีกับพวกพ้อง อัศนีซึ่งอยู่ฝ่ายปรีดี เตือนให้ระมัดระวังแต่ละย่างก้าว เขาไม่เห็นด้วยกับการแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์โดยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เนื่องจากไม่มีความผิดและการยอมลาออกเช่นนั้นจะถูกนำเอาไปขยายผลโดยอีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความได้เปรียบ
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ อัศนีได้ใช้นามปากกา “นายผี” แต่งบทกวีชื่อ “แด่พระจ้าว” ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับประจำวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙[3] สะท้อนถึงกรณีการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของปรีดี พนมยงค์ ด้วยความเสียดายและมองเป็นความพ่ายแพ้ให้แก่กลุ่มศักดินากับขุนศึกฟาสซิสต์ ทั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ บทกวีดังกล่าวมีใจความทั้งหมดดังนี้ :
“โครงการเปนแก้วก่อง เกินชม
แต่วิธีการเก สุดแก้
แสนสมุนเสื่อมพาซม เสียสุด เสียฮา
แสนศิษย์ซบหน้าแพ้ พ่ายเขา
ครองใจจำรัสแล้ว จักเรือง ใหม่รา
รู้เลือกสมุนมวลเอา เอกใช้
รู้เลือกวิธีประเทือง ทำชอบ
ไว้ชื่อชื่นไว้ให้ ศิษย์เห็น
คำชมคือว่าเชื้อ ราเห็ด
คำที่ยุแยงเปน บูดเปรี้ยว
คำใครติตามเฟ็ด ไฟอุ่น
คำกู่เตือนอู้เบี้ยว บูดหาย”
ต่อมา เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีสวรรคต นายผีซึ่งติดตามเหตุการณ์นี้อย่างเกาะติด ได้ใช้นามปากกา “สายฟ้า” เขียนบทความเรื่อง “ผลของการสอบสวนกรณีสวรรคต” ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับประจำวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๙[4] บทความดังกล่าวมีเนื้อความดังต่อไปนี้ :
"มีข่าวว่าทางราชการจะได้ทราบความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนกรณีสวรรคตในเรื่องการสอบสวนนั้นในต้นพฤศจิกายนนี้ เข้าใจว่าเมื่อทางราชการทราบแล้วก็คงจะมีประกาศให้ราษฎรทราบอีกทีหนึ่ง และคงจะมีคนเปนอันมากที่อยากทราบความเห็นของคณะกรรมการที่ได้ลงไปในเรื่องนี้โดยเร็ว
แต่ความสำคัญของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่ว่าความเห็นของคณะกรรมการมีอย่างไร ซึ่งน่าจะเดากันได้ แต่อยู่ที่ผลของความเห็นนั้นจะเปนประการไร ถ้าคณะกรรมการลงความเห็นว่า เปนอุบัติเหตุ ดังคำแถลงของทางราชการแต่ครั้งก่อนนั้นแล้ว เรื่องก็คงจะเงียบเปนเลิกแล้วกันไปได้ ถึงแม้ว่าอาจขัดกับจิตต์ใจและเหตุผลของประชาชนอยู่เพียงไรก็ตาม แต่ถ้าคณะกรรมการลงความเห็นไปในอีก ๒ อย่างที่เหลือ คือฆ่าตัวเอง หรือถูกฆ่า ผลก็จะเปนเรื่องไม่สู้จะดีนัก
ถ้าลงความเห็นว่าฆ่าตัวเอง ก็อาจมีข้อกระทบกระเทือนถึงเกียรติยศชื่อเสียงในวังได้และเชื่อว่าประชาชนคงไม่อยากให้มีเรื่องกระทบกระเทือนเช่นนั้น หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากจะทราบว่าพระมหากษัตริย์ที่เขารักใคร่และเอ็นดู จะเปนคนได้รับความคับแค้นใจอย่างสาหัสจนต้องฆ่าตัวเองเสีย และข้อที่ร้ายที่สุด ถ้ามีเรื่องกระทบกระเทือนถึงเรื่องไม่ดีงาม อันทำให้พระเกียรติเสื่อมเสียไป ประชาชนก็คงยากที่จะเชื่อว่าเรื่องไม่ดีงามเช่นนั้นจะเกิดมีขึ้นได้ แต่การลงความเห็นในข้อนี้คงจะลงได้ยาก เพราะตามท้องสำนวนไม่ปรากฏว่าได้มีเหตุแม้แต่น้อยให้ชวนคิดไปเช่นนั้น และประชาชนคงจะใช้วิจารณญาณของตนได้ดีในข้อนี้ว่า ไม่เปนไปได้ อย่างไรก็ดี การลงความเห็นอย่างนี้คงไม่มีอะไร นอกจากจะทำให้เรื่องเงียบกันไป โดยเกิดความเสียหายขึ้นแก่การในวังหน่อยหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าลงความเห็นว่าถูกฆ่า ผลจะมีมาก เพราะจะต้องสืบสวนกันต่อไปว่าใครฆ่า ถ้าได้ตัวผู้ฆ่าจะจับตัวได้หรือไม่ ถ้าจับได้จะดำเนินคดีฟ้องร้องอย่างไร การสอบสวนแบบประหลาดที่ทำกันอย่างครึกโครมนั้นเปนการสอบสวนที่ถูกต้องใช้ได้ตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าถูกต้องก็แล้วไป ถ้าไม่ถูกต้อง จะเปนเพียงกโลบายที่ทำให้ศาลยกฟ้องเสีย เปนคดีอาชญากรสงครามนั้นหรือเปนอย่างอื่น การฟ้องร้องและพิจารณาคดีจะทำเช่นไร ผู้พิพากษาจะถูกคัดค้านหรือไม่ เพราะอธิบดีศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ และประธานศาลฎีกา ซึ่งมีอำนาจเหนือคนอื่น ๆ ก็ไปเปนผู้สอบสวนเสียแล้ว ความเห็นในข้อหลังนี้ถ้าได้ลงไปก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากมากทีเดียว
ความยุ่งยากทั้งหลายแหล่ในเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากว่ารัฐบาลในสมัยสวรรคตนั้นมีสติความยั้งคิดพอที่จะไม่ทำอะไรลงไปจนประชาชนไม่เห็นด้วย การไม่ตัดสินใจเด็ดขาดและการขาดความรอบคอบของรัฐบาล ทำให้ภาระของประชาชนในทางใจได้เพิ่มขึ้นมาอีกจากภาระทางกาย แต่แม้กระนั้นถ้าตำรวจสมัยนั้นรู้และทำตามซึ่งกฎหมายบ้านเมืองโดยเคร่งครัด และแสดงปรีชาสามารถในหน้าที่ของตนโดยสุจริตว่องไวและเต็มภาคภูมิ ความเห็นอันขัดแย้งของประชาชนก็คงจะระงับไป หรือไม่เกิดขึ้น
กรณีสวรรคตเปนกรณีที่อาจมีความผิดทางอาญาเกิดขึ้นได้ และถ้าเปนเช่นนั้นก็ย่อมกระทบถึงความปลอดภัยของประชาชนอย่างมากที่สุด โดยเปนผลจากสมรรถภาพของพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าคณะกรรมการไม่ระวังผลของการลงความเห็นของตนแล้ว ผลของการสอบสวนนั้นก็จะยิ่งกระทบถึงความปลอดภัยของประชาชนยิ่งขึ้น และเมื่อเปนเช่นนี้หลัก Salus popui suprema lex esto ก็ย่อมจะเปนหลักที่เลื่อนลอยเต็มที่”
