ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

จากไผ่ลู่ลมถึง Multiplex World : ยุทธศาสตร์ไทยในโลกหลายขั้วอำนาจที่ซับซ้อน

22
สิงหาคม
2568

 

 

อ.ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ 

เมื่อสักครู่เราได้ปูพื้นฐานในเรื่องสันติภาพทั้งในประเทศและโดยบริบทโดยทั่วไป อาจารย์วีระยุทธได้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยพึ่งพึงการส่งออกจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดโลกและระเบียบโลก อยากให้อาจารย์ปิติพูดถึงระเบียบโลกว่าจะส่งผลต่อไทยอย่างไร มีลักษณะอย่างไร

 

รศ. ดร. ปิติ ศรีแสงนาม 

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ นะครับที่ได้ให้เกียรติเชิญมา ผมคิดว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่เราได้ยินตลอดเวลา และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์ในการห้ำหั่นกัน ดังนั้นนี่คือความปกติใหม่ (New Normal) ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อาจารย์อนุสรณ์ได้กล่าวไปแล้วเกี่ยวกับระเบียบโลก หรือโลกาภิวัฒน์ที่ถูกกำหนดโดยสหรัฐอเมริกาที่พยายามที่จะเป็นมหาอำนาจขั้วเดียว (Unipolarity hegemonic power) ภายหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง

โลกาภิวัฒน์ที่เคยเชื่อในเรื่องของการค้าเสรี การลงทุนเสรี การลด ละ เลิกกฎระเบียบต่างๆ และหันมาใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งโลก ให้เอกชนผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่าง ๆ เป็นผู้เล่นหลัก กลไกต่างๆ ขับเคลื่อนด้วยระบบตลาด (Market Mechanism) ซึ่งกำลังถูกเปลี่ยนไป ซึ่งทำให้เกิดการแตกตัวของห่วงโซ่อุปทานระดับนานาชาติ (Global value chain) วิธีคิดต่าง ๆ ที่เราคุ้นชินมาตลอดนับแต่หลังสงครามเย็นกำลังถูกท้าทายอย่างยิ่ง ความเกลียดกลัว ความหวาดระแวงชาวต่างชาติ (Xenophobia) หรือดังที่อาจารย์มารค ตามไทได้กล่าวว่ามีแค่เฉพาะ Homo Sapiens เท่านั้นที่กลัวเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้น คำถามที่สำคัญคือ ในระยะเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างนี้ระเบียบโลกที่กำหนดปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นจะเป็นไปในรูปแบบใด และจะพัฒนาไปสู่รูปแบบใดในจุดสมดุลใหม่ แน่นอนว่าในระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ผมคิดว่าระเบียบโลกนั้นวางอยู่บน 3 เสาหลักที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

เสาหลักแรกก็คือเรื่องของ “Realpolitik” ก็คือการเมืองระหว่างประเทศในรูปแบบสัจจะนิยม ที่เน้นการดำเนินบรรลุตามเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ ซ้ำยังยื่นมือเข้าไปในหลาย ๆ พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การหยุดยิงระหว่างปากีสถานกับอินเดีย การหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือการที่สหรัฐอเมริกาเจรจากับปูตินโดยที่ไม่ได้สนใจว่ายูเครนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาหรือไม่ โดยที่แลกเอาเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งวัตถุประสงค์จริงๆ อาจจะเป็นเพียงเพื่อให้ทรัมป์ได้รับรางวัล Nobel peace prize ซึ่งก็ต้องมาตั้งคำถามต่อในวันเสรีภาพว่าสิ่งนี้เป็นเสรีภาพที่ยั่งยืนหรือไหม หรือว่าเป็นเสรีภาพที่ถูกกดทับ

