หลวงวิลาศปริวัตร (เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) หรือที่คนไทยในอดีตเรียกขานกันคล่องปากว่า "ครูเหลี่ยม" นักประพันธ์รุ่นบุกเบิกซึ่งแวดวงบรรณพิภพถือว่าเขาคือผู้สร้างสรรค์นวนิยายหรือ "โนเวิ่ล" (Novel) ของไทยแท้ ๆ เรื่องแรกสุดนั้น นับเป็นบุคคลในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ที่ผมเคยถ่ายทอดเรื่องราวไว้ผ่านหลายชิ้นงานและหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว หากจะกล่าวเฉพาะงานเขียนแล้ว ก็ได้แก่
- “กล่อมครรภ์: เมื่อครูเหลี่ยมฉีกยันต์กันผีเสนอเรื่องเพศและ. กามารมณ์กล่อมสังคมไทย ทศวรรษ 2450-2460” นำเสนอในการประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 10 ณ โรงแรมราชมังคลา สงขลา เมอร์เมด อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน พ.ศ. 2559 และตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือ ความคลุมเครือ ความเคลือบแคลง เส้นแบ่ง และพรมแดนในมนุษยศาสตร์
- บุรุษบันเทิง: สื่อบันเทิงกามารมณ์ในสังคมไทย ทศวรรษ 2450-2500 วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2559
- “ศรีทนนไชยสมัยใหม่ : เหลี่ยมคูแบบ “อุปทูเด็ต” ในร่างทรงศรีธนญชัยของครูเหลี่ยม” เผยแพร่ใน วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน 2560)
- “จาก "สามหม้าย" ณ บ้านดอน สู่ "ติกโกโน" แห่งกันตัง ครูเหลี่ยมและชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับภาคใต้” เผยแพร่ในวารสาร รูสมิแล ปีที่ 38 ฉบับที่ 3 (กันยายน- ธันวาคม 2560)
- “เฉาะแฉะในบ้านชนชั้นกลาง: พฤติกรรมร่วมเพศ ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง และพื้นที่แห่งปรารถนากามารมณ์ในสังคมไทย ทศวรรษ 2490” เผยแพร่ใน วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 ( กรกฎาคม - ธันวาคม 2560)
- “ผจญบอ เทคโนโยนี และการนำเสนอ ‘ฮิสทีเรีย’ ในวรรณกรรมเรื่องเพศของไทยในยุคแรก ๆ” เผยแพร่ทาง The MATTER เมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561
- “ตาม “ชิ้น” ตาม “ชั้น” จน “ขวัญหายได้ปลื้ม” เรื่องสั้นหาอ่านยากของครูเหลี่ยม” เผยแพร่ใน มติชนสุดสัปดาห์ เมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562
เหตุที่ทำให้ผมพากเพียรร่ายเรียงตัวอักษรจาระไนเรื่อง ครูเหลี่ยม อีกครั้ง ก็เพราะเผอิญพบเห็นผู้กล่าวถึงบทบาทของ หลวงวิลาศปริวัตร ในภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ที่อำนวยการสร้างโดย นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเพิ่งจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประกอบกับฉุกนึกขึ้นมาได้ว่า ครูเหลี่ยม มีวันเกิดตรงกับวันที่ 23 สิงหาคม ซึ่งสำหรับ พ.ศ. 2568 นับเป็นวาระครอบรอบ 146 ปีชาตกาล (เขาลืมตายลโลกหนแรก พ.ศ. 2422) ดังนั้น การเขียนอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้จึงน่าจะเป็นสิ่งที่สมควรยิ่ง
ครั้นตกลงใจจะเขียนเรื่อง ครูเหลี่ยม โดยเชื่อมโยงมายังภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก และ นายปรีดี พนมยงค์ จู่ ๆ พลันผุดพรายอีกความคิดขึ้นมาว่า ผมน่าจะลองนำเสนอและอภิปรายถึงความเป็นไปในชีวิตของ หลวงวิลาศปริวัตร หรือ ครูเหลี่ยม ภายหลังการปฏิวัติสยามเสียด้วย ซึ่งมีแง่มุมน่าสนใจมิใช่น้อย เพราะผมเองก็หมั่นครุ่นคิดและสั่งสมข้อมูลเหล่านี้นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2550 เรื่อยมา
ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร ในภาพยนตร์ “พระเจ้าช้างเผือก”
การปฏิวัติสยามเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หาได้เพียงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าระบอบปกครองทางการเมือง หากยังส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของใครต่อใครอีกจำนวนมากโขเลยทีเดียว ส่วนจะแปรไปในทางน่าอภิรมย์หรือชวนเศร้าสลดหดหู่ ก็แล้วแต่วาสนาหรือชะตากรรม
แม้เรื่องราวของ ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร จะเคยถูกครอบคลุมอยู่ในตาข่ายความหลงลืมเสียนาน แต่ก็ให้นึกปลื้มเปรมว่าช่วงหลายปีหลัง ๆ มา ได้ปรากฏกระแสความสนใจศึกษาถึงชีวประวัติและผลงานของเขาอย่างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เท่าที่สังเกตดู พบว่างานศึกษาส่วนใหญ่มักจะพากันไปมุ่งเน้นพิจารณาในตอนที่ ครูเหลี่ยม มีงานเขียนตีพิมพ์เผยแพร่สู่สายตาสาธารณะและยังรับราชการอันเป็นห้วงยามก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขณะที่ช่วงเวลาถัดมา ดูเหมือนความเป็นไปของ ครูเหลี่ยม จะค่อย ๆ ห่างหายจากความรับรู้ของสังคมไทย ซึ่งอาจเพราะเขาได้เข้าสู่วัยชราเสียแล้ว นั่นจึงทำให้เราแทบจะไม่ค่อยเห็นการเอ่ยถึงรายละเอียดว่าด้วยชีวิตของ ครูเหลี่ยม ภายหลังปี พ.ศ. 2475 สักเท่าใด
ผมเองย่อมไม่คล้อยตามต่อความเข้าใจทำนองนั้นหรอก แต่จะขออาสาพาคุณผู้อ่านทั้งหลายไปสัมผัสประกายชีวิตอันวิบวับแวมวาวของ หลวงวิลาศปริวัตร ภายหลังการปฏิวัติสยาม
แรกทำความรู้จักครูเหลี่ยม
น่าจะราวกลางปี พ.ศ. 2547 ผมเป็นเด็กชายอายุสิบสี่ กำลังอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม โรงเรียนประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี บ่ายวันนั้น ผมได้ร่วมแข่งขันการอ่านจับใจความที่ทางสำนักงานเทศบาลเมืองจัดขึ้น ขณะกำลังนั่งไล่สองตาอ่านใจความเพื่อคว้าจับ ไม้ไผ่ลำเขื่องสำหรับค้ำยันบอร์ดนิทรรศการล้มลงมากระแทกกลางศีรษะของผมจนถึงแก่ความมึนมิใช่เบา เจ้าหน้าที่ในงานพากันมาประคบประหงมเสียยกใหญ่ เป็นอันว่าผมคว้ารางวัลชนะเลิศแม้ผมจะจับใจได้แต่ความเบลอก็ตามที