จะเห็นได้ว่า ชื่อบทความ “ผลการสอบสวนกรณีสวรรคต” ชวนให้คิดว่าเป็นบทความเขียนหลังจากผลการสอบสวนได้มีขึ้นแล้ว หรือเป็นการนำเอาผลการสอบสวนมาอภิปราย แต่ที่จริงช่วงนั้นคณะกรรมการสอบสวนยังไม่ได้แถลงผลการสอบสวนแต่อย่างใด อัศนีเพียงแต่อภิปรายชี้ให้เห็นว่า ถ้าผลการสอบสวนเป็นไปในทิศทางใด สิ่งที่จะเกิดตามมาจะมีความเป็นไปได้อย่างไรบ้าง เพราะเป็นคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และมีกลุ่มการเมืองจ้องจะนำเอาไปขยายผลเล่นงานฝ่ายก้าวหน้าอยู่แต่เดิมอีกด้วย
(๔) ก่อนพายุจะมา : “หนึ่งไป” (พระยาพหลพลพยุหเสนา) & “หนึ่งอยู่” (ปรีดี พนมยงค์)
หลังจากเกิดเหตุการณ์กรณีสวรรคตขึ้นเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ และเป็นช่วงระหว่างก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งหากเป็นคนอื่น อาจไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญหรือมีนัยยะอะไร แต่สำหรับนายผีซึ่งเป็น “เอฟซี” ของคณะราษฎรมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักศึกษา ม.ธ.ก. แล้ว การถึงแก่อสัญกรรมของ “เชษฐบุรุษ” คือพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อดีตผู้นำคณะราษฎร เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๐
การสูญเสียพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ เพราะสำหรับนายผี บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่ควรค่าแก่การเคารพยกย่องในยุคสมัยของเขานั้นมี ๒ คน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) กับ ปรีดี พนมยงค์ คนหนึ่งจากไปแล้ว อีกคนยังอยู่ หรือเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว เป็นต้น
ต่อความสูญเสียดังกล่าว นายผีได้แต่งบทกวีชื่อ “หนึ่งไป หนึ่งอยู่” ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับประจำวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๐[5] มีใจความดังนี้ :
“คุมสมัครพรรคพวกสู้ สรรพศาสตร
กวาดพวกข่มขี่เขา เผนผ้าย
หมายขึ้นช่มรุกฆาต คำค่อย เขมือบแฮ
ร่อยน่อยหนึ่งเนื้อร้าย เปลี่ยนลาม
สองร้อยเศษส่ำ มีพิษ
ชิมแต่คนละชาม ใช่น้อย
คู่เดียวดั่งเทวฤทธิ รามรุ่ง เรืองฮา
ไดแผ่นดินข้อยไหว้ ว่าดี
หนึ่งนั้นสุทธิภาพพ้น สารพัน
พอแต่บริพารผี ยุเพ้อ
หนึ่งนั้นยั่งยืนบรร ลัยล่วง แล้วพ่อ
ขอพ่อเพียงแก้เก้อ กลับดี”
ขณะนั้นปรีดี พนมยงค์ ยังอยู่เมืองไทย ยังไม่เกิดรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งทำให้ต้องลี้ภัยไปต่างแดน ยังเป็นช่วงรุ่งเรืองของปรีดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายปรีดี มีจำนวนกว่า ๒๕๘ คน (ดังที่บทกวีว่า “สองร้อยเศษส่ำ”)
น่าสังเกตด้วยว่าบทกวีชิ้นนี้เรียกปรีดีว่า “พ่อ” อาจเป็นเรื่องกลอนพาไป หรือจะมีการเรียกปรีดีเช่นนั้นในหมู่นักศึกษา ม.ธ.ก. สมัยนั้นก็ไม่แปลก เพราะคำว่า “ผู้ประศาสน์การ” ก็มีนัยยะถึงผู้ให้กำเนิด (พ่อ / บิดา) ก่อนหน้าที่จะมีบทกวี “คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” แต่งโดย เธียร ธงศรีเจริญ นักศึกษามธ. คณะนิติศาสตร์ รุ่น ๒๕๒๓ ลงพิมพ์ในปฏิทินเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ซึ่งถูกเข้าใจกันไปว่าเป็นจุดเริ่มของการเรียกปรีดีว่า “พ่อ” ในหมู่ชาวมธ. มีเนื้อความดังนี้ :
“พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ผิดถ้าจะบอกว่า บทกวี “คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” ของเธียร ธงศรีเจริญ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกปรีดีว่า “พ่อ” ของชาวมธ. เพราะบทกวี “หนึ่งไป หนึ่งอยู่” ของนายผี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ นั้นคือเป็นการเรียกปรีดีว่า “พ่อ” ในหมู่ชาว ม.ธ.ก.
ในส่วนบทกวี “หนึ่งไป หนึ่งอยู่” นี้ “หนึ่งไป” นั้น นายผีหมายถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ซึ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๐ และ “หนึ่งอยู่” นี้หมายถึง ปรีดี พนมยงค์
การแต่งบทกวี “หนึ่งไป หนึ่งอยู่” นอกจากแสดงความอาลัยต่อความสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) แล้ว ณ ช่วงเวลานั้นยังเหมือนเป็นการบอกแก่ผู้คนให้ช่วยกัน “เซฟปรีดี” ผู้ซึ่งเคยมีบทบาทคู่เคียงมากับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้ที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความเคารพนับถืออยู่ในสมัยนั้น
ทว่าการขอให้ช่วย “เซฟปรีดี” โดยนายผีนี้ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะในปีเดียวกันนั้นเอง กรณีสวรรคตได้ถูกนำไปขยายผลลุกลามบานปลายจนถูกกลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยม เอาไปสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลภายใต้อิทธิพลปรีดี แล้วคณะนายทหารที่ทำการยึดอำนาจได้เชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ ๒ แต่ครั้งนี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ได้มีอำนาจบารมีเหมือนดังเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๗) เพราะครั้งสมัยที่ ๑ นั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงมีสถานภาพความชอบธรรมยึดโยงกับการเป็นผู้นำคณะราษฎร
ในขณะที่การเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๒ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยม จนเกิดเป็น “ระบอบขุนศึก” คือ กลุ่มทหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับ ตำรวจนำโดยพลเอกเผ่า ศรียานนท์ ตำรวจยุคซึ่งมีรถถังและอาวุธสงครามเพราะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ตามข้อตกลงลับ (ดีล) ให้ปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์
