ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ 2 บันทึกเกี่ยวกับงานเสรีไทย

10
สิงหาคม
2568

ภาพการเดินสวนสนามของ นร.สห.2488 ร่วมกับเสรีไทยสายอื่นๆ ณ ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2488
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม

 

ความจริงก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะอุบัติขึ้นไม่นานนักนั้น รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ได้ตระหนักเป็นอันดีว่า ทำอย่างไรเสียญี่ปุ่นก็จะต้องรบกับอังกฤษและอเมริกา เพราะญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของประเทศอันประกอบด้วย เยอรมันนี อิตาลี และญี่ปุ่น เมื่อเยอรมันนีและอิตาลีเข้าพัวพันในสงครามในยุโรปแล้ว ทำอย่างไรเสียญี่ปุ่นก็จะต้องเปิดฉากสงครามทางภาคเอเชียขึ้นเป็นแน่ และหากญี่ปุ่นรบกับอังกฤษและอเมริกาแล้วก็เป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่าญี่ปุ่นก็ต้องบุกเข้ามาในประเทศไทยด้วยเพื่อเข้าตีมาเลเซียและพม่า เพราะฉะนั้นจึงได้ขอร้องไปยังรัฐบาลอังกฤษขอให้ส่งอาวุธมาให้ไทยบ้างหากประเทศไทยถูกคุกคาม ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้สามารถรักษาความเป็นกลางของประเทศไทยไว้ และยังได้แจ้งไปด้วยว่าหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นกับผู้รุกรานแล้วรัฐบาลไทยก็พร้อมที่จะให้อังกฤษส่งกำลังทหารมาช่วย ครั้นวันที่ 8 ธันวาคม 2484 อันเป็นวันที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทยและได้โจมตีเพิลฮาเบอร์กับเมืองต่าง ๆ บางเมืองในมาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ รัฐบาลกลับได้รับโทรเลขจากรัฐบาลอังกฤษมีใจความว่ารัฐบาลอังกฤษมีความเห็นใจประเทศไทยมาก แต่ไม่สามารถจะช่วยไทยได้ และรัฐบาลอังกฤษถือว่าการที่ญี่ปุ่นรบกับไทยนั้นก็เท่ากับรบกับอังกฤษด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้รัฐบาลในครั้งกระนั้นจำต้องยอมจำนนต่อกองทัพญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามเราก็ได้ทำหน้าที่ของไทยในการรักษาความเป็นตามที่ได้ประกาศไว้แล้วคือ ก่อนที่จะยอมจำนนนั้น กองทหาร ตำรวจ และยุวชนรวมทั้งประชาชนคนไทยก็ได้แสดงความกล้าหาญทำการขัดขวาง ต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 วันเต็ม ๆ กองทหารบางหน่วยได้ทำการรบอยู่ถึง 2 วัน ด้วยเหตุนี้เองจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้คิดที่จะไปตั้งเมืองหลวงอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นปราการสำหรับทำการต่อสู้กับญี่ปุ่น หากญี่ปุ่นจะเกิดไม่ไว้วางใจประเทศไทยหรือหากประเทศไทยจะต้องรบกับญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นก็ทราบถึงความเคลื่อนไหวและนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นอันดีจึงได้มีความระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลา การกระทำตามความคิดของจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้น หากจะให้งามแล้วก็ควรจะกราบถวายบังคมทูลลาออกเสียก่อนแล้วหาทางให้ผู้อื่นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ส่วนตัวท่านเองก็รับหน้าที่ทางทหารแต่ทางเดียว ถ้าท่านทำเช่นนี้ก็จะเป็นการงดงามมาก ทั้งนี้เพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้ลงนามในสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น แล้วจู่ ๆ พอเห็นท่าไม่ดีก็จะมารบกับญี่ปุ่นเสียเองจึงดูไม่เป็นการสมควร เท่ากับเป็นการหักหลังโดยตรง ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็พูดตามทัศนะของข้าพเจ้าเพื่อความเหมาะสมและเพื่อความงดงามเกี่ยวกับชื่อเสียงของประเทศชาติ แต่ถ้าจะพูดถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลคือของจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้ว ข้าพเจ้ากล้ากล่าวได้ว่าท่านได้กระทำไปด้วยความหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน การที่ท่านได้จัดส่งผู้แทนฝ่ายทหารบกไปติดต่อกับกองทัพของจีน คือกองพลที่ 93 ที่เมืองเชียงล้อนั้น หน่วยเสรีไทยในประเทศก็ทราบเป็นอย่างดี แต่เห็นว่าการติดต่อกับรัฐบาลจีนนั้นไม่แน่นอน เป็นการเสี่ยงอยู่มาก เพราะประเทศจีนไม่ใช่ประเทศชั้นนำไม่มีสุ้มมีเสียงพอ อาจไม่สำเร็จสมประสงค์ก็ได้ เพราะประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หรือแม้จะทำการสำเร็จลงก็จะทำให้เสียประวัติศาสตร์ไป จะได้ชื่อว่าประเทศไทยหักหลังประเทศเพื่อนสงคราม ส่วนนโยบายที่จะไปตั้งรัฐบาลอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นหน่วยเสรีไทยในประเทศและแม้แต่รัฐบาลต่อมาก็ไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใหญ่ 4 ประการด้วยกันคือ

1. จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองภูเขาล้อมรอบอาจมีประโยชน์ในการป้องกันจริง แต่ก็มีผลเสียอยู่มากที่อาจถูกปิดล้อมโดยข้าศึกทำให้เกิดความขาดแคลนในเครื่องอุปโภคและบริโภคได้ง่าย และจะไม่สามารถต่อสู้กับกองทหารญี่ปุ่นได้นาน เพราะกองทัพญี่ปุ่นมีแสนยานุภาพทางอากาศเหนือกว่าไทยมากอย่างเปรียบกันไม่ได้ จังหวัดเพชรบูรณ์จะต้องถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักซึ่งไม่มีทางจะป้องกันและต่อสู้ได้

2. กองทัพญี่ปุ่นได้ทราบระแคะระคายเป็นอันดีในแผนการของจอมพล ป. พิบูลสงครามนี้แล้ว หากยังดำเนินการต่อไปกองทัพญี่ปุ่นก็จะหาทางกำจัดกองทัพไทยได้ง่ายขึ้น หรืออาจถูกจำกัดเสียก่อนที่แผนการนี้จะสำเร็จก็ได้

3 เมื่อรัฐบาลได้อพยพไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์เช่นนี้ ก็จะทำให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปเสียขวัญ จะเห็นไปว่ารัฐบาลหนีเอาตัวรอด ปล่อยทิ้งให้ประชาชนพลเมืองถูกทหารญี่ปุ่นรังแกข่มเหงเหมือนกับลูกที่ไม่มีพ่อแม่คอยให้ความคุ้มครองป้องกัน และ

4. จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดที่ในครั้งนั้นเต็มไปด้วยไข้จับสั่นหรือที่เรียกว่าไข้ป่าหรือไข้มาเลเรีย ซึ่งไม่มีข้าราชการคนใดอยากไปอยู่ แต่เมื่อต้องถูกบังคับให้ไปอยู่ทำงานที่นั่นแล้วก็ขาดกำลังใจในอันที่จะปฏิบัติงานให้ได้ผล

ด้วยเหตุผลอันใหญ่ ๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้รัฐบาลสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ระงับแผนการอพยพนี้เสีย ซึ่งก็นับว่าเป็นประโยชน์อยู่มากที่ทำให้กองทัพญี่ปุ่นบรรเทาความแคลงใจในเรื่องการที่กองทัพไทยจะหักหลังเขาไป และยังเป็นการเปิดโอกาสให้เสรีไทยในประเทศดำเนินงานใต้ดินได้สะดวกดียิ่งขึ้นอีกด้วย