ผ่อนคลายจากการถูกน็อคสักครู่ใหญ่ ผมทอดน่องไปหยุดยืนลูบ ๆ คลำ ๆ นวนิยายตรงแผงขายหนังสือ เจอเข้ากับเล่มหนึ่งโปรยคำประดับปกว่า “นวนิยายไทยเรื่องแรก เขียนโดย นายสำราญ” ขยับมือพลิกเปิดดูข้างใน แลเห็นภาพชายชรานั่งบนเก้าอี้ไม้ ถือหนังสือ ยิ้มกระหยิ่ม
นั่นละครับ ครั้งแรกสุดที่ผมทำความรู้จักกับ หลวงวิลาศปริวัตร หรือ ครูเหลี่ยม
ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร ในวัยชรา
แม่ของผมซื้อหนังสือนวนิยายเรื่อง ความไม่พยาบาท เป็นของขวัญให้หนึ่งเล่มเพื่อปลอบใจที่ต้องประสบอุบัติเหตุจนหัวโนปูด เพ่งตาอ่านตอนวัยรุ่นแล้วรู้สึกไม่ค่อยสนุก ภาษาก็โบราณเหลือเกิน จึงโยนทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะจับหลายปี
ครูเหลี่ยมย่างกรายเข้ามาปลุกความใคร่รู้ในหัวใจอีกคราตอนผมเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่ามกลางความเงียบเหงาของหอสมุด ผมแว่วยินสรรพสำเนียงจากวันวานขณะร่วมเดินทางระหว่างบรรทัดไปกับตัวอักษรใน “ประโลมโลกความเรียง” ของผู้ใช้นามปากกา “นายสำราญ” พอซึมซาบนวนิยายเรื่อง ความไม่พยาบาท หมดเล่ม ก็บันดาลให้ผมมุมานะตามสืบสาวชีวิตของผู้ประพันธ์ หมั่นค้นอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นว่าผมเขียนภาคนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ชั้นปริญญาตรีเรื่อง ครูเหลี่ยม กับการจัดทำนิตยสาร ถลกวิทยา และต่อมาก็เขียนวิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ชั้นปริญญาโทในเรื่อง ครูเหลี่ยม กับการนำเสนอวรรณกรรมโป๊ ซึ่งมีผลงานอันลือลั่นอย่าง กล่อมครรภ์
สำหรับมุมมองของผม ชีวิตของ ครูเหลี่ยม ในช่วงก่อนการปฏิวัติสยามช่างเต็มไปด้วยความเริงโลด แต่ก็ยากปฏิเสธว่าเจือด้วยสภาวะ “อยู่กับความผิดหวัง” คล้าย ๆ ชื่อบทเพลงของนักร้องลูกทุ่งขวัญใจประชาชนเยี่ยง สายัณห์ สัญญา มิใช่น้อย
จากนักเรียนวิชาครูสู่คุณหลวงวิลาศปริวัตร
ย้อนกาลเวลาไปยังปลายทศวรรษ 2430 กรมศึกษาธิการได้คัดเลือกนักเรียนส่งไปศึกษาวิชาครูรุ่นแรกในประเทศอังกฤษเพื่อนำความรู้ความสามารถมาพัฒนาด้านการศึกษาของสยาม นับเป็นการปฏิรูปสังคมและพลเมืองให้มีความเท่าทันโลกตะวันตก นักเรียนที่ถูกส่งไปประกอบด้วย นายสนั่นนายโห้ นายนกยูง รวมถึง นายเหลี่ยม ซึ่งเคยรับราชการครูในโรงเรียนราชกุมารมาตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปีเศษ และมีลูกศิษย์เป็นเจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้ง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ที่ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
นักเรียนทั้งสี่ต้องเข้าศึกษา ณ วิทยาลัยฝึกหัดครูเบอโรโรด (Borough Road College) ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน โดยขาไปได้เดินทางร่วมกับพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ ซึ่งเสด็จไปแสวงหาความรู้ในประเทศอังกฤษเช่นกัน
จากกรุงเทพมหานคร นักเรียนวิชาครูชาวสยามไปต่อเรือเดินสมุทรชื่อฮิมมาลายาที่สิงคโปร์ รอนแรมกลางท้องทะเลราวหนึ่งเดือนเศษกว่าจะเฉียดใกล้ชายฝั่งทวีปยุโรป
ในความทรงจำของ นายเหลี่ยม เขามิแคล้วตื่นเต้นที่ได้แวะเที่ยวชมเมืองท่าและเมืองสำคัญระหว่างทางหลายแหล่งแห่งหน เป็นต้นว่าแวะนมัสการพระทันตธาตุเมืองแคนดี้บนเกาะลังกา หรือก่อนจะเหยียบแผ่นดินเกาะอังกฤษก็แวะเที่ยวกรุงปารีสของฝรั่งเศสให้อิ่มเอม
ที่ปารีส นายเหลี่ยม ยังเจอ นายผาด ผู้มาศึกษาวิชาทหาร ซึ่งต่อมาคือพระยาเทพหัสดิน โดย นายผาด ได้แสดงการตีลังกาอย่างคล่องแคล่วให้นักเรียนวิชาครูรับชม
ครั้นถึงกรุงลอนดอน นายเหลี่ยม เข้าพำนักร่วมกับครอบครัวของมิสเตอร์โฮกาท (Mr. Hogarth) ณ วังเก่าของพระนางอลิซาเบธ หรือ The Palace Enfield และเริ่มต้นวิถีประจำวันแบบนักเรียนอังกฤษ
ระหว่างศึกษาวิชาครู นอกจาก นายเหลี่ยม จะหักโหมกับการอ่านหนังสือจนเรียนเก่งมากแล้ว ก็ยังเป็นนักกีฬารักบี้ตัวยงจนผองเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า "รถไฟ" เพราะมีฝีเท้าในการวิ่งอย่างรวดเร็วราวฝีจักร แต่พ่อหนุ่มรถไฟผู้เร่าร้อนจากสยามกลับยอมพ่ายแพ้ให้กับหิมะ
ครั้งหนึ่ง นายเหลี่ยม ลงแข่งขันรักบี้ในทีมของวิทยาลัย ท่ามกลางอากาศยะเยียบหนาวของมหานครลอนดอน พอจังหวะที่ต้องสกรัมหรือประจัญหน้าแย่งชิงลูกรักบี้กัน เขาพลันรู้สึกเจ็บปวดใบหูที่ถูกเสียดสีราวกับจะฉีกขาดหลุดออกมา หรือตอนฝึกหัดวิชาทหารและเดินสวนสนามขณะหิมะโปรยปราย ใบหน้าของ นายเหลี่ยม ก็ระบมเนื่องจากแหงนรับหิมะตลอดเวลา
นักเรียนอังกฤษชื่อ เหลี่ยม ยังเคยเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 ณ พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ในตอนพระองค์เสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
ในมุมมองของพวกฝรั่ง นายเหลี่ยม จัดว่าเป็นชายรูปงาม หน้าตาละม้ายเทวดากรีก หญิงสาวผมทองพากันเหลียวมอง แต่พวกนักเรียนฝรั่งชายก็พากันอิจฉา และคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเนือง ๆ
ครูเหลี่ยม ในวัยหนุ่ม เมื่อครั้งเป็นนักเรียนวิชาครูที่ประเทศอังกฤษ
ชีวิตของ นายเหลี่ยม คงจะสุขสันต์ยิ่งกับการสูดลมหายใจในอังกฤษมาสองปีกว่าและน่าจะขอพำนักอยู่อีกต่อไป หากเหตุไม่คาดฝันมิได้เกิดขึ้น มีเรื่องเล่าว่า ดึกดื่นคืนหนึ่งขณะ นายเหลี่ยม เปิดโคมไฟนั่งอ่านหนังสือ เพื่อน ๆ ที่กลับจากเที่ยวเตร่ได้ล้อเล่นโดยโยนผ้าห่มมาคลุมโคมไฟ นายเหลี่ยม สะดุ้งตกใจสุดขีดจนล้มป่วยและสำแดงอาการเกี่ยวกับโรคประสาท ท้ายสุดต้องถูกส่งตัวกลับประเทศสยาม
พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) อัครราชทูตสยามประจำอังกฤษส่งหนังสือลงวันที่ 22 กรกฎาคม ร.ศ. 117 หรือตรงกับ พ.ศ. 2441 ชี้แจงเหตุผลมาให้เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการรับทราบ
ด้วยนายเหลี่ยมนักเรียน ซึ่งได้ส่งออกมาจากกรุงเทพฯ ให้มาเล่าเรียนวิชาเป็นครูแต่ปี ๑๑๕ พร้อมกับนักเรียนอื่นอีกสามคนนั้น นายเหลี่ยมได้เข้าเล่าเรียนมาตลอด แต่ลักษณะของนายเหลี่ยมตั้งแต่มาเล่าเรียนได้ไม่ช้านักก็มีจริตพิกล เกิดการพูดน้อยแลขี้อายมากขึ้นทุกที ตามธรรมดาของโรงเรียนทั้งหลาย เด็ก ๆ เพื่อนเรียนด้วยกันมักจะชวนพูดจาเล่นหัวยั่วเย้า ถ้าใครไปอาย ๆ ซึม ๆ ท่านพวกนั้นก็เลยล้อเอาส่ง ดังนั้น เป็นธรรมดาไม่ว่าที่ไหน ซึ่งจะป้องกันไม่ได้
เมื่อนายเหลี่ยมมาเป็นเช่นนี้ ก็ต้องถูกความยั่วเย้าขับเคี่ยวล้อเลียนบ้าง ถึงกับเห็นว่าอยู่ที่ไหนไม่สบายก็ลองย้ายมาหลายหนหลายแห่ง การที่ยักย้ายมาก็ไม่ให้ได้ประโยชน์สำเร็จอันใด แลได้ลองเอามาอยู่ที่สถานทูตนี้ครั้งหนึ่ง หลายวันก็ไม่หาย ลงตอนปลายกลับไปอยู่โรงเรียนอีก ถึงกับเกิดวิวาทกับนายโห้เพื่อนของตนด้วยกัน กับแสดงความโทโสร้ายเอาด้ามปากกาเที่ยวทิ่มแทงเพื่อนเรียนอื่น ๆ กิริยายิ่งแปลกประหลาดขึ้นทุกที ข้าพเจ้าจึ่งได้ให้หาแพทย์ผู้ชำนาญการตรวจมันสมองให้ตรวจ ได้ความว่านายเหลี่ยมมีมันสมองอันพิการ อาจทำให้เสียจริตไปในทางใดทางหนึ่งได้สักครั้งใดครั้งหนึ่ง ว่าถึงทางเล่าเรียนแลความรู้ นายเหลี่ยมได้เป็นผู้เล่าเรียนดีมาก ทั้งหมั่นขยันจนพาให้เห็นว่า ต้นเหตุที่จะพาให้มันสมองเสีย จะเป็นด้วยเล่าเรียนมากเกินประมาณไป
เมื่อมีมันสมองอันพิการแล้วฉะนี้ ถ้าจะอยู่ให้เล่าเรียนต่อไปเกือบจะไม่มีที่สงสัยว่าจะไม่เป็นเหตุถึงเสียจริต และทั้งเหตุนี้ตัดการที่จะเล่าเรียนให้ดีต่อไปอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ตกลงส่งนายเหลี่ยมให้กลับกรุงเทพฯ จะออกจากลอนดอนในวันที่ ๒๘ เดือนนี้ ความเห็นของข้าพเจ้าเองยังเชื่ออยู่ว่า เมื่อนายเหลี่ยมมาถึงกรุงเทพฯ ปล่อยให้สบายเสียสักสามสี่เดือนแล้ว บางทีจะให้รับราชการเป็นครูสอนนักเรียนได้บ้าง ส่วนวิชาความรู้ของตนก็พอที่จะรับราชการทางนั้นได้อยู่แล้ว ข้าพเจ้าได้สอดสำเนารายงานที่ได้ตรวจนายเหลี่ยมมายังเจ้าคุณพร้อมด้วยจดหมายนี้แล้ว
สิ่งที่นายเหลี่ยมเผชิญในอังกฤษ หากพูดด้วยลิ้นของคนยุคสมัยปัจจุบันคงเรียกได้ว่าถูกบุลลี่ มิหนำซ้ำ ผลตรวจทางการแพทย์ยังทำให้เขาถูกจัดวางในฐานะผู้มี “มันสมองพิการ” เข้าสมทบ การดำเนินชีวิตที่ลอนดอนจึงทุกข์ทน ถึงอย่างไร นายเหลี่ยม ก็เปี่ยมล้นความคาดหวังว่าเมื่อตนสำเร็จวิชาครู น่าจะได้ศึกษาต่อไปในวิชาอื่น ๆ การถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดเมืองนอนอย่างไม่พึงประสงค์เสมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่ พร้อมทั้งเป็นความเสียใจก้อนมหึมาคับแน่นและฝังลึกอยู่ในอก
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนนอก โอกาสคงยังมิได้หมดสิ้น ครั้น นายเหลี่ยม มาถึงกรุงเทพฯ ก็เข้ารับราชการครู ณ โรงเรียนสวนกุหลาบ แต่อนิจจา สอนหนังสืออยู่ไม่นานมีอันต้องลาออกมารักษาตัวเพราะล้มป่วยโรคไข้รากสาดน้อย ความโศกศัลย์จากอังกฤษยังมิทันสร่างคลาย ยังมิวายมาประสบปัญหาสุขภาพที่เมืองไทยจนมิอาจทำงานต่อได้ สั่นสะเทือนความรู้สึกถึงขั้นที่ครูเหลี่ยมไม่คิดจะรับราชการอีก เอาแต่เก็บตัวในห้องคนเดียว จะออกมาเฉพาะตอนรับประทานอาหาร หรือบ่อยครั้งก็รับประทานอาหารในห้องเลย
ท่ามกลางสภาวะอารมณ์นั้น ความใฝ่ฝันอันเป็นยอดปรารถนาสูงสุดของ ครูเหลี่ยม คือการได้เดินทางไปต่างประเทศอีกหน เล่ากันว่าเมื่อน้องชายคนเดียวของเขาถูกส่งไปศึกษาวิชาป่าไม้ในประเทศอินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2443 พอตอนน้องชายจะออกโดยสารไปกับเรือกลไฟ ครูเหลี่ยม แอบลงไปซ่อนตัวในเรือลำนั้นด้วย แต่มีผู้มาพบเสียก่อนและพาตัวออกมาจากเรือ ปณิธานอันชุ่มชื่นของครูเหลี่ยมเหือดแห้งลงอย่างเฉียบพลัน
ไหน ๆ ก็หมดเกลี้ยงแรงใจและพลังกระตือรือร้นจะทำราชการ ความที่เป็นคนรักการอ่าน ครูเหลี่ยม จึงมาดมั่นจะเลี้ยงชีพด้วยการเขียนและแปลหนังสือเป็นหลัก พร้อม ๆ กับรับงานสอนพิเศษวิชาคำนวณ วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาดนตรี ตลอดช่วงทศวรรษ 2440 มาจนถึงทศวรรษ 2460 ครูเหลี่ยม จัดทำนิตยสารชื่อประหลาด ๆ หลายฉบับ เช่น ถลกวิทยา สำราญวิทยา และ อุตริวิทยา นอกจากนี้ยังขยันแปลงานมาจากภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พงศาวดารโรมัน ตอนเรียณศรี และ สาวสองพันปี รวมทั้งเขียนเรื่องอ่านเล่นไว้เป็นจำนวนมากและซ่อนตนในหลากหลายนามปากกา ทั้งจำพวกเรื่องขบขันอย่าง ศรีทนนไชยอุปทูเดต และจำพวกเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่าง “ขวัญหายได้ปลื้ม” รวมถึงผลงาน “โนเวิ่ล” ที่นักวิชาการยุคหลังมองว่าเป็นแบบไทยแท้เล่มแรกอย่าง ความไม่พยาบาท
แม้จะมิได้ครองบรรดาศักดิ์สูงขึ้นเรื่อย ๆ เฉกเช่นเพื่อนนักเรียนวิชาครูรุ่นเดียวกันซึ่งหน้าที่การงานก้าวหน้าลิบลิ่ว อย่าง นายสนั่น ได้เป็น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ รวมถึงยังเขียนงานออกเผยแพร่โดยใช้นามปากกา “ครูเทพ” หรือ นายนกยูง ได้เป็น พระยาสุรินทราชา นักปกครองระดับสมุหเทศาภิบาล อธิบดีกรม และกรรมการองคมนตรี รวมถึงแปลนวนิยายเรื่อง Vendetta!, or The Story of One Forgotten ของ แมรี คอเร็ลลิ (Marie Corelli) มาสู่ภาษาไทยในชื่อ ความพยาบาท ด้าน นายโห้ ก็เป็น พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ ดูแลวิชาความรู้ทางด้านกสิกรรม