สิ่งที่จัดว่าเป็น “ตลกที่ขำไม่ออก” ก็คือจริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นรัฐบาลภายใต้จอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ ๑ เคยปราบปรามกลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยมอย่างรุนแรงมาก่อน ขณะที่ปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาต่างหากที่รื้อฟื้นบทบาทของคนกลุ่มนี้จนกลับมามีพื้นที่ในการเมืองไทย ก่อนที่พวกเขาจะทรยศปรีดี โดยการใช้กรณีสวรรคตและรัฐประหาร
(๕) นายผี - ปรีดี & “กรณีสวรรคต” (หลังรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐)
จุดเปลี่ยนของสังคมการเมืองไทยครั้งสำคัญหนึ่งได้เกิดขึ้นในปีเดียวกับที่ “เชษฐบุรุษ” ได้ถึงแก่อสัญกรรมไปนั้นเอง เมื่อนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งกลับจากไปสงครามเชียงตุง มีสภาพอดโซและเหนื่อยล้า ไม่ได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษดังที่พวกเขามีความคาดหวัง เนื่องจากเป็นช่วงหลังสงครามโลกเพิ่งยุติ และบ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของอีกกลุ่มที่เห็นต่างจากพวกเขา คือ กลุ่มเสรีไทยภายใต้การนำของปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยสงครามที่ส่งพวกเขาไปรบ หมดอำนาจวาสนา (ชั่วคราว) และต้องโทษจำคุกในฐานะ “อาชญากรสงคราม” เพราะเคยประกาศเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายอักษะ
นายทหารเหล่านี้นำโดยจอมพลผิณ ชุณหะวัณ และ พลโทหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยม ซึ่งได้โจมตีรัฐบาลปรีดี - ธำรง มาตลอดช่วงก่อนหน้านั้น ก็ได้นำกำลังบุกยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ลงเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ แรกเริ่มคณะรัฐประหารได้แต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์ นักการเมืองฝ่ายขวาจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[6] ต่อมาพวกเขาก็ไปเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีที่พวกเขานับถือซึ่งเป็นอดีตนายเก่าที่เคยส่งพวกเขาไปรบในสงครามที่เชียงตุง กลับมาเป็นผู้นำอีกครั้งก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะถูกฝ่ายรัฐประหารคุกคาม เมื่อเกิดการรัฐประหาร บรรยากาศการเมืองก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่โน้มเอียงไปทางระบอบประชาธิปไตยเสรี ก็กลายเป็นปิดกั้นความคิดและปราบปรามฝ่ายที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจ และแน่นอนว่ากลุ่มอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยม ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนแนวคิดปฏิปักษ์ตรงกันข้ามกับระบอบการเมืองแบบที่คณะราษฎรพยายามสร้างมาโดยตลอด ก็ได้ฉกฉวยโอกาสจากบรรยากาศการเมืองดังกล่าวนี้มาใช้เป็นประโยชน์แก่พวกตนอย่างเต็มที่ การโจมตีปรีดีกับพวกโดยการใช้กรณีสวรรคตมาบิดเบือนให้ร้ายจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเปิดเผย
ในบรรยากาศการเมืองแบบนี้ อัศนี พลจันทร ได้ใช้นามปากกาว่า “ศรีอินทรายุธ” เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายเผด็จการที่ขึ้นครองอำนาจจากการรัฐประหาร ปกป้องปรีดี ดังปรากฏในบทความเรื่อง “กรรมของใคร?” ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์การเมือง ฉบับประจำวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๑[7] เนื้อความมีดังต่อไปนี้ :
"การสั่งฟ้องนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของพนักงานอัยการได้เปนเครื่องตัดสินโชคชะตาของบ้านเมืองเราอย่างสำคัญ เพราะการสั่งฟ้องเช่นนั้นเปนเหตุให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องตกอยู่ในข่ายผู้ต้องหาซึ่งฝ่ายปกครองได้วินิจฉัยแล้วว่ามีความผิดควรได้รับโทษ ในการนี้ถ้าผู้ต้องหาอยู่ในพระราชอาณาจักรก็จะต้องมีการออกหมายจับ และในฐานะที่ถูกสั่งจับ นายปรีดี พนมยงค์ ย่อมอยู่ในข่ายที่จะถูกจับกุมคุมขังทันทีถ้าพบตัว ในการจับกุมคุมขังเพราะต้องหาในคดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีปัญหาเลยว่า การขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาก็เปนสิ่งที่ยากจะทำดุจกัน คดีสวรรคตนี้ถึงจะอย่างไร ๆ ก็จะต้องกินเวลาพิจารณาไม่น้อยวัน ในระหว่างเวลาอันยาวนานนี้ จำเลยก็ต้องถูกขังตลอดไป และถ้าจะว่าถึงว่าหากจะมีการจงใจล้างผลาญกันในระหว่างนักการเมืองผู้หวังช่วงชิงอำนาจเด็ดขาดอันจำเปนต้องล้างผลาญนายปรีดี พนมยงค์ ให้สิ้นเชิง แล้วก็ยากที่จะทราบกันได้ว่า เบื้องหลังการคุมขังนั้น ๆ จะมีอะไรเกิดขึ้น และหากจะเปนได้ว่าการที่จะเอาชีวิตนายปรีดี พนมยงค์ เสียก็ไม่ใช่สิ่งอันยากลำบากเลย