แม้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงครามจะมีเจตนาดีต่อประเทศเป็นอย่างมากก็ตาม และที่ได้ตกลงใจสั่งให้หน่วยรบต่าง ๆ ของไทยวางอาวุธ หยุดรบกับทหารญี่ปุ่นนั้นก็นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเป็นผลดีแก่ประเทศ เพราะถ้าขืนรบต่อไปอีกเพียงวันเดียวหรือสองวันเท่านั้น กรุงเทพฯ ก็จะเป็นกองเพลิงมีแต่สิ่งปลูกหักพังเพราะลูกระเบิดที่จะถูกทิ้งลงมาจากฝูงเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น และประชาชนพลเมืองในพระนครกับในบางจังหวัดก็จะต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมากมาย เพราะเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเริ่มบุกประเทศไทยนั้นกองทัพอากาศญี่ปุ่นได้บินคุมเชิงอยู่เหนือสนามบินของกองทัพอากาศไทยที่สำคัญ ๆ ทุกแห่ง เช่นที่ ประจวบคีรีขันธ์ ที่วัฒนานคร ที่ดอนเมือง เป็นต้น เครื่องบินของกองทัพอากาศไทยไม่มีโอกาสที่จะได้ขึ้นไปทำการขัดขวางและต่อสู้ได้เลย เพราะประสิทธิภาพและอานุภาพของเครื่องบินรบของญี่ปุ่นเหนือกว่าของไทยเรามากอย่างเปรียบกันไม่ได้ ที่วัฒนานครและที่ประจวบคีรีขันธ์นั้น พอเครื่องบินรบของไทยเริ่มบินขึ้นจะต่อสู้ยังไม่ทันพ้นสนามบินเลย ก็ถูกเครื่องบินรบของกองทัพอากาศญี่ปุ่นซึ่งบินวนคุมเชิงอยู่ก่อนแล้วยิ่งร่วงหมด ฉะนั้นที่มีบุคคลบางคนและเป็นจำนวนไม่น้อยตำหนิรัฐบาลในครั้งกระนั้น หรือจะกล่าวอย่างตรง ๆ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการยอมจำนนต่อกองทัพญี่ปุ่น จึงไม่รู้จะเป็นธรรมนัก แต่ความผิดพลาดของรัฐบาลในครั้งกระนั้นก็ คือ ที่ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา และยังให้โฆษกของวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยไปด่าว่าพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เคยมีประเทศใดในโลกนี้เขากระทำกัน แม้แต่เยอรมันนีหรือญี่ปุ่ซึ่งเป็นคู่สงครามของอังกฤษและอเมริกาจริง ๆ เขาก็ไม่ด่าพระเจ้าแผ่นดินกัน เพราะเขาถือว่าพระเจ้าแผ่นดินของทุกประเทศเปรียบเหมือนเป็นพี่น้องกัน ย่อมอยู่เหนือการถูกด่าว่า และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือที่คิดจะหักหลังญี่ปุ่น เพราะเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายมีชัยในการสงครามแล้วเขาก็จะยกเอาข้อนี้มาอ้างได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีสัจ เชื่อถืออะไรไม่ได้ และอาจไม่มีประเทศใดคบในโอกาสต่อไปด้วย

เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามแพ้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรในร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับในวันเดียวกัน (เท่าที่จำได้ดูเหมือนจะเป็นร่างพระราชบัญญัติพุทธบุรีมณฑล กับ ร่างพระราชบัญญัติจัดสร้างนครหลวงเพชรบูรณ์ หรือจะกล่าวให้ตรงก็คือ ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล พ.ศ. 2487 กับร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2487) เมื่อรัฐบาลได้แพ้คะแนนเสียงโดยที่สภาผู้แทนราษฎรไม่รับร่างพระราชบัญญัติทั้งสองไว้พิจารณาแล้ว ตามทางปฏิบัติรัฐบาลก็ต้องกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะ และพระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่เพื่อให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ในตอนนี้การรบทางยุโรปได้รุนแรงมากขึ้นใกล้จะเข้าขั้นแตกหักลงทุกที คือ ฝ่ายอักษะได้เสียเปรียบฝ่ายสัมพันธมิตรในทุกสมรภูมิ ทางฝ่ายญี่ปุ่นก็เริ่มระส่ำระสาย เพราะงานของทั้งสามกองทัพ คือกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ไม่ค่อยจะประสานกัน การรบทางทะเลก็ได้เพลี่ยงพล้ำทำให้เสียเรือรบไปเป็นจำนวนมาก การคุ้มกันทางทะเล และการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะเรือของญี่ปุ่นได้ถูกทำลายและจมลงเป็นจำนวนมาก ส่วนกองทัพบกก็ตั้งหน้าแต่จะรบรุดหน้าเรื่อยไป กองหลังไม่สามารถช่วยเหลือ และสนับสนุนได้เต็มที่ และในการรบระยะหลัง ๆ นี้ ทางกองทัพเรือกับกองทัพบกของญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยจะประสานกันดีนัก ส่วนเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่นก็ได้รับความเสียอย่างมากจนแทบจะไม่มีอานุภาพเหลืออยู่เลย ทั้งประสิทธิภาพของเครื่องบินใหม่ ๆ ของอเมริกาก็ยังเหนือกว่าของญี่ปุ่น เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้เสรีไทยในประเทศเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะทำการเกลี้ยกล่อมบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เห็นภยันตรายและความยากลำบากที่ประเทศเทศไทยจะต้องเผชิญหากไม่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเสียใหม่แล้ว เมื่อสงครามยุติลงประเทศไทยจะต้องเป็นฝ่ายแพ้สงครามอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ทั้งจะต้องถูกกองทัพสัมพันธมิตรยึดครองอีกด้วย จนสมาชิกผู้แทนราษฎรส่วนมากเห็นความจริงในข้อนี้ ฉะนั้นเมื่อมีการประชุมลับเพื่อฟังเสียงว่าควรจะเลือกผู้ใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้แทนราษฎรส่วนข้างมากจึงได้ลงมติเห็นควรให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทนต่อไป นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย

 

นายควง อภัยวงศ์
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม

 

เมื่อนายควง อภัยวงศ์ รับเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังต้องเผชิญต่อเหตุการณ์ที่ยุ่งยากลำบากใจอีกไม่น้อย เพราะในขณะนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ ไม่ว่ารัฐบาลจะสั่งการประการใด ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมักจะไม่ปฏิบัติตาม บางทียังสั่งการตรงกันข้ามเสียอีก เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นคณะรัฐมนตรีจึงได้ประชุมลงมติเห็นควรจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดลงไปเสีย มิฉะนั้นการปฏิบัติการก็จะลำบากมาก บังเอิญมาพิจารณาเห็นว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั้นไม่มีในทำเนียบราชการทหาร มีแต่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองจึงเปิดโอกาสให้รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ยุบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเสียภายหลังที่ตัวนายควง อภัยวงศ์ ได้เดินทางไปที่จังหวัดลพบุรีเพื่อขอร้องให้ลาออกโดยดี แต่เมื่อไม่สำเร็จจึงต้องใช้อำนาจทางกฎหมายคือ แต่งตั้งให้พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นแม่ทัพใหญ่โดยยุบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งไม่มีกฎหมายรับรอง แล้วก็ตั้งให้ พลโท ชิด มั่นศิลป สินาด โยธารักษ์เป็นรองแม่ทัพใหญ่ แต่เนื่องจากท่านเจ้าคุณพหลฯ มีสุขภาพไม่ดี เพราะไปหกล้มในห้องน้ำทำให้เส้นเลือดฝอยแตกถึงกับเป็นอัมพาต พลโท หลวงสินาดฯ จึงต้องรับหน้าที่ปฏิบัติการแทน แต่ก่อนที่จะดำเนินการเรื่องนี้แม่ทัพใหญ่ได้มีคำสั่งให้นายทหารชั้นนายพลทุกคนตลอดจนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกคนทั้งในพระนครและต่างจังหวัดมาประชุมพร้อมกันที่พระนคร แล้วก็ถือโอกาสนี้ดำเนินการเพื่อความไม่ประมาท ทุกอย่างจึงเรียบร้อยด้วยดีโดยไม่ต้องรบกันเอง เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นผู้ที่ได้ประกอบคุณงามความดีไว้ ทั้งยังมีนายทหารเลื่อมใสอยู่เป็นอันมาก คณะรัฐมนตรีจึงได้ลงมติแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเพื่อให้เป็นเกียรติประวัติ