แต่การที่ ครูเหลี่ยม ได้เลือกเส้นทางนักประพันธ์เนิ่นนานสองทศวรรษก็ใช่ว่าจะสะท้อนความมืดหม่นอึมครึมของชีวิต ตรงกันข้ามกลับเป็นแสงสว่างโชติช่วงที่สร้างชื่อเสียงให้ขจรขจายลือลั่น กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังเคยทรงเขียนภาพล้อครูเหลี่ยมในฐานะบรรณาธิการ สำราญวิทยาโดยเป็นรูปคนที่พอผ่าท้องแล้วมีหนังสือตำรับตำราไหลออกมาไม่สิ้นสุด
ใคร ๆ ก็คงมิคาดว่า ครูเหลี่ยม จะกลับเข้ารับราชการอีกหนในปี พ.ศ. 2460 เจ้าตัวเองที่รักอิสระก็คงไม่คิด หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักหลั่งรินอยู่ในหัวใจ
หญิงสาวอายุอ่อนกว่าราวสิบเจ็ดปีผู้สะกิดความรู้สึกให้นักประพันธ์วัยสามสิบปลาย ๆ ส่งจิตกระหวัดถึงจนนึกอยากมีคู่เคียงนั้น พื้นเพเป็นชาวท่าน้ำอ้อย นครสวรรค์ แต่ดำรงสถานะสาวชาววังในอุปการะของ คุณท้าววนิดาพิจารินี เจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 นามของเธอคือ แม่อบเชย แรกพบรักเกิดขึ้นที่วัดสุทัศนเทพวราราม เนื่องจากช่วงนั้น ครูเหลี่ยม เป็นตากล้องระดับมืออาชีพ เมื่อเห็นโฉมแฉล้มของแม่อบเชยที่มาทำบุญไหว้พระ ก็คอยเฝ้าติดตามและขอถ่ายภาพเธอ กามเทพจึงค่อย ๆ แผลงศรผ่านกล้องถ่ายรูป
ทั้งเจ้านายและขุนนางได้มาแสดงออกความหลงรักต่อ แม่อบเชย แต่เหมือนเธอจะแอบประทับใจต่อ ครูเหลี่ยม พอนักประพันธ์เอ่ยปากอ้อนวอนขอแต่งงาน ลึก ๆ เธอก็เอออวย หากมิอาจปลงใจตอบตกลงทันทีเพราะชายผู้นั้นมิได้ทำงานอย่างมีหลักแหล่งมั่นคง
แม่อบเชย เสนอข้อแม้สลักสำคัญว่า ครูเหลี่ยม จะต้องรับราชการ เธอจึงจะยอมวิวาห์ด้วย นั่นเป็นเหตุให้นักประพันธ์วัยสามสิบปลายกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้แปลประจำกรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ซึ่ง แม่อบเชย ก็แพ้ใจเรียบร้อย ทั้งสองสร้างครอบครัวและตั้งถิ่นฐานอยู่ละแวกย่านหน้าวัดมหรรณพาราม
ความสามารถระดับ ครูเหลี่ยม ซึ่งถ้าได้รับราชการเรื่อยมาตั้งแต่เพิ่งกลับจากประเทศอังกฤษคงจะเป็นท่านเจ้าคุณไปแล้ว ครั้นพอทำราชการให้กรมสาธารณสุขเพียงไม่กี่ปี ก็รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น หลวงวิลาศปริวัตร อันมีความหมายว่าคุณหลวงผู้แปลภาษาได้สละสลวยงดงาม
จวบกระทั่งในปี พ.ศ. 2473 ครูเหลี่ยม ตัดสินใจลาออกจากราชการด้วยอายุเพียงห้าสิบต้น ๆ
ภายหลังการปฏิวัติสยาม
ในบรรดานักเรียนผู้ถูกส่งไปเรียนวิชาครูรุ่นแรกที่ประเทศอังกฤษ ครูเหลี่ยมหรือ หลวงวิลาศปริวัตร เป็นผู้มีอายุยืนยาวที่สุด และได้สัมผัสกับบรรยากาศภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นานมากกว่าคนอื่น ๆ
นายโห้ หรือ พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ ไม่ทันได้เห็นการปฏิวัติสยาม เพราะอำลาโลกไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2472 ส่วน นายสนั่น หรือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี และ นายนกยูง หรือ พระยาสุรินทราชา ผู้ครองชีวิตรุ่งโรจน์มาตลอดสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็กลายเป็นเพียงข้าราชการชรารุ่นเก่า
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แม้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มีจำนวนทั้งหมดเจ็ดสิบคน ทั้งยังดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกสุดของไทย และเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการในสมัยรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา แต่ก็มีบทบาทเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างปีพุทธศักราช 2475-2476 ครั้นในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งถือเป็นรัฐบาลคณะราษฎรเต็มตัว นามของ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ก็ค่อย ๆ ระเหยหายไปจากแวดวงการเมือง โดยปรากฏตัวผ่านการเขียนบทความและบทประพันธ์ต่างๆ ก่อนจะละทิ้งสังขารช่วงต้นปี พ.ศ. 2486
ฝ่าย พระยาสุรินทราชา แทบจะหมดบทบาทไปพร้อม ๆ กับการปฏิวัติสยาม และอีกเกือบสิบปีต่อมาก็อำลาโลกไปเช่นกัน
ขณะ ครูเหลี่ยม ผู้เคยจ่อมจมอยู่กับความผิดหวังมานับตั้งแต่หนุ่ม ทว่าช่วงภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขากลับกลายเป็นชายชราผู้ยังคงครองชีวิตชีวาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ไปต่างประเทศอีกหน
ดังที่บอกไว้แล้วว่า สิ่งที่ลุกโชนเสมอในมโนนึกของ ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร คือความต้องการจะได้เดินทางไปต่างประเทศอีกสักครา แล้วโอกาสก็มาถึงเมื่อ พระโลกนาถ หรือ ซัลวาโตเร ซิโอฟฟี (Salvatore Cioffi) พระภิกษุชาวอิตาเลียนได้เดินทางจาริกเพื่อประกาศพุทธศาสนาผ่านมายังเมืองไทยราวปี พ.ศ. 2476
ตอนนั้น ทางคณะราษฎรให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พระโลกนาถ ยังประกาศเชิญชวนให้พระภิกษุสามเณรรวมถึงคฤหัสถ์ชาวไทยร่วมเดินทางจาริกด้วยกัน จุดหมายปลายทางเบื้องต้นคือประเทศอินเดีย ซึ่งปรากฏผู้เลื่อมใสอยากจะร่วมเดินทางไปกับพระโลกนาถเป็นจำนวนไม่น้อย ในคราวนั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งที่ไม่เห็นพ้องคือ พุทธทาสภิกขุ เพราะมองว่าเป็นการไปเที่ยวรอบโลกเสียมากกว่าการจาริกประกาศศาสนา อีกทั้งไม่เชื่อมั่นในพระโลกนาถ เนื่องจากใช้นามเทียบเคียงกับพระพุทธเจ้าและทำตนเป็นพระอรหันต์สั่งสอนคน พุทธทาสภิกขุ ถึงกับเขียนบทความเรื่อง “ทำไมไม่ไปกับพระโลกนาถ” ลงในหนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476