แต่เชื่อกันว่าเวลานี้นายปรีดี พนมยงค์ ได้หลบหนีไปนอกพระราชอาณาจักร ฉะนั้นปัญหาเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนย่อมเกิดมีขึ้น ในคำฟ้องของพนักงานอัยการ โจทก็ได้ระบุความผิดของจำเลยซึ่งสมคบกับพวก (อันเปนที่รู้กันว่าพวกนั้น มีนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยผู้หนึ่ง) ว่าเปนความผิดฐานประทุษร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ (กฎหมายอาญามาตรา ๙๗) ไม่ได้ระบุว่าการประทุษร้ายเช่นนั้นเพื่อประสงค์อะไร เกี่ยวแก่การเมืองหรือไม่ เปนที่ทราบกันอยู่ว่ามีผู้กล่าวหาว่านายปรีดี พนมยงค์ ทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง โดยตั้งใจจะล้มล้างพระมหากษัตริย์เสีย และดำเนินการปกครองประเทศไปในรูปมหาชนรัฐ และแผนการปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐได้วางลงพร้อมกับแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินไปในระบอบมหาชนรัฐ แผนการดังกล่าวนี้ จะเปนแผนการ “ยรรยง บุนนาค” หรือไม่ก็ตามที แต่ก็เปนแผนการที่ฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยได้กล่าวอ้างและยืนยันอยู่ ฉะนั้นถ้าได้มีการเชื่อกันว่านายปรีดี พนมยงค์ เปนผู้วางแผนการปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐจนถึงต้องฟ้องร้องผู้สมคบกันไปยังศาลแล้วดังนี้ ก็น่าที่จะเชื่อว่าแผนการนี้ได้เปนไปร่วมกับแผนการ “ยรรยง บุนนาค” นั้น จริงอยู่หลักฐานในคดีสวรรคตในส่วนแผนการ “ยรรยง บุนนาค” อาจมีไม่พอจนพนักงานอัยการไม่อาจถือได้ว่าเปนแผนการร่วมกันกับแผนการปลงพระชนม์ดังกล่าว แต่นั่นยากที่จะลงความเห็นว่าเปนได้ อย่างไรก็ดี ปัญหาข้อนี้เราอาจเห็นกันเปนที่แน่นอนได้ในขณะพิจารณาสืบพยานโจทก์ในคดีสวรรคตที่ได้ฟ้องไปแล้วนั้น แต่ถึงแม้กระนั้นก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นข้อหนึ่งว่า การที่พนักงานอัยการโจทก์ไม่บรรยายฟ้องในคดีดังกล่าวไปว่า จำเลยได้สมคบกันวางแผนการปลงพระชนม์เพื่อให้เปนไปตามแผนการ “ยรรยง บุนนาค” นั้น ก็เพื่อปกปิดข้อเท็จจริงไว้ก่อนเพื่อประโยชน์ในการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่วิธีการเช่นนี้ซึ่งหากกรมอัยการจะเห็นเปนวิธีฉลาดและรอบคอบ นักนิติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในกฎหมายระหว่างประเทศเปนอันมากได้ลงความเห็นว่าเปนวิธีการใฝ่ฝันอย่างไร้ประโยชน์
แต่ท่าทีของการดำเนินการของฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยในกรณีสวรรคตนี้ ได้ชี้ชวนให้เห็นว่านายปรีดีหมดโอกาสเสียแล้วในการที่จะกลับคืนมาสู่บ้านเกิดเมืองมารดรของเขา ด้วยวิถีทางแห่งมิตรภาพและความปลอดภัย ปัญหาที่ว่านายปรีดี พนมยงค์ จะได้กระทำความผิดอย่างใดหรือไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาที่นายปรีดี พนมยงค์ จะยอมตนเสี่ยงชีวิตเข้ามาพิสูจน์ และหากว่านายปรีดี พนมยงค์ จะยืนอยู่นอกพระราชอาณาจักรด้วยใจอันหม่นหมอง และมองเห็นแสงสว่างแห่งประชาธิปไตย และความสุขสมบูรณ์ของเพื่อนร่วมชาติกำลังจะดับศูนย์ลงไป นายปรีดี พนมยงค์ ก็ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อยที่จะเข้ามามีส่วนแก้ไขให้คงคืนดีดังเก่า ชัยชนะในดินแดนสยามนี้เปนชัยชนะของฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยในวาระแรก เสียงหัวเราะเยาะเย้ยหยันอันดังอึงคะนึงอยู่ทุกวันนี้ เปนเสียงหัวเราะในวันศุกร์ท้าทายต่อความกำสรดโศกในวันอาทิตย์ของเขาเอง การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเปนการต่อสู้ไปตามวิถีทางของศานติกำลังจะยุติลงด้วยการขู่เข็ญในอันที่จะใช้กำลังบังคับของฝ่ายศัตรูประชาธิปไตย ส่วนผู้ที่กำลังรับกรรมอันหนักเล่า นายปรีดี พนมยงค์ หรือ? หามิได้ ฝ่ายประชาธิปไตยหรือ? หามิได้ แท้ที่จริง ผู้นั้นคือประชาชนทั้งหลาย!
เราย่อมทราบกันดีว่า ความทุกข์ยากลำเค็ญของบ้านเมืองทุกวันนี้ตกเปนบาปเคราะห์ของประชาชนทั้งหลาย ความคับแค้นฝืดเคืองหลังสงครามมีผลมาแต่การนำประเทศเข้าสู่สงครามในทางที่ผิดและไม่จำเปน ผลพิบัติจากสงครามคราวที่แล้วเปนผลพิบัติอันตกร้ายแก่ประเทศชาติด้วยการเห่อเหิมอำนาจของคนเพียงไม่กี่คน ซึ่งในขณะนั้นอ้างเอาชาติขึ้นบังหน้า เขากล่าวว่าคนที่ไม่เห็นและไม่ทำตามเขาคือผู้ไม่รักชาติ เขากล่าวดังว่าชาติเปนตัวของเขาเอง (L’ E’tat, c’ est moi) เสียงอันคุกคามประชาชนเช่นนั้นได้นำชาติบ้านเมืองไปสู่หายนะ และในที่สุด นายปรีดี พนมยงค์ ก็ได้มาหยิบเอาประชาชาติไทยซึ่งกำลังตกจมลงไปสำลักน้ำครำขึ้นมาจากบ่อโสโครก เราสำลักกันบ้าง แต่ไม่ถึงกับจมตาย บัดนี้สถานการณ์ภายในประเทศได้แก่ความคับแค้นฝืดเคืองอันเปนทุกข์ลำเค็ญของประชาชนทั้งหลาย ยังมิได้บรรเทาเบาบางลง การแก้ไขอันโอ้อวดแต่ละทีนั้นเปนการเหลวเปล่า ซ้ำกลับเปนผลร้ายตกต่ำหนักลงทุก ๆ ที สถานการณ์ภายนอกประเทศกำลังสับสนอลหม่าน ฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยได้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะต่อสู้กับสถานการณ์ภายนอกประเทศเหล่านี้ แต่ก็มิวายคิดที่จะต่อสู้เพื่อดิ้นเอาตัวของตัวโดยเฉพาะให้รอดไปก่อนหรือแต่ลำพังตน ฉะนั้น การดิ้นรนนั้นคือการเหยียบหัวประชาชนทั้งหลายเพื่อโจนหนีขึ้นจากปากเหวอันลึกถ่ายเดียว การข้อนี้ควรจะได้รับการแก้ไขจากผู้สามารถ แต่ในขณะเดียวกัน นายปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกขับไล่ไสส่งไปเสียจากบ้านเมืองเรา และซ้ำยังหมดโอกาสที่จะกลับเข้ามาช่วยแก้ไขอีกด้วย
เช่นนี้ กรรมอันหนักนั้นใครเล่าเปนผู้แบกอยู่ ถ้ามิใช่ประชาชนทั้งหลาย!
การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย เปนการต่อสู้เพื่อประชาชนด้วยวิถีแห่งศานติอันต้องด้วยบทกฎหมายบ้านเมือง แต่การตีโต้ของฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยนั้นเปนการตีโต้เพื่อตัวของเขาโดยเฉพาะ และด้วยวิธีการแห่งอำนาจแลกำลัง ซึ่งปลอดจากหลักธรรมะแลกฎหมาย ประชาชนเท่านั้นที่จะเปนผู้ตัดสิน!
ถ้าพูดถึงกรรมที่ประชาชนทั้งหลายเปนผู้แบกอยู่ในเวลานี้แล้ว ขอเชิญพิจารณา
“ดงงคบบแค้นธชาวเรา ทวยชนเฉาเฉทเฌอ อ้วนชะลูด เลอลำแมก สรรพกามแจกเจือคน ขาดภูชผลพึงใจ เหมือนฉนนใดอุประมา ฝูงประชาชาวราษฎร ขบบปิ่นปราชญปรีดี อนนบมีความผิด ปลิดจากเมืองมารดร เราสิ้นสรณอาศรยย มานอุประมยยฉนนน้นน บแปลกกนนเลอย” ดั่งนี้.”