ตอนที่นายควง อภัยวงศ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ข้าพเจ้าได้ร่วมงานกับนายปรีดี พนมยงค์ เป็นเสรีไทยในประเทศแล้วเพื่อดำเนินการกอบกู้อิสรภาพให้บ้านเมืองของเรา ฉะนั้นเมื่อนายควง อภัยวงศ์ ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมในคณะรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ด้วย ข้าพเจ้าจึงยินดีรับและได้เลือกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้ามีหน้าที่จะต้องจัดตั้งหน่วยพลพรรคใต้ดินภายในประเทศ ซึ่งเราได้มีการประชุมกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พร้อมกับผู้แทนของอังกฤษชื่อ พลจัตวา เฮกเต้อร์ เจ๊กส์ กับผู้แทนของสหรัฐอเมริกาชื่อ ร้อยเอกโฮเวิต ปาลเมอร์ ในการประชุมกันนี้ก็เพื่อจะตกลงในเรื่องการแบ่งเขตปฏิบัติงานว่า เขตใดจะเป็นของอังกฤษและเขตใดจะเป็นของอเมริกา ในที่สุดผลของการประชุมอเมริกาต้องการ 13 เขตซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพลพรรค ส่วนอังกฤษต้องการ 11 เขตที่ตั้งหน่วยพลพรรค หน้าที่ของหน่วยพลพรรคนี้ก็คือทำการฝึกพลพรรคให้รู้จักวิธีรบแบบกองโจร หากเป็นหน่วยของอเมริกันก็มีนายสิบและนายทหารอเมริกันมาเป็นผู้ฝึกโดยเล็ดลอดเข้ามาทางเรือบ้าง ทางเครื่องบินด้วยวิธีกระโดดร่มชูชีพลงมาบ้าง ทั้งนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายปรีดี พนมยงค์ กับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าฝ่ายพลพรรค หน่วยที่ตั้งพลพรรคต่าง ๆ เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ก็มีที่จังหวัดต่าง ๆ ดังนี้ พระนคร ตาก สกลนคร ขอนแก่น แพร่ นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท สุโขทัย กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม ชุมพร ปราจีนบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี สมุทรสาคร ฯลฯ เป็นต้น หากเป็นค่ายหรือหน่วยที่ตั้งพลพรรคของอังกฤษนายทหารอังกฤษก็จะมาเป็นผู้ฝึกและอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายปรีดี พนมยงค์กับข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน ส่วนการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องใช้จำเป็นต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องส่งวิทยุสนามก็เป็นหน้าที่ของอังกฤษและอเมริกาที่จะต้องเป็นผู้ทิ้งมาให้ด้วยร่มชูชีพในเวลากลางคืนตามหน่วยต่าง ๆ คือหน่วยของอังกฤษ ๆ ก็ส่ง หากเป็นหน่วยของอเมริกัน อเมริกาก็ส่งมาให้ แต่อาวุธแทบทุกชนิดเป็นของอเมริกาทั้งนั้น นอกจากนั้นแล้วเรายังได้ส่งคนไทยไปฝึกวิธีใช้วิทยุสนามกับวิธีใช้อาวุธชนิดต่าง ๆ เพื่อมาฝึกคนไทยในประเทศอีกที เมื่อฝึกเสร็จแล้วก็กระโดดร่มชูชีพลงมายังที่ตั้งหน่วยพลพรรคของตนตามที่ได้รับมอบหมายไว้ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องการจัดตั้งหน่วยพลพรรคในประเทศและมีหน้าที่หาพลพรรคมาฝึกและปฏิบัติงานพร้อมทั้งต้องจัดสร้างค่ายที่พักเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพลพรรคนี่เอง ข้าพเจ้าจึงต้องเข้ารับหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสียเอง เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสใช้นักศึกษาและนิสิตตลอดจนครูประชาบาลให้มาฝึกในค่ายของหน่วยพลพรรคโดยได้กำหนดไว้ว่าจะต้องมีค่ายละอย่างน้อย 500 คน ค่ายที่มีจำนวนพลพรรคมากที่สุดคือมีนับด้วยเรือนพันก็ได้แก่ พลพรรคที่จังหวัดชลบุรี ที่หลังวัดเขาบางทราย เพราะที่นั่นเราใช้พวกนักศึกษาและนิสิตของมหาวิทยาลัยกับพวกพรรคนาวิกโยธินนั่นเอง ส่วนหน่วยพลพรรคอื่น ๆ ก็มีที่หน่วยพลพรรคที่กาญจนบุรีอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากเป็นที่สอง ที่พลพรรคที่มีความรู้ความสามารถหรือที่เรียกว่ามีประสิทธิภาพสูงเป็นที่สุดในกระบวนหน่วยพลพรรคทั้งหมดนั้นได้แก่หน่วยพลพรรคที่ชลบุรี เพราะส่วนมากเป็นนักศึกษาและนิสิตในมหาวิทยาลัยซึ่งมีความรู้ดี แต่การตั้งหน่วยพลพรรคนั้นยังไม่ได้ตั้งครบถ้วนตามที่ได้ตกลงกันไว้ก็พอดีสงครามได้ยุติลงเสียก่อน ลูกระเบิดปรมาณูของอเมริกาที่นำไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิม่า กับเมืองนางาซากิ ฉะนั้น จำนวนพลพรรคที่มีอยู่จริง ๆ เมื่อสงครามยุติลงจึงมีอยู่เพียงประมาณ 10,000 คน เท่านั้น