ด้าน สามเณรกิมเฮง เล็งเห็นว่านี่อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ตนจะได้เรียนหนังสือให้แตกฉาน จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการพระภิกษุสามเณรใจสิงห์ (Lion-hearted Bhikkhus and Samaneras) ของ พระโลกนาถ ยินดีร่วมเดินทางจาริกไปยังอินเดีย พระภิกษุชาวอิตาเลียนจึงเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น สามเณรกรุณา
แน่นอนที่สุด สำหรับ ครูเหลี่ยม ไม่มีอะไรจะเหมาะเจาะในการได้เดินทางไปต่างประเทศเท่ากับโครงการนี้ อย่างมิรอช้า เขาอาสาร่วมเดินทางไปด้วย โดยจะทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษจากถ้อยคำเทศนาของ พระโลกนาถ ให้ทุกคนในคณะจาริกรับฟัง
การเดินทางจาริกที่นำโดย พระโลกนาถ ช่างสุดแสนจะทรหด ต้องบุกป่าฝ่าดง ผจญอุปสรรคนานา กว่าจะถึงกรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า คนในคณะก็ล้มป่วยกันหลายราย โดยเฉพาะการถูกเล่นงานเสียงอมด้วยไข้มาลาเรีย ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร เป็นคนหนึ่งที่เชื้อมาลาเรียเข้าไปไหลเวียนในร่างกายจนไข้สูงนอนซม จึงหมดโอกาสที่จะได้เดินทางไปต่อยังดินแดนภารตะประเทศ และถูกส่งตัวกลับจากร่างกุ้งมายังกรุงเทพมหานคร
ด้านสามเณรกรุณายังคงสวมหัวใจสิงห์ ร่วมเดินทางต่อไปจนพบถิ่นอินเดียและได้เรียนหนังสือที่นั้น ต่อมาภายหลังสามเณรผู้นี้คือ กรุณา กุศลาสัย นักคิดนักเขียนผู้เชี่ยวชาญความรู้ด้านอินเดียคนสำคัญของเมืองไทย
นับว่าครูเหลี่ยมได้ไปต่างประเทศอีกครั้งในชีวิต แม้จะเป็นการไปถึงเพียงแค่พม่าก็ตาม
นักโต้วาที
การโต้วาทีกำลังเฟื่องฟูในสังคมไทยช่วงปลายทศวรรษ 2470 ก่อนหน้านั้นแม้จะจัดโต้วาทีกันบ้างตามหน่วยงานต่าง ๆ แต่ก็มิได้เป็นทางการ ครั้นกรมศิลปากรถูกรื้อฟื้นตั้งขึ้นมาใหม่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และ หลวงวิจิตรวาทการเข้าดำรงตำแหน่งอธิบดีในปี พ.ศ. 2477 ก็ออกนโยบายส่งเสริมศิลปะการโต้วาที โดยจัดการแข่งขันโต้วาทีชิงรางวัลขึ้นเป็นครั้งแรกในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2478 ณ หอประชุมกรมศิลปากร กำหนดให้มีสองรางวัล รางวัลหนึ่งเป็นเงินสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยบาท ส่วนอีกรางวัลหนึ่งเป็นเงินจำนวนสองร้อยบาท
การแข่งขันโต้วาทีประเดิมด้วยญัตติแรกสุดคือเรื่อง “ร้อนดีกว่าเย็น” โดย พระยาโอวาทวรกิจ (เหม ผลพันธิน) เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนอ มีผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคือ นายกิมฮวย มลิทอง และ นายสิน เฉลิมเผ่า
ส่วน รองอำมาตย์โทวิเชียร ฉายจรรยา เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน มีผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคือ หลวงวิลาศปริวัตร (เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) และ นายมงคล รัตนวิจิตร
ทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านต่างยกเหตุผลน่ารับฟังหลายประการมาสนับสนุนญัตติของฝ่ายตน โดยเฉพาะ ครูเหลี่ยม ในฐานะเป็นฝ่ายค้านต้องยืนยันหนักแน่นว่า "เย็นดีกว่าร้อน" ซึ่งแค่กล่าวเปิดฉากขึ้นมาก็แฝงอารมณ์ขัน เพราะบอกว่าวันนี้รถยนต์ไม่มารับตน จึงต้องเดินไปจนถึงบางซื่อ ก่อนจะเข้าประเด็นและโต้คารมว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ตนเองเคยไปต่างประเทศมาแล้ว จึงไม่ชอบความร้อน แต่ชอบความเย็นเพราะทำให้มีความสุขกว่า ถ้าใครชอบความร้อนก็คงต้องไปอยู่พระอาทิตย์ ถ้าเกิดว่ารู้สึกหนาวก็ยังสามารถสวมเสื้อหลาย ๆ ชั้นได้ แต่ถ้ารู้สึกร้อน ต่อให้ถอดเสื้อที่สวมออกหมดจนเหลือแต่หนังกำพร้าก็ยังไม่หายร้อน ดังถ้อยคำที่กล่าวอย่างรื่นเริงว่า "คราวนี้ข้าพเจ้าอยากจะถอดหนังกำพร้าก็ถอดไม่ได้" ทำให้ผู้ฟังพลอยท้องคัดท้องแข็งเพราะการส่งเสียงหัวเราะฮาลั่น
ผลของการแข่งขันโต้วาทีครั้งนั้น ฝ่ายเสนอได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นจากบรรดาผู้ฟังในหอประชุมกรมศิลปากรเกือบสี่ร้อยคนมากถึง 349 คะแนน ขณะที่ฝ่ายค้านได้เพียง 10 คะแนน ส่วนกรรมการกลางตัดสินทั้งเก้าคนก็ให้คะแนนฝ่ายเสนอเหนือกว่าฝ่ายค้าน 6 ต่อ 3 ขณะที่คณะของพวกนักหนังสือพิมพ์ที่มาร่วมฟังก็ยกให้ฝ่ายเสนอเป็นผู้ชนะเลิศ 5 ต่อ 1
ฉายแววดาราภาพยนตร์ และบทบาทใน “พระเจ้าช้างเผือก”
สองเกลออย่างเกสรและกำจรกำลังตกอับถึงขั้นค้างค่าเช่าบ้านมาแล้วสามเดือน พวกเขาเกิดความคิดจะปลอมแปลงตนเป็นสตรีเพื่อเดินทางไปแสวงโชคในเมืองแม่หม้าย ดินแดนเร้นลับที่ยินเสียงร่ำลือว่ามีแต่ผู้หญิง กว่าจะรอดพ้นมาจนถึงเมืองแม่หม้ายได้ ทั้งสองหนุ่มผจญเข้ากับอุปสรรคสารพัดสารเพ ทุกคนที่จะเข้าไปในเมืองแม่หม้ายต้องทำพิธีเสี่ยงน้ำสาบานว่าจะซื่อตรงต่อพระจันทร์ ซึ่งได้รับการสถาปนาให้เป็นสามีของหญิงทั้งเมือง หากหญิงใดเป็นที่โปรดปรานของพระจันทร์ เธอก็จะตั้งครรภ์ เกสรและกำจรใช้อุบายลวงนางพญาแห่งเมืองแม่หม้ายโดยโกหกว่าพวกตนเป็นหมอดู พอทราบว่าแท้จริง นางพญาปรารถนาให้ผู้ชายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วย สองเกลอหนุ่มจึงเปิดเผยตัวตน นางพญายินดีที่จะไม่สั่งประหารชีวิตพวกเขา แลกกับข้อแม้ที่ว่าทั้งเกสรและกำจรต้องอยู่ในเมืองแม่หม้ายไปตลอดกาล
หากใครได้นั่งรับชมภาพยนตร์เรื่อง “เมืองแม่หม้าย” ในศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งเริ่มออกฉายตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479) บางทีอาจเห็นพระฤาษีชราในเมืองแม่หม้าย ผู้ที่สวมบทบาทคือ ครูเหลี่ยม