เสาหลักที่สอง คือวิธีการคิดแบบ “Transactionalism” (กระบวนการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐที่มุ่งเน้นการทำข้อตกลง) ในภาวะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงแบบนี้ รัฐบาลต่างๆ มักจะใช้ยุทธศาสตร์แบบ Transactionalism ที่มุ่งเน้นการตกลงและการแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าในระยะสั้นแบบทันทีทันใดมากกว่าที่จะยอมเสียสละผลประโยชน์บางประการของแต่ละฝ่ายเพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืนในอนาคต ตอนนี้เราเริ่มเห็นบ้างแล้ว เนื่องจากในอดีตบางประเทศยอมที่จะเสียอำนาจอธิปไตยของตนเพื่อผลประโยชน์ที่ดีกว่าของภูมิภาค เช่น การเกิดขึ้นของสหภาพยุโรป การเกิดขึ้นของอาเซียน แต่ยุโรปเอง ในที่สุดอังกฤษก็ทนกับสภาวะที่ต้องเสียสละมากเกินไปไม่ได้ ซึ่งนำไปสู่ Brexit เป็นต้น หรือกลุ่มเอเชียใต้ เมื่อความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดียปะทุขึ้น SAARC (South Asian Association for Regional Cooperation : สมาคมเอเชียใต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค) ก็ประชุมสุดยอดผู้นำตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ในขณะที่อาเซียนยังคงท้าทาย และเดินหน้าการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปลายปีนี้เราจะมีติมอร์-เลสเตเข้ามาเป็นลำดับที่ 11

และเมื่อกล่าวถึงอาเซียน อาเซียนเกิดวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967 แต่ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 20 ปี กรกฏาคม ค.ศ. 1947 หนึ่งในความคิดของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกทำให้เกิดขึ้นจริงมาก่อนหน้านั้น นั่นก็คือ Southeast Asia League (สันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความร่วมมือในการที่จะจัดตั้ง Mutual security cooperation หรือความร่วมมือทางด้านความมั่นคงของอาเซียน ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ใช้ชื่ออาเซียน ตอนนั้นยังใช้ชื่อ Southeast Asia League เพื่อที่จะต่อต้านการกลับมาของลัทธิอาณานิคม เป็นต้น

 

 

เสาหลักที่ 3 ก็คือ “Non-state actors” (ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ) บทบาทของผู้เล่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ อาจจะเป็นบริษัทข้ามชาติ เช่นบริษัทของทรัมป์ หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Apple, HUAWEI, Tiktok, Google เป็นต้น หรือบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ทรงอิทธิพล แม้แต่กองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลมากๆ เช่น ฮูตี ฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส ก็ไม่ใช่กองกำลังของรัฐ เพราะฉะนั้น เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ Professor Amitav Acharya ศาสตราจารย์ที่ American university ที่ Washington, D.C. เรียกว่า “Multiplex World” มาจาก 2 คำ คำหนึ่งคือคำว่า “Complexity” (ยุ่งยากซับซ้อน) กับคำว่า “Multiple” (การทบเท่าทวีคูณ) เพราะฉะนั้น Multiplex world จึงเป็น “โลกหลายศูนย์อำนาจ” หรือ “พหุศูนย์อำนาจ” (Multipolar World) ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