ความยากลำบากของข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องไปก้าวก่ายงานในหน้าที่ของกระทรวงอื่นอยู่เสมอ เช่นขอให้ย้ายข้าราชการของเขาบ้าง ขอให้เข้ารับตัวข้าราชการจากกระทรวงอื่นเข้าทำงานแทนในหน้าที่นั้น ๆ บ้างเพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติงานเสรีไทย จึงต้องใช้วิธีการพูดและคอยหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รัฐมนตรีต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าไปติดต่อด้วยเห็นว่าไปก้าวก่ายงานในหน้าที่ของเขาจนเกินไป เพราะในคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นมีผู้ที่ทราบเรื่องและร่วมงานเป็นเสรีไทยอยู่ด้วยกันก็ไม่เกิน 10 คน นายควง อภัยวงศ์นายกรัฐมนตรีก็ทราบเรื่องเป็นอันดีแต่ได้ขอร้องกับข้าพเจ้าว่า หากข้าพเจ้าเห็นควรจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ของการกอบกู้อิสรภาพของบ้านเมืองแล้วก็ให้ทำไปโดยอย่าให้ท่านทราบเรื่องและรายละเอียดเลย เพราะหากท่านทราบเรื่องเข้าแล้วเวลาท่านพบกับญี่ปุ่นท่านจะวางหน้าไม่สนิท ข้าพเจ้าเห็นว่านายควง อภัยวงศ์ มีเหตุผลมากและต้องนับว่านายควง อภัยวงศ์ ได้อำนวยความสะดวกให้การปฏิบัติงานของเสรีไทยเป็นไปด้วยดียิ่ง หากได้คนอื่นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและไม่ทราบเรื่องเสรีไทยหรือไม่ร่วมมือกับเสรีไทยแล้วก็จะเป็นการยากลำบากในการปฏิบัติงานอย่างที่สุด ข้าพเจ้าเคยไปพบท่านรัฐมนตรีบางท่านซึ่งเป็นที่เคารพของข้าพเจ้ามาก และท่านผู้นั้นก็ไม่ทราบเรื่องการจัดตั้งเสรีไทยในประเทศเลย ข้าพเจ้ามีความจำเป็นที่จะต้องขอร้องให้ย้ายข้าราชการคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่าน และให้ตั้งคนอื่นมาเป็นแทนโดยระบุชื่อไปให้ท่านทราบด้วย ข้าพเจ้าต้องหาทางพูดและใช้เวลาพูดอยู่นาน ในที่สุดท่านก็ยอมย้ายให้ข้าพเจ้าเพราะความเกรงใจแต่ก็ไม่วายที่ท่านจะระแวงข้าพเจ้า จนสงครามเสร็จสิ้นลงและเสรีไทยได้ถูกเปิดเผยประกาศออกมาแล้วท่านจึงยิ้มออกและพูดว่าท่านสงสัยอยู่แล้วทีเดียวแต่ท่านไม่กล้าถามเพราะเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท

ในระหว่างสงครามนั้นเราได้เตรียมการที่จะย้ายเมืองหลวง หากเกิดการปะทะกันขึ้นกับกองทหารญี่ปุ่นในเมื่อถึงวัน “ดี-เดย์” คือวันที่กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรจะให้สัญญาณพร้อมที่จะเข้าโจมตีด้วยการสนับสนุนของเสรีไทยในประเทศเพื่อกอบกู้อิสรภาพ ข้าพเจ้ากับคณะที่ร่วมงานเสรีไทยบางคนได้ตกลงไป เลือกที่ไว้ 2 แห่ง คือที่จังหวัดจันทบุรีแห่งหนึ่ง กับที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร อีกแห่งหนึ่ง คือนโยบายของเรานั้นหากมีการรบติดพันและต้องเสียเปรียบกองทัพญี่ปุ่นแล้ว เราก็จะได้มีทางออกทะเลได้เพื่อจะได้หนีออกไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นยังนอกประเทศ