ต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2479 ถ้าใครยังคงเข้าไปในศาลาเฉลิมกรุง ก็อาจจะได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง "กลัวเมีย" นำแสดงโดยดาราคู่ขวัญยอดนิยมแห่งยุคอย่างจำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฏ มิเว้นกระทั่ง หลวงวิลาศปริวัตร ที่ปรากฏเป็นตัวละครผ่านหน้าจออีกครั้ง
ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเป็นผลงานประพันธ์และเขียนบทโดย หลวงอนุรักษ์รัถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) จัดสร้างโดยบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
ถัดจากเรื่อง "กลัวเมีย" ก็มาถึงเรื่อง "แก่นกลาสี" ซึ่งออกฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงและศาลาเฉลิมบุรี สร้างโดยค่ายศรีกรุงอีกตามเคย ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากการที่กองทัพเรือส่งเรือหลวงเจ้าพระยาเดินทางไปยังอิตาลี เพื่อไปรับเรือตอร์ปิโดใหม่สองลำที่สั่งต่อไว้กลับมา พร้อมกับนำนักเรียนนายเรือไปฝึกในต่างประเทศด้วย ซึ่งทางกองทัพเรือจ้างให้ หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต) หัวหน้าแผนกภาพยนตร์ของกรมโฆษณาการร่วมเดินทางติดตามไปบันทึกภาพเคลื่อนไหวช่วงที่รอนแรมในท้องทะเลกว่าสี่เดือน คุณหลวงกลการ จึงเกิดความคิดจะสร้างภาพยนตร์โดยนำภาพที่บันทึกไว้ในระหว่างเดินทางมาถ่ายทำต่อเพิ่มเติมในเมืองไทยเพื่อผูกเรื่องให้กลมกลืนกัน “แก่นกลาสี” ยังถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำในต่างประเทศ เมื่อออกฉายจึงเป็นที่ยอดนิยมและสร้างรายได้งาม อีกทั้งผู้ชมคงจะจดจำภาพของชายชราในชุดสีดำ สวมหมวกสีดำกำลังแย้มยิ้มอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มได้ นั่นละ ครูเหลี่ยม
ครูเหลี่ยม แสดงภาพยนตร์เรื่อง “แก่นกลาสี”
มูลเหตุที่ ครูเหลี่ยม หรือ หลวงวิลาศปริวัตร ได้แสดงภาพยนตร์ขาวดำขนาด 35 มม. หลายเรื่อง ก็เพราะเคยคลุกคลีกับทางบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง เนื่องจาก มานิต วสุวัต ชวนไปช่วยแปลตำราฝรั่งเกี่ยวกับการสร้างหนังพูดหรือภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม ครูเหลี่ยม วุ่นอยู่กับการแปลตำราจนเผลอลืมกลับบ้านไปหาภรรยาติดต่อกันนานหลายวัน บางทีก็เป็นแรมเดือน
ที่บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง ครูเหลี่ยม ยังได้พบปะพูดคุยกับ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) นักประพันธ์ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แทบทุกวัน ซึ่งคุณหลวงมักจะร้องเพลงฝรั่งแบบโอเปราพร้อมแสดงท่าทางขึงขังให้ท่านขุนรับฟังและรับชม
ครูเหลี่ยม ถูกเชิญให้เป็นดาราอีกครั้งเมื่อ นายปรีดี พนมยงค์ สร้างภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” เมื่อปี พ.ศ. 2483 คราวนี้ได้รับบทบาทโดดเด่นเป็นทหารชราแห่งกองทัพหงสา และต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะนำไปจัดฉายในต่างประเทศด้วย
ทหารชรากราบทูลพระเจ้าหงสาว่าอย่าก่อสงครามกับฝ่ายกรุงอโยธยาเลย แต่แทนที่พระองค์จะรับฟัง กลับพุ่งหอกเข้าปักกลางอกทหารชราจนวายปราณ
นั่นคือภาพของ ครูเหลี่ยม ที่ปรากฏใน “พระเจ้าช้างเผือก”
มีอีกข้อมูลหนึ่งที่น่าใคร่ครวญก็คือ ภาพยนตร์ที่สร้างโดย นายปรีดี ต้องอาศัยนักแสดงเป็นจำนวนมากที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ แต่ผู้ที่มาร่วมแสดงนั้น บางส่วนก็สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมในแผนกภาษาอังกฤษ ขณะที่บางส่วนก็สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมในแผนกภาษาฝรั่งเศส จึงมีการแบ่งให้นักแสดงที่เคยเรียนแผนกภาษาอังกฤษสวมบทบาทเป็นตัวละครฝ่ายกรุงอโยธยา ส่วนนักแสดงที่เคยเรียนแผนกภาษาฝรั่งเศสสวมบทบาทเป็นตัวละครฝ่ายกรุงหงสา แต่สำหรับ ครูเหลี่ยม กลับมีความพิเศษ เพราะเคยเป็นนักเรียนวิชาครูในประเทศอังกฤษ แต่กลับได้เป็นตัวละครฝ่ายกรุงหงสา
ระหว่างการถ่ายทำ “พระเจ้าช้างเผือก” ครูเหลี่ยม ยังได้สนทนากับ ท่านผู้หญิงพูนศุข ภริยาของ นายปรีดี ในช่วงขณะรับประทานอาหาร ครูเหลี่ยม เอื้อนเอ่ยว่าคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นหน้า ท่านผู้หญิงพูนศุข ที่ไหนมาก่อน ท่านผู้หญิงจึงตอบแบบหยอกเย้า
“เอ้า! ก็ฉันเล่นหนังกับคุณหลวงไง เรื่องเมืองแม่ม่าย”
แท้แล้ว ครูเหลี่ยม นับว่าเป็นเครือญาติของ ท่านผู้หญิงพูนศุข เนื่องจาก พระยาพนผลารักษ์ (วาศ วินทุพราหมณกุล) น้องชายของเขา มีธิดาที่ได้วิวาห์เกี่ยวดองกับทางตระกูล ณ ป้อมเพ็ชร์ อันเป็นสกุลเดิมของ ท่านผู้หญิงพูนศุข
ภาพยนตร์ “พระเจ้าช้างเผือก”ออกฉายไปได้ 8 เดือน เมืองไทยก็ถูกเงื้อมเงาสงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่เข้ามาปกคลุม กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้ายึดครองหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองหลวงเยี่ยงกรุงเทพฯ
นักเขียนชรา
ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ครูเหลี่ยม มิค่อยได้อยู่บ้านในตรอกเสถียรหน้าวัดมหรรณพารามสักเท่าใด ปล่อยให้ แม่อบเชย ภรรยาต้องวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยในวัดเมื่อได้ยินเสียงหวอกังวานเตือนภัยทางอากาศจากเครื่องบินทิ้งระเบิด โดย คุณหลวงวิลาศ ไปรับหน้าที่เฝ้าบ้านใกล้ ๆ สี่แยกสะพานควายให้กับคุณหญิงแส ภริยาของ พระยาอาชญาจักร์ (บุญมา โรจนวิภาต) ผู้เป็นน้องสาว ซึ่งตอนนั้นยังเป็นทุ่งนาโล่ง ๆ