Amitav Acharya ชี้ว่าสภาวะเช่นนี้คือโลกที่ไม่มีผู้จัดระเบียบ ไม่มี Hegemonic (เจ้าโลก/ผู้ถืออำนาจนำ) ความหลากหลายทางมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม จะมีความแตกต่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน มิติเหล่านี้ก็เชื่อมโยงทุกประเทศและทุกภาคส่วนเข้าสู่กันและกันมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นเรามีการเชื่อมโยงกันผ่านโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างเป็น Real-time ทั้งหมด ดังนั้น ผู้เล่นหลัก ณ ปัจจุบัน ทั้งผู้ที่เป็นผู้สร้างระเบียบโลก และเป็นผู้ที่ทำลายระเบียบโลกจะไม่ใช่ภาครัฐหรือมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งอีกต่อไป แต่จะเป็นบทบาทขององค์การ บทบาทความร่วมมือระดับภูมิภาค บทบาทของผู้เล่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นบรรษัทข้ามชาติ  รวมถึงเครือข่ายต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงผลประโยชน์เข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้น ในภาวะที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ มีความไม่แน่นอน ไม่สนใจวิธีการ ไม่สนใจผู้เล่น แต่พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนทุกอย่างข้ามมิติ ข้ามแม้กระทั่งมิติเศรษฐกิจ และมิติความมั่นคง สิ่งที่ทุกประเทศต้องยึดถือ คือยึดถือการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ดังนั้น หากผู้นำของประเทศอยู่ในภาวะสับสนระหว่างการรักษาผลประโยชน์ของชาติ กับการรักษาหรือสร้างความงอกเงยให้กับผลประโยชน์ส่วนตนแล้วนั้น ประเทศนั้นๆ ก็จะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง เพราะผู้นำที่เลวร้ายเหล่านั้นอาจที่จะพร้อมที่จะนำผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตน ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในสภาวะเช่นนี้

คำถามต่อมาคือสมดุลใหม่จะเดินหน้าไปสู่จุดใด ผมเชื่อว่าจะเกิดกระบวนการที่เรียกว่า Minilateralism นำไปสู่ Flexible multilateralism ซึ่ง Minilateralism คือการรวมกลุ่มของประเทศจำนวนน้อยๆ ไม่เกิน 3-5 ประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่อง Issue-specific (ปัญหาที่เฉพาะเจาะจง) ที่ 3-5 ประเทศนี้มีผลประโยชน์ร่วมกัน เน้นประสิทธิภาพ เน้นความเร็วในการตัดสินใจ ในขณะเดียวกัน ถ้าประเด็นนั้นๆ เป็นประเด็นที่หลายๆ ประเทศเห็นชอบ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง วิธีแก้ไขมาถูกทาง จาก Minilateralism ก็จะพัฒนาต่อเป็น Flexible multilateralism นั่นก็คือการรวมกลุ่มของประเทศที่มีความยืดหยุ่นสูง อาจจะมีการปรับเปลี่ยนสมาชิกตามประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขโดยไม่ได้ผูกมัดกันเป็นพันธกรณีตายตัวดังเช่นองค์กร Multilateralism หรือ พหุภาคี เพราะว่า Multilateralism จะไม่สามารถดำเนินบทบาทได้อย่างสะดวกนัก เช่น WTO (World Trade Organization : องค์การการค้าโลก) กว่าจะทำอะไรต้องได้รับความเห็นชอบจาก 160 ประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้น ภายใต้การเข้าสู่สมดุลใหม่ในระยะยาวจาก Minilateralism ไปสู่ Flexible Multilateralism อาเซียนจะกลายเป็นบทบาทที่มีความสำคัญมากๆ ในการที่จะทำให้ประเทศขนาดกลาง (Middle Power) ดังเช่นประเทศไทย หากเราสามารถที่จะเล่นบทบาทนำในเวทีนี้อย่างเหมาะสม นั่นหมายความว่าไทยและอาเซียนสามารถกำหนดทิศทางความร่วมมือเพื่อนำไปสู่สันติภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นสันติภาพยั่งยืนทางด้านความมั่นคง หรือ ณ ปัจจุบันเมื่อเศรษฐกิจถูกนำไปพ่วงด้วยแล้ว เราต้องเน้นเรื่องพวกนี้มากยิ่งขึ้น ดังเช่นที่อาเซียนตั้งสิ่งที่เรียกว่า “Zone of Peace, Freedom and Neutrality” ขึ้นมา 11 ประเทศอาเซียน ซึ่งในอนาคตจะเป็น 11 ประเทศจะเป็นโซนที่พูดถึงเรื่องสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง

ซึ่งแน่นอน ปีนี้เป็นปีสำคัญในวาระครบรอบ 125 ปี ชาตกาลของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผมคิดว่าเวลาเราไปทำวิจัย อ่านข้อความที่อาจารย์ปรีดีพูดไว้ตลอดที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของประเทศไทยในเวทีนานาชาตินั้นควรจะเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์ปรีดีเคยให้สัมภาษณ์ไว้จากหลายแหล่งประมวลรวมกัน ท่านอาจารย์ปรีดีกล่าวว่า :

“ประเทศไทยควรรู้จักดำเนินนโยบายยืดหยุ่นเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ ควรดูตัวอย่างในอดีตที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5  ได้ทรงกระทำไว้ในสมัยนั้น ไทยต้องดำเนินนโยบายเป็นกลาง แล้วก็นำประเทศชาติรอดมาได้ เพราะมีการถ่วงดุลแห่งอำนาจ”

“เราต้องยอมรับว่าในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศมหาอำนาจต่างชาตินั้น พระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 สามารถช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากอำนาจของระบบจักรวรรดินิยมได้ ก็เพราะพระองค์ทรงดำเนินนโยบายยืดหยุ่นนี้เอง”

“และเมื่อใดเราดำเนินนโยบายนอกแนวทางที่พระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ทรงวางไว้ เมื่อนั้นเราก็จะประสบกับความยุ่งยากทุกคราวไป ดังกรณีที่เราเข้าข้างฝ่ายญี่ปุ่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น”

“ข้าพเจ้ามิได้ศึกษายุทธการทางทหารมาก่อน แต่ข้าพเจ้าได้เคยอ่านตำราทางทหารมาหลายเล่ม แต่ก็ไม่เคยพบว่ามีที่ใดรับรองความถูกต้องของทฤษฎีที่ว่านี้”

แต่ทฤษฎีที่อาจารย์ปรีดีกล่าวก็คือ :

“หากเราย้อนหลังไปดูประวัติศาสตร์ก็จะพบว่า ผู้ที่ส่งกองทัพออกไปทำการรุกราน และสู้รบนอกดินแดนประเทศของตนนั้น ในที่สุดมีแต่จะประสบกับความปราชัยย่อยยับทุกคราวไป ไม่ว่าจะเป็นกองทัพของฮิตเลอร์ หรือของนโปเลียน”

ถ้าจะให้ผมเพิ่มเติม ก็เช่นกองทัพของโซเวียตก็มาพังในอัฟกานิสถาน กองทัพของสหรัฐก็มาพังในตะวันออกกลางเช่นกัน

“ประเทศไทยควรทำการค้ากับทุกประเทศโดยไม่ต้องไปมัวพะวงอยู่กับเรื่องการเมืองของประเทศนั้น ๆ”

และท่านปรีดียังได้ยกตัวอย่างของจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะท่านอาจารย์ปรีดีเคยไปอยู่จีน 20 ปี กล่าวว่า :

“จีนผืนแผ่นดินใหญ่มีประชากรถึง 800 ล้านคน เราไทยเป็นชาติเอกราชมาตั้งหลายร้อยปี ควรจะใช้ดุลยพินิจของตนเองบ้าง ไม่ควรจะตามก้นใคร ดูชาติเล็กๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ซิ ทำไมเขาจึงตัดสินใจโดยไม่ต้องรับบัญชาจากใคร ทั้งนี้ เพราะเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองและการเศรษฐกิจแห่งชาติของเขาเป็นเรื่องสำคัญ”

อาจารย์ปรีดีเคยตอบคำถามว่าไทยเราจะหวังพึ่งสหรัฐอเมริกาได้มากน้อยเพียงใด อาจารย์ปรีดีได้ยกหลักการของพระพุทธศาสนา เรื่อง “อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ” ยกหลักการของศาสนาคริสต์เรื่อง “ช่วยตัวเองก่อน พระเจ้าถึงจะช่วยท่าน” เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ปรีดีตอบว่า

“ในวันหนึ่ง หากสหรัฐต้องประสบความยุ่งยากทางการเงินและการภายในหลายอย่าง เขาก็ต้องช่วยตัวเขาเองก่อน จะหวังให้เขาทุ่มเทกำลังคน กำลังทรัพย์มาช่วยไทยเราอย่างไม่อั้นประตูนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่สมัยปัจจุบัน ต่างประเทศมีวิธีการช่วยให้เปล่า ก็เป็นประโยชน์ถ้าหากการช่วยนั้นไม่มีเงื่อนไขทางตรงหรือทางอ้อมที่จะทำให้ชาติเรากลายเป็นลูกสมุนของเขาไป ฉะนั้น ที่คุณถามว่าจะหวังพึ่งสหัฐฯ ได้เพียงใด คือเพียงที่เราเป็นตัวของเราเองตามพุทธวจนดังกล่าวแล้ว และความช่วยเหลือนั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้เราตกเป็นสมุนของเขาไป”

เพราะฉะนั้น ไม่น่าเชื่อนะครับ สิ่งที่อาจารย์ปรีดีกล่าวเมื่อครั้งที่อาจารย์ปรีดีลี้ภัยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสจะสะท้อนความเป็นจริงได้ถึงทุกวันนี้ ผมยังคิดว่าเราอาจจะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราสามารถที่จะ “Strategic hedging” หรือการถ่วงดุลอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ แน่นอนว่าการถ่วงดุลอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ก็คือนโยบายที่ในอดีตเรานิยมเรียกว่า “ไผ่ลู่ลม” หรือ “Bamboo diplomacy” เพราะ “ต้นไผ่ที่ดี คือต้นไผ่ที่มีรากลึก ต้นไผ่ที่ดีเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังที่ดี ซึ่งต้องสามารถเอนไปข้างหน้าหรือหงายไปข้างหลังได้ โดยที่เจ้าตัวไม่ปวดหลัง”

เพราะฉะนั้น Bamboo diplomacy นโยบายไผ่ลู่ลม นโยบายการทูตที่มีกระดูกสันหลังในการที่จะรักษาสมดุล และเล่นบทบาทนำของประเทศไทยในเวทีอาเซียน เพื่อสร้างสันติภาพท่ามกลางบริบทของระเบียบโลกใหม่ มันต้องเกิดขึ้นจากการที่ :

  1. ผู้นำต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ และ
  2. เราต้องทำงานหนักเพื่อที่จะสร้างสมดุลในจุดนี้ให้ได้

เราอาจจะต้องทำวิจัยอย่างหนัก อาจจะต้องมีนักการต่างประเทศที่ทำงานกับเอกชน กับภาคประชาสังคม กับผู้กำหนดนโยบาย (Policy maker) ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเราอยากจะมีบทบาท และมีที่ยืนในเวทีโลก เราต้องทำตามนี้ครับ

 

อ.ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์

ขอบคุณอาจารย์ปิติที่ชี้ให้เห็นความไม่แน่นอนของโลกที่มาจากการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ซึ่งอาจารย์ใช้คำว่า Multiplex World ซึ่งก็เป็นคำของศาสตราจารย์ Amitav Acharya ซึ่งอาจารย์ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าในสภาวะที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวดังเช่นที่ผ่านมา ก็อาจจะทำให้บทบาทอาเซียนและไทยนั้นเด่นชัดขึ้นในฐานะที่เป็นองค์กรและประเทศที่สามารถจะมีความยืดหยุ่นได้ และดำรงไว้ซึ่งสภาวะสันติภาพ ก็เป็นคำถามสำคัญของอาเซียนและประเทศไทยด้วยเช่นกัน

 

 

หมายเหตุ :

  • ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ

 

รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/live/TuI2P3oYm4w

 

ที่มา :

  • PRIDI Talks #32 : อนาคตไทย-อาเซียน: ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00-12.30 น. ณ สวนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและหอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์