ในบทความชิ้นนี้ ความข้างท้ายจะเห็นว่ามีการใช้คำว่า “แบก” (ผู้แบก) ในความหมายเดียวกับที่ใช้กล่าวถึงบุคคลที่เชียร์บางกลุ่มบางบุคคลอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แม้ว่ากลุ่ม พรรค หรือบุคคลสำคัญท่านดังกล่าวนั้นได้กระทำสิ่งที่คนอื่นมองว่าเลวร้ายบัดซบในทางสังคมการเมืองเพียงใดก็ตาม แต่นายผีใช้คำนี้โดยกล่าวถึงประชาชนเป็น “ผู้แบกรับ” เคราะห์กรรมจากการที่ฝ่ายศัตรูประชาธิปไตยกระทำทุกวิถีทางในการทำลายปรีดี โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ระบบที่ควรคงไว้เป็นกลางและตั้งอยู่ในความยุติธรรมจะต้องเสียไปด้วย
การทำลายระบบที่ควรสงวนไว้เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกคน เพื่อรับใช้วัตถุประสงค์ที่เป็นการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายอนุรักษนิยม - กษัตริย์นิยมใช้ในการเมืองไทยมาโดยตลอด
ส่วนคำที่เคยใช้ในกรณีที่คนรุ่นปัจจุบันนี้นิยามเรียกว่า “แบก” นั้น สำหรับฝ่ายซ้าย (โดยเฉพาะชาวพคท.) มีอีกคำอื่นให้ใช้อยู่ อาทิ “ลัทธิแก้” “ซ้ายไร้เดียงสา” “ซ้ายเอียงขวา” เป็นต้น
(๖) จาก “นายผี” ถึง “ผู้ประศาสน์การ” & ชะตากรรม ม.ธ.ก. หลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐
นอกจากปรีดี พนมยงค์ สิ่งที่นายผีแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอยู่มากในช่วงเวลานั้นก็คือชะตากรรมของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ม.ธ.ก.) ซึ่งถูกกล่าวหาโยงใยเกี่ยวข้องกับปรีดี ผู้ถูกให้ร้ายว่าอยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต (อีกต่อหนึ่ง) ในช่วงนี้ ม.ธ.ก. ก็ถูกฝ่ายเผด็จการเล่นงานไม่น้อย มีการพิจารณาเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ประศาสน์การ” ที่ปรีดี พนมยงค์ เป็นมาตั้งแต่แรกตั้งจนถึงช่วงรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยจาก “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” (ม.ธ.ก.) มาเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” (มธ.) ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
ในช่วงเวลานั้น อัศนี พลจันทร ได้ใช้นามปากกาว่า “สายฟ้า” (ที่ก็ความหมายเดียวกับ “อัศนี”) เขียนบทความออกความคิดเห็นเรื่อง “ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ลงพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์การเมือง ฉบับประจำวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๑[8] เนื้อความมีดังต่อไปนี้ :
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัวผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าในระหว่างที่มีการสืบเสาะหาตัวผู้ประศาสน์การกันอยู่นั้น มีบุคคลหลายคนอยู่ในข่ายที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เปนผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย คน ๆ หนึ่งได้แสดงตนว่ามีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยนี้อยู่มาก และถ้าตนได้เป็นผู้ประศาสน์การนี้แล้วก็จะจัดการให้มหาวิทยาลัยบังเกิดความเรียบร้อยและเจริญขึ้น เพราะปรากฏว่าเวลานี้มหาวิทยาลัยนี้กำลังตกอยู่ในมรสุมการเมือง ที่ผู้กล่าวอ้างว่าเปนมหาวิทยาลัยที่เหลวแหลกใช้ไม่ได้ สมควรจะได้รับการยกเลิกไปหรืออย่างน้อยก็จะต้องมีการปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ การปรับปรุงที่ว่านี้จะได้ทำกันด้วยการเปลี่ยนตัวผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เปนมหาวิทยาลัยอิสสระ ไม่ขึ้นต่อกระทรวงศึกษาธิการ หากขึ้นอยู่ต่อคณะกรรมการมหาวิทยาลัยซึ่งประกอบขึ้นด้วยผู้มีเกียรติในทางการเมือง และผู้มีเกียรติในทางคุณวุฒิ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นจึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่จะเข้ามาจัดการอย่างไรได้ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยเปนผู้ที่มีคุณวุฒิสูงและต้องเปนผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เปนโดยพระบรมราชโองการโดยคำแนะนำของสภาผู้แทนราษฎรอีกเหมือนกัน ฉะนั้นจึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่จะเข้ามาจัดการอย่างไรแก่ตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย เมื่อเปนเช่นนี้พระมหากษัตริย์และสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยตามกฎหมาย หาใช่เรื่องของใครอื่นที่จะเข้ามา “จัดการงานนอกสั่ง” ไม่ อนึ่งมติของสภาผู้แทนราษฎรก็เปนของยากที่จะทำให้เปนไปอย่างหนึ่งอย่างใดตามใจชอบใคร
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง คือ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้เปนมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ได้เปนผู้ทุ่มเทกำลังความรู้และสติปัญญาไปในการจัดการมหาวิทยาลัยเปนอย่างมาก และมหาวิทยาลัยก็ได้เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับกาล เปนที่ประจักษ์อยู่แล้ว พึ่งจะมาทรุดโทรมแทบจะตั้งอยู่มิได้ก็เมื่อเกิดมีการกบฏ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐[9]ผู้ประศาสน์การได้ถูกขับไล่ระเหเร่ร่อนไป เลขาธิการมหาวิทยาลัยถูกจับกุมคุมขัง ตัวตึกมหาวิทยาลัยถูกหาว่าเปนที่ส้องสุมอาวุธและผู้คน เอาไว้ก่อการต่อสู้กับพวกกบฏนั้นเอง ได้มีความพยายามอันใหญ่ยิ่งที่จะได้ล้มล้างมหาวิทยาลัยนี้เสีย ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เกิดจากเรื่องส่วนตัวและโมหะจริตเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ตามที คณะกรรมการมหาวิทยาลัยน่าจะได้คิดหาหนทางแก้ไขให้ความเจริญรุ่งเรืองกลับคืนมายังมหาวิทยาลัยอีก เพราะเหตุแห่งความไปสู่ความวิบัติของมหาวิทยาลัยนั้น เกิดจากบาปเคราะห์ของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ความผิดของผู้ประศาสน์การ หรือเลขาธิการ หรือคณะกรรมการเลย
เมื่อเปนดังนี้ก็ยังไม่มีเหตุจำเปนและสมควรที่จะได้จัดการตั้งผู้ประศาสน์การขึ้นใหม่ เพราะแม้ผู้ประศาสน์การไม่อยู่ เลขาธิการก็มีอำนาจดำเนินการแทนในความควบคุมของคณะกรรมการมหาวิทยาลัยตามเดิม แต่ที่ไม่ได้ทำกันนั้น น่าจะได้พิจารณาดูโดยถ่องแท้แล้วว่า เกิดแต่อะไรแน่ มีอำนาจอะไรหรือไม่ที่เข้าขวางเชิงการดำเนินงานของคณะกรรมการมหาวิทยาลัยนี้อยู่?