ในปี พ.ศ. 2487 ปลายสงครามโลก นักหนังสือพิมพ์และนักประพันธ์หนุ่มนาม บรรพต สิงหพันธุ์ หวนระลึกถึง ครูเหลี่ยม จึงไปขอสัมภาษณ์แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นสารคดีเรื่อง “ครูเหลี่ยม นักนวนิยายยุคแรกของไทย” โดยใช้นามปากกา “บรรเลง” ลงตีพิมพ์เผยแพร่ใน ประชามิตร สุภาพบุรุษ ฉบับที่ 112-114 ซึ่ง กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการ ในสารคดีนอกจากจะศึกษาชีวประวัติของครูเหลี่ยมแล้ว ยังเจาะลึกถึงปรัชญาการเขียนโดยเฉพาะการเขียนเรื่องเพศและกามารมณ์ ซึ่งน้ำเสียงของ “บรรเลง” พยายามแก้ต่างให้งานประเภทนี้ของครูเหลี่ยมว่าพ้นไปจากความลามกอนาจาร แต่ถือเป็นจิตวิทยาเกี่ยวกับกามารมณ์ อาจเพราะ บรรพต เองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่นำเสนองานเขียนเรื่องเพศทำนองเดียวกันกับ ครูเหลี่ยม
ใช่แล้วครับ ครูเหลี่ยม ในวัยหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกการนำเสนอเรื่องโป๊และรูปโป๊ ซึ่งสร้างความฮือฮามากในสมัยทศวรรษ 2450 และทศวรรษ 2460 ตอนนั้น ครูเหลี่ยมยังอยู่กับมารดาที่บ้านละแวกโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า และเปิดเป็นร้านรับถ่ายภาพเพื่อสร้างรายได้ด้วย
ยศ วัชรเสถียร เป็นนักเขียนอีกคนที่ไปพบ ครูเหลี่ยม ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับบรรพต เนื่องจากได้รับมอบหมายจาก พิภพ ตังคณะสิงห์ เจ้าของสำนักพิมพ์ให้ไปตามหาเจ้าของนามปากกา “นกโนรี” เพื่อขออนุญาตนำเรื่องแปล สาวสองพันปี มาจัดพิมพ์ใหม่
ยศ ไม่ทราบว่า “นกโนรี” คือใคร แต่เมื่อถาม โชติ แพร่พันธุ์ เจ้าของนามปากกา “ยาขอบ” ก็ทราบว่าคือ ครูเหลี่ยม จึงเดินทางไปหาที่บ้านและพูดคุยด้วย ครูเหลี่ยม ในวัยชราพอรู้ความประสงค์ก็ออกปากอนุญาตด้วยความปีติ เพราะไม่นึกว่าผลงานแปลที่น่าจะถูกลืมไปแล้วยังมีผู้นึกถึง ยศ ยังเปิดเผยอีกทำนอง
“แล้วท่านถามผมว่าทำไมจึงรู้ว่า ‘นกโนรี’ คือท่าน เพราะลูกของท่านเองยังไม่รู้เลย เมื่อผมเล่าให้ท่านฟังว่าผมรู้มาได้เพราะอย่างไรแล้ว ท่านก็คราง ‘อือ’ แล้วว่า ฉันฝากขอบใจไปให้คุณโชติด้วยที่ได้อ่าน ‘สาวสองพันปี’ ที่ฉันแปลแล้วสืบจนรู้ว่า ‘นกโนรี’ คือฉัน ฉันก็ติดเรื่องผู้ชนะสิบทิศของเขางอมแงมทีเดียว เอ้อ!...พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันช่างแปลกแท้เทียวคุณ ทีอ้ายเรื่องลามกสัปดนของฉัน ฉันไม่ได้ใส่ชื่อเสียงอะไรเลย แต่พอเอ่ยชื่อเรื่องใครๆก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าของครูเหลี่ยม ส่วนอ้ายเรื่องดี ๆ ที่ฉันใช้นาม ‘นกโนรี’ น้อยคนที่จะรู้ว่าเป็นฉัน”
ช่วงทศวรรษ 2490 มีนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์หนุ่มรุ่นใหม่ ๆ หันมาสนใจ ครูเหลี่ยม และอยากขอผลงานประพันธ์ไปลงพิมพ์เผยแพร่ ดังเช่น วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ที่ตอนออกนิตยสารรายปักษ์ชื่อ ดาวฤกษ์ ก็ตามไปขอต้นฉบับของ ครูเหลี่ยม ถึงบ้านใกล้ ๆ แยกสะพานควาย แล้วพบว่าถึงแม้ คุณหลวงวิลาศ จะยังคงมุมานะเขียนหนังสือสม่ำเสมอทุกวัน ในตอนกลางคืนก็นั่งเขียนจนดึก ทว่ากลับมิใช่งานวรรณกรรม เป็นเพียงบันทึกและเกร็ดอะไรต่าง ๆ หรือถ้าจะหางานเขียนของพวกฝรั่งมาให้ ครูเหลี่ยม แปลก็คงได้ แต่สำนวนโวหารก็อาจจะพ้นสมัยไปสักหน่อย
ชูชัย พระขรรค์ชัย เป็นนักมวยดังรูปหล่อ พอก้าวลงจากสังเวียนก็มีคนชักชวนให้ไปเป็นพระเอกละครเวทีซึ่งได้รับความนิยมช่วงต้นทศวรรษ 2490 สุริยนบุตรชายของ ครูเหลี่ยม เองก็ตั้งคณะละครชื่อ คณะศรีวัฒนา พร้อมกับชวนให้ ชูชัย มาเล่นละครและร้องเพลงสลับฉาก เป็นเหตุให้ยอดนักมวยต้องมาเยือนบ้านในตรอกเสถียรหน้าวัดมหรรรณพารามเนือง ๆ และได้พบเห็น ครูเหลี่ยม ซึ่งจะพักผ่อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ชั้นบน
คุณหลวงวิลาศ จะมีกิจวัตรคือจัดของออกจากตู้โน้นมาใส่ตู้นี้ แล้วเขียนหนังสืออยู่กลางห้องโดยจะนุ่งผ้าขาวม้านั่งขัดสมาธิ เอาสมุดวางไว้บนเข่าขวาลงมือเขียนอะไรไว้เยอะแยะ ก่อนจะห่อใส่พกไว้ตามมุมห้อง ชูชัย ถึงกับบอกว่าน่าเสียดายที่ตนไม่ได้หยิบเอาไว้สักห่อหนึ่ง เพื่อนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ เพราะทางลูกหลานดูจะไม่มีใครสนใจข้อเขียนเหล่านี้เลย อีกทั้งหลังจากที่ ครูเหลี่ยม ละทิ้งสังขารไปแล้ว ทุกอย่างที่เคยเขียนแล้วห่อใส่พกเอาไว้ยังถูกนำไปทิ้งลงถังขยะ
จริงอยู่ว่า ความชรามิอาจห้ามปรามไม่ให้ ครูเหลี่ยม เขียนหนังสือ และบางทีในห่อพกตามมุมห้องอาจจะมี “โนเวิ่ล” หรือนวนิยายน่าสนุกอีกหลายเรื่องก็เป็นได้ เพียงแต่กลับไม่ค่อยมีใครเอาใจใส่นักบุกเบิกสร้าง “โนเวิ่ล” มากเท่าที่ควร แม้จะมีใครหลายคนมาพบปะ คุณหลวงวิลาศ แต่ส่วนใหญ่ก็มุ่งมาเรียนรู้และฝึกฝนภาษาอังกฤษ
บางคนเคยพยายามซักถามถึงประสบการณ์เมื่อครั้งเป็นนักเรียนอังกฤษ โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้ ครูเหลี่ยม ในตอนนั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางประสาท แต่ คุณหลวง ไม่เคยให้ความกระจ่างชัดเจนต่อเรื่องนี้ ราวกับไม่ประสงค์จะหวนระลึกถึงอีก เว้นแต่ว่าจะชวนคุยเรื่องกีฬารักบี้ ก็จะอธิบายอย่างเพลิดเพลิน
ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2494 ครูเหลี่ยม เป็นหนึ่งในประชาชนที่ร่วมงานถวายพระเพลิงกันอย่างล้นหลาม ด้วยอุปนิสัยที่ชื่นชอบคณิตศาสตร์มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ หลวงวิลาศ จึงพยายามคิดคำนวณว่าน่าจะมีจำนวนคนเท่าไหร่ที่มาร่วมงาน
ความสุนทรีย์ยามว่างของ ครูเหลี่ยม คือการเล่นเครื่องดนตรี โดยเฉพาะโปรดปรานการเป่าแคนและสีไวโอลิน รวมถึงยังชอบขับขานเพลงคลอไปกับวิทยุ
ครูเหลี่ยม กับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีความเหมือนกันตรงที่ชื่นชอบเพลงที่ขับขานโดย รวงทอง ทองลั่นทม เพียงแต่บทเพลงที่โปรดปรานนั้นเป็นคนละเพลงกัน
