Focus
- ทวี บุณยเกตุ เขียนถึงประชาธิปไตยในไทยช่วงทศวรรษ 2510 เสนอว่าประชาชนพลเมืองทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ อ้านาจการปกครองออกเป็น 3 ฝ่ายคือ 1. อํานาจนิติบัญญัติ 2. อํานาจบริหาร และ 3. อํานาจตุลาการ
นายทวี บุณยเกตุ ในช่วงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2511 ภายหลังการประกาศใช้บังคับได้มีการเลือกตั้งและก่อตั้งกลุ่มนิสิตนักศึกษาอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้งขึ้น
การเรียกร้องรัฐธรรมนูญก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากกลุ่มนิสิตนักศึกษาอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ว่าจะได้จัดพิมพ์หนังสือประเมินผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดพระนคร จังหวัดธนบุรีขึ้นโดยจะได้ประมวลเหตุการณ์ทั่วไปในหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ที่นิสิตนักศึกษาประจํา อยู่รวมทั้งผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ นอกจากนี้จะได้รวบรวมบทความ และข้อเขียนของบุคคลต่าง ๆ เพื่อนําออกเผยแพร่แก่นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไป จึงใคร่ ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนบทความหรือข้อเขียนเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่ที่ข้าพเจ้าจะเห็นสมควร เพื่อนําลงพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ด้วย
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่จะได้รับคําร้องขอนี้ แม้ว่าข้าพเจ้ามิใช่นักเขียน แต่ก็มิอาจจะปฏิเสธความหวังดีของกลุ่มนิสิตและนักศึกษานี้ได้ ปัญหาของข้าพเจ้าก็อยู่ที่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีเพื่อให้เหมาะกับที่จะพิมพ์ลงในหนังสือเล่มนี้ ในที่สุดก็มาพิจารณาเห็นว่า หนังสือที่กลุ่มนิสิตและนักศึกษา จะพิมพ์ขึ้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประเมินผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ตามหลักแล้วจะมีขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ประเทศที่มิได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะไม่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลย
ส่วนประเทศไทยนั้นเป็นประเทศ หนึ่งที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถ้าข้าพเจ้าจะเขียนเรื่อง “ประชาธิปไตย” ก็ดูจะเหมาะสมกับหนังสือที่จะพิมพ์ขึ้นนี้มากกว่าที่จะเขียนเรื่องอื่นจึงได้ตัดสินใจเขียนในหัวข้อเรื่องว่า “ประชาธิปไตย” และเรื่องประชาธิปไตยที่ข้าพเจ้าจะเขียนนี้ขอแยกออกเป็นสองความหมายคือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยความหมายหนึ่งกับความเป็นประชาธิปไตยอีกความหมายหนึ่ง
สําหรับความหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการปกครองซึ่งถือ หลักว่าอํานาจอธิปไตยหรืออํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนพลเมืองของประเทศ กล่าวคือ ประชาชนพลเมืองทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่มีบุคคลใด หรือกลุ่มชนใด จะมาผูกขาดเป็นเจ้าของประเทศเสียแต่เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว และในระบอบประชาธิปไตยนี้มีหลักการแยก อ้านาจการปกครองออกเป็น ๓ ฝ่ายคือ
๑. อํานาจนิติบัญญัติ ฝ่ายหนึ่ง
๒. อํานาจบริหาร ฝ่ายหนึ่ง และ
๓. อํานาจตุลาการ อีกฝ่ายหนึ่ง
สําหรับประเทศไทยนั้น เรามีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข เป็นผู้แทนของประชาชนคนไทยทั้งชาติ แต่ทรงใช้พระราชอํานาจการบริหารประเทศทางคณะรัฐมนตรี กล่าวคือรัฐบาลเป็นผู้ใช้อํานาจบริหารในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้อํานาจนิติบัญญัติในการตราพระราชกําหนด กฎหมายเพื่อบังคับใช้แก่ประชาชนทางรัฐสภาและทรงใช้พระราชอํานาจในการพิพากษาอรรถคดีทางศาลสถิตยุติธรรม
ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วแต่ต้นว่า อํานาจสูงสุดที่จะเรียกกันว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ฉะนั้นคนไทยทุกคนไม่ว่าเหล่ากําเนิดใด และไม่ว่าชั้นวรรณะใด ล้วนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันทุกคน แต่การที่จะให้คนไทยทุกคน คือทั้ง ๓๒ ล้านคนมาพร้อมกันใช้สิทธิการเป็นเจ้าของประเทศ ตราพระราชกําหนดกฎหมายและปกครองบ้านเมืองย่อมเป็นไปไม่ได้จึงต้องกําหนดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนของตน เรียกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นตาม จํานวนที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่นทุก ๆ จํานวนพลเมือง ๑๕๐,๐๐๐ ให้มีผู้แทนได้หนึ่งคน เช่นนี้ เป็นต้น
ดังที่ได้กระทํากันมาเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ภายหลังที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้ว ข้อความและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักในการปกครองและบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยมีอย่างไรนั้น ได้บัญญัติไว้อย่างแจ้งชัดและครบถ้วนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ แล้ว ไม่จําเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องอธิบายอีก ข้าพเจ้าจะขอพูดแต่เรื่องของประชาธิปไตยในอีกความหมาย หนึ่งคือ “ความเป็นประชาธิปไตย” อันเป็นสาระของเรื่องในบทความที่ข้าพเจ้าจะเขียนนี้
การที่เราได้มีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ มีรัฐสภา มีรัฐบาล และมีศาลสถิตยุติธรรม อย่างครบถ้วนตามระบอบประชาธิปไตยนั้น หาได้หมายถึงความเป็นประชาธิปไตยไม่ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนั้นหาได้อยู่ที่การเขียนรัฐธรรมนูญสวย ๆ หาได้อยู่ที่เรามีสมาชิกรัฐสภาที่สักแต่ว่าเป็นสมาชิกที่ราษฎรได้เลือกตั้งเข้ามานั่งในรัฐสภา หาได้อยู่ที่รัฐบาล และหาได้อยู่ที่ศาล แต่เพียงคําของมันเท่านั้นไม่
แต่ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนั้นอยู่ที่ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศทุกคน คือทุกคนจะต้องรู้จักสิทธิ์และหน้าที่ของตนที่มีต่อประเทศ เช่น รัฐธรรมนูญจะศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผู้ใดล่วงละเมิดก็ต่อเมื่อประชาชนรู้จักใช้สิทธิ์ปกป้อง รู้จักหน้าที่ ของตนในอันที่จะรักษารัฐธรรมนูญนั้นไว้อย่าให้มีการล่วงละเมิดได้ ต้องไม่เป็นเครื่องมือของบุคคลใดหรือกลุ่มชนใดหรือพรรคการเมืองใดที่จะมาละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะกล่าวว่าความเป็นประชาธิปไตยของประเทศขึ้นอยู่ที่ประชาชนพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศก็ไม่ผิด เช่นเดียวกับความเป็นสงฆ์และผู้ที่เป็นสงฆ์โดยครองแต่ผ้าเหลืองหามีความเหมือนกันไม่
ความเป็นสงฆ์นั้นได้แก่พระภิกษุสงฆ์ที่ทรงศีล ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยพระสงฆ์จะมีความเป็นสงฆ์ได้ก็ต่อเมื่อมีวินัย ปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนตามพระธรรมคําสั่ง สอนของพระพุทธองค์ แต่ถ้าพระสงฆ์รูปใดทุศีล อาศัยแต่เพียงผ้าเหลืองคือผ้ากาสาวพัสตร์มาปกปิดร่างกายเป็นเครื่องบังหน้าหากินเพื่อให้พุทธศาสนิกชนหลงเชื่อทําบุญและอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แล้ว หาได้เชื่อว่าเป็นภิกษุสงฆ์และมีความเป็นสงฆ์อยู่ในตนไม่ เรื่องความเป็นสงฆ์มีอุปมาฉันใด ความเป็นประชาธิปไตยก็มีอุปมัยฉันนั้น อาภรณ์เครื่องประดับจะมีค่าก็อยู่ที่ผู้รู้จักใช้และตบแต่ง และรู้จักคุณค่าของมัน แต่ถ้าเรายื่นส่งอาภรณ์นั้น ๆ ให้แก่วานรแล้ว อาภรณ์นั้น ๆ ก็หามีคุณค่าสําหรับวานรนั้นไม่ ฉะนั้นคุณค่าของมันจึงอยู่ที่เจ้าของหรือผู้รู้จักใช้ และรู้จักคุณค่าของมันเท่านั้น