แต่ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ. ๒๔๗๖ ไม่มีบัญญัติถึงการถอดถอนผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย มีแต่บทว่าด้วยแต่งตั้ง ฉะนั้นสภาพของผู้ประศาสน์การจึงย่อมไม่อาจทำให้สิ้นลงได้ นอกจากการตายซึ่งเปนการทำให้สิ้นสภาพตามกฎหมาย ผู้ประศาสน์การย่อมจะต้องอยู่ในตำแหน่งไปจนตาย จะเปลี่ยนแปลงมิได้เลย ในด้านของกฎหมาย การที่จะตีความในบทบัญญัติว่าด้วยการแต่งตั้งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยให้เปนว่าโดยนัยกลับกัน เมื่อพระมหากษัตริย์และสภาผู้แทนราษฎรเปนผู้แต่งตั้งได้เองแล้วก็ย่อมมีอำนาจถอดถอนได้เหมือนกัน เช่นนี้ไม่ได้ เพราะไม่ต้องด้วยหลักการตีความกลับกัน (vice versa)
แต่ถึงหากว่าจะมีการถอดถอนเพื่อแต่งตั้งใหม่ได้เช่นนี้ ก็ปรากฏว่ายังมีบุคคลอีกหลายคนที่มีความเหมาะสมที่จะได้เข้ารับช่วงตำแหน่งผู้ประศาสน์การก่อนคนอื่น เช่น พระมนูภาณวิมลศาสตร์ เปนต้น เว้นไว้เสียแต่จะเห็นกันว่า บุคคลผู้กล่าวว่ากฎหมายตราปืนเท่านั้นที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เปนผู้ไม่เหมาะสมแก่ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิไปเสียแล้วเท่านั้น
ความคิดที่จะขจัดกวาดล้างมหาวิทยาลัย และความทะเยอทะยานอยากจะใคร่ได้เปนผู้ประศาสน์การของคนบางคนนั้น เปนความทะเยอทะยานอยากที่มีสภาพดุจฝันอันตื่นขึ้นมาแล้วไม่เปนความจริง เปนข้อน่าหัวเราะเยาะชัด ๆ
ภาษิตบทหนึ่งมีว่า
"เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง มิใช่ยูงอย่ามาย้อมให้เห็นขัน”
(๗) งานเขียนชิ้นสุดท้าย “นายผี” ยืนกราน “ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว”


ที่บรรจุอัฐิ "นายผี" (อัศนี พลจันทร) และ "ป้าลม" (วิมล พลจันทร)
ณ วัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.ราชบุรี
หลายปีต่อมา จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างลี้ภัยอยู่ต่างแดน ก่อนจะได้ “...ลูกที่จากลา จะไปซบหน้ากับอกแม่เอย”[10] นายผีเสียชีวิตลงที่แขวงอุดมไซ สปป.ลาว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ แล้วได้กลับมาเมืองไทยในสภาพที่เป็นอัฐิธาตุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนหน้านั้นนายผีมีผลงานชิ้นหนึ่งถือเป็น “ผลงานชิ้นสุดท้าย” ตามที่มีการค้นพบในเวลานี้คือบทความเรื่อง “ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว” ระบุวันเดือนปีไว้ท้ายบทความคือ เดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖)[11]
ช่วงเวลาที่นายผีเขียนงานชิ้นนี้ เป็นช่วงหลังจากที่ปรีดี พนมยงค์ เสียชีวิตไปแล้ว ได้มีการนำอัฐิกลับเมืองไทย และมหาวิทยาลัยที่บัดนี้ยังคงมีชื่อใหม่ว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ได้ร่วมกันจัดงานพิธีเททองเพื่อหล่อรูปปรีดี พนมยงค์ ขนาดเมื่อปีที่พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) จากไป นายผียังแสดงความเศร้าสะเทือนใจและเสียดายเอาไว้ คราวนี้อีก “หนึ่ง” ที่เคย “อยู่” นั้นได้จากไปแล้วเช่นกัน มีหรือที่คนอย่างนายผีจะไม่แสดงความไว้อาลัย โดยที่ไม่รู้ว่าวาระสุดท้ายแห่งช่วงชีวิตของตนก็มีชะตากรรมเดียวกันกับ “ผู้ประศาสน์การ” ที่เขาเคารพนับถือมาตลอด
เนื่องจากบทความดังกล่าวมีขนาดยาว สามารถหาอ่านได้จากฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อ่าน ในที่นี้ผู้เขียนจึงขอโควตมาให้พิจารณาเพียงบางส่วนที่สำคัญดังนี้ :
ตั้งแต่ชื่อบทความ ก็จะทราบวัตถุประสงค์ของนายผีแล้วว่า ในผลงานชิ้นสุดท้ายดังกล่าวนี้ นายผีพยายามยืนกรานว่า “ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว” คือ ปรีดี พนมยงค์ เพราะไม่มีคนอื่นเหมาะสมจะมาแทนที่ได้ นายผีเริ่มต้นบทความโดยการกล่าวถึงกิจกรรมการเททองเพื่อหล่อรูปปรีดี พนมยงค์ เช่นว่า :
“ไม่กี่วันมานี้ได้มีประกาศทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าให้ชาวธรรมศาสตร์ไปร่วมกันเททองหล่อรูปเคารพของ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ ที่มหาวิทยาลัย เพื่อเอาไปประดิษฐานไว้เป็นที่ระลึก ณ มหาวิทยาลัยแห่งนั้น หลังจากนั้นไม่ทันไร วิทยุแห่งเดียวกันนั้นก็กลับออกข่าวใหม่ว่าจะมีการเททองหล่อพระพุทธรูปสี่องค์แยกไปประดิษฐานไว้ที่มหาวิทยาลัย ที่สโมสรธรรมศาสตร์ และที่วิทยาเขตอีกสองแห่ง ในการนี้กษัตริย์จะมาเองด้วย เรื่องหล่อรูป ดร.ปรีดี เงียบไป”
คำว่า “อธิการบดี” ซึ่งเป็นคำที่ใช้แทนคำว่า “ผู้ประศาสน์การ” และใช้ในกรณีมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อมาด้วยนั้น นายผีให้ความคิดเห็นว่า :
“คำว่า “อธิการบดี” มีสำเนียงไปทางพระ ไม่เหมาะกับชื่อผู้ปกครองและชี้นำมหาวิทยาลัยของฆราวาส ที่ว่าสำเนียงไปทางพระก็เพราะมีตำแหน่งในการปกครองวัดตำแหน่งหนึ่งเรียกว่า “เจ้าอธิการ” พระทำผิดวินัยก็เรียกมีอธิกรณ์ หากเรียกว่าอธิการบดีก็อาจโน้มนำไปทางสมภารเจ้าวัดได้ ชื่อมหาวิทยาลัยมีคำว่า ธรรมศาสตร ก็อาจมีผู้คิดว่าคงจะเกี่ยวกับศาสนาอยู่แล้ว แท้จริงคำ “ธรรมศาสตร” หมายถึงกฎหมายบ้านเมือง หาได้หมายถึงเรื่องทางศาสนาไม่”
แต่นายผี ไม่ได้เชียร์อัป (หรือ “แบก” ตามภาษาปัจจุบัน) ชาวมธ. อย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะในชั้นผู้คนก็สังเกตเห็นได้ (ไม่เฉพาะนายผี) ว่าชาวมธ. เองก็มีหลากหลาย จำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกับ “ผู้ประศาสน์การ” ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า :
“ดร. ปรีดีได้ดำเนินการสร้างหลายอย่าง ที่สำคัญก็คือการตั้งธนาคารชาติและมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แท้จริง การตั้งมหาวิทยาลัยนั้นก็คือการเพาะผู้ปฏิบัติงานใหม่ให้แก่ระบอบของพวกกระฎุมพีนั่นเอง”
ถึงแม้ว่า “ดร. ปรีดีได้ตั้งใจอบรมสั่งสอนวิชาการเมืองแก่นักศึกษาของม.ธ.ก. เต็มที่จนบัดนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของระบอบการเมืองไทยระดับหนึ่งไปแล้ว”
แต่กระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ปรีดีกับมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งแต่ต้น บางครั้งบางคราวนักศึกษามหาวิทยาลัยนี้ก็ไม่ได้เชื่อฟังผู้ประศาสน์การ กลับเชื่อฝ่ายตรงข้ามและดำเนินกิจกรรมการเมืองไปในทางตรงข้ามนั้นด้วย ดังที่นายผีได้หยิบยกกรณีการเคลื่อนไหวเรียกร้องเขตแดนที่นักชาตินิยมไทยเชื่อว่าเป็นของไทย จนนำไปสู่สงครามอินโดจีนในสมัยรัฐบาลพิบูลฯ นั้น ที่จริงปรีดีไม่ได้เห็นด้วยกับนักศึกษา เช่นที่นายผีบันทึกเล่าไว้ดังนี้ :
“ผู้ประศาสน์การไม่รู้ไม่เห็นต่อการกระทำทางการเมืองใหญ่ ๆ ของนักศึกษามาก่อน นี่เป็นความสัจจริงที่ชาว ม.ธ.ก. ทุกคนรับรอง แต่ผู้ประศาสน์การก็เป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจบรรดานักศึกษาและบรรดาการเคลื่อนไหวนั้น ๆ ทุกครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่ผู้ประศาสน์การไม่เห็นด้วย คือการเตรียมเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งหลวงพิบูลฯ ได้ยุให้เกิดขึ้นเพื่อเตรียมเปิดทางให้จักรพรรดินิยมญี่ปุ่นเข้ายึดประเทศไทยสะดวกจากทางด้านอินโดจีน และครั้งนั้นนักศึกษา ม.ธ.ก. ก็ได้ทำผิดพลาดไป ไม่ฟังคำเตือนด้วยหวังดีของผู้ประศาสน์การของตนเองเพราะอำนาจลัทธิชาตินิยมหรือลัทธิไทยมหาอำนาจที่หลวงพิบูลฯ ยุขึ้นมาบดบังทรรศนะทางการเมืองที่ตนได้ศึกษามา ลัทธิชาตินิยมกระฎุมพีเป็นอันตรายร้ายแรงของเยาวชน และก็เป็นอันตรายร้ายแรงของประเทศชาติด้วย ม.ธ.ก. เป็นสถาบันการศึกษาของพวกกระฎุมพี เพราะฉะนั้นถึงอย่างไรก็ยากที่จะคัดค้านทรรศนะของกระฎุมพีเองได้ โดยเฉพาะทรรศนะชาตินิยม”
ในส่วนนี้ “รำฤกถึงนายผี จากป้าลม” บันทึกความทรงจำของ “ป้าลม” (วิมล พลจันทร)[12] คู่ชีวิตของนายผี ถือเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่เล่าเรื่องนี้เอาไว้ สอดคล้องต้องกันดังนี้ :
“ปี ๒๔๘๔ เกิดกรณีพิพาทกับอินโดจีน / ฝรั่งเศส รัฐบาลได้ปลุกระดมประชาชนไทยให้เดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ท่านผู้ประศาสน์การ ม.ธ.ก. (คือ ปรีดี พนมยงค์) เห็นว่า เรื่องควรแก้ไขด้วยการเจรจา ไม่สนับสนุนการเดินขบวน นักศึกษาเห็นด้วย วันรุ่งขึ้น นักศึกษาเกิดเปลี่ยนใจจะเดินขบวน คุณอัศนียืนบนโต๊ะปลุกระดมนักศึกษาให้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้ประศาสน์การ ขณะนั้นมีรถถังแล่นเข้ามาในมหาวิทยาลัย นายทหารท่านหนึ่งลุกขึ้นยืนบนรถถังโต้กับคุณอัศนี ในทางเหตุผลความถูกต้องเป็นของคุณอัศนี นักศึกษาจำนวนหนึ่งเฮโลเข้ามาล้อมกรอบคุณอัศนี กำลังจะแจกหมัดมวย แต่แล้วเหตุการณ์อันน่าระทึกใจก็ได้ผ่านพ้นไป”
แต่บันทึกของ “ป้าลม” ก็ได้เล่าว่าต่อมานายผีก็เข้าร่วมเดินขบวนเรียกร้องดินแดนในสมัยนั้นกับเขาด้วย กล่าวคือเมื่อนักศึกษา ม.ธ.ก. ยืนกรานจะเดินขบวน นายผีก็ “เช้ามืดตรงไปมหาวิทยาลัยเห็นขบวนเคลื่อนออกเกือบถึงประตูมหาวิทยาลัย คุณอัศนีวิ่งเข้าไปรับคันธง ผู้ถือมาก่อนไม่ยอมให้ พูดว่าไม่เห็นด้วยจะมาถือธงทำไม? คุณอัศนีตอบว่า “ยืนยันตามเดิม แต่ผมทิ้งเพื่อนไม่ได้ ผิดก็ผิดด้วยกัน” เพื่อนนักศึกษาจึงได้มอบธงให้คุณอัศนี ตามหน้าที่ที่คุณอัศนีจะต้องเป็นผู้ถือธงของมหาวิทยาลัย”
(๘) บทสรุปและส่งท้าย
ความที่นายผี (อัศนี พลจันทร) มีประวัติภูมิหลังจบการศึกษาจาก ม.ธ.ก. อีกทั้งยังมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เรียนจบ ม.ธ.ก. รุ่นแรก และได้ชื่อเป็น “ลูกศิษย์” รุ่นแรก ๆ ของผู้ก่อการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองสยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ และการตั้ง ม.ธ.ก.ขึ้นมาก็ยังเป็นไปเพื่อสืบสานอุดมการณ์ของการอภิวัฒน์อีกด้วย ทำให้นายผีเป็นนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายที่มีความคิดเห็นต่อปรีดี พนมยงค์ การอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ตลอดจนต่อ ม.ธ.ก. แตกต่างจากนักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายท่านอื่น โดยเฉพาะนักคิดนักเขียนภายใต้ร่มธงพคท. ซึ่งมักไม่ยกย่องบทบาทของคณะราษฎรกับการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. ๒๔๗๕
ยังเป็นปริศนาอยู่ว่า เพราะเหตุใด ทำไมนายผีผู้ซึ่งบ้านรวยมีฐานะมั่งคั่ง เป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูล หลานอดีตเจ้าเมืองกาญจนบุรี และยังเป็น “บ้านรั้วใหญ่” ของเมืองราชบุรีในสมัยนั้น จึงเลือกเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษาที่ ม.ธ.ก. ทั้งที่เป็นเด็กผลการเรียนดี - เรียนเก่งคนหนึ่ง เขาสามารถไปเรียนต่อต่างประเทศได้ และสมัยนั้นถ้าจะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศแล้ว ตัวเลือกยังมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยอีกแห่งหนึ่ง
ผู้เขียนสงสัยว่าการที่นายผีเลือก “มหาวิทยาลัยไพร่” (ที่เพิ่งตั้งใหม่) ไม่เลือก “มหาวิทยาลัยเจ้า” (อันเก่าแก่) อาจจะเพราะรู้จักหรือได้ยินได้ฟังชื่อเสียงเรียงนามของปรีดีและบทบาทการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตั้งแต่สมัยยังเรียนชั้นมัธยมอยู่ที่จังหวัดราชบุรีด้วยซ้ำ คนรุ่นนั้นมักจะตื่นตัวทางการเมืองกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม (ปรีดีเองก็เช่นกัน) เมื่อทราบว่าปรีดีจัดตั้ง ม.ธ.ก. แถมยังมี “นิคม ม.ธ.ก.” อยู่ที่ท่าช้าง สำหรับเป็นที่พักให้แก่นักศึกษาจากต่างจังหวัดแบบโรงเรียนกินนอนอีก เขาจึงไม่รอช้าที่จะสมัครเข้าศึกษาต่อที่นี่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผู้เขียน แม้จะมีความเป็นไปได้ ไม่เลื่อนลอย แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมายืนยันแต่อย่างใด ที่เสนอไว้ในที่นี้ด้วย ก็เพียงหวังให้มีผู้รู้หรือมีหลักฐานอื่นใดไปกว่าที่ผู้เขียนมี ได้นำมาเสนอกันต่อไป ในขณะนี้เรายังไม่มีงานศึกษาชีวประวัติและภูมิหลังของนายผี (อัศนี พลจันทร) ย้อนหลังกลับไปถึงสมัยมัธยม
เมื่อเทียบกัน กรณีประวัติของกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรืออย่างจิตร ภูมิศักดิ์ เรายังพอรู้เรื่องสมัยมัธยมกันบ้าง เพราะมีผู้ศึกษาและมีข้อมูลหลักฐานอยู่บ้าง แต่สำหรับนายผี เราแทบไม่รู้อะไรไปกว่าว่าเกิดและเติบโตอยู่ที่บ้านท่าเสา ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ทำให้ประวัติเรื่องราวที่ควรศึกษาเรียนรู้จากนายผีส่วนหนึ่งยังคงสูญหายไป - ไม่มีอยู่ ดังที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่า นายผีก็เป็นปัญญาชนอีกผู้หนึ่งที่เห็นข้อจำกัดของ ๒๔๗๕ ตลอดจนข้อบกพร่องในฐานะมนุษย์ของบุคคลที่เคารพนับถืออย่างปรีดี พนมยงค์ การยกย่องปรีดี (ที่ถ้าว่าตามภาษาปัจจุบันคือ “แบกปรีดี”) ก็เป็นการยกย่องที่ไม่เกินเลยไปกว่าที่ปรีดีเคยเป็นหรือทำมาจริง และโดยที่ไม่ได้แสดงความหยาบคายต่อฝ่ายตรงข้ามปรีดี นายผีนิยามเรียกพวกนั้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกศัตรูประชาธิปไตย”
ปัญญาชนรุ่นนายผีนั้นมีความเชื่อมั่นกันว่า “ปากกาคืออาวุธ” และอาวุธที่ว่านี้พวกเขาก็ได้ใช้ในการต่อสู้กับ “ศัตรูประชาธิปไตย” รวมทั้งปกป้องคนที่ควรค่าแก่การปกป้องอย่างแท้จริง ก็ไม่จริงเสมอไปหรอกที่ว่า “คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ” เพียงแต่ “เมืองไทย” (ที่ไม่ต้องการคนแบบปรีดี) นั้น ไม่ใช่คนอย่างนายผีและพวก อนี่ง ผลงานของนายผีจึงยังคงทรงคุณค่าแก่การศึกษาหรืออ่านใหม่อยู่เสมอ การอ่านของผู้เขียนในที่นี้ก็เป็นเพียงมุมเล็ก ๆ หนึ่งเท่านั้น
เชิงอรรถ :
[1]คณะกรรมการจัดงานนายผีคืนถิ่นแผ่นดินแม่. “นามประพันธ์และประวัติผลงาน” ใน ชีวิตและผลงาน: ตำนาน “นายผี” อัศนี พลจันทร (๒๔๖๑-๒๕๓๐). (กรุงเทพฯ: บริษัท ๒๑ เซ็นจูรี่, ๒๕๔๑), น. ๒๙-๔๐.
[2]เนาวนิจ สิริผาติวิรัตน์ และไอดา อรุณวงศ์. “หมายเหตุบรรณาธิการ” ใน ชุมนุมบทความและปกิณกคดีของอัศนี พลจันทร เล่ม ๑. (กรุงเทพฯ: สนพ.อ่าน, ๒๕๖๑), หน้า ๕-๑๔.
[3]ในที่นี้ผู้เขียนใช้ฉบับ นายผี (อัศนี พลจันทร). “แด่พระจ้าว” ใน วิมล พลจันทร. (บก.). กาพย์กลอนวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองสยาม เล่ม ๑ (พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๙๐). (กรุงเทพฯ: สนพ.อ่าน, ๒๕๕๖), น. ๑๐๗.
[4]สายฟ้า (อัศนี พลจันทร). “ผลของการสอบสวนกรณีสวรรคต” ชุมนุมบทความและปกิณกคดีของอัศนี พลจันทร เล่ม ๑, น. ๑๕๗-๑๖๐.
[5]นายผี (อัศนี พลจันทร). “หนึ่งไป หนึ่งอยู่” ใน วิมล พลจันทร. (บก.). กาพย์กลอนวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองสยาม เล่ม ๑ (พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๙๐), น. ๑๔๗-๑๔๘.
[6]ถึงแม้ว่านายควง อภัยวงศ์ จะเคยเป็นผู้ร่วมก่อการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ แต่ในทศวรรษ ๒๔๙๐ นายควงก็เช่นเดียวกับหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) ซึ่งก็เป็นอดีตสมาชิกคณะราษฎรเช่นกัน ต่างก็ย้ายข้างไปเข้ากับกลุ่มอนุรักษนิยม-กษัตริย์นิยม
[7]ศรีอินทรายุธ (อัศนี พลจันทร). “กรรมของใคร?” ชุมนุมบทความและปกิณกคดีของอัศนี พลจันทร เล่ม ๒. (กรุงเทพฯ: สนพ.อ่าน, ๒๕๖๑), หน้า ๒๒๕-๒๓๐.
[8]สายฟ้า (อัศนี พลจันทร). “ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ชุมนุมบทความและปกิณกคดีของอัศนี พลจันทร เล่ม ๒, หน้า ๒๑๑-๒๑๓.
[9] รัฐประหาร ๒๔๙๐ นายผีจงใจเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏ” เพราะเป็นการรัฐประหารที่ได้รับการตอบรับและสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยม-กษัตริย์นิยมอย่างล้มหลาม กลุ่มการเมืองดังกล่าวนี้นายผีและฝ่ายซ้ายไทยยุคเดียวกันมักเรียกว่า “พวกศักดินา” และหรือ “ฟัสซิสต์” หรือ “ฝ่ายศัตรูประชาธิปไตย” นั่นเอง-ผู้อ้าง
[10] ตรงนี้ก็น่าเศร้าอยู่ เพราะที่จริง นายผีเกิดมาลืมตาดูโลก มารดาก็เสียชีวิตไปแล้ว นายผีจึงโตมาแบบ “เด็กกำพร้า” แต่บทกวีทั้ง “คิดถึงบ้าน” (เดือนเพ็ญ) และที่โด่งดังอย่างมากอย่าง “เราชนะแล้วแม่จ๋า” ล้วนแต่ให้ความสำคัญแก่มารดา อาจเพราะโตมาอย่างคนไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากย่า จึงทำให้เห็นความสำคัญของเพศแม่มากเป็นพิเศษ
[11]สายฟ้า (อัศนี พลจันทร). “ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว” ชุมนุมบทความและปกิณกคดีของอัศนี พลจันทร เล่ม ๓. (กรุงเทพฯ: สนพ.อ่าน, ๒๕๖๑), น. ๒๕๖-๒๘๓; ปล. นายผีจะลงเลขศักราชผิดจาก ๑๙๘๔ เป็น ๑๙๘๓ ดังที่มีผู้สันนิษฐานจริงหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับในที่นี้
[12]วิมล พลจันทร. รำฤกถึงนายผี จากป้าลม. (กรุงเทพฯ: สนพ.ทะเลหญ้า, ๒๕๓๓), น. ๑๐-๑๑.