อย่างช่วงต้นทศวรรษ 2500 พอ ครูเหลี่ยม ฟัง “เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินไหมใครมากู่...” คราวใด เป็นต้องร้องตามเสมอ ส่วน จอมพล ป. หลงใหลในเพลง “ยังจำได้ไหม ถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งคุณเคยบอกว่ารัก รัก รัก ยิ่งนัก ยังจำได้ไหม ถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งคุณสมัครเป็นทาสดวงใจ…”
ต้นทศวรรษ 2500 อีกเช่นกันที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารและก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศด้วยการประกาศก้องว่าเป็น “สมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า”
ครูเหลี่ยม ซึ่งเคยผ่านทั้งการปฏิรูปประเทศในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการปฏิวัติสยามเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญมาแล้ว ยังต้องสัมผัสกับบรรยากาศสมัยปฏิวัติภายใต้การปกครองโดยอำนาจทหารเข้าอีก
จากวัยหนุ่มที่อยู่กับความผิดหวัง มาสู่ความเป็นนักประพันธ์อันน่าหลงใหล รวมถึงการมีวัยชราที่เริงโลดท่ามกลางความผันผวนภายหลังการปฏิวัติของประเทศ เหล่านี้ล้วนทำให้ ครูเหลี่ยม ต้องปฏิวัติชีวิตของตนเองอยู่เรื่อยมา เพื่อการค้นพบหนทางที่เปี่ยมด้วยความสุขเกษมข้างในจิตใจและความรู้สึกนึกคิด แม้จะมิได้รับการประดับประดาให้เป็นบุคคลสลักสำคัญของสังคมเท่าที่ควร แต่สิ่งสำคัญยิ่งคือการเป็นตนเองที่ยังคงสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมบ้าง
ครูเหลี่ยม ปิดเปลือกตาอำลาโลกเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2506 ปีสุดท้ายในสมัยปฏิวัติของ จอมพลสฤษดิ์ เพราะต่อมานายทหารผู้นี้ถึงแก่อสัญกรรมขณะรั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม
ดูเหมือนว่าภาพของนักประพันธ์รุ่นเก่าผู้นี้ในช่วงภายหลังการปฏิวัติสยามมาตราบจนสมัยปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์นั้น ดูเหมือนจะเป็นที่จดจำในฐานะครูเสียมากกว่าผู้เคยบุกเบิกสร้าง “โนเวิ่ล”หรือนวนิยายแบบไทยแท้เรื่องแรกของไทย
หากสีสันของการดำรงลมหายใจตลอดห้วงกาลเวลาดังกล่าว ก็ประหนึ่ง “โนเวิ่ล” แห่งชีวิตของหลวงวิลาศปริวัตร !
เอกสารอ้างอิง
- คารมโต้วาทีของกรมศิลปากร เรื่อง ร้อนดีกว่าเย็น. พระนคร: โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2477
- ชูชัย พระขรรค์ชัย. รังสรรค์ถึง ป. และ ม.ร.ว.ฉบับพิสดาร. กรุงเทพฯ : ปาปิรัส, 2536
- ที่ระลึกงานฌาปนกิจศพนางวิลาศปริวัตร (อบเชย วินทุพราหมณกุล). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, 2515
- พุทธทาสภิกขุ. ชุมนุมข้อคิดอิสระ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2556
- ยศ วัชรเสถียร. ความเป็นมาของการประพันธ์ และนักประพันธ์ไทย. พระนคร: แพร่พิทยา, 2506
- วิลาศปริวัตรานุสรณ์. ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงวิลาศปริวัตร (ครูเหลี่ยม วินทุพราหมณกุล). พระนคร: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, 2509
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. นักเขียน ศิลปิน และสังคมไทย. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2542
- สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน. กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์? กรณีศึกษาเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก.กรุงเทพฯ: คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2544
- ส. พลายน้อย. นักเขียนสยาม. กรุงเทพฯ: บริษัท ต้นอ้อ แกรมมี่ จำกัด, 2540
- อาจิณ จันทรัมพร. นักเขียนไทยใน "วงวรรณกรรม". กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, 2540
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “กล่อมครรภ์: เมื่อครูเหลี่ยมฉีกยันต์กันผีเสนอเรื่องเพศและ. กามารมณ์กล่อมสังคมไทย ทศวรรษ 2450-2460” ใน ความคลุมเครือ ความเคลือบแคลง เส้นแบ่ง และพรมแดนในมนุษยศาสตร์. พิเชฐ แสงทอง, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2561.
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “จาก "สามหม้าย" ณ บ้านดอน สู่ "ติกโกโน" แห่งกันตัง ครูเหลี่ยมและชีวิตอันเกี่ยวเนื่องกับภาคใต้.” รูสมิแล ปีที่ 38 ฉบับที่ 3 (กันยายน- ธันวาคม 2560). หน้า 63-70.
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “เฉาะแฉะในบ้านชนชั้นกลาง: พฤติกรรมร่วมเพศ ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง และพื้นที่แห่งปรารถนากามารมณ์ในสังคมไทย ทศวรรษ 2490.” วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 ( กรกฎาคม - ธันวาคม 2560). หน้า 121-191.
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “ตาม “ชิ้น” ตาม “ชั้น” จน “ขวัญหายได้ปลื้ม” เรื่องสั้นหาอ่านยากของครูเหลี่ยม.” มติชนสุดสัปดาห์ (23 สิงหาคม 2562).
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. บุรุษบันเทิง: สื่อบันเทิงกามารมณ์ในสังคมไทย ทศวรรษ 2450-2500 วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2559
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “ผจญบอ เทคโนโยนี และการนำเสนอ ‘ฮิสทีเรีย’ ในวรรณกรรมเรื่องเพศของไทยในยุคแรก ๆ.” The MATTER (16 August 2018).
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “ศรีทนนไชยสมัยใหม่ : เหลี่ยมคูแบบ “อุปทูเด็ต” ในร่างทรงศรีธนญชัยของครูเหลี่ยม.” วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน 2560). หน้า 205-220.