อํานาจทั้ง ๓ คือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการ นั้น แม้จะได้แยกออกจากกันแล้วก็ตาม แต่ละอํานาจมีความสัมพันธ์และต้องเป็นงานที่ประสานกันอย่างใกล้ชิด ฝ่ายบริหารจะบริหารกิจการบ้านเมืองไม่ได้ หากไม่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือใช้บังคับ และฝ่ายตุลาการคือผู้พิพากษาจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีไม่ได้ หากไม่มีกฎหมายเป็นแม่บท และเป็นแนวทางให้พิจารณา ฉะนั้นในความเห็นของข้าพเจ้า ในอํานาจทั้ง ๓ นี้ อํานาจนิติ บัญญัติเป็นอํานาจที่สําคัญที่สุด เพราะนอกจากรัฐสภาทําหน้าที่นิติบัญญัติคือพิจารณาออกพระราชกําหนดกฎหมายแล้ว รัฐสภายังมีหน้าที่ควบคุมรัฐบาลอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งได้มาจากเงินภาษีอากรซึ่งราษฎรเป็นผู้เสีย
หากรัฐมนตรีคนใด ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง สมาชิกรัฐสภายังมีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถาม หรือตั้งกรรมาธิการขึ้นสอบสวน และมีสิทธิ์ลงมติไม่ไว้วางใจในตัวรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือรัฐมนตรีทั้งคณะก็ได้ ผู้แทนราษฎรที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมานั้นถือว่าเป็นผู้แทนของคนทั้งประเทศ หาได้เป็นผู้แทนแต่เฉพาะที่ราษฎร ในเขตจังหวัดที่ตนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเท่านั้นไม่ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตําแหน่งที่สูงศักดิ์และมีเกียรติยิ่งและมีความสําคัญต่อประเทศชาติมาก
ถ้าเราเลือกคนดีมาเป็นผู้แทนราษฎร รัฐสภาก็จะมีความเข้มแข็งสามารถควบคุมรัฐบาลได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและทําให้รัฐบาลเกิดความเกรงใจและให้ความร่วมมือกับรัฐสภาดียิ่งขึ้น และจะสามารถทําให้รัฐบาลเข้มแข็งและมั่นคงด้วย ตรงกันข้ามถ้าเราได้ผู้แทนราษฎรที่ไม่ดีแล้ว ความปั่นป่วนวุ่นวายและความไม่มีระเบียบก็จะเกิดขึ้นในรัฐสภา บ้านเมืองก็จะขาดเสถียรภาพ เมื่อเกิดความปั่นป่วนอลเวงในรัฐสภามากขึ้นก็จะเป็นเหตุนํามาซึ่งการยุบสภาหรือเหตุร้ายยิ่งขึ้นกว่านี้ได้
ในที่สุดก็จะทําให้ความเป็นประชาธิปไตยต้องสะดุดหยุดลงและหมดไป อันจะเป็นทางนํามาซึ่งระบอบการปกครองอย่างอื่นที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยเป็นที่น่าเสียดายและเสียใจเป็นอย่างมากกว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นบุคคลชั้นปัญญาชนมีการศึกษาดี ได้มีผู้ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเพียง ๓๐% เศษเท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าน้อยมาก ผิดกับประเทศอื่นที่ประชาชนของเขาไปใช้สิทธิ์ออกเสียงถึง ๘๐% เศษ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความเป็นประชาธิปไตยจะมีโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร โปรดอย่าลืมว่าการเลือกบุคคลเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น มีความสําคัญมาก หรือจะเรียกว่าสําคัญที่สุดก็ได้ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เพราะผู้แทนราษฎรนี้จะมาใช้สิทธิ์และเป็นปากเป็นเสียงแทนท่าน ด้วยเหตุนี้ประชาชนคนไทยจึงไม่ควรนอนหลับทับสิทธิ์ ละเลยต่อหน้าที่ของตน เมื่อถึงกําหนดเวลาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อใด คนไทยทุกคนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจะต้องไปใช้สิทธิ์ของตนที่มีอยู่เลือกคนดี ๆ ที่มีความรู้และมีภูมิธรรมสูง ที่ซื่อสัตย์สุจริตเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปเป็นผู้แทนของท่าน โปรดอย่าเห็นแก่อามิสสินจ้างใด ๆ อย่าเห็นแก่ส่วนตัว ผู้รับสมัครเลือกตั้งคนใดจะโฆษณาหาเสียงอย่างไรอย่าได้ถือเป็นอารมณ์ ขอให้ทุก ๆ คน เป็นตัวของตัวเอง พยายามเลือกคนที่เราเห็นว่าดีจริง ๆ นั่นแหละความเป็นประชาธิปไตยจึงจะมีขึ้นได้ด้วยความยั่งยืนและมั่นคง
บรรณานุกรม
หนังสืออนุสรณ์งานศพ :
- อนุสรณ์พิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ ม.ป.ช.,ท.จ.ว.,ท.ม. พระราชทานเพลิง ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2515. (พระนคร: มปท., 2515)
- อนุสรณ์ทวี บุณยเกตุ คุรุสภาจัดพิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 8 มีนาคม พ.ศ. 2515, (พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2515)