การที่ประเทศไทยได้อยู่เป็นปรกติสุขโดยไม่ถูกกองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธและไม่ต้องถูกครอบครองโดยสิ้นเชิงจากกองทัพญี่ปุ่นนั้น ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า พลโท นากามูระ แม่ทัพบกญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นตัวการสำคัญ เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้เคร่งในพระพุทธศาสนา เป็นผู้เห็นกาลไกล เป็นผู้นิยมคนไทย ได้พยายามห้ามปรามนายทหารญี่ปุ่นหนุ่ม ๆ ที่เลือดร้อนหลายคนที่จะดำเนินการกับประเทศไทยอยู่เสมอ พลโท นากามูระ นี้เป็นผู้บัญชาการทหารกองทัพบกหน่วย 3 ซึ่งตั้งฐานทัพอยู่ในพระนคร แต่ต้องขึ้นกับแม่ทัพใหญ่ชื่อ พลเอกเค๊าท์ เตราอูจิ ซึ่งประจำบัญชาการอยู่ที่ไซ่ง่อน และนัยว่าได้เคยคัดค้าน พลเอก เค๊าท์ เตราอูจิ หลายครั้งที่จะให้ใช้มาตรการรุนแรงกับประเทศไทย ข้าพเจ้าจึงถือว่าคนไทยทุกคนเป็นหนี้บุญคุณ พลโท นากามูระ เป็นอย่างมาก และก็เพราะความดีของท่านผู้นี้เองจึงไม่ต้องเป็นอาชญากรสงครามเมื่อสงครามได้ยุติลงแล้วเหมือนกับแม่ทัพญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ความจริงแล้วการเคลื่อนไหวของเสรีไทยในประเทศนั้น พลโท นากามูระ ทราบเกือบหมด แต่ท่านก็มิได้ปฏิบัติการอย่างไรที่จะทำลายประเทศไทย

 

พลโท อาเกโตะ นากามูระ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่มา : Wikipedia

 

ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากซึ่งสงสัยอยู่จนบัดนี้ว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลไทยภายหลังสงครามจึงจับกุมคนไทยบางคนเป็นอาชญากรสงครามและส่งตัวขึ้นฟ้องศาล อาชญากรจำนวนนี้ก็มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม รวมอยู่ด้วย เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะในสัญญาฉบับแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรมีระบุว่ารัฐบาลไทยจะต้องส่งตัวอาชญากรสงครามตามบัญชีรายชื่อที่เขาได้ทำไว้ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อนำตัวไปพิพากษาที่สิงคโปร์หรือที่กรุงโตเกียว เราได้มาพิจารณาดูกันแล้วเห็นว่าหากเรายอมรับปฏิบัติตาม ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยว่าอาชญากรสงครามที่เขาระบุชื่อในบัญชีของเขานั้นจะต้องส่งตัวขึ้นสู่ตะแลงแกง และนอกจากนั้นแล้วจะเป็นการแสดงให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ใต้การยึดครองของกองทัพสัมพันธมิตร เราขาดอิสรภาพ ไม่มีเอกราชและอธิปไตย จะเป็นการเสียผลทั้งในทางการเมืองและจิตใจ และเรายังเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ล้วนทำงานเพื่อชาติด้วยกันทั้งนั้นชั่วแต่ว่าความคิดเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น เมื่อเราได้ประชุมตกลงกันเช่นนี้แล้วจึงได้ขอร้องให้เขาเห็นใจตัดความข้อนี้ออกและรับปากกับเขาว่าเราจะทำการติดตามจับกุมส่งตัวขึ้นฟ้องศาลในประเทศไทยเอง แม้เรายังไม่มีกฎหมายว่าด้วยอาชญากรสงครามก็ตามแต่รัฐบาลจะได้เสนอเป็นกฎหมายพิเศษยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งความจริงนักกฎหมายทั้งหลายก็ทราบเป็นอย่างดีแล้วว่าการออกกฎหมายบังคับใช้ย้อนหลังนั้นตามหลักของกฎหมายจะกระทำมิได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านกฎหมายนี้แล้ว เมื่อเรื่องถึงศาล ๆ ก็ได้ตัดสินยกฟ้องทันทีเพราะเป็นกฎหมายย้อนหลังถือว่าเป็นโมฆะ หากเราไม่ดำเนินการเช่นนี้แล้วข้าพเจ้าก็เชื่อแน่เหลือเกินว่า บรรดาอาชญากรสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรขอตัวไปนั้นหากไม่ถูกตัดสินให้แขวนคอก็ต้องถูกจำคุกกันคนละหลาย ๆ ปีเป็นแน่ นี่เท่ากับเราได้ช่วยชีวิตคนของเราไว้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่แสดงให้โลกเห็นว่าเรายังเป็นประเทศเอกราชและยังมีอธิปไตยโดยสมบูรณ์อยู่

ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อธิบายข้อเท็จจริงมาให้ทราบเช่นนี้แล้วบรรดาผู้ที่ยังสงสัยในเรื่องนี้คงจะหายความข้องใจเป็นแน่ แต่ในขณะนั้นเราจะแถลงความจริงออกมาไม่ได้ นอกจากนี้แล้วอาจมีผู้สงสัยว่าเหตุใดเสรีไทยจึงแยกดำเนินงานไม่ประสานกันกับกองทัพไทย ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ใคร่จะขออธิบายเสียด้วยว่า คำว่าเสรีไทยนั้นประกอบด้วยบุคคลอาชีพต่าง ๆ กันคือ มีทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ พ่อค้าคหบดี ผู้แทนราษฎร นิสิต นักศึกษา ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ครูประชาบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล รวมตลอดถึงประชาราษฎร คือบุคคลทุกประเภทและอาชีพที่ร่วมงานกับเรา ได้ชื่อว่าเป็นเสรีไทยทั้งนั้น แต่เป็นโดยส่วนตัวในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นทหารหรือ เป็นข้าราชการ เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขอร้องว่าบรรดาอาวุธและอุปกรณ์เครื่องรบต่าง ๆ ที่เขาส่งมาให้นั้นเขาให้แก่เสรีไทย ห้ามไม่ให้มอบให้กับทหารหรือแม้แต่ทางราชการใช้ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลไทยไปประกาศสงครามกับเขา ดังนั้นเขาจึงถือว่ารัฐบาลไทยเป็นศัตรูของเขาและไม่ยอมรับนับถือรัฐบาลและข้าราชการไทยและได้ถูกกันให้ออกไปจากวงงานของสัมพันธมิตร แม้แต่เมื่อสงครามได้ยุติลงแล้วในตอนระยะแรก ๆ ก่อนที่จะตกลงอะไรกันได้ และระหว่างนั้นข้าพเจ้ายังเป็นรัฐบาลอยู่คือเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ไม่ยอมเจรจาด้วยกับข้าพเจ้า ทั้ง ๆ ที่เขารู้จักข้าพเจ้าดีว่าข้าพเจ้าเป็นไครและได้ร่วมมือกับเขาใกล้ชิดอย่างไรในระหว่างสงคราม แต่เขาจะเจรจากับนายปรีดี พนมยงค์ ในนามของ “รูซ” ในฐานะที่เป็นหัวหน้าเสรีไทยเท่านั้น ไม่ใช่ในฐานะผู้สำเร็จราชการด้วย นี่เป็นหลักปฏิบัติของเขาโดยทั่ว ๆ ไป หากเราไม่ทราบความจริงข้อนี้จึงดูประหนึ่งว่าเราได้แยกจากกันระหว่างทหารกับพลเรือน แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องของข้อตกลงและขอร้องของเขา แม้ในประเทศอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่อเมื่อได้ลงนามในสัญญาสงบศึกเป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจึงเข้าสู่สถานการณ์ตามปรกติ ตามแบบและพิธีการ

ข้าพเจ้าได้เคยอ่านบทความที่มีคนเขียนลงในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับงานเสรีไทยหลายเรื่องแต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องนิยายมากกว่า เพราะมีหลายอย่างที่ห่างไกลกับความเป็นจริง แต่หนังสือที่พลเอกเนตร เขมะโยธิน เขียนนี้เป็นความจริงเป็นส่วนมากที่ข้าพเจ้าเขียนว่าเป็นส่วนมากนั้น เพราะมีอยู่หลายเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ทราบความจริง เช่นตอนที่ท่านได้ไปเจรจากับแม่ทัพของกองพลที่ 93 ของจีนที่เมืองเชียงล้อ และที่ท่านไปติดต่อกับหน่วยที่ 136 (คือที่ฟ๊อส 136) ที่ประเทศอินเดีย อะไรเหล่านี้เป็นต้น จึงว่าท่านผู้อ่านคงจะได้รับความพอใจในหนังสือเล่มนี้ทุกคน

นายทวี บุณยเกตุ
102 ถนนเศรษฐศิริ
ซอยรณชัย 1 สามเสนใน
พระนคร
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2510

 

หมายเหตุ :

  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ทวี บุณยเกตุ, เรื่อง “ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2”, เบื้องแรกประชาธิปตัย บันทึกความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัย พ.ศ. 2475-2500 (ม.ป.ท.: สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย, 2516), หน้า 328-339